ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 500 กินปู
บทที่ 500 กินปู
“ขะ…ของเถ้าแก่…”
เสี่ยวเอ้อร์มองด้านหลังลูกค้าผู้สวมชุดสีครามอมดำด้วยใบหน้าซีดเซียว
ต่อให้เจอผีสาง ก็ยังไม่แสดงความกลัวออกมามากขนาดนี้ด้วยซ้ำ เพราะถึงไม่เคยเห็นผีมาก่อน แต่ในวันนี้เขาได้เห็นคนสติฟั่นเฟือนกระดกพีซวงหมดไปเกินกว่าครึ่งชั่ง
“ระ…รีบไปตามหมอจากสำนักฝังเข็มทองเร็ว…”
หลังสิ้นเสียงร้องตะโกนของเถ้าแก่ เขาพลันเอ่ยอย่างตกตะลึงขึ้นมาทันที “ไม่สิ รีบทำให้เขาอาเจียนออกมาเร็ว!”
มีคนจำนวนสองคนวิ่งออกจากร้านไป เมื่อมองซ้ายแลขวา ก็พบว่าลูกค้าผู้สวมชุดสีครามอมดำได้หายตัวไปในฝูงชนที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา
…
หอปู้จุ้ย คือหนึ่งในภัตตาคารชั้นเลิศแห่งเมืองยงโจว
เวลากินดื่มที่ห้องโถงอาหาร ค่าอาหารจะเฉลี่ยอยู่ที่ครึ่งตำลึงเงินต่อหัว ถ้าเป็นห้องรับรองส่วนตัว จะอยู่ที่สองตำลึงเงินต่อหัว แต่หากเป็นภัตตาคารที่มีห้องพักหรู พักค้างแรมหนึ่งคืนในห้องเซียงฝาง[1]อย่างดี จะมีราคาสามตำลึงเงินต่อหัว
มู่หนานจือและสวี่ชีอันเดินทางอย่างเชื่องช้าเป็นเวลานาน เพราะระหว่างทางคอยไถ่ถามเส้นทางกับผู้คนอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็มาถึงยังด้านหน้าภัตตาคาร
เสี่ยวเอ้อร์ที่บริการต้อนรับลูกค้าอยู่บริเวณทางเข้า เมื่อเห็นทั้งสองกำลังตรงมายังภัตตาคาร ก็ก้าวไปข้างหน้า พยักหน้าพร้อมโค้งตัวเอ่ยว่า “นายท่านทั้งสองมาเพื่อกินมื้ออาหารหรือค้างแรมหรือขอรับ”
“ค้างแรม!”
สวี่ชีอันนำบังเหียนม้าให้เสี่ยวเอ้อร์ ถอดถุงบรรจุน้ำ แล้วเทน้ำปนเปื้อนจากการผสมพีซวงออก จากนั้นนำมาถูบนอานม้าอย่างเบาๆ
ระหว่างนั้นเอง มือของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแกมดำ หลังจากถูเสร็จ เมื่อยกมือขึ้น เนื้อหนังมังสาที่มือก็ฟื้นฟูกลับเป็นปกติแล้ว
ฤทธิ์ของตู๋กู่ เมื่อผสานกับวัตถุดิบและสภาพแวดล้อมแล้วนั้น ก็จะเป็นการสร้างพิษร้ายขั้นพิเศษขึ้นมา
สวี่ชีอันใช้พีซวง เพื่อสร้างพิษชนิดที่ออกฤทธิ์ช้ามาทาบนอานม้า หากมีคนกล้าขี่เจ้าม้าเพศเมียตัวนี้ พิษร้ายที่จับตัวอยู่บนอานม้าก็จะค่อยๆ ระเหยออกตามอุณหภูมิร่างกาย ทะลุผ่านกางเกงสู่ผิวหนัง และจากผิวหนังซึมเข้ากระแสเลือด
อย่างมากสิบห้านาทีก็ตายแล้ว พระเจ้าก็ช่วยไว้ไม่ได้
เสี่ยวเอ้อร์ผู้มีความรู้เพียงน้อยนิด จึงดูความคิดอันซับซ้อนไม่ออก ซ้ำยังต้องมางงงวยอีก เมื่อเจอลูกค้าชุดครามอมดำโยนเศษเงินชิ้นเล็กๆ หนึ่งเม็ดพร้อมเอ่ยว่า “ม้าตัวนี้ของข้า ต้องให้อาหารบำรุงเป็นพิเศษ ทั้งถั่ว ข้าวสาลี ข้าวโพด เกลือ ไข่ไก่ และนมผึ้ง สิ่งเหล่านี้ไม่อาจขาดแม้แต่อย่างเดียว อีกสักพักข้าจะมาตรวจสอบ หากเจ้ากล้ามักง่าย ข้าจะเลาะผิวหนังเจ้าซะ”
ร่างของผู้สกุลสวี่หวังกินเปล่ายามเที่ยวสำราญ เผยจิตสังหารและรัศมีอำมหิตอย่างล้นหลาม สร้างความกดดันมหาศาลเมื่อจ้องมอง
เสี่ยวเอ้อร์กำเศษเงินแน่นด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว แล้วเอ่ยว่า “นายท่านโปรดวางใจ…วางใจได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะดูแลม้าอันเป็นที่รักของท่านอย่างดีแน่นอนขอรับ”
จากนั้นเขาก็จูงม้าไปยังหลังลานด้านหลังทันที
“เมื่อท่องยุทธภพ ย่อมมีกลิ่นอายอย่างนักท่องยุทธภพ ด้วยเปลือกนอกที่แสร้งทำเป็นอ่อนโยน มีเมตตา ให้เกียรติ มัธยัสถ์ และถ่อมตน อาจจะทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่าเจ้าเป็นแกะอ้วนพี[2] ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากจะควบคุมเจ้าทั้งสิ้น”
สวี่ชีอันยิ้มพลางอธิบายให้คนงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง
ยุทธภพกับวัดอารามเป็นคนละโลกอย่างสิ้นเชิง อยู่ในเมืองหลวงนั้น ต้องทำตัวค้อมต่ำ ทำงานทะยานสูง ทั้งเน้นจุดสำคัญเรื่องความรู้สึกของคนและลำดับขั้นอาวุโส
ไม่เหมือนกับยุทธภพ มีทั้งเลวและดีปะปนกันไป จิตวิญญาณของเหล่าอนุชน บางครั้งก็ไม่พ้นการประดาบสัประยุทธ์อย่างดุเดือด ต้องเปิดเผยด้านโหดร้าย แต่เช่นนี้ก็สามารถลดปัญหาที่ยุ่งยากเกินจำเป็นได้เยอะทีเดียว
เมื่อเข้ามายังห้องโถงภัตตาคาร สวี่ชีอันก็พามู่หนานจือเดินไปที่โต๊ะรับรองแขก ระหว่างทางนั้น ก็บังเอิญได้ยินลูกค้าคนอื่นที่อยู่ไม่ไกลพูดว่า “ได้ยินมาว่ามีคนพบเจอสุสานขนาดใหญ่ ภายในภูเขาอันแห้งแล้งทางตอนใต้ที่ห่างไกลจากนอกเมืองสามสิบลี้ และคนมากกว่าสิบคนที่เข้าไปสำรวจ ยังไม่ออกมาเลย”
“ได้ยินมาว่าคนจากตระกูลกงซุนก็ส่งคนไปที่สุสานนั่นเหมือนกัน จนข้างในเสียหายหมด ตอนนี้ข้างนอกนั่นเลยมีข่าวลือว่า ในนั้นมีทรัพย์สมบัติหายากอยู่ ไม่เช่นนั้น จะดูอันตรายขนาดนี้เชียวหรือ”
“เป็นทางตระกูลกงซุนที่ตั้งใจแพร่ข่าวลือนี้กระมัง คงอยากให้เหล่าจอมยุทธพเนจรกลายเป็นผู้ติดตามคอยรับใช้น่ะสิ”
“อาจจะใช่ ยิ่งสุสานอันตราย ทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมาก หากในสุสานแค่มีสิ่งของไร้ค่าเพียงไม่กี่อย่าง ใครจะไปใส่ใจติดตั้งกลไกเล่า?”
“มีเหตุผลนะเนี่ย”
“ตระกูลกงซุนที่อยู่ใกล้เมืองยงโจวกำลังรับสมัครผู้กล้า ซึ่งขอนักรบผู้มีความเชี่ยวชาญกลไกฮวงจุ้ยเป็นเลิศ ช่างน่าเสียดายข้ามันแค่ทหาร ความสามารถมีอยู่จำกัด มิเช่นนั้นก็คงเข้าร่วมด้วยแล้ว”
มู่หนานจือได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเล็กน้อย
สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น
วังใต้ดินที่อยู่นอกเมืองยงโจวถูกค้นพบแล้วหรือ? อืม ช่วงแรกที่เสินซูต่อสู้กับพวกมัมมี่ก็ค่อนข้างเกิดความเสียหายครั้งใหญ่แล้ว บางส่วนของภูเขานั่นย่อมพังทลายลง จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกชอบสอดรู้สอดเห็นจะถูกดึงดูดเข้ามาสำรวจในภายหลัง…
จากการดำรงอยู่ของเสินซู ถึงจะระยะสั้นเพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ก็น่าจะยังไม่มีปัญหาเรื่องมัมมี่ หวังว่าจะไม่มีปัญหานะ ไม่เช่นนั้น การมายงโจวครั้งนี้คงเสียเที่ยวแล้ว…
เขาครุ่นคิดพลางเดินไปยังโต๊ะรับรองแขก แล้วพูดว่า “ขอห้องเซียงฝางสองห้องที่อยู่ติดกัน”
มู่หนานจือที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “มะ…ไม่ต้องถึงสองห้องหรอก แค่ห้องเดียวก็พอแล้ว…”
เสียงของนางค่อยๆ แผ่วเบาลง พร้อมกับก้มหน้างุดเล็กน้อย
นางเขินอายแล้ว…สวี่ชีอันมองพระมเหสี การได้ร่วมห้องเดียวกันกับหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง เขาหาได้ดีใจเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนั้นไม่ กลับเพียงเลิกคิ้วเท่านั้น
อันดับแรก ผลข้างเคียงของฉิงกู่อาจจะไปกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเจ้าของร่างได้ตลอดเวลา สวี่ชีอันจึงกลัวจะควบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่
เรื่องต่อมาคือ ผลข้างเคียงของอั๋นกู่จะส่งผลให้เจ้าของร่างชอบอยู่ในที่มืดและอับชื้น ทุกๆ วันต้องอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวห้ามให้ใครพบเจอเป็นเวลาสองชั่วยาม
การสะสมพลังปราณของพระมเหสีต้องบรรลุจุดสูงสุดขั้นสามถึงจะสามารถ ‘เก็บเกี่ยว’ ได้ ทว่าผลข้างเคียงจากหนอนกู่ก็ไม่เป็นที่พอใจนัก เพราะมันอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของเจ็ดยอดกู่ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อตบะของข้าด้วยนี่สิ…
สวี่ชีอันลอบถอนหายใจในใจ สตรีคือจุดอ่อนของเขาเสียจริงด้วย!
ดังนั้นเขาเลยบอกเถ้าแก่ว่าขอห้องเซียงฝางที่มีราคาหนึ่งถึงสองตำลึงเงิน
หลังจากเถ้าแก่รับเงินสองตำลึงแล้ว ก็ดูมีท่าทีที่กระตือรือร้นมากกว่าเดิม ทั้งยังพาแขกผู้มีเกียรติทั้งสองขึ้นไปชั้นบนด้วยตัวเอง
ห้องพักอยู่สุดโถงทางเดิน ยามเปิดหน้าต่างก็จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนสายหลักที่แสนคึกคัก ซึ่งมู่หนานจือชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่สวี่ชีอันกลับรู้สึกว่ามันเสียงดังโหวกเหวกเสียมากกว่า
สมแล้วที่เป็นหนึ่งในภัตตาคารราคาสูงแห่งเมืองยงโจว สมแล้วที่ห้องเซียงฝางเป็นหน้าตาของภัตตาคาร โต๊ะเขียนหนังสือเป็นไม้หวงฮวาหลี[3]แกะสลักอย่างดี และมีสิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่[4]ถูกวางอยู่บนโต๊ะ
มู่จือหนานเข้าห้องพัก กวาดสายตาพินิจรอบสี่ทิศ ก่อนส่งเสียงจิ๊แล้วเอ่ย “ภาพที่แขวนล้วนชื่อดังทั้งนั้น แต่ก็เป็นของปลอมหมด ไม่มีของแท้สักภาพเดียว”
นอกนั้นมีเพียงภาพ ‘บันทึกกำยานมอดไหม้ในกระท่อมสุราน้อย’ ที่เป็นของแท้ ซึ่งแขวนอยู่ในห้องหนังสือของพระมเหสีแห่งอ๋องสยบแดนเหนือ
“จานฝนหมึกนี้ไม่เลวทีเดียว”
นางเดินเข้าไปด้านข้างโต๊ะ และหยิบจานฝนหมึกสีฟ้าระคนขาวขึ้นมา ซึ่งลวดลายสีฟ้าปนขาวของจานฝนหมึกนี้ ประหนึ่งเปรอะเปื้อนด้วยสีน้ำหมึก จากนั้นมู่หนานจือก็เอ่ยอย่างเสียดายว่า “มีพื้นผิวละเอียดลออ แต่ยังไม่มันลื่นพอ เป็นของชั้นดี ทว่าไม่ถึงกับชั้นยอดเยี่ยมที่สุด”
ถ้าจะมันลื่นได้มากกว่านี้ ก็ลื่นไถลหนีเจ้าแล้ว…สวี่ชีอันวิจารณ์แขวะในใจ
นางเริ่มทำการตรวจสอบสิ่งของภายในห้อง ไม่ว่าจะเป็นพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก ภาพเขียน และเครื่องเรือนต่างๆ
เถ้าแก่ตกตะลึงจนตาค้าง พร้อมเอ่ยยกยอความเก่งกาจอีกฝ่ายว่า “แม่นางเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงเลยสินะขอรับ”
ทันใดนั้นความดูถูกที่อยู่ภายในใจเล็กน้อยก็ถูกยกออกไป ชายหญิงที่ดูธรรมดาคู่นี้ คงจะเกิดในตระกูลใหญ่ฐานะร่ำรวย ทว่าไม่ได้สุรุ่ยสุร่าย จึงไม่ได้มีรสนิยมและวิสัยทัศน์เช่นนั้น
สวี่ชีอันราวกับได้ฟังคัมภีร์สวรรค์ทั้งเล่ม จึงนำตัวเถ้าแก่มายังข้างโต๊ะ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เถ้าแก่อยู่พูดคุยกันอีกหน่อยเถิด”
“เกรงใจๆ” ท่าทีของเถ้าแก่เปลี่ยนไปดีถึงขีดสุด
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “เมื่อครู่ในห้องโถงได้ยินคนพูดว่ามีการค้นพบสุสานขนาดใหญ่ในภูเขาลึกทางตอนใต้?”
เถ้าแก่พยักหน้ากล่าว “มีเรื่องเช่นนี้อยู่ ทว่าก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ว่ากันว่ามีคนตายเยอะทีเดียว และตอนนี้ภูเขาลูกนั้นก็โดนพวกตระกูลกงซุนยึดครองอยู่”
สวี่ชีอันดื่มชา แล้วพึมพำ “ตระกูลกงซุนรึ? เถ้าแก่ ในเมืองยงโจวแห่งนี้ พวกนั้นเผยกองกำลังจอมยุทธ์บ้างหรือไม่?”
แม้จะเคยมายงโจวครั้งหนึ่ง แต่สถานการณ์ของพรรคในท้องถิ่น เขาไม่ค่อยแน่ใจจริงๆ
ในสายตาเจ้าพนักงาน อิทธิพลของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์แห่งเจี้ยนโจวสามารถรับรู้สังเกตเห็นได้ นอกจากนั้นก็ล้วนเป็นเพียงขยะไร้ค่าเท่านั้น
แน่นอนว่า ไม่สามารถบอกได้ว่าพรรคในท้องถิ่นนั้นไม่แข็งแกร่ง แต่เจ้าพนักงานที่ขึ้นตรงกับราชสำนัก ย่อมมีความรู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่ายเป็นธรรมดา
เถ้าแก่เปิดปากทันที โดยไม่คิดลังเลอันใด “ใกล้ๆ เมืองยงโจว กลุ่มพรรคทรงอิทธิพลที่ใหญ่ที่สุดก็คือคฤหาสน์กงซุนที่อยู่ทิศเหนือห่างไปสิบแปดลี้ และผู้ปกครองป้อมปราการหลงเสินที่อยู่ทางทิศตะวันออกห่างไปยี่สิบลี้ ส่วนพรรคในท้องถิ่นที่ทั้งสองกลุ่มทรงอิทธิพลนี้คอยพึ่งพาก็มี…แค่ส่วนเทศมณฑลที่อยู่ภายใต้การปกครองของยงโจว นอกนี้ก็ไม่รู้แล้ว”
ยงโจวเป็นหนึ่งในสิบสามเมืองของต้าฟ่ง เมืองยงโจวมีเทศมณฑลใต้การปกครองอยู่สิบกว่าแห่ง ซึ่งจากจำนวนนั้นมีกี่พรรคในท้องถิ่น คงจะรู้ผ่านได้จากสถิติของทางการเท่านั้น
ผู้ปกครองป้อมปราการหลงเสินและตระกูลกงซุนมีอิทธิพลเช่นนี้ ตามปกติกองบัญชาการสูงสุดจะไม่อยู่ภายในเมือง และทางการก็คงไม่ยิมยอมด้วย
มู่หนานจือขมวดคิ้วถาม “ทางการของยงโจวไม่สนใจเรื่องสุสานหรือ?”
เถ้าแก่ยิ้มเอ่ย “ทำไมต้องสนใจด้วย? นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างน้ำท่วมหรือภัยตั๊กแตนเสียหน่อย ทางการเลยคร้านที่จะใส่ใจ ส่วนคนตาย คนที่ตายก็ล้วนเป็นจอมยุทธ์ มิใช่สามัญชนทั่วไป ต่อให้เป็นสามัญชน ก็จะไม่แจ้งทางการหรอก เพราะทางการคร้านเกินกว่าจะพูดคุยด้วย ใช่หรือไม่
“หรือพูดได้อีกอย่างว่า ตระกูลกงซุนมีความสนิทสนมกับทางผู้ว่าการมณฑลอยู่บ้าง ถึงสามารถ ‘ปิดล้อม’ ภูเขาลูกนั้นได้ไงเล่า”
“ที่เถ้าแก่พูดมาก็มีเหตุผล”
ชายทั้งสองจ้องมองกันก่อนยิ้มแย้ม
สวี่ชีอันยังได้รู้จากเถ้าแก่อีกว่าในฤดูกาลนี้ เนื้อปูอุดมสมบูรณ์ และทางนอกเมืองมีทะเลสาบหยางไป๋อยู่ใกล้กับเมืองยงโจวซึ่งคือสวรรค์แหล่งแห่งการกินปู
เวลานี้ตระกูลร่ำรวยภายในเมือง พวกขันที หรือกระทั่งเหล่าจอมยุทธ์ผู้กล้าหาญ คงจะเหมาเช่าเรือ เพื่อไปเพลิดเพลินกับเนื้อปูอันอวบอ้วนอยู่ก็เป็นได้
มู่จือหนานที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาก็พลันเปล่งประกาย
หลังจากพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยค เถ้าแก่ก็ขอตัวลาอย่างไม่ค่อยอยากจากไปนัก
…
สวี่ชีอันปิดประตู หมุนตัวเดินมายังหลังฉากที่กั้นห้อง เคลื่อนย้ายอ่างอาบน้ำมาอีกฝั่ง แล้วดึงเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเทลงในอ่าง กลางอ่างมีดินเลนและทรายตกตะกอนอยู่อย่างตื้นๆ น้ำเริ่มขุ่นมัว และมีรากบัวสีทองเข้มชิ้นหนึ่งนอนอยู่ใต้ก้นอ่างน้ำ
