ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 501 ฝนเทลงมา
บทที่ 501 ฝนเทลงมา
เรือโหลวฉวนที่แขวนธงประจำตระกูล ‘กงซุน’ ค่อยๆ แล่นเข้ามา ภายในห้องชมทิวทัศน์โปรงโล่งสองชั้น ก็มีเหล่าผู้กล้าจอมยุทธ์กำลังนั่งโต๊ะร่ำสุราพลางพูดคุย
กงซุงซิ่วกำลังถือจอกสุรา ยิ้มแย้มต้อนรับผู้มีฝีมือหน้าใหม่ทั้งหกคน การบำเพ็ญของเหล่าหกคนนี้ล้วนไม่ได้ต่างห่างชั้นกันนัก มีเพียงสองคนที่หลอมวิญญาณอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ซึ่งก็มากพอที่จะเป็นแขกผู้มีเกียรติของพวกตระกูลกงซุน
คนที่กงซุนซิ่วจับตามองมากที่สุดก็คือ นักพรตชราผู้แทนตนว่านักพรตเฒ่าชิงกู่
พวกเขาต่างเป็นจอมยุทธ์มือดีที่สู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ทว่าการสำรวจสุสานใต้ดินไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาถนัด
ผู้รอบรู้เรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ยและศาสตร์คานอวี๋ ไม่เป็นนักพรต ก็ต้องเป็นโหร แต่คนก่อนหน้าส่วนมากล้วนหลอกลวง และช่วงหลังในยุทธภพก็หายากแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว
กงซุนซิ่วได้ลองทดสอบนักพรตเฒ่าชิงกู่ผู้นั้นแล้ว มีเชี่ยวชาญในศาสตร์ฮวงจุ้ยและศาสตร์คานอวี๋จริง ซ้ำยังมีความรู้เรื่องค่ายกลอยู่บ้างอีกด้วย
“การสำรวจสุสานภูเขาหนานซานคืนนี้ ต้องพึ่งพาทุกท่านแล้ว” กงซุนซิ่วยิ้มพลางยกจอกสุรา
เหล่าจอมยุทธ์ที่นั่งอยู่พากันยกจอกสุราโดยพลัน เมื่อรู้ว่าเป็นคุณหนูใหญ่กงซุนที่เอ่ยขึ้นตามมารยาท ตระกูลกงซุนเป็นกลุ่มเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของเมืองยงโจว ซึ่งสืบทอดมานานสามร้อยกว่าปี และเมื่อหลายปีก่อนหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันก็เป็นจอมยุทธ์สลายแรง
เขาห่างจากขั้นสี่เพียงแค่ก้าวเดียว หากเมื่อใดที่เลื่อนสู่ขั้นสี่ เมื่อนั้นก็จะได้เป็นเจ้ายุทธจักรแห่งยุทธภพ
นอกจากนี้ การหลอมวิญญาณขั้นเจ็ดและกระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก ตระกูลกงซุนก็ได้ล้ำหน้าไปสองเท่าตัวแล้ว
ทว่าคนที่คอยตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในตระกูลกงซุนตอนนี้ คือคุณหนูใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ นางมีรูปโฉมงดงาม ใส่ชุดเสื้อคลุมตัวใหญ่สีฟ้า ส่วนด้านล่างสวมกระโปรงรัดอกทรงจับจีบ
ดูสุภาพชดช้อยอ่อนหวาน ตามแบบกุลสตรีชั้นสูงผู้รอบรู้มีมารยาทงาม
แต่คนที่คุ้นเคยกับคุณหนูใหญ่ต่างรู้ดีว่า การบ่มเพาะของหญิงคนนี้อยู่ในระดับสูง เมื่อปีก่อนก็เข้าสู่ขั้นสลายแรงแล้ว และภายในตระกูลกงซุนก็มีเพียงหัวหน้าตระกูลเท่านั้นที่สามารถกดดันนางได้
นอกจากนี้ นางยังประสบความสำเร็จด้านการทำกิจการอีกด้วย กิจการของตระกูลกงซุนที่อยู่ภายใต้การดูแลของนางนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นกลุ่มอิทธิพลแห่งยุทธภพ ตระกูลกงซุนจึงให้ความเคารพต่อการยุทธ์ แม้ว่าจะเป็นสตรี แต่ก็สามารถดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้
ดังนั้นจึงมีเหล่าจอมยุทธหนุ่มจำนวนมากปานขนบนตัววัวที่ยินดีจะแต่งเป็นเขยเข้าบ้านตระกูลกงซุน
หลังดื่มไปได้หนึ่งจอก ผู้คนก็เพลิดเพลินไปกับมื้ออาหารและเนื้อปูอันอวบอ้วนกันต่อ กงซุนซิ่วที่ไม่ได้มีความอยากอาหารอันใด จึงหันไปดูทิวทัศน์ทะเลสาบ ทั้งมองเรือลำเล็กลำใหญ่ที่ลอยอยู่รอบๆ
จากนั้นก็มองเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ ที่กำลังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เมื่อชำเลืองบนดาดฟ้าเรือ ก็เห็นเด็กสองสามคนที่กินอิ่มแล้ว ออกมาวิ่งเล่นนอกห้องผู้โดยสาร
…
“พวกเราก็กินในส่วนของเรากันเถอะ” สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ก่อนจะถอนสายตากลับมาแทะขาปูอยู่คนเดียว
คืนนี้เขาคิดว่าจะไปวังสุสานใต้ดิน เพื่อหาเล็บมัมมี่ สารพิษ และไอซากศพ ซึ่งได้จากเจ้ามัมมี่พันปีนั่นโดยไม่ต้องเสียเงินเลยสักนิด
แต่การเคลื่อนไหวของตระกูลกงซุน ก็สร้างความปวดหัวให้เขาอยู่บ้าง จากการประโคมข่าวใหญ่อย่างต่อเนื่อง การกระทำที่ครึกโครมยิ่งกว่าเดิม และคนที่ตายมากขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากสามเรื่องดังกล่าว อยู่ต่อหน้าซากศพของนักพรตลึกลับนั่น จะต่างอะไรกับไก่ดินสุนัขดินเผาเล่า?
หากปล่อยให้เจ้ามัมมี่นั่นฉกฉวยแก่นโลหิตมากขึ้นเรื่อยๆ จนสะสมพลังทำลายผนึกได้ จะต้องเกิดภัยพิบัติเป็นแน่ และย่อมมีมารปีศาจโผล่ออกมายามชาติจะล่มสลาย ซึ่งจากแต่ละเรื่องก็เป็นการยืนยันประโยคนี้แล้ว…สวี่ชีอันถอนหายใจอยู่ในใจ
ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะที่ราวกับเสียงระฆังเงินก็ดังขึ้นจากนอกหน้าต่าง เขาจึงหันหน้าไปมอง เด็กสองสามคนที่กินปูจนอิ่มหนำแล้วก็กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้านนอก ตามทางเดินนอกห้องโดยสาร ซึ่งกำลังวิ่งไล่กันพลางหยอกล้อ
ชุดเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ดูดีไม่เลว เป็นเนื้อผ้าคุณภาพสูง คิดดูแล้วคงเกิดในครอบครัวฐานะร่ำรวยมีอันจะกิน ทว่าการมีอำนาจกับการมีเงินนั้นแตกต่างกันไม่น้อย
ระหว่างที่กำลังวิ่งไล่กันอยู่นั้น เด็กตัวโตคนหนึ่งเข้ามาขวางทาง จนกระแทกเด็กหญิงคนด้านหน้า
เด็กหญิงจึงเซ ก่อนจะกรีดร้องขณะร่วงตกลงไปยังทะเลสาบ
สวี่ชีอันปล่อยขาปูจากมือ ภายในดวงตาเกิดประกายแสงสลัว ร่างกายพลันหายวาบ เพียงชั่วครู่ เขาก็โผล่ออกมาจากเงาของเด็กหญิง โดยที่จับคอเสื้อเด็กหญิงเอาไว้
ซึ่งเป็นวิชากระโดดสู่เงาของอั้นกู่
“โอ้โฮ…”
เด็กสองสามคนที่อยู่โดยรอบต่างจ้องมองเขาด้วยความชื่นชม
สวี่ชีอันเขกศีรษะเด็กแต่ละคน แล้วเอ่ยสั่งสอนว่า “วิ่งเล่นบนเรือแล้ว ยังจะกล้าก่อเรื่องขึ้นอีก เดี๋ยวจับพวกเจ้าฟาดให้ตายเสียเลย” ซึ่งเขายามกล่าวน้ำเสียงดูดุดันตามแบบจอมยุทธ์อยู่บ้าง
ขณะเดียวกันเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’ ก็ทำหน้าที่เป็นเรือจับปลา เพื่อความสะดวกในการดึงอวน บนดาดฟ้าจึงไม่มีราวกั้น เลยไร้ความปลอดภัย
เด็กเหล่านี้โดนตีไป จึงไม่กล้าโต้เถียง จากนั้นก็เดินกลับด้วยสีหน้าหงอยๆ
จากนั้นเขาก็กลับไปยังห้องโดยสาร เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่นาน ก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินเข้ามาหา ในมือผู้เป็นภรรยากำลังจูงเด็กคนหนึ่งอยู่ ซึ่งก็คือเด็กหญิงที่ตกลงไปในทะเลสาบเมื่อครู่นี้
“ขอบคุณท่านที่ช่วยนะขอรับ” ชายหนุ่มประสานมือยกคารวะ เขาสวมชุดคลุมที่เป็นนิยมอยู่ตอนนี้ ซึ่งแต่งตัวได้ดูมีภูมิฐานทีเดียว
ส่วนบนศีรษะผู้เป็นภรรยาก็ปกปิ่นระย้าทองคำ
สวี่ชีอันโบกปัดมือ กล่าวอย่างรำคาญว่า “ไม่ต้องพูดเรื่องไร้สาระหรอก เจ้าจ่ายค่าปูโต๊ะนี้ก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งชั่วขณะ แต่เขากลับโล่งใจ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สมควรแล้ว สมควรแล้ว”
หลังจากเอ่ยขอบคุณอีกหลายครั้ง จากนั้นเขาก็กลับไปด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
ขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยถูกผู้เป็นมารดาจูงออกไป ก็พลันหันกลับมาทำหน้าบูดบึ้งใส่ลุงแปลกประหลาดขี้หงุดหงิดคนนี้
“เจ้าเป็นอะไร?” มู่หนานจือรู้สึกว่าอารมณ์ของอีกฝ่ายแปลกไปนิดหน่อย
สวี่ชีอันตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “เวรเอ๊ย ฝนใกล้ตกแล้ว”
นางเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในทันที
มู่หนานจือกะพริบตาคู่งาม ก่อนชำเลืองไปที่นอกหน้าต่าง เห็นว่าแดดส่องสว่างจ้า มันเหมือนฝนจะตกตรงไหนกันเนี่ย?
…
อีกทางด้านหนึ่ง กงซุนซิ่วที่เห็นทุกอย่างกับตาตัวเอง ก็เอ่ยด้วยดวงตาเปล่งประกายว่า “ทุกท่าน มีใครดูออกบ้างว่าเมื่อครู่นี้เขาทำได้อย่างไร?”
จอมยุทธ์ที่นิสัยหยาบคายสองสามคนขมวดคิ้วมองหน้ากัน พวกเขาไม่ได้สนใจเหตุการณ์เมื่อครู่นี้เลย
เมื่อกงซุนซิ่วพูดจบ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างกะทันหัน เพราะผู้คนโดยรอบมีความรู้และมากประสบการณ์ กลับไม่สามารถบอกอะไรได้เลย
สุดท้ายนักพรตชราที่ไว้เคราแพะ ก็พึมพำเอ่ยว่า “เท่าที่ฟังคุณหนูใหญ่อธิบาย น่าจะเป็นเคล็ดวิชาของเผ่าพันธุ์กู่ชนิดอั้นกู่ หลายปีก่อนอาตมาได้เดินทางไปยังซินเจียงตอนใต้ จึงเคยเห็นเคล็ดวิชาของพวกเขา ซึ่งเชี่ยวชาญการกระโดดออกจากเงา ดูลึกลับซับซ้อน และยากที่จะป้องกัน มีเพียงจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณเท่านั้นถึงจะสามารถหยุดยั้งไว้ได้”
กงซุนซิ่วมุ่นคิ้วกล่าว “เคล็ดวิชาเผ่าพันธุ์กู่ สามารถถ่ายทอดได้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าไม่ได้”
“คนผู้นั้นไม่ใช่คนซินเจียง” กงซุนซิ่วพูด
นักพรตเฒ่าชิงกู่ตะลึง ส่ายศีรษะกล่าวว่า “เช่นนั้นบางทีอาตมาอาจคาดเดาผิดรึ?”
กงซุนซิ่วพลันลุกขึ้นโดยไร้ความลังเล แล้วยิ้มเอ่ยว่า “เมื่อบังเอิญได้เจอยอดฝีมือแล้ว หญิงสาวอย่างข้าขอเข้าไปทักทาย ทุกท่านเชิญทำตัวตามสบาย”
นางหยิบตะเกียบคู่ ก่อนจะขว้างออกไป
ตะเกียบคู่นั้นพุ่งลงผิวทะเลสาบ ก่อนจะลอยอย่างเชื่องช้า ทันใดนั้นเองกงซุนซิ่วก็กระโดดออกมาจากชั้นสองของเรือ แต่ด้วยร่างของนางอรชรอ้อนแอ้นราวกับขนนกไร้น้ำหนัก จึงโฉบผ่านผิวทะเลสาบ เมื่อปลายเท้าแตะบนตะเกียบคู่ ตะเกียบจมลงเล็กน้อย จนปรากฏระลอกคลื่นอย่างเบาบาง
นางใช้กำลังดีดตัวออกไปสิบจั้ง ค่อยๆ ร่วงลงดาดฟ้าของเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’
ไม่ว่าจะไกลหรือใกล้ ก็สามารถมองเห็นแขกเหล่านี้กำลังปรบมือส่งเสียงรื่นเริงนี้ได้
สวี่ชีอันก็เห็นฉากดังกล่าวเช่นกัน ทว่าเขากลับไม่ได้สนใจว่ามีหญิงสาวรูปโฉมงามคนนี้ที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา และพูดวิจารณ์ว่า “ไม่เลวๆ สลายแรงขั้นห้านับว่าเก่งกาจทีเดียว มีฝีมือไม่เบาเลย”
พระมเหสีอิจฉาต่อความสามารถเหาะเหินไปมาได้เช่นนี้ยิ่ง
นางเองก็ต้องการมีเคล็ดวิชาเช่นนี้บ้าง จะได้ไม่ต้องขี่หลังม้าให้เจ็บบั้นท้ายอีก
หลังกงซุนซิ่วเข้ามายังห้องโดยสารก็กวาดสายตามองแขกที่อยู่บนเรือ ก่อนจะรีบตั้งเป้าไปที่สวี่ชีอันที่อยู่โต๊ะนี้ แล้วเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ประสานมือคารวะอย่างสง่างาม “ข้าแม่นางกงซุนซิ่ว มิทราบว่าท่านผู้นี้มีนามว่าอะไรหรือ”
สวี่ชีอันพินิจมองนาง ก่อนจะตอบว่า “สวีเชียน”
เขานำ ‘สวี่’ แปลงเป็น ‘สวี’ ส่วนชีอันก็คือ ‘เชียน’
กงซุนซิ่วยิ้มเอ่ย “ยินดีที่ได้รู้จักท่านพี่สวี ข้ามีความสุขยิ่งนัก”
เจ้ามีความสุขเร็วไปหน่อยกระมัง…สวี่ชีอันแขวะอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็คุมตัวเองที่กำลังหงุดหงิด แล้วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “แม่นางกงซุนมีเรื่องอันใดหรือ?”
กงซุนซิ่วจึงถือโอกาสนี้พูดว่า “หากท่านไม่รังเกียจ ขอเชิญท่านพี่สวีย้ายมาพูดคุยที่เรือของตระกูลกงซุนได้หรือไม่?”
จากนั้นนางก็มองไปทางเรือลำใหญ่ที่กำลังแขวนธงตระกูล ‘กงซุน’ อยู่
สวี่ชีอันพลันใจกระตุกวาบ เพราะเขากังวลว่าการสำรวจสุสานวังใต้ดินของตระกูลกงซุนอาจจะไปช่วยคลายผนึกของมัมมี่ได้ จึงรีบตอบทันทีว่า “ได้!”
แล้วหันมาพูดกับพระมเหสีว่า “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ”
มู่หนานจือชำเลืองมองกงซุนซิ่วปราดหนึ่ง จึงเห็นว่าอีกฝ่ายมีรูปร่างอ้อนแอ้นดูอ่อนแอ เลยดึงสายตากลับมาพยักหน้าพูดด้วยความวางใจว่า “อื้ม”
กงซุนซิ่วที่โดนหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งตีตราว่า ‘มีรูปร่างอ้อนแอ้นดูอ่อนแอ’ ก็ยิ้มอย่างสดใสดูงามไร้ที่ติ เอ่ยว่า “เชิญ!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังออกจากเรือโหลวฉวน กงซุนซิ่วก็พูดขึ้นว่า “ข้าจะให้คนส่งเรือลำเล็กมารับน่ะ”
เมื่อพูดจบ นางก็ได้ยินชายหน้าตาธรรมดาชุดสีครามอมดำที่อยู่ข้างกายส่ายหัวเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปคนเดียวก็พอ”
กงซุนซิ่วไม่โต้เถียงอะไร เพียงพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น และแสดงฝีมืออีกครั้ง ปลายเท้าพลันเหยียบบนตะเกียบคู่ ดูอ่อนช้อยราวกับขนห่าน แล้วดีดตัวออกไปนับสิบจั้ง กลับไปยังบนดาดฟ้าเรือโหลวฉวนของตนเอง
เมื่อร่อนลงถึงจุดหมาย นางก็ราวกับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงหันกลับไปโดยพลัน ก็เห็นเงาดำดวงหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างเงาของตน ก่อนจะกลายร่างเป็นชายชุดสีครามอมดำ
เป็นคนจากเผ่าพันธุ์กู่จริงๆ หรือ? กงซุนซิ่วระงับอารมณ์แล้วพูดว่า “ท่านพี่สวีช่างมีความสามารถเสียจริงนะเจ้าคะ”
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างไม่แยแสต่อคำชื่นชมของกงซุนซิ่ว เข้าตัวเรือแล้วเดินมายังโถงชมทิวทัศน์บนชั้นสอง
ห้องโถงไม่ได้ใหญ่มากนัก ถูกตกแต่งด้วยสิ่งของเก่าแก่ดูโบราณ ที่โต๊ะกลมมีชายฉกรรจ์ห้าคนกำลังนั่งอยู่ ส่วนอีกคนเป็นนักพรตชราสวมชุดนักพรตเก่าซีด
ทั้งหกคนชำเลืองเห็น จึงหันมามองด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
กงซุนซิ่วยิ้มแย้มเอ่ยแนะนำสวี่ชีอันให้ทุกคนรู้จัก
“ท่านสวีเป็นคนที่ไหนหรือ?” ชายฉกรรจ์ระดับหลอมปราณคนหนึ่งถามขึ้น
“เป็นคนจากเมืองหลวง” สวี่ชีอันตอบ
เหล่าจอมยุทธ์ที่เดิมทีไม่ได้สนใจอะไรเขา นัยน์ตาพลันเปล่งประกาย พูดพลางยิ้มว่า “เคยเห็นฆ้องเงินสวี่หรือไม่?”
สวี่ชีอันนั่งลงแล้วตอบกลับว่า “เคยเห็นอยู่หลายครั้ง”
กงซุนซิ่วได้ยินเช่นนั้น ก็ร่วมวงสนทนาด้วยความสนใจ “ได้ยินมาว่าฆ้องเงินสวี่หน้าตาหล่อเหลากิริยาท่าทางสูงสง่าสุภาพบุรุษ เป็นชายที่หาได้ยากบนโลก”
นางได้ยินเรื่องราวและการกระทำของฆ้องเงินสวี่มาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ในฐานะหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน นางก็ยิ่งอยากรู้รูปลักษณ์ของบุคคลในตำนานผู้นี้ และยิ่งรู้สึกสนใจมากกว่าเดิม
สวี่ชีอันลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะทอดถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้าเคยพบเจอเขา เป็นชายที่หน้าตาดีที่สุด จนทุกครั้งที่เจอเขาก็อดรู้สึกเทพเจ้าไม่ยุติธรรมไม่ได้เลย”
หน้าตาดีที่สุด…กงซุนซิ่วกะพริบตา พึมพำว่า “ช่างเป็นชายผู้แสนวิเศษเสียจริง”
ให้ตายเถอะ ข้าแก้นิสัยเสียขี้โม้เช่นนี้ไม่หายเลย อย่าลืมความล้มเหลวจากเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีครั้งก่อนสิ…สวี่ชีอันทบทวนการกระทำของตัวเองในใจ
