ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 499 กระหายพีซวง รสชาติที่แท้จริง!
บทที่ 499 กระหายพีซวง รสชาติที่แท้จริง!
คนสองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังอ้อมผ่านลานเรือนใหญ่ไปยังส่วนลึกของสวนเล็ก
ระหว่างทาง สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงสวี่หยวนซวงก็เอ่ยเสียงแผ่ว
“มารดาข้าอยากถามเรื่องของเขา!”
จีเสวียนยิ้ม “อย่างที่คิดไว้ หลายปีมานี้คนในตระกูลต่างพูดจาว่าร้ายท่านอามาตลอด สารพัดสิ่งไม่น่าฟังทั้งนั้น แต่ข้ารู้สึกว่าการกระทำของท่านอาในปีนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คนเป็นแม่จะไม่รักลูกได้อย่างไร”
สวี่หยวนซวงเหลือบมองเขา “พี่เจ็ดจะสื่อว่าบิดาของข้าไม่ต่างอะไรกับสัตว์ร้ายหรือ”
จีเสวียนยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “ราชครูเพียงแค่หยิบยกขึ้นมาพูดเท่านั้น น้องหยวนซวงคิดว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไรหรือ”
สวี่หยวนซวงถอนหายใจ “ท่านพ่อกับท่านลุงต้องการให้เขาตาย ข้าเปลี่ยนเรื่องนี้ไม่ได้ แต่สำหรับข้านะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายของท่านแม่ สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงพยายามไม่ไปสนใจเขา ทำเป็นเหมือนว่าไม่มีเขาอยู่เท่านั้น”
จีเสวียนหรี่ตาลง “แต่ข้าได้ยินหยวนไหวบอกว่าเจ้ามักจะไปสอบถามข่าวคราวของเขานี่นา”
“…”
ใบหน้าอ่อนหวานงดงามของสวี่หยวนซวงแดงเถือก
ทั้งคู่จบบทสนทนาแล้วเดินต่อไปอีกพักหนึ่งเงียบๆ
‘ฮู่ว ฮู่ว ฮู่ว!’
เสียงพัดหวีดหวิวเหมือนกับเสียงลมดังขึ้นมา เมื่อเข้ามาในลานกว้างก็พบว่าที่แท้คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังฝึกวิชาหอกอยู่นั่นเอง ในมือของเขามีหอกยาวเก้าฉื่อ (ประมาณ 33 เซนติเมตร) ทำให้ท่าทางดูดุดันแข็งกร้าว
หอกยาวด้ามนั้น ตัวด้ามมีสีดำสนิท หัวหอกเป็นรูปหัวมังกรสีทองที่อ้าปากกว้างและพ่นปลายหอกแหลมออกมาจากปาก
สีหน้าของเขาเยือกเย็นเคร่งขรึม เขาตวัดหอกพลางส่งเสียงร้องยามออกแรงจนเกิดสายลมแผ่วๆ พัดขึ้นในลานกว้างจนฝุ่นฟุ้งกระจาย
“หยวนไหว”
จีเสวียนหัวเราะแล้วเอ่ยทักทาย
เด็กหนุ่มผู้ฝึกหอกอยู่หยุดเคลื่อนไหว เขาหันหน้ามามอง บนใบหน้าเย็นชาเผยรอยยิ้มราบเรียบออกมา “พี่สาว พี่เจ็ด”
“วิชาหอกของหยวนไหวก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นแล้ว ตระหนักถึงจิตหอกได้แล้วหรือ” จีเสวียนเอ่ยยิ้มๆ
“ใกล้แล้ว”
สวี่หยวนไหวพยักหน้าให้แล้วเอ่ย “ภายในครึ่งปีจะต้องเข้าสู่ขั้นสี่ให้ได้”
สีหน้าของเขาเยือกเย็น น้ำเสียงราบเรียบราวกับการเลื่อนสู่ขั้นสี่คือเรื่องง่ายๆ ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
จีเสวียนทอดถอนใจ “พรสวรรค์ของหยวนไหวช่างน่ากลัวนัก”
สวี่หยวนไหว อายุสิบเจ็ดปี มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง อายุสิบห้าอยู่ขั้นหลอมจิต อายุสิบหกอยู่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดง อายุสิบเจ็ดก็แตะธรณีประตู ‘จิต’ ของขั้นสี่แล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับทรัพยากรอันมากมายที่มีด้วย สถานะพี่น้องบ้านสกุลสวี่ในเมืองเฉียนหลงไม่ด้อยไปกว่าพี่น้องคนอื่นๆ และจีเสวียนเลย
ตั้งแต่เด็กๆ ก็จะมีอาจารย์มีชื่อมาคอยชี้แนะ โอสถอะไรไม่เคยขาด ทั้งยังมียอดฝีมือมาคอยทดสอบกระบวนท่าให้ด้วย เป็นต้น
สำหรับอัจฉริยะวัยเยาว์ผู้โดดเด่นเช่นนี้ ขั้นหลอมจิตจะสามารถฝึกได้เมื่อร่างกายเติบโตแล้ว แต่สำหรับขั้นหลอมวิญญาณ จะสามารถฝึกล่วงหน้าก่อนก้าวหนึ่งได้เลย
ตระหนักรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย หล่อหลอมจิตเดิม และรอจนกว่าจะก้าวข้ามขั้นหลอมจิตและหลอมปราณ จากนั้นการก้าวสู่ขั้นหลอมปราณก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อมียาโอสถระดับสูงมาช่วยหล่อหลอมร่างกายและวิญญาณ ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
แต่การเลื่อนจากขั้นหกไปขั้นห้าสลายแรง สวี่หยวนไหวก็ยังใช้เวลาเลื่อนขั้นเพียงปีเดียวเท่านั้น เห็นได้ชัดถึงความแข็งแกร่งของพรสวรรค์ของเขา
แม้ว่าสวี่หยวนไหวจะอยู่ในขั้นห้าสลายแรง แต่หอกเปลวมังกรในมือนั้นเป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่ง ตัวหอกหลอมขึ้นมาจากกระดูกสันหลังของมังกรน้ำขั้นสี่ ส่วนปลายหอกหลอมขึ้นมาจากเขี้ยวมังกรน้ำที่แหลมคมและแข็งที่สุด
นอกจากนั้น ในหอกยังผนึกจิตเดิมของมังกรน้ำขั้นสี่เอาไว้ด้วย
เมื่อมีหอกเล่มนี้และอาวุธเวทมนตร์อื่นๆ อยู่กับตัว ขั้นสี่ทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาทั้งนั้น
เมื่อเทียบกับบุตรคนโตที่ถูกมองว่าเป็นภาชนะคนนั้น สวี่ผิงเฟิงปฏิบัติต่อบุตรคนที่สองได้ไม่เลวเลย
“พี่เจ็ดมีอะไรหรือ”
สวี่หยวนไหวเอ่ยถาม
จีเสวียนตอบ “ท่านอาอยากพบข้า”
สวี่หยวนไหวเหลือบมองพี่สาว เขาตั้งหอกในมือแล้วยืนตรง ก่อนพยักหน้ากล่าวว่า
“ท่านแม่อยู่ในโถงด้านใน ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง”
จีเสวียนส่ายหน้ายิ้ม ญาติผู้น้องคนนี้ราวกับจะสนใจพี่ชายที่เขาไม่เคยพบหน้าผู้นั้นทีเดียว
สามพี่น้องเดินผ่านสวนใหญ่เข้าไปในโถงด้านใน บนโต๊ะสูงมีสตรีออกเรือนแล้วในชุดงดงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางมีใบหน้ารูปไข่ห่านที่สง่างาม ผิวสีหิมะริมฝีปากสีผลอิงเถา องคาพยพล้วนประณีตงดงามเป็นที่สุด
นางไม่ได้อยู่ในช่วงวัยเยาว์ แต่อายุกลับไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนใบหน้าอันงดงามพริ้มเพราของนางเลย แต่กลับทำให้บุคลิกของนางสุขุมขึ้นและมีกลิ่นอายโตเต็มวัยแบบที่สาวน้อยทั่วไปไม่มี
หว่างคิ้วของนางมีร่องรอยของความเศร้าโศกจางๆ ราวกับดอกติงเซียงที่ผูกมักความโศกาเอาไว้
“ท่านอา!”