ครึ่งหนึ่งของมันโผล่เหนือโคลน ส่วนอีกครึ่งจมใต้โคลนตม
การท่องยุทธภพของเขาในครั้งนี้ ที่นำพระมเหสีมาด้วยมีอยู่สองจุดประสงค์
ประการแรกคือ เมื่อเดินทางถึงเจี้ยนโจว ต้องนำรากบัวส่งให้ผู้เฒ่าแห่งกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ตามที่สัญญาเอาไว้ ทว่ารากบัวยังไม่สุกงอม จึงพาคนและรากบัวมาด้วยกันเลย คิดๆ ดูแล้วระหว่างที่เขาเดินทางจนถึงเจี้ยนโจว รากบัวเก้าสีก็คงสุกงอมพอดี
ประการที่สอง เขาอยากลองหาพืชที่มีพิษรุนแรง มอบให้เทพดอกไม้เพาะปลูก เพื่อเสริมการเติบโตของตู๋กู่
เพราะเหตุนี้ จึงต้องมีมู่หนานจืออยู่ข้างกาย
“ฟู่…” สวี่ชีอันพ่นลมหายใจ ด้วยพลังของลี่กู่ในปัจจุบัน จะยกอ่างน้ำด้วยลมหายใจเดียวยังยากเลย จะต้องกินให้มากกว่านี้
ยังดีที่เราอยู่ห่างเมืองหลวงแล้ว ไม่งั้นในบ้านคงมีนักชิมเพิ่มเป็นสามคน อาสะใภ้คงได้ร้องไห้ออกมาด้วยความปวดใจ…ทันใดนั้นเองในใจของเขาพลันนิ่งเงียบ จากนั้นจึงมานั่งข้างโต๊ะหนังสือไม้หวงฮวาหลี พลางครุ่นคิดเรื่องที่ตนจะทำต่อจากนี้
“ปราณมังกรที่กระจายไปในแต่ละสถานที่ ไม่มีวี่แววของเช่นนั้นอยู่เลย หากอยากจะหาเจ้าของร่างปราณมังกร คงต้องหาจากสองวิธีนี้ วิธีแรก จากหน่วยข่าวกรองที่แข็งแกร่ง ถึงในระยะสั้นๆ เจ้าของร่างปราณมังกรจะไม่มีความผิดปกติ แต่เมื่อเป็นในระยะยาว ความสามารถที่มีก็จะถูกแสดงออกมาทั้งหมดทันที ไม่อาจปิดบังตัวตนได้
“วิธีที่สอง อาศัยผลข้างเคียงจากปราณมังกรและโชคชะตาผสานกัน บางทีข้าไม่ต้องพยายามตั้งใจหาขนาดนั้นก็ได้ เมื่อเดินทางไปถึงที่ไหนสักแห่ง อาจจะบังเอิญเจอก็เป็นได้ ขอเพียงเจ้าของร่างปราณมังกรห่างจากข้าไม่เกินร้อยเมตร ข้าก็สามารถสัมผัสมันได้ผ่านทางหนังสือปฐพี การจับสัญญาณจากตัวข้าก็เทียบเท่าแค่วงรัศมีกว้างร้อยเมตรเท่านั้น
“ไม่มีข้อมูลในช่วงที่เสินซูอ่อนแรง แต่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางต้องมีเบาะแสแน่ ขอเพียงนางมาหาข้าก็จะสำเร็จ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรวบรวมวัตถุดิบของระฆังเรียกวิญญาณ”
ในวัตถุดิบของระฆังเรียกวิญญาณมีสองสิ่ง นั่นก็คือเล็บของมัมมี่พันปีและสารพิษ สวี่ชีอันรู้จักมัมมี่ตนหนึ่งพอดี ดังนั้นจึงเลือกมาเมืองยงโจวเป็นที่แรก
“ตราบใดที่คาถาปิดผนึกเสินซูไม่อ่อนลง ข้าก็มีความมั่นใจว่ามัมมี่จะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของข้า อืม ด้านบำเพ็ญเองก็ต้องเร่งหน่อยเสียแล้ว พลังเจ็ดชนิดจากเจ็ดยอดกู่ ตู๋กู่บ่มเพาะง่ายที่สุดแล้ว ขอเพียงมีสิ่งที่เป็นพิษอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถเห็นผลการเจริญเติบโตได้ทันที