ต่อจากนั้น ก็เริ่มพูดอวดเรื่องฆ้องเงินสวี่ จอมยุทธ์ทุกคนต่างชื่นชมเคารพฆ้องเงินสวี่ผู้โด่งดังถึงขีดสุด และกล่าวกันตามตรงว่าหากไม่มีฆ้องเงินสวี่ ก็ไม่มีต้าฟ่ง
วีรกรรมปลงพระชนม์ได้แพร่กระจายมายังยงโจวซึ่งไม่ได้ไกลจากเมืองหลวงเท่าไรนัก
กงซุนซิ่วจบหัวข้อบทสนทนาทั้งๆ ที่ยังอยากต่อ ก่อนพูดจะเข้าเรื่องว่า “ท่านพี่สวี ท่านมายงโจวนานแล้วหรือยัง? ช่วงนี้ได้ยินเรื่องวุ่นวายอย่างสุสานขนาดใหญ่บ้างหรือไม่? ตระกูลกงซุนกำลังหาผู้มีความสามารถ เพื่อร่วมไปสำรวจสุสาน ข้าเห็นท่านพี่สวีมีฝีมือเลิศล้ำ จึงอยากชวนท่านพี่สวีเข้าร่วมสำรวจสุสานด้วยกันน่ะเจ้าค่ะ”
จอมยุทธ์ทั้งโต๊ะต่างนิ่งเงียบ ไม่มีการคัดค้านแต่อย่างใด เนื่องจากสุสานมีความอันตราย หากสามารถมีคนช่วยแบ่งเบาความทุกข์ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าอยู่แล้ว
หากทรงพลังแข็งแกร่ง ก็จะได้แบ่งผลประโยชน์ตามที่ควรจะเป็น หากอ่อนแอใช้การไม่ได้ เกิดตายในสุสานก็จะถูกปล่อยไว้เช่นนั้นโดยไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำ
สวี่ชีอันยังไม่ตอบตกลงในทันที กลับถามอย่างลังเลว่า “พวกเจ้ารู้เกี่ยวกับสุสานใต้ดินนี้มากน้อยแค่ไหน?”
กงซุนซิ่วพูดจาไพเราะน่าฟังว่า “นายพรานในหุบเขาเป็นคนแรกที่ค้นพบสุสานแห่งนั้น เขาบังเอิญตกลงไปกลางถ้ำที่ทรุดทลาย จึงพบว่าข้างในเนินเขาเป็นสุสาน จากนั้นข่าวนี้ก็ได้แพร่กระจายมายังเมืองยงโจว
“จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลกงซุนได้ทำการปิดกั้นภูเขาหนานซาน ก็มีจอมยุทธ์พเนจรจำนวนไม่น้อยลงไปสำรวจสุสาน ทว่าไม่มีใครรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว หลังจากตระกูลกงซุนได้รู้ข่าวนี้ จึงรวบรวมผู้มีฝีมือลงไปยังสุสาน ซึ่งก็หายไปจากการติดต่อเช่นกัน เกรงว่าคงยากที่จะรอดกลับมา แต่พวกเราได้ค้นพบว่า สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินชิงกัง มีมาตรฐานชั้นสูง ข้างในจะต้องมีสมบัติอยู่เป็นแน่”
สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในนั้นโดนข้าเอาไปหมดแล้ว ที่เหลือก็มีแต่มัมมี่พันปีตนหนึ่งเท่านั้นแหละ…
สวี่ชีอันพูด “สุสานแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายยิ่ง จอมยุทธ์ที่ไม่มีความรู้เรื่องศาสตร์ฮวงจุ้ย ศาสตร์คานอวี๋ และค่ายกล อยู่ข้างในนั้นย่อมตื่นตระหนก จึงยากที่จะรอดกลับมา คุณหนูใหญ่โปรดคิดทบทวนด้วยเถิด”
กงซุนซิ่วยิ้มแย้ม มิเอ่ยคำใด กลับมองไปทางนักพรตเฒ่าชิงกู่
นักพรตชราลูบเคราพลางยิ้มเล็กน้อย “ตามที่อาตมาสังเกตดู เนื่องจากสุสานแห่งนี้อยู่มายาวนาน เคยผ่านเกิดการทรุดอย่างหนักมา และค่ายกลข้างในนั้นก็โดนทำลายไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน บางทีอาจเหลือความอันตรายอยู่นิดหน่อย กลุ่มคนก่อนหน้าน่าจะตายด้วยภัยอันตรายเพียงเล็กน้อย ดังนั้น การที่ตระกูลกงซุนจะออกหน้าลงสนามในครั้งนี้ ทั้งรวมพวกข้าร่วมสำรวจสุสานไปด้วยแล้ว ทุกคนก็น่าจะพอช่วยเหลือกันได้”
สวี่ชีอันมองไปทางคุณหนูใหญ่ผู้โฉมงาม แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้าคิดจะลงไปสำรวจสุสานเมื่อใด?”