จีเสวียนคำนับทักทายพร้อมรอยยิ้มหยี
“ท่านแม่!”
สองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงร้องเรียกพร้อมกัน
ฮูหยินผู้งดงามยกถ้วยชาขึ้น นิ้วเรียวดุจหยกบีบอยู่บนฝาถ้วนชาแล้วเคาะเบาๆ ที่ขอบถ้วยจนเกิดเป็นเสียงอันนุ่มนวลทรงพลัง
“เขากลับมาแล้วหรือ”
ตอนที่เอ่ยถาม แววตาของนางก็จดจ้องเขม็งไปที่จีเสวียน นิ้วมือที่ถือฝาถ้วยชาก็เพิ่มเล็งเข้าไปเล็กน้อย
“ราชครูกลับมาแล้วขอรับ เมื่อครู่ไปเรียกตัวข้ากับท่านพ่อไปพบแล้ว”
จีเสวียนหัวเราะตาหยี ท่าทางเป็นมิตรน่าเข้าใกล้
ฮูหยินคนงามกลั้นหายใจไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “เรื่องนั้นสำเร็จแล้วหรือ”
สองพี่น้องสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงมองตามไปทันทีด้วยท่าทางรอคอยคำตอบเงียบๆ
จีเสวียนนิ่งคิดแล้วเอ่ยตอบว่า “ท่านอาต้องการถามว่าโชคชะตาในร่างของสวี่ชีอันถูกสกัดออกมาแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
ทันใดนั้นเสียงหายใจของฮูหยินคนงามก็หนักหน่วงขึ้นมา
จีเสวียนส่ายหน้าและถอนหายใจ “ท่านราชครูล้มเหลวขอรับ”
‘เฮ้อ…’ ทรวงอกของฮูหยินคนงามขยับลงมาราวกับได้ปลดภาระหนัก
สวี่หยวนซวง สาวน้อยในชุดกระโปรงสีม่วงมีสีหน้าซับซ้อน
สวี่หยวนไหวยังคงมีสีหน้าเย็นชาเช่นเดิมไม่มีเปลี่ยน
ฮูหยินคนงามยากจะปกปิดรอยยิ้ม การตัดสินใจของนางในปีนั้นถูกต้องแล้ว ในจิ่วโจวแห่งนี้ หากมีใครที่จะสามารถปกป้องบุตรชายคนโตได้ ก็มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นความรุ่งเรืองของตระกูลก็ดี ความทะเยอทะยานของสามีก็ช่าง แต่ในสายตาของนาง พวกนั้นล้วนเทียบกับบุตรชายที่ตั้งครรภ์ในเดือนกันยายนของตนไม่ได้เลย
แม้ว่านางจะถูกจองจำอยู่ที่นี่เพราะเรื่องนั้น และแม้ว่าหลังจากให้กำเนิดหนึ่งบุตรหนึ่งธิดาแล้ว แต่ก็ยังถูกทิ้งให้หนาวเหน็บมาสิบกว่าปี
คนในตระกูลล้วนกล่าวว่าเด็กคนนั้นเป็นคนธรรมดาไร้ความสามารถ เมื่อเทียบกับน้องชายและน้องสาว เขาเป็นแค่กองโคลนที่ไม่อาจค้ำยันกำแพงได้ ขยะเช่นนี้กลับนำมาใช้เป็นภาชนะบรรจุโชคชะตา ถือว่าเสียเปล่าแล้ว
เพียงเพราะความใจดีของสตรีอย่างนาง จึงทำให้การใหญ่ล่าช้าออกไป
นางแค่นเสียงหยัน ทำไมจะต้องเสียสละลูกของนางเพื่อความรุ่งโรจน์ของตระกูลด้วย
ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนในตระกูลมักจะใช้คำว่าขยะมาเย้ยหยันและเสียดแทงนาง ในปีของการตรวจสอบข้าราชสำนัก คำพูดนี้ก็เริ่มน้อยลงจนกระทั่งในปีนี้ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเด็กคนนั้นเป็นขยะอีกแล้ว
หากลูกของนางเป็นขยะ แล้วบนโลกนี้ยังจะมีคนเก่งกาจอยู่อีกหรือ?
จีเสวียนเอ่ยขึ้นอีกว่า “ไม่เพียงล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย บางทีอาจจะต้องปิดด่านกักตนเพื่อฟื้นฟูสักช่วงหนึ่งด้วยขอรับ”
“ท่านโหราจารย์แข็งแกร่งจริงๆ ท่านพ่ออยากจะวางแผนใส่เขา แต่ก็เป็นเรื่องลำบากเกินไปจริงๆ”
สวี่หยวนซวงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะและส่ายหน้าเบาๆ
สวี่หยวนไหวเอ่ยวิจารณ์เสียงเรียบ
“โหรขั้นหนึ่งย่อมต่อกรได้ไม่ง่าย ท่านพ่อคิดจะใช้แผนร้ายก็พ่ายแพ้แสงสว่าง การล้อมตีเมืองและยึดครองดินแดนต้าฟ่งอย่างเที่ยงธรรม เช่นนี้ต่างหากจึงจะสามารถทำสำเร็จได้”
จีเสวียนเอ่ยไตร่ตรอง
“จากคำพูดของท่านราชครู เหมือนกับว่าท่านโหราจารย์จะไม่ได้ทำร้ายเขา แต่เป็นการสะท้อนกลับของโชคชะตานะ”
“การสะท้อนกลับของโชคชะตา? ตอนนี้สวี่ชีอันเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าพูดมาให้ชัด…”
หญิงงามขมวดคิ้วและเอ่ยถามซ้ำๆ
เมื่อเห็นท่านอาและญาติผู้น้องทั้งสองมองมา จีเสวียนจึงยืดอกและกล่าวต่อ
“ถึงอย่างไรท่านพ่อและท่านราชครูก็ไม่ได้บอกว่าเป็นความลับ…อืม ครั้งนี้ที่ท่านราชครูล้มเหลว มันเหมือนกับว่าเป็นเพราะสวี่ชีอันคาดเดาถึงตัวตนของเขาได้ก่อนแล้ว รวมถึงความจริงเบื้องหลังที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตา ดังนั้นจึงวางแผนการเอาไว้ล่วงหน้า ส่วนการสะท้อนกลับของโชคชะตานั้น ท่านราชครูไม่ได้เอ่ยอย่างละเอียด แต่เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสวี่ชีอัน”
‘เดาได้ถึงตัวตนของเขาตั้งนานแล้ว…’ หญิงงามทั้งเจ็บปวดและดีใจ ดีใจที่ความสามารถของบุตรคนโตแข็งแกร่ง แม้ว่าจะเป็นโหรขั้นสองก็ไม่อาจควบคุมชีวิตและความตายได้ง่ายๆ เรื่องนี้ทำให้นางภูมิใจมาก
แต่เจ็บปวดก็เพราะความจริงเช่นนี้จะทำร้ายเขาขนาดไหนกัน
สวี่หยวนซวงค่อยๆ เบิกตาโต ในแววตาของสาวน้อยผู้งดงามมีความตกตะลึงที่ปิดไม่มิด นางเดินอยู่บนเส้นทางสายโหรและรู้ดีถึงความแข็งแกร่งและความน่าสะพรึงของท่านพ่อดี
พี่ใหญ่ที่อยู่ไกลถึงเมืองหลวงผู้นั้นกลับทำให้แผนการยี่สิบปีของท่านพ่อวกกลับมาทำร้ายเขาจนสาหัส นี่เป็นเรื่องน่าตะลึงขนาดไหนกัน
สวี่หยวนไหวยังคงหน้าไม่เปลี่ยนสี
หญิงงามสูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยถามอีก “เขาได้พูดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของสวี่ชีอันบ้างหรือไม่”
จีเสวียนพยักหน้า “ขอรับ สวี่ชีอันถูกผนึกด้วยตะปูตอกวิญญาณของสำนักพุทธ การฝึกตนยังไร้ประโยชน์ หากคิดจะปลดผนึกก็เป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก กว่าครึ่งล้วนไร้ความหวังแล้วขอรับ”
