ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 502-2 ผีดิบ 'เขาอยู่ที่ใด' (2)
บทที่ 502 ผีดิบ ‘เขาอยู่ที่ใด’ (2)
เสียงกรีดร้องเหมือนเสียงเด็กทารกดังออกมาจากในถ้ำ พร้อมกับเงาดำที่ถูกลากออกมา พายุฝนซัดกระหน่ำ เปลวไฟวูบไหว เผยให้เห็นใบหน้าของวิญญาณร้ายตนนี้
ขนาดลำตัวของมันยาวประมาณหนึ่งจั้ง รูปร่างคล้ายกิ้งก่า ทั้งตัวถูกปกคลุมด้วยผิวหนังหนา มีใบหน้าคล้ายคลึงกับมนุษย์ ดวงตาสองข้างเป็นสีขาวนวล ขุ่นมัว สายตาดูย่ำแย่อย่างมาก
เลือดสีดำไหลออกมาจากปากของมัน ตะขอเหล็กฝังลึกเข้าไปในเพดานปากของมัน
วิญญาณร้ายที่ถูกเปลวไฟสาดส่อง ส่งเสียงหวีดร้องเหมือนเสียงเด็กทารกขึ้น พยายามหันหลังหนีกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง
“โยนตาข่าย!”
กงซุนซิ่วตะเบ็งเสียงสั่งการ
บุตรหลานตระกูลกงซุนที่เตรียมตัวพร้อมอยู่แล้ว เหวี่ยงตาข่ายในมือออกไป คลุมทับวิญญาณร้ายตนนั้น
แคว่ก แคว่ก…สัตว์ประหลาดพลังเหลือล้น ใช้กรงเล็บฉีกทึ้งตาข่ายเหล็ก จนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่ มันหลุดออกมาจากตาข่าย และหลบหนีเข้าไปในถ้ำ
มันรู้สึกถึงอันตราย จึงระเบิดพลังมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
กงซุนซิ่วซวนเซ เกือบจะถูกมันลากไปด้วย ใบหน้างดงามของหญิงสาวผู้เข้าสู่ขั้นสลายแรงตั้งแต่อายุยังน้อยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เส้นเลือดเขียวคล้ำปูดขึ้นบนหน้าผากเรียบเนียน
นางยกขาขึ้น เกี่ยวเชือกและพันรอบขาหลายวง ก่อนจะเหยียบลงไปอย่างแรง
หัวของวิญญาณร้ายถูกกระชากขึ้นมาอย่างกะทันหัน เลือดสีดำพุ่งทะลักออกจากปากของมันยิ่งกว่าเดิม
กงซุนเซี่ยงหมิงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ฉวยโอกาสนี้ คำรามลั่น ชักดาบเหล็กออกมา โคจรพลังปราณ และแทงเข้าที่ลำคอไร้เกราะหนังหนาปกคลุมของวิญญาณร้าย ซึ่งเป็นจุดอ่อนไร้การป้องกันของมัน
ม่านพิรุณถูกตัดขาดออกจากกันในชั่วพริบตา
หยาดฝนตกกระทบดาบ ส่งเสียงฉ่าๆ และระเหยกลายเป็นไอ ราวกับตกกระทบแผ่นเหล็กร้อนระอุ
‘พรวด!’
ดาบเหล็กแทงเข้าที่คอของวิญญาณร้าย เลือดสีดำสดๆ พุ่งกระฉูด ราวกับน้ำพุร้อนใต้ดิน
“วี้ด…”
วิญญาณร้ายส่งเสียงร้องโหยหวน หางเรียวยาวทรงพลังของมันสะบัดไปทั่ว ฟาดเข้าที่หน้าอกของกงซุนเซี่ยงหมิง จนเกิดเสียง ‘ปัง’ ดังสนั่น ร่างของเขาลอยละลิ่วไปไกลเหมือนกับว่าวที่เชือกขาด
กระดูกเหล็กผิวทองแดง!
วิญญาณร้ายที่จนตรอกอย่างหนักทวีความเดือดดาล มันไม่คิดหนีอีกต่อไป แต่กลับหันมากางแขนขาทั้งสี่ออก กลายร่างเป็นเงาดำพุ่งเข้าใส่กงซุนซิ่ว
กงซุนซิ่วผู้มีลางสังหรณ์ถึงวิกฤตของจอมยุทธ์กลิ้งตัวหลบไปด้านข้างได้อย่างสวยงาม จอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณสองคนด้านหลังของนางก็เช่นกัน ทว่าอีกสามคนที่เหลือหลบไม่พ้น เนื่องจากไม่มีอิทธิฤทธิ์ของจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณ ไม่อาจคาดเดาการเคลื่อนไหวล่วงหน้าได้
พวกเขากระดูกหักตายคาที่
หลังจากกงซุนซิ่วกลิ้งตัวไปไม่กี่รอบ ก็ดีดตัวขึ้นโดยไม่มีสะดุด มีเพียงจอมยุทธ์ขั้นสลายแรงเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติเช่นนี้ นางคว้าไหจากมือของจอมยุทธ์คนหนึ่ง และเตะอัดใส่ร่างของวิญญาณร้าย
จอมยุทธ์คนอื่นทำตามเป็นชุด
‘เพล้ง เพล้ง เพล้ง!’
ไหแตกละเอียดเมื่อกระทบเข้ากับผิวหนังหนาของวิญญาณร้าย น้ำมันก๊าดชุ่มโชกร่างของมันทั้งร่าง
กงซุนซิ่วถือคบเพลิงไว้ในมือ วิ่งตรงเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ในระหว่างนั้น จู่ๆ นางก็คุกเข่า เอนหลัง ไถลตัวลอดผ่าน ประจบเหมาะกับวิญญาณร้ายกางแขนขาออก หมายจะตะปบกงซุนซิ่วให้ตาย
สองร่างเคลื่อนผ่านกันไป โดยที่ร่างหนึ่งอยู่ด้านบน และร่างหนึ่งอยู่ด้านล่าง
สัญชาตญาณจอมยุทธ์ทำให้นางคาดเดาการโจมตีของวิญญาณร้ายได้
กงซุนซิ่วยกคบเพลิงขึ้นอย่างใจเย็น ตวัดผ่านช่องท้องของมัน จุดน้ำมันก๊าด และแล้วเปลวไฟก็ลุกท่วมร่างของวิญญาณร้าย
น้ำฝนไม่สามารถดับเพลิงจากน้ำมันก๊าดได้ วิญญาณร้ายกรีดร้องทรมาน กลิ้งตัวไปมาในแอ่งโคลนอย่างทุรนทุราย พยายามจะดับไฟที่โหมกระหน่ำบนร่างของมัน
กงซุนซิ่วออกคำสั่งอย่างใจเย็น “หอก!”
จอมยุทธ์จำนวนสิบกว่ารายดึงหอกที่เตรียมไว้ออกมา บิดเอวเหวี่ยงแขน เขวี้ยงออกไปอย่างแรง
ท่ามกลางเสียงหอกพุ่งผ่าน หอกบางเล่มแทงทะลุผิวหนังที่บางลงด้วยเปลวไฟ ฝังเข้าไปในตัวของวิญญาณร้าย หอกบางเล่มถูกผิวหนังหนาต้านทานเอาไว้ได้
ในไม่ช้า วิญญาณร้ายก็ถูกหอกแทงทั่วร่างจนมีสภาพเหมือนตัวเม่น มันค่อยๆ หยุดดิ้น เปลวไฟยังคงลุกไหม้ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้และกลิ่นสาปอันแปลกประหลาดลอยคละคลุ้งขึ้นในอากาศ
วิญญาณร้ายตนนี้เต็มไปด้วยพิษ ยามที่ศพถูกเผาไหม้กลิ่นที่ส่งออกมาล้วนเป็นพิษเข้มข้น
เสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้นรอบด้าน
บุตรหลานแห่งตระกูลกงซุน พบกงซุนเซี่ยงหมิงอยู่ในพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง น้องชายคนที่หกของผู้นำตระกูลผู้นี้ ได้รับบาดเจ็บภายในไม่น้อย แสงเทวะส่องแสงเรื่อๆ บนผิวหนัง อีกนิดเดียวกระดูกเหล็กผิวทองแดงก็จะถูกทำลายลงแล้ว
“ท่านอาหก เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ”
กงซุนซิ่วที่เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยโคลน พุ่งเข้ามาไต่ถามอาการ
“พักฟื้นสักครึ่งชั่วยามก็ดีขึ้นแล้ว”
กงซุนเซี่ยงหมิงกลืนยาอายุวัฒนะเข้าไปสองสามเม็ด ก่อนจะกลับไปฝึกลมหายใจรักษาอาการบาดเจ็บในกระโจม
คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลกงซุนผู้โดดเด่นในการต่อสู้เมื่อสักครู่ นำนักพรตเฒ่าชิงกู่และคนอื่นๆ เข้าไปสำรวจซากศพวิญญาณร้ายที่ถูกเผาไหม้ไปกว่าครึ่งหนึ่ง
“ทุกคนปิดปากปิดจมูกไว้ให้ดี วิญญาณร้ายตนนี้มีพิษร้ายแรงมาก”
นักพรตเฒ่าชิงกู่ฉีกชายเสื้อเปียกชื้นออก ยกขึ้นปิดจมูกด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างถือคบเพลิง เข้าไปตรวจสอบซากศพตัวประหลาด
ทุกคนทำตาม ห้อมล้อมเข้าไปสำรวจรอบศพ
“นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน”
“ไม่มีการข่มขู่ล่วงหน้า ไม่มีแก่นปีศาจ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่พวกเผ่าพันธุ์ปีศาจ ทว่าความเร็วและพละกำลังนั้นเหนือกว่าจอมยุทธ์ระดับหลอมวิญญาณไปมาก”
“ไม่สิ มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงอีกนี่ ไม่เห็นหรือว่ามันฟาดท่านอาหกลอยกระเด็นออกไปไกลลิ่ว หากโจมตีตามลำพัง น่ากลัวว่าท่านพี่ซิ่วก็คงสู้มันไม่ได้”
ท่ามกลางเสียงสนทนา กงซุนซิ่วหันไปถามความคิดเห็นของนักพรตเฒ่าชิงกู่ “ท่านนักพรตคิดเห็นเช่นไรบ้าง”
นักพรตเฒ่าชิงกู่ขบคิดก่อนจะกล่าว
“เจ้านี่น่าจะเป็นอสุรกายพิทักษ์สุสาน อยู่ใต้ดินมาช้านาน มันเพิ่มจำนวนและกลายพันธุ์จากรุ่นสู่รุ่น จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดชนิดใหม่โดยสิ้นเชิง ไม่อาจสืบเสาะได้ว่าต้นตอบรรพบุรุษของมันคือตัวอะไร
“อสุรกายพิทักษ์สุสานยังแข็งแกร่งขนาดนี้ อย่าได้ประมาทเจ้าของสุสานเชียว”
ทุกคนต่างหวาดหวั่นและตื่นเต้นในคราวเดียวกัน ความเสี่ยงนั้นแปรผันตรงกับผลประโยชน์ ยิ่งเสี่ยงมาก กำไรก็ยิ่งมากขึ้น แน่นอนว่า หากมองในมุมกลับ พวกเขาอาจจะต้องเผชิญกับอันตรายที่หนักหนาสาหัสมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อกงซุนเซี่ยงหมิงที่รักษาอาการบาดเจ็บภายในจนดีขึ้นแล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็จุดคบเพลิง หยิบอาวุธ เครื่องไม้เครื่องมือ เรียงแถวเตรียมเข้าไปในสุสานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
กลุ่มสำรวจมีทั้งสิ้นสิบแปดคน ตบะระดับต่ำสุดในกลุ่มยังอยู่ในขั้นหลอมปราณ ระดับสูงสุดคือขั้นห้าสลายแรง ซึ่งก็คือกงซุนซิ่ว
ในยุทธภพนั้น ความแข็งแกร่งของพวกพ้องระดับนี้ สามารถตั้งตนเป็นเจ้าผู้ครองเมืองได้เลยทีเดียว
อาวุธมีทั้งหอก น้ำมันก๊าด ตาข่ายลวด โซ่ตรวน ผงไล่แมลง รวมไปถึงวัตถุที่มีพลังหยางรุนแรงเช่นเลือดสุนัขดำ
เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ทุกคนก็ยกคบเพลิงขึ้น เดินตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ พลางสอดส่องรอบด้าน
ยิ่งเดินลึกเข้าไป พวกเขาก็ยิ่งแปลกใจ เดิมที่คิดว่าส่วนที่ถล่มน่าจะมีเพียงส่วนเดียว แต่เมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็ปรากฏร่องรอยของการถล่มออกมาให้เห็นเรื่อยๆ หากไม่ได้เห็นกำแพงหินชิงกังรอบด้าน พวกเขาคงคิดว่าตนเองมาผิดที่เสียแล้ว
“ดูเหมือนว่าการถล่มจะลามไปทั่ว ฝังกลบหลุมฝังศพจำนวนมากไปหมดเลย”
กงซุนซิ่วถือคบเพลิง ก้าวผ่านวังใต้ดินที่เต็มไปด้วยก้อนหินกