ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 498 เมืองเฉียนหลง
[ภาคที่ 4 คืนนี้พักแรมริมฝั่งแม่น้ำฉู่อย่างเดียวดาย สายลมพัดพาโคมไฟมืดสลัว…] บทที่ 498 เมืองเฉียนหลง
ภาคที่ 4 คืนนี้พักแรมริมฝั่งแม่น้ำฉู่อย่างเดียวดาย สายลมพัดพาโคมไฟมืดสลัว ชายหนุ่มพักอาศัยด้วยความโศกเศร้าลำเค็ญยากจะพรรณนา
บทที่ 498 เมืองเฉียนหลง
แท่นแปดทิศ หอดูดาว
ซ่งชิงปีนขึ้นแท่นแปดทิศ โค้งคารวะไปทางโหราจารย์ที่หันหลังให้
“อาจารย์ ร่างของเว่ยเยวียนได้รับการปั้นขึ้นใหม่แล้ว แต่มีเพียงวิญญาณมนุษย์ วิญญาณแฝดของฟ้าและดินที่ไม่บริบูรณ์ หากไม่สามารถเอาวิญญาณแฝดกลับคืนมา เขาจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีกเลย”
ท่านโหราจารย์เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “เจ้านำวัสดุสำหรับหลอมระฆังเรียกวิญญาณไปให้เขาแล้วไม่ใช่หรือ”
ซ่งชิงแสดงสีหน้าละอายใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้อาจารย์เคยบอกไว้ว่าห้ามบอกเรื่องที่เว่ยเยวียนยังมีชีวิตอยู่ให้สวี่ชีอันรู้ เขาก็อดทนรอจนถึงตอนนี้ รอให้สถานการณ์สงบก่อนแล้วจึงค่อยบอกข่าวที่เว่ยเยวียนยังมีปราณชีวิตอยู่ให้คุณชายสวี่ผู้วิเศษด้านการเล่นแร่แปรธาตุรู้ เพื่อให้เขาไปรวบรวมวัสดุสำหรับหลอมระฆังเรียกวิญญาณ ซ่งชิงที่ฝ่าฝืนคำสั่งของอาจารย์กลับแค่รู้สึกละอายใจเพียงเล็กน้อย ราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติ จึงพูดด้วยท่าทางเสียใจว่า
“แค่การบำเพ็ญนี้เท่านั้น…”
ท่านโหราจารย์พูดช้าๆ ว่า “ด้วยคุณสมบัติของเขา เดินสายทหารช่างน่าเสียดายจริงๆ ทหารที่ หยาบคายไม่เหมาะกับเขา” จากนั้นก็เงียบไป ไม่ได้พูดอะไรอีก
ซ่งชิงพูดต่อว่า “น่าเสียดายที่คุณชายสวี่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว และศิษย์น้องจงหลีจำต้องเข้าไปอยู่ใต้หอที่ถูกปิดสนิทอีกครั้ง และไม่รู้ว่านางจะผ่านพ้นโชคร้ายอย่างบริบูรณ์ได้เเมื่อไหร่”
“อีกไม่นานแล้ว”
สายตาของท่านโหราจารย์เหม่อมองไปที่ขอบฟ้าไกล
“เจ้าอยู่ในขอบเขตการเล่นแร่แปรธาตุนานเกินไปแล้ว เมื่อไหร่จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นห้า”
ท่านโหราจารย์ถอนสายตา มองไปทางซ่งชิง
ซ่งชิงแสดงสีหน้าฉงนและถามกลับว่า “เหตุใดจึงต้องเลื่อนขั้น”
ท่านโหราจารย์เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เหม่อมองไปทางขอบฟ้าไกลอีกครั้ง ไม่ได้สนใจศิษย์คนที่สี่อีก
…
ชั้นล่างหอดูดาว
ตะเกียงน้ำมันสาดแสงทั่วพื้นที่ ส่องแสงสลัวๆ
จงหลีสวมชุดคลุมยาวผ้าป่าน ภายใต้ผมยาวยุ่งเหยิง ดวงตาสะท้อนแสงเทียน เดินอย่างช้าๆ อยู่ที่ระเบียงทางเดินที่เงียบสงัด ขณะที่เดินผ่านห้องห้องหนึ่ง ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังลอดออกมาจากข้างใน
“ใช่ศิษย์น้องจงหลีหรือไม่”
จงหลีหยุดชะงักอยู่ที่หน้าประตูบานนั้น แล้วตอบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อืม!”
“ทำไมเจ้ากลับมาอีกเล่า เจ้าหมอนั่นรับปากแล้วว่าจะรับเคราะห์ร้ายไว้แทนเจ้า แต่ไม่ทันไรก็ส่งเจ้ากลับมาแล้ว” หยางเชียนฮ่วนทำเสียง ‘ฮึฮึ’
ชั้นใต้ดินของหอดูดาวมีสามชั้น ใช้สำหรับกักขังนักโทษฉกรรจ์สิบประเภทที่ไม่สามารถนิรโทษกรรมได้ แต่มีการบำเพ็ญขั้นสูง โดยแท้จริงแล้วห้องขังธรรมดา ขังนักโทษขั้นห้าหรือขั้นสี่ไม่ได้ แต่ว่าทหารที่จะถูกคุมขังไว้ใต้หอดูดาวนั้นมีไม่มาก และคนเหล่านี้ปกติก็มักจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นในห้องขังใต้หอดูดาวจึงเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง แต่หยางเชียนฮ่วน และจงหลีกลับเป็นแขกประจำของที่นี่ ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งสองคนนี้ต่างมี ‘ห้องส่วนตัว’ อยู่ที่ชั้นหนึ่ง และห้องของจงหลีท่านโหราจารย์เป็นคนจัดให้ด้วยตัวเอง เพื่อช่วยยับยั้งโชคร้ายให้นาง ห้องของหยางเชียนฮ่วนท่านโหราจารย์ก็เป็นคนจัดให้ด้วยตัวเองเช่นกัน จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันเขาหลบหนี
“เขา เขาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว…”
จงหลีพูดด้วยความเสียใจ
“ออกไปจากเมืองหลวงก็ดี เว่ยเยวียนตายไปแล้ว เขาไม่มีที่พึ่งอีกแล้ว ไม่ออกจากเมืองหลวงในเวลานี้ จะรอให้จักรพรรดิเฒ่ามาชำระแค้นเขารึ”
หยางเชียนฮ่วนหัวเราะเยาะเย้ย ทั้งดีใจและผิดหวัง ที่ดีใจเพราะสวี่ชีอันจากไปแล้ว ตัวเขาหยางเชียนฮ่วนก็จะโดดเด่นที่สุดในเมืองหลวง และที่ผิดหวังก็เพราะ สวี่ชีอันเพื่อนรู้ใจในชีวิตผู้กล้าหาญได้จากไปแล้ว เหลือเพียงเขาที่ต้องรู้สึกเดียวดายทนต่อความหนาวเหน็บอยู่บนยอดเขาเพียงคนเดียว
“จักรพรรดิทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ไม่มาชำระแค้นเขาแล้ว” จงหลีพูดเสียงเบา
‘จักรพรรดิทรงสิ้นพระชนม์แล้ว?’ หยางเชียนฮ่วนตกใจ พูดอย่างฉงนว่า “หยวนจิ่งประสบความสำเร็จในการบำเพ็ญธรรม อายุขัยของพระองค์ไม่น่าจะสั้นขนาดนี้”
จงหลีพูดอย่างสั้นๆ ได้ใจความว่า “สวี่ชีอันเป็นคนปลงพระชนม์”
ภายในห้องเงียบไปทันที ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงสั่นเครือของหยางเชียนฮ่วนก็เล็ดลอดออกมา
“ในช่วงที่ข้าถูกอาจารย์ขังไว้ที่นี่ ในเมืองหลวงเกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”
จงหลีส่งเสียง ‘อืม’ “สวี่ชีอันเขา…”
“อย่า อย่าบอกข้า ขอร้องเจ้าอย่าบอกข้า!”
หยางเชียนฮ่วนรีบตัดบททันที แสดงให้เห็นว่าตัวเองไม่ต้องการฟัง ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น
จงหลีส่งเสียง ‘อ้อ’ แล้วก้าวเท้าเตรียมจากไป หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงค่อนข้างแหลมของหยางเชียนฮ่วนก็ดังมาจากด้านหลัง
“ไม่ ศิษย์น้องอย่าเพิ่งไป ข้ายังคง…”
เขาชะงักไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
“ข้ายังคงต้านทานการดึงดูดจากชายคนนั้นไม่ได้”
จงหลีกลับไปที่ประตู
“เขาปลงพระชนม์จักรพรรดิทำไม จักรพรรดิเฒ่าเป็นกษัตริย์ของประเทศ และคนที่ปลงพระชนม์กษัตริย์โลกนี้จะไม่มีการให้อภัย ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาอย่างยากเย็น จะถูกทำลายจนพินาศอย่างรวดเร็ว ช้าก่อน เขาสามารถปลงพระชนม์กษัตริย์ได้ด้วยหรือ!”
ทันทีที่เขาพูดจบ หยางเชียนฮ่วนก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของ จงหลีพูดว่า
“เขาบรรลุขั้นสามแล้ว จักรพรรดิสมควรตาย และประชาชนต่างชื่นชมเขา”
นางเล่าเรื่องไม่เป็น แต่ด้วยประโยคสั้นๆ เช่นนี้ ก็ทำให้เกิดเสียงหายใจแรงดังออกมาจากในห้องได้
“นี่ นี่…”
มีเสียงดัง ‘เอื๊อก’คล้ายเสียงกลืนน้ำลาย “ช่วยเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
จงหลีได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้หยางเชียนฮ่วนฟังแบบสั้นๆ บรรยายแบบเรียบๆ ประโยคสั้นๆ เพียงเพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้พรรณนาอะไรมาก
แต่เสียงหายใจกลับแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ชั่วช้า ชั่วช้าจริงๆ…”
เสียงทุบกำแพงดังขึ้น พร้อมกับเสียงริษยาอย่างยิ่งของหยางเชียนฮ่วน
‘ทำไมถึงปล่อยให้เขาทำเรื่องที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาอยู่เพียงคนเดียว กษัตริย์ผู้เหี้ยมโหดไร้คุณธรรม คุณชายสวี่จึงได้ปลงพระชนม์เขา? ทำไมจึงไม่ใช่ข้า ทำให้ข้ารู้สึกอิจฉายิ่งนัก…’
‘หลังจากปลงพระชนม์จักรพรรดิแล้ว ผู้คนในเมืองหลวงทุกคนต่างก็ปรบมือชื่นชม ผู้คนที่จงรักภักดีและซื่อตรงต่างพากันสรรเสริญอย่างยิ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือ กลายเป็นศูนย์กลางของการกล่าวขวัญของผู้คนนับไม่ถ้วน ออกไปซื้อกับข้าวก็ไม่ต้องจ่ายเงิน…’
หยางเชียนฮ่วนจินตนาการถึงภาพที่ผู้คนในเมืองหลวงต่างไชโยโห่ร้องกันอย่างคึกคัก พร้อมตะโกนว่า ‘โลกนี้ไม่มีหยางเชียนฮ่วน ต้าฟ่งเหมือนตกอยู่ในรัตติกาลชั่วกัปชั่วกัลป์’ ตะโกนว่า ‘คุณชายหยางเป็นผู้มีเมตตาธรรมของต้าฟ่ง’ หลังจากนั้น เขาก็ยืนอยู่บนที่สูง หันหลังให้ผู้คน แล้วพูดอย่างท่าทางสบายๆ ว่า ‘สองมือเชื้อเชิญเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา’ คิดไปคิดมา คุณชายหยางก็ตัวสั่นเทาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
สามารถคาดการณ์ได้ว่า สวี่ชีอันจะต้องได้รับการบันทึกชื่อลงในหนังสือประวัติศาสตร์ จะต้องได้รับการพรรณนาไว้ในประวัติศาสตร์ของต้าฟ่งอย่างมากมาย
‘คนชั่วช้าสารเลวคนนี้ แค่โดดเด่นในสายตาผู้คนก็ยังพอทำเนา แต่เขายังโดดเด่นสำหรับคนรุ่นหลังอีก…แต่ว่า พฤติกรรมเช่นนี้ ข้าเลียนแบบไม่ได้จริงๆ ไม่อยากยอมแพ้จริงๆ เลย’
จงหลีพูดปลอบโยนว่า “หากศิษย์พี่หยางอยู่ด้วย ก็ต้องได้รับการบันทึกชื่อลงในหนังสือประวัติศาสตร์เช่นกัน เสียดายที่ศิษย์พี่ถูกขังอยู่ใต้หอ”
“หมาย หมายความว่าอย่างไร”
เสียงของหยางเชียนฮ่วนสั่นเล็กน้อย
“ฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินพร้อมกับคนอื่นๆ สกัดกั้นร่างอวตารขององค์จักรพรรดิอยู่ที่นอกเมือง สร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ ในประกาศของเช้าวันนี้ได้มีการเสนอชื่อของพวกเขาด้วย นอกจากนี้ ในตอนนั้นสวี่ชีอันบอกข้าว่า ถ้าศิษย์พี่หยางไม่ถูกขังไว้ก็คงจะดี ค่ายกลลำเลียงของท่านมีประโยชน์มาก แต่น่าเสียดายที่ท่านถูกอาจารย์ขังไว้ที่นี่”
หลังจากจงหลีพูดจบ ก็ไม่ได้ยินหยางเชียนฮ่วนโต้ตอบอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนนางจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป จึงหดคอ และซอยเท้าถี่เดินจากไป
ไม่กี่วินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ด้วยโฮความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่งของหยางเชียนฮ่วนดังมาจากข้างหลัง
“สำนักโหราจารย์นี้ ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร!”
…
อวิ๋นโจว
เป็นที่ซึ่งภูเขาซับซ้อนกันหลายชั้น เมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่าถูกสร้างขึ้นบนแนวเขา บ้านและหอสูงซ่อนตัวอยู่ในป่า ผู้คนขวักไขว่ คึกคักเป็นอย่างยิ่ง
เมืองนี้ชื่อ…เฉียนหลง!
ประชากรของเมืองนี้มีมากกว่าสองแสนคน ประกอบไปด้วยชาวเมืองอวิ๋นโจว ชาวยุทธ์พเนจร ผู้ลี้ภัย และกองกำลังทหาร ที่เลี้ยงชีพด้วยการทำนาและล่าสัตว์
ผู้มีอำนาจสูงสุดของเมืองคือเจ้าเมือง ภายใต้การปกครองของเขา ทำให้เมืองเฉียนหลงเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้แต่ผู้ที่ลี้ภัยที่มาพึ่งพาอาศัย ก็ต้องลดนิสัยโหดร้ายทารุณลงอย่างว่าง่าย
ส่วนชาวยุทธ์พเนจรที่ไม่พอใจราชสำนักต้าฟ่ง ต่างเรียกเมืองเฉียนหลงว่าเป็นเมืองสะอาด และเรียกเจ้าเมืองว่าเจ้าเมืองที่มีคุณธรรม
สำหรับชาวบ้านที่จับตัวมาจากเมืองต่างๆ ในอวิ๋นโจว เพื่อเพิ่มจำนวนประชากร เนื่องจากการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ค่อนข้างมั่งคั่ง จึงได้ตั้งรกรากอยู่ที่นี่ สำหรับชนชั้นล่างนั้น ขอเพียงกินอิ่มกายอุ่น ลงหลักปักฐานที่ไหนก็เหมือนกัน
นอกเมืองเฉียนหลง เป็นค่ายที่ใช้กักตุนทหาร พวกเขารับหน้าที่ออกจากค่ายไปปล้น เป็นยามรักษาการณ์ และฝึกทหารใหม่ที่นอกเมือง ทหารชุดเกราะกลุ่มหนึ่งนำกองกำลังทหารบ้านกว่าสามร้อยนาย ไปตัดต้นไม้ ขยายถนน เพื่อสร้างรากฐานให้มั่นคง และสร้างบ้านใหม่ เพื่อรองรับผู้ลี้ภัยที่เพิ่งรับเข้ามา
ผู้นำก็คือชายหนุ่มหน้าตาดี เปลือยท่อนบน ในมือถือขวาน ฟันต้นไม้อย่างหนักหน่วงกล้ามเนื้อปูดขึ้นตามการเคลื่อนไหวของเขา เต็มไปด้วยความงามแบบชายชาตรีที่แข็งแกร่ง
ชายชราที่สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋า ยืนอยู่ข้างๆ มองดูนายน้อยผู้มีการบำเพ็ญขั้นสูงเพียงนี้ แต่กลับพยายามตัดต้นไม้เช่นเดียวกับผู้ชายธรรมดาทั่วไป
นักพรตเฒ่าถอนทอดถอนใจด้วยความหนักใจแล้วพูดว่า “นายน้อย พื้นที่บริเวณนี้ฮวงจุ้ยดีมาก ให้ผู้ลี้ภัยอยู่ น่าเสียดายจริงๆ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เมื่อมาถึงเมืองเฉียนหลงแล้ว ก็เป็นคนกันเองทั้งนั้น”
ชายหนุ่มที่มีสุขภาพแข็งแรง ปาดเหงื่อแล้วตัดต้นไม้ต่อไป
นักพรตเฒ่าที่มีนามฉายาว่าเจียวเยี่ยยิ้มสบายอกสบายใจ เดิมทีเขาเป็นนักพรตพเนจร มีความรู้หลากหลาย ฝึกเพลงดาบของนิกายมนุษย์มาเล็กน้อย มีความรู้เรื่องบุญกุศลของนิกายปฐพีนิดหน่อย และมีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ทั้งห้าลัทธิเต๋าอย่างละเล็กอย่างละน้อย
หลายปีก่อน เนื่องจากไม่พอใจที่ขุนนางชั่วกดขี่ข่มเหงสุจริตชน เขาโกรธจนลงมือฆ่าคน จึงถูกทางการท้องถิ่นประกาศจับ สุดท้ายจึงร่อนเร่มาถึงอวิ๋นโจว ด้วยความบังเอิญ จึงได้เข้ามายังเมืองเฉียนหลง
หลังจากอยู่ที่นี่มาหลายปี ก็ได้รับความชื่นชมจากจีเสวียนลูกชายคนที่เจ็ดของเจ้าเมือง ซึ่งก็คือชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ และรับเขาเป็นเค่อชิง
เดิมทีนักพรตเฒ่ามีความกังวลเล็กน้อย เพราะรักอิสระจนเคยชินแล้ว และไม่มีความรู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี แล้วก็ไม่คิดจะรู้ด้วย จึงทำงานเป็นขุนนางรับใช้ใครไม่ได้
แต่ไม่คาดคิดว่านายน้อยคนนี้จะรักอิสระยิ่งกว่าเขา วันๆ เอาแต่เดินเล่นในเมือง ดื่มเหล้าและเล่นการพนันกับเหล่าผู้ลี้ภัย พูดคุยเกี่ยวกับสัตว์ที่ล่ามาได้และการเก็บเกี่ยวกับผู้คนในตลาด
เขายังเป็นคนทำงานเก่ง และลงมือทำงานด้วยตัวเอง ทำงานร่วมกับทหารชุดเกราะและชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน
ในเมืองเฉียนหลง ใครก็ตามที่พูดถึงนายน้อยจีเสวียน ก็มักจะมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรปรากฏบนใบหน้าเสมอ
นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยพูดด้วยความหวังดีว่า
“นายน้อย ตอนนี้จีเชียนตายแล้ว ท่านก็ควรจะแสดงความสามารถ เพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด เหตุใดจึงเฉื่อยชาเช่นนี้ เมื่อก่อนท่านซ่อนคมของตัวเอง หากเวลานี้ยังไม่ชิงชัย แล้วจะรอถึงเมื่อไร”
ชายหนุ่มยิ้มตาหยี
”ท่านนักบวชสิ่งเหล่านั้น ท่านพ่อให้ข้า จึงจะเป็นของข้า ไม่ให้ข้า ข้าก็ชิงมาไม่ได้”
นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “แต่ท่านก็ต้องแสดงความสามารถด้วย”
ชายหนุ่มหยุดตัดต้นไม้ ชูขวานในมือขึ้น ยิ้มอย่างสดใส “ข้าทำอยู่ตลอดเวลาแล้ว”
ในเวลานี้ ทหารรักษาพระองค์สวมชุดเกราะมาถึง พูดเสียงดังว่า “นายน้อยจีเสวียน ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ท่านไปที่ศาลาดูดาว”
ชายหนุ่มและนักพรตเฒ่าสบตายิ้มให้กัน
…
ศาลาดูดาวอยู่บนยอดเขา สามารถมองออกไปไกลแสนไกล
จีเสวียนเปลี่ยนชุดคลุมยาวสีน้ำเงินใหม่เอี่ยม เดินไปตามขั้นบันไดหินที่วางเรียงอยู่บนภูเขา ในที่สุดก็มาถึงสวนแห่งหนึ่ง
“นายน้อยเสวียน!”
ทหารยามที่อยู่นอกสวนกุมหมัดโค้งคำนับ
จีเสวียนยิ้มตาหยีทักทายทหารรักษาพระองค์ หยุดฝีเท้าครู่หนึ่ง พูดคุยสองสามประโยค แล้วจึงเข้าไปในสวนเล็กๆ
หลังจากผ่านลานบ้านและหอสูงแล้ว จีเสวียนก็หยุดอยู่ที่นอกสวนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่หน้าประตูมีทหารรักษาพระองค์สวมชุดดำสองคนยืนอยู่ นี่คือองครักษ์เงาของเจ้าเมืองเฉียนหลง บิดาของเขา องครักษ์เงามีไม่มาก แต่องครักษ์เงาทุกคนมีการบำเพ็ญถึงขั้นห้า
องครักษ์เงาทั้งสองประสานมือทั้งสองยกขึ้น ไม่ได้พูดคุย
ต่อหน้าพวกเขา จีเสวียนกลั้นยิ้มไว้ กุมหมัดอย่างสุภาพ แล้วเดินเข้าไปในสวนต่อ
เขามาถึงห้องหน้าหอสูงแห่งหนึ่งอย่างคุ้นเคย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า “ท่านพ่อ ราชครู”
ประตูหอสูงเปิดออกโดยอัตโนมัติ เสียงราบเรียบนุ่มนวลดังออกมาจากข้างใน “เข้ามา!”