หญิงงามตอบรับเสียง ‘อ่า’ ขอบตาแดงก่ำ ทั้งกังวลและปวดใจ
สวี่หยวนไหวขมวดคิ้ว
‘ไร้ประโยชน์แล้ว…’ สวี่หยวนซวงผู้เป็นพี่สาวกลับเผยสีหน้าเสียดายออกมา นางมองไปยังจีเสวียนแล้วเอ่ย
“พี่เจ็ด ท่านพ่อและท่านลุงเรียกหาท่าน คงไม่ใช่เพื่อบอกเรื่องพวกนี้เท่านั้นหรอกนะ”
จีเสวียนมองญาติผู้น้องด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “อีกสักสองสามปี ข้าจะต้องออกเดินทางไปข้างหน้าเพื่อช่วยงานท่านพ่อและท่านลุง”
“เรื่องอะไรหรือ” สวี่หยวนซวงถาม
“รวบรวมวิญญาณของเส้นเลือดมังกรที่แตกสลาย และเสริมพลังโชคชะตาของพวกเราเพื่อใช้ในแผนการแทนที่ราชวงศ์ต้าฟ่ง”
สวี่หยวนไหวดวงตาสว่างไสว “พี่เจ็ด ข้าจะไปกับท่านด้วย”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้ว
รอยยิ้มที่มุมปากของจีเสวียนขยายขึ้น “ได้สิ แต่เจ้าต้องไปขอบิดากับท่านราชครูเสียก่อน”
…
เมืองยงโจว
ชายหนุ่มผู้สวมชุดครามจูงม้าเดินไปตามถนนหลวง
บนหลังม้ามีสตรีใบหน้าธรรมดาผู้หนึ่งนั่งอยู่ เมื่อม้าเดินกระแทกกระทั้นไป นางก็ต้องเหยียบโกลนดันตัวขึ้นเป็นครั้งคราวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่บั้นท้าย
ในยุคนี้ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว การเดินทางไกลเป็นเรื่องที่เหนื่อยล้ามากจริงๆ ผู้ที่ร่างกายอ่อนแออาจถึงขั้นเจ็บป่วยถึงตายระหว่างทางเลยก็ได้
ดีที่ตลอดทางมา พวกเขาทั้งขึ้นเรือและขี่ม้า และยังเชื่องช้าไม่รีบร้อน บางครั้งก็พักอยู่ในโรงเตี๊ยมสักวันสองวันเพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
ชายหญิงหน้าตาธรรมดาคู่นี้ เมื่อเข้าไปอยู่ในหมู่ฝูงชนก็ไม่สะดุดตา ทั้งยังไม่มีแรงดึงดูดเท่าแม่ม้าน้อยสุดองอาจที่หญิงสาวนั่งได้เลย
อย่างน้อยม้าตัวนี้ก็สูงใหญ่แข็งแรง เส้นโค้งสวยสดงดงาม โดดเด่นออกมาตั้งแต่แรกเห็น
“ข้าเคยมาที่ยงโจวครั้งหนึ่งเพื่อช่วยเพื่อนคนหนึ่ง ข้าจะบอกความลับให้เจ้าฟัง ในภูเขาหลายสิบลี้ที่ทางใต้นอกเมืองมีพระราชวังใต้ดินโบราณอยู่ ข้างในมีศพโบราณหลายพันปีนอนหลับอยู่ด้วยนะ ชั่วร้ายมากทีเดียว”
มู่หนานจือเผยสีหน้าหวาดกลัว “เจ้าหลอกข้า”
สวี่ชีอันยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ย “ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม ตอนค่ำเวลาจะเข้านอนก็อย่าลืมปิดประตูหน้าต่างให้ดีเล่า หากมีคนมาเคาะประตูก็อย่าเปิดเด็ดขาด”
มู่หนานจือมองเขาอย่างสงสัย “คนที่จะมาเคาะประตูของข้าได้ก็มีแต่เจ้า”
“เหลวไหล”
สวี่ชีอันทำท่าทางจริงจัง “เราเดินทางด้วยกันมาตั้งหลายวันขนาดนี้ ข้าเคยไปเคาะประตูห้องเจ้าหรือ”
“นี่ก็จริง!”