“ครั้งต่อมาก็เป็นลี่กู่ ขอเพียงไม่หยุดกิน ไม่หยุดบ่มเพาะร่างกาย มันก็สามารถเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แม้การบำเพ็ญของข้าจะถูกผนึก แต่ร่างกายเป็นร่างกายขั้นสาม การบ่มเพาะในขั้นนี้จึงสามารถข้ามได้ แค่กินอย่างเดียวก็พอแล้ว ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เทียนกู่คือรากฐานของทั้งยอดเจ็ดกู่ สามารถพัฒนาได้ถึงขั้นสูงสุด หากเป็นเพียงระยะสั้นๆ ก็มิต้องกังวลอะไร ส่วนอั้นกู่ขอเพียงต้อง ‘หลบซ่อน’ เป็นเวลาสองชั่วยามในทุกๆ วัน ถึงจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อาจจะขาดการต่อสู้ไปบ้าง…ซึ่งวิธีนี้ยังไม่เคยลองมาก่อน มีโอกาสคงได้ลองดู
“ซือกู่ต้องกลืนกินไอซากศพ ด้วยเหตุนี้จึงมายงโจว ซึ่งการบ่มเพาะซือกู่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมาย ส่วนฉิงกู่และซินกู่ ต้องสะกดไว้ชั่วคราว เพราะยังจะไม่บ่มเพาะ
“ข้าไม่อยากท่องยุทธภพเลย เดินทางไปมาดันกลายเป็นโจรข่มขืนเสียอย่างนั้น อีกทั้งยังมีหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งมาอยู่ข้างกาย หากไม่ปราบฉิงกู่ละก็ มีหวังพลาดได้เสียกันวันหนึ่งแน่
“ซินกู่ก็มีเหตุผลเดียวกัน ถึงข้าจะขี่ม้าตัวเมีย แต่ข้าขี่มันไม่ได้จริงๆ”
ตอนนี้เช้าอยู่ ยังมีเวลาก่อนอาหารเที่ยง สวี่ชีอันนั่งลงข้างโต๊ะ จิบน้ำที่ผสมสารหนูเล็กน้อยราวกับจิบสุราอย่างไรอย่างนั้น
พระมเหสีผู้รักความสะอาดลงแช่น้ำเพื่อให้ตนเองสดชื่น หลังจากนั้นก็นั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จัดการมวยผมอย่างสาวงาม พร้อมทาชาดที่ริมฝีปากและพวงแก้ม ยิ่งไม่ต้องพูดว่ามันช่างสอดคล้องกับบุคลิกของนาง ทำให้ดูดีขึ้นอีกหลายเท่าตัว
จากรูปโฉมธรรมดา กลายเป็นพอดูได้
“กลางคืนข้าจะนอนเตียง เจ้าปูที่นอนบนพื้นเอาแล้วกัน”
พระมเหสีที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เห็นเขาหรี่ตามองตนเองด้วยแววตาราบเรียบ ก็ย้ายละสายตาออกอย่างไม่สนใจไยดี ทั้งมุ่นคิ้วอย่างขุ่นเคืองโดยพลัน
“เจ้านอนเตียงก็ได้ ส่วนข้าจะนอนบนตัวเจ้า” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
พระมเหสีส่งเสียง “จิ๊” ราวกับชินชากับปากจอมกะล่อนของเขานานแล้ว จึงไม่ได้โต้ตอบอะไร
นางลุกขึ้นเดินไปยังด้านหลังฉากที่กั้นห้อง เอื้อมมือลงจุ่มอ่างน้ำ ดีดหยดน้ำที่กระเซ็นอย่างเบื่อหน่าย ซึ่งภายในน้ำอัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณ
ช่วงใกล้ถึงตอนเที่ยง สวี่ชีอันเก็บเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในอ่างน้ำ และด้วยความสัมพันธ์กับหอปู้จุ้ย จึงสามารถจองที่นั่งทานอาหารบนเรือโหลวฉวน[5]ได้ จุดนี้หากเป็นคนพเนจร ไม่ต้องพูดถึงการจองที่นั่งในเรือโหลวฉวนด้วยซ้ำ จะเรือประมงหรือเรือลำเล็กก็ไม่มีให้ โชคดีที่หอปู้จุ้ยเป็นภัตตาคารใหญ่ ซ้ำมีเส้นสายสามารถตอบสนองแขกผู้ที่อยากกินปูได้
…
ณ ทะเลสาบหยางไป๋ แสงสะท้อนผิวน้ำคลื่นซัดสาด ริมทะเลสาบปลูกต้นหลิวอยู่เรียงราย ทว่าตามกิ่งก้านแทบไม่เห็นความเขียวขจี
ปลายสารทฤดู ยามสายลมแห่งทะเลสาบพัดโชย ก็ชักพาปะปนด้วยความหนาวเย็น
เรือโหลวฉวนนาม ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ ลอยอยู่กลางทะเลสาบ มู่หนานจือสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอก นั่งโต๊ะข้างริมหน้าต่าง บนโต๊ะมีเตาโคลนขนาดเล็กวางอยู่ พร้อมเหล้าเหลืองอุ่นๆ มีทั้งเหล้าอุ่นและคนอบอุ่น อีกทั้งเครื่องเคียงไม่กี่อย่างกับปูแม่น้ำอวบอ้วนยี่สิบตัว
“น้ำจิ้มจิ๊กโฉ่วนี่รสชาติไม่เลวเลย น่าเสียดายที่น้อยไปหน่อย อืม แต่ไม่เท่าตัวเอกอย่างปูแม่น้ำที่อวบอ้วนพวกนี้หรอกนะ”
สวี่ชีอันที่กำลังเคี้ยวมันปูในปาก ก็พยักหน้าอย่างพอใจ
จากรายการอาหารของเขา ปูทะเลสาบจัดอยู่ในสิบอันดับแรก แน่นอนว่าต้องแบ่งตามประเภทปูอีกด้วย หากเป็นปูไข่จะไม่อยู่สิบอันดับแรก มีเพียงปูเนื้อเท่านั้น
“ไข่ปูกับมันปูสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เมื่อเปรียบเทียบกัน มันปูจะหอมและรสชาติดีกว่า ส่วนไข่ปูห่างชั้นแค่เล็กน้อย ดังนั้นข้าไม่ค่อยชอบกินปูไข่สักเท่าไร แต่ปูเนื้อนี่ปฏิเสธไม่ลงเลยทีเดียว…”
สวี่ชีอันยกขวดสุราขึ้นจากเตาโคลนขนาดเล็ก ก่อนจะรินเหล้าอุ่นให้พระมเหสีจอกหนึ่ง
“กินปูนี่ต้องกินด้วยความเคารพหรือเปล่า?”
มู่หนานจือมองบนใส่อีกฝ่ายแล้วจิบสุรา ใบหน้าเริ่มมีสีแดงระเรื่อ ร่างกายรู้สึกอบอุ่นขึ้น จากนั้นนางก็มองไปยังนอกทะเลสาบ พลันเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูสิ นั่นมันเรือของตระกูลกงซุนหรือเปล่า?”
สวี่ชีอันหันศีรษะ เมื่อมองไปนอกหน้าต่าง ก็เห็นเรือลำใหญ่สองชั้นกำลังแหวกคลื่นเข้ามาตามคาด ซ้ำยังแขวนธงชื่อตระกูล ‘กงซุน’ อีกด้วย
……………………………………………..
[1] ห้องเซียงฝาง คือห้องที่อยู่ด้านทิศตะวันตกและตะวันออกของแต่ละอาคารเรือน
[2] แกะอ้วนพี ในที่นี้เป็นอุปมาถึงผู้มีฐานะร่ำรวยแต่โดนหลอกง่าย หรือผู้ที่โดนหลอกเพื่อฉกฉวยแย่งชิงบางอย่าง
[3] พะยูงไหหลำหรืออีกชื่อไม้พะยูงหอม
[4] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ประกอบไปด้วย พู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก
[5] คือเรือจีนโบราณที่มีอาคารสามชั้นอยู่กลางเรือ มีการจัดกิจกรรมสำหรับผู้มีฐานะร่ำรวย ไม่ว่าจะเป็นกินข้าว งานรื่นเริง และอื่นๆ คล้ายกับเรือสำราญในปัจจุบัน
………………………………………………………