จีเสวียนก้าวข้ามธรณีประตู และเข้าไปในห้องโถงชั้นหนึ่ง
แสงเทียนส่องสว่าง ผ้าม่านห้อยต่ำ พื้นห้องโถงปูด้วยพรมถักราคาแพง บนโต๊ะมีสัตว์สี่ขาสีทองกำลังพ่นธูปไม้จันทน์วางอยู่
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีม่วงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ สังเกตจีเสวียนอย่างละเอียดด้วยสายตาที่น่าเกรงขาม นี่คือลูกชายคนที่เจ็ดของเขา ลูกชายคนที่เจ็ดที่ไม่เอาถ่าน
“ท่านพ่อ!”
จีเสวียนจ้องมองบิดา ประสานมือทั้งสองข้างขึ้นโค้งคำนับ พร้อมกับเรียกบิดา
จากนั้น หลังจากเขามองไปที่คนสวมชุดขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่หลังผ้าม่านที่ห้อยลงมาแล้ว ก็ยิ้มตาหยีแล้วพูดว่า “ราชครู!”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงพูดช้าๆ ว่า “วิญญาณของชีพจรมังกรถูกทำลายไปแล้ว รากฐานของต้าฟ่งก็ถูกตัดไปอีกส่วนหนึ่ง คาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าที่ราบภาคกลางจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างแน่นอน”
จีเสวียนอมยิ้มแล้วพูดว่า
“ยินดีกับท่านพ่อด้วย ยินดีกับราชครูด้วย งานใหญ่กำลังจะสำเร็จแล้ว”
คนชุดขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ยังคงนิ่งเงียบ
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงส่ายหน้า กล่าวอย่างเสียดายว่า “แม้ว่าชีพจรมังกรจะถูกทำลายแล้ว แต่โชคชะตายังไม่ถูกนำออกมา”
นี่…จีเสวียนแสดงสีหน้าประหลาดใจ ใบหน้าที่อ่อนโยนและคุ้นเคยดูเคร่งขรึมเล็กน้อย “ราชครูลงมือเองก็ไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ”
คนชุดขาวที่อยู่หลังม่านส่งเสียง ‘เฮ้อ’
“ไม่เพียงไม่สำเร็จ แต่ยังเกือบตายในเมืองหลวงอีกด้วย ข้าไม่เคยประเมินท่านโหราจารย์ต่ำไป แต่กลับประเมินเขาต่ำไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จีเสวียนก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แม้แต่ราชครูก็เกือบเสียชีวิตในเมืองหลวง สามารถคาดเดาได้เลยว่า การต่อสู้ในเวลานั้นจะน่าสังเวชใจเพียงใด
เขาที่ราชครูกล่าวถึง ก็คือภาชนะในเมืองหลวงชิ้นนั้น สวี่ชีอันลูกพี่ลูกน้องของเขานั่นเอง
สวี่ชีอันทำอะไรอีกแล้ว ฟังตามที่ราชครูพูด ดูเหมือนว่าเขาจะต้องเจอกับเรื่องไม่ดีแล้ว
ลูกพี่ลูกน้องคนที่เกิดมาก็ถูกมองว่าเป็นภาชนะ เขาให้ความสนใจมาโดยตลอด ไม่สิ พูดให้ชัดๆ ก็คือคนในสายเลือดเดียวกันของพวกเขา ต่างก็แอบให้ความสนใจ
จีเชียนลูกชายคนโตที่ครอบครัวตั้งความหวังไว้สูง ก็เพราะให้ความสนใจเขามาโดยตลอด จนทำให้เกิดความริษยา อ้างว่าจะออกไปท่องเที่ยว แต่แท้จริงแล้วกลับไปท้าทายเขาจนเกิดเรื่อง ผลปรากฏว่าถูกสวี่ชีอันสังหารที่เจี้ยนโจว
‘ความสามารถที่สวรรค์ประทานมาให้สวี่ชีอันนั้น เป็นที่รู้กันดีของทุกคน แต่หากจะพูดว่าเขาสามารถทำลายแผนการของราชครู และทำให้ราชครูเกือบพลาดพลั้งนั้น ช่างเหลือเชื่อจริงๆ’
คนชุดขาวที่อยู่หลังม่านถอนหายใจแล้วพูดว่า “เขาบรรลุขั้นสามแล้ว และรู้จักตัวตนของข้ามานานแล้ว จึงมีการวางแผนอย่างลับๆ ไว้แล้ว เขาร่วมกับท่านโหราจารย์ สองคนนี้ที่ไม่มีใครในโลกสามารถสู้ได้”
‘ขั้นสาม…’ จีเสวียนผู้ที่มีความสามารถมากกว่าจีเชียนลูกชายคนโต หรี่ตาจนเป็นเส้นตรง ทำเสียง ‘จุ๊จุ๊ ’
“ลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของข้า นับว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในจิ่วโจว เก่งเหมือนพ่อจริงๆ”