มู่หนานจือยกบั้นท้ายของตนอีกครั้งแล้วเอนไปบนหลังของแม่ม้าน้อยเสียครึ่งตัวเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดที่ก้นกบ
ทั้งคู่เดินเข้าเมือง มีคนเดินเท้ามากมายอยู่บนถนน ม่านประดับที่ซุ้มประตูพลิ้วไหวไปตามลม จนเกิดเป็นภาพอันคึกคักมีชีวิตชีวา
สวี่ชีอันถามชาวเมืองที่อยู่ข้างทางเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมืองยงโจว หลังจากรู้ที่อยู่แล้ว เขาก็จูงม้าแล้วเดินไปตามทางที่คนใจดีชี้บอก
มุมปากของมู่หนานจือเผยรอยยิ้มออกมา
เจ้าบุรุษหน้าเหม็นผู้นี้ยังนับว่าเชื่อถือได้ เขาพานางไปพักในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดและกินอาหารเลิศรสที่ดีที่สุดจริงๆ ตอนนี้พวกเขามาถึงเมืองยงโจวแล้ว นางจึงคิดจะไปเดินเล่นที่ร้านเครื่องสำอางสักหน่อย
เมื่อเดินผ่านร้านยา สวี่ชีอันก็ผูกแม่ม้าน้อยไว้ที่เสาผูกม้านอกร้านแล้วหันมาพูดพร้อมรอยยิ้ม “รอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปซื้อของสักหน่อย”
มู่หนานจือขี้เกียจลงจากม้า นางตอบรับเสียง ‘อืม’
เมื่อเข้ามาในร้านและเดินไปยังหน้าแท่นจ่ายเงิน สวี่ชีอันก็เอ่ยถาม “ผู้จัดการ ขอพีซวงสองจิน (1 กิโลกรัม)”
“สะ สองจิน?”
ผู้จัดการร้านที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินมองพิจารณาลูกค้าที่เพิ่งมาถึงก็เข้าประเด็นผู้นี้
สวี่ชีอันวางเงินสองก้อนไว้บนโต๊ะ
ผู้จัดการร้านรู้สึกทันทีว่าบุคลิกและรูปลักษณ์ของลูกค้าผู้นี้เบ่งบานราวดอกไม้ จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านลูกค้ารอสักครู่”
เขารีบสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์นำพีซวงสองจินมาทันที
เสี่ยวเอ้อรีบนำพีซวงและที่ชั่งน้ำหนักมาทันที เขาชั่งปริมาณต่อหน้าสวี่ชีอันแล้วห่อให้อย่างเรียบร้อย
“ท่านลูกค้า นี่ของท่าน”
สวี่ชีอันรับมาแล้วเปิดห่อกระดาษออกอีกครั้ง จากนั้นปลดถุงน้ำออกมาแล้วเทพีซวงส่วนหนึ่งใส่ลงไปในถุงน้ำ ก่อนเขย่าเบาๆ แล้วดื่มลงไปต่อหน้าผู้จัดการร้านและเสี่ยวเอ้อร์
“สมกับเป็นร้านยาของยงโจว”
สวี่ชีอันชูนิ้วโป้งให้ “รสชาติถูกต้องเลย!”
ผู้จัดการร้านนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับพื้นและมองเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
กรามของเสี่ยวเอ้อร์ก็แทบจะร่วงลงบนพื้น
“ขอโทษที่รบกวน ข้าขอตัวล่ะ!”
สวี่ชีอันนำพีซวงที่เหลือจากไปอย่างพึงพอใจ
………………………………………………