กงซุนซิ่วตอบ “คืนนี้”
คืนนี้รึ พอดีเลย จะได้ใช้คนพวกนี้สำรวจเส้นทางเสียก่อน และคอยจับสถานการณ์ของมัมมี่ ดูว่ามันฟื้นฟูพลังได้แค่ไหนแล้ว…สวี่ชีอันรู้ดีว่าถึงตัวเองจะพูดเตือนสักสองสามประโยค ก็ไม่สามารถทำให้จอมยุทธ์กลุ่มนี้ล้มเลิกที่จะไปสุสานได้อยู่ดี
เขาควงจอกสุรา ทำท่าทางลังเล เอ่ยอย่างไม่มีทางเลือก “ตัวข้านั้นขาดความรู้อ่อนประสบการณ์ จะไม่ขออยู่เพื่อสร้างความวุ่นวาย ขอบคุณคุณหนูใหญ่ที่เชิญชวน แต่ข้าอยากจะขอแนะนำแก่พวกท่านสักประโยคว่า หากพบสถานการณ์วิกฤตที่แก้ไขไม่ได้ ให้ตะโกนเสียงดังว่า เจ้าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับคนคนนั้นแล้วหรือไง!”
ทุกคนพลันนิ่งตะลึง
เขามองไปทางกงซุนซิ่วอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “รบกวนคุณหนูใหญ่ช่วยส่งข้ากลับด้วย”
กงซุนซิ่วยากจะซ่อนความผิดหวัง ให้คนจัดการเตรียมเรือลำเล็กแก่เขา เพื่อส่งอีกฝ่ายกลับไปยังเรือ ‘หวังจี้อวี๋ฟาง’
สวี่ชีอันลุกขึ้นออกจากที่นั่ง เมื่อเดินไปถึงบันได ก็หันตัวกลับมาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “ประเดี๋ยวฝนจะตกแล้ว ฝนในฤดูใบไม้ร่วงยิ่งตกไม่หยุดด้วยสิ จะสำรวจสุสานคืนนี้อย่าลืมพกร่มไปด้วยนะทุกท่าน ขอตัวลา”
ยามเขาลงบันไดก็เกิดเสียงฝีเท้าดังตุ้บๆ ตามไปด้วย จอมยุทธ์ผู้หนึ่งอยู่ขั้นระดับหลอมปราณ ก็หัวเราะเยาะ “คุณหนูใหญ่ครั้งนี้ดูผิดแล้วกระมัง ดันไปเชิญคนขี้ขลาดเข้ามา”
“ก็แค่คนขี้ขลาด ยังแสร้งทำเป็นซ่อนความเก่งกาจ สัญญาอะไรกัน ไหนจะฝนตกอีก ทั้งหมดทั้งมวลก็เพียงหาข้ออ้างรักษาหน้าเสียมากกว่า”
จอมยุทธ์ทุกคนต่างพากันส่ายหัว และคิดว่าเป็นเพียงคำแนะนำที่ไร้สาระ
จะกลัวก็กลัวไป คนคนนี้ไม่เพียงขี้ขลาดเท่านั้น เพื่อจะรักษาหน้า ถึงกับพูดจาลึกลับอวดความสามารถสั่นคลอนคนอื่น
กงซุนซิ่วส่ายศีรษะ ยกจอกสุรากล่าว “ดื่มสุรากันเถอะ”
นางเองก็รู้สึกผิดหวังอยู่แล้ว การพูดและบรรยากาศรอบตัวของคนคนนั้นล้วนแตกต่างกับชาวยุทธ์ธรรมดาทั่วไป
หลังจากทุกคนลบเหตุการณ์ออกจากสมอง ก็ร่ำสุราพลางพูดคุยกันต่อ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียง ‘ซ่าๆ’ อย่างหนัก กงซุนซิ่วที่อยู่ข้างในกับเหล่าจอมยุทธ์ต่างมองไปที่ทะเลสาบกันอย่างตกตะลึง
ทะเลสาบเริ่มเกิดระลอกคลื่นอย่างหนาแน่น เสียงฝนตกหนักกลางฤดูใบไม้ร่วงสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้คน
‘นี่มัน…’ กงซุนซิ่วดวงตาเบิกโพลง
ภายในห้องโถงเงียบสงัดโดยพลัน
……………………………………………