ทหารขั้นสามในวัยยี่สิบต้นๆ มองไปทั่วจิ่วโจว ในบรรดาคนรุ่นเดียวกันนั้นมีน้อยมาก
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงพูดว่า “การบำเพ็ญของเขาถูกผนึกด้วยตะปูตอกวิญญาณ เส้นทางวิทยายุทธ์ของเขาถูกตัดขาดเสียแล้ว”
จีเสวียนพยักหน้า แล้วมองไปทางคนชุดขาวที่อยู่หลังม่าน
สวี่ผิงเฟิงพูดว่า “คนในสำนักพุทธที่เต็มใจที่จะปลดผนึกตะปูตอกวิญญาณให้เขา มีเพียงพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เท่านั้น แต่นั่นหมายความว่า เขาต้องเข้าสู่สำนักพุทธ ปั้นพระพุทธรูป และตัดกิเลสทั้งปวง”
“นอกสำนักพุทธ มีเพียงเสินซูเท่านั้นที่สามารถปลดผนึกตะปูตอกวิญญาณได้ เขาน่าจะตามหาร่างที่เสื่อมโทรมของเสินซู ทำเช่นนี้ย่อมต้องขัดแย้งกับสำนักพุทธอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
จีเสวียนแสดงความคิดเห็นอย่างใจเย็น “น่าเสียดาย”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงมองมาที่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เสวียนเอ๋อร์ ครั้งนี้เรียกเจ้ามาที่นี่ ก็เพื่อต้องการทดสอบเจ้า”
จีเสวียนโค้งคารวะ “ท่านพ่อโปรดชี้แนะ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงพูดช้าๆ ว่า “วิญญาณของชีพจรมังกรสลายตัวไปแล้ว และกระจัดกระจายไปทั่วที่ราบภาคกลาง ส่วนที่เหลือของปราณมังกรที่กระจัดกระจายไม่ต้องสนใจ แต่มีปราณมังกรเก้าสายที่มีความสำคัญมาก เจ้าท่องไปในยุทธภพ ค้นหาผู้ที่ปราณมังกรทั้งเก้าสายอาศัยอยู่ แล้วปราบพวกเขาให้ยอมสวามิภักดิ์
“ในเก้าคนนี้ ฆ่าสี่คนและเก็บไว้ห้าคน และนำทั้งห้าคนกลับมาที่เมืองเฉียนหลง เพื่อเสริมโชคชะตาให้กับข้า ทำการหลอมทั้งสี่คน ผนวกเข้ากับยาโลหิต เพื่อช่วยให้เจ้าเลื่อนสู่ขั้นสาม”
ในขณะที่พูด ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงหยิบกล่องไม้จันทน์แดงใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ดวงตาของจีเสวียนจับจ้องไปที่กล่องใบนั้น แล้วก็ยากที่จะละสายตา
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงเปิดกล่อง และบนผ้าไหมสีเหลือง มีเม็ดยาสีแดงเข้มขนาดเท่าไข่ไก่
“นี่เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเราคนหนึ่งที่ถูกจักรพรรดิอู่จงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทิ้งไว้ให้ตอนใกล้จะสิ้นลมหายใจ เมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว มันเป็นทางลัดในการเลื่อนขั้นจากขั้นสี่ไปยังขั้นสาม แต่ต้องเป็นคนที่มีโชคชะตายิ่งใหญ่จึงจะสามารถรองรับตีกลับของยาโลหิตได้
“ราชครูได้เคยลองคำนวณดูแล้ว ปราณมังกรสี่สาย เพียงพอสำหรับเจ้าในการกลั่นยาโลหิต เพื่อเลื่อนสู่ขั้นสาม”
ยาโลหิตนั้นล้ำค่าจริงๆ แต่ผู้ที่ทรงพลังขั้นสุดยอดที่มีการสะสมมากพอก็รับได้ไม่ยาก นอกจากตกทอดมาจากทหารขั้นสามแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ผ่านการหลอมก็สามารถรับยาโลหิตได้เช่นกัน
สิ่งที่ยากก็คือ หากขั้นสี่ต้องการใช้ทางลัดโดยการกลืนยาโลหิต ก็แทบจะต้องตายอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะอยู่ในขั้นสาม และไม่กลัวยาโลหิตตีกลับ ก็จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับเลือดลมในตัวได้ หรือไม่ก็มีโชคชะตารัดตัว จึงจะมีความหวังที่จะรอดจากการตีกลับได้
ตัวแทนของกรณีแรกคืออ๋องสยบแดน และตัวแทนของกรณีหลังก็คือสวี่ชีอัน
แน่นอนว่า สวี่ชีอันไม่เพียงมีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ร่างกายของเขายังผ่านการเปลี่ยนแปลงด้วยแก่นโลหิตของเสินซูมาบ้าง นับเป็นหลักประกันสองชั้น
จีเสวียนหายใจเข้าลึก ยื่นมือที่สั่นเทาเล็กน้อยทั้งสองข้างออกมา แล้วพูดเสียงดังว่า
“ลูกจะไม่ทำให้ท่านพ่อผิดหวังอย่างแน่นอน”
สิ่งที่มือทั้งสองข้างของเขารับมา ไม่ได้เป็นแค่ของขวัญชิ้นใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นของมรดกตกทอดอีกด้วย แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่เคยกำหนดผู้สืบทอดที่แน่ชัด แต่จีเชียนในฐานะลูกชายคนโตนั้น เป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่ทุกคนยอมรับโดยทั่วไป บรรดาพี่น้องต่างพากันเคลื่อนไหว แอบตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาอย่างลับๆ
การทดสอบของท่านพ่อในครั้งนี้ กล่องผ้าใบนี้ หมายถึงอะไร ไม่ต้องบอกก็รู้
หลังจากที่จีเสวียนรับกล่องผ้าไปแล้ว ก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จึงพึมพำว่า “วิญญาณของชีพจรมังกรเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้ว่าลูกจะมีความมั่นใจ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัย เหตุใดราชครูจึงไม่ลงมือเอง”
คนชุดขาวที่อยู่หลังม่านพูดเบาๆ ว่า “ข้าโดนโชคชะตาตีกลับ ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำต้องจำศีลเพื่อพักฟื้น”
โชคชะตาตีกลับ ไหนว่าไม่ได้ดูดโชคชะตาออกจากร่างของสวี่ชีอันมิใช่หรือ…จีเสวียนไม่ได้ถามอะไรอีก แต่พูดว่า
“จีเสวียนเข้าใจแล้ว”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงกล่าวว่า “ข้าจะส่งยอดฝีมือจากสำนักเค่อชิงจำนวนหนึ่งติดตามเจ้าไปตามหาวิญญาณของชีพจรมังกรพร้อมกับเจ้า และจะออกเดินทางในอีกสามวัน”
“ขอรับ!”
จีเสวียนกล่าว
ชายในชุดคลุมยาวสีม่วงโบกมือ รอจนจีเสวียนออกไปแล้ว เขาก็มองไปที่โหรชุดขาว แล้วพูดว่า “เมื่อเทียบกับลูกคนอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือพรสวรรค์ เขาเหนือกว่าทุกคน สิ่งที่หายากยิ่งกว่าคือ เขารู้จักการซ่อนคมของตัวเองมากกว่า ไม่ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ทำได้ถึงขั้นนี้ อนาคตก็มีความหวังแล้ว”
โหรชุดขาวกล่าวว่า “เขายังเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงบารมีมากที่สุดในบรรดาลูกชายของท่านด้วย”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีม่วงหรี่ตา ‘เจ้าเลือกเขาไว้นานแล้วหรือ’
หลังจากชะงักไปนิดหนึ่ง เขาก็พูดว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่า โหรไม่สามารถดูดวิญญาณของชีพจรมังกรได้”
โหรชุดขาวหลับตาลงปรับลมหายใจ
…
จีเสวียนออกจากหอสูง พร้อมกล่องไม้จันทน์แดงในอกเสื้อ ส่ายหน้าแล้วพูดด้วยความไม่สบายใจว่า “ของสิ่งนี้ช่างเหมือนหนามตำมือจริงๆ”
หลังจากเดินไปได้สักครู่ ก็พบกับสาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วง ผมสลวยผูกด้วยแถบผ้าไหมสีม่วง ดูเรียบง่ายและงดงามแปลกตา
“พี่เจ็ด!”
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีม่วงยิ้มสำรวม แล้วพูดว่า “ท่านแม่เชิญท่านไปพบ มีเรื่องจะถามท่านนิดหน่อย”
“ท่านอาต้องการพบข้าหรือ”
จีเสวียนพึมพำครู่หนึ่งก็ยิ้มตาหยี “ได้ รบกวนเจ้าช่วยนำทางด้วย”
………………………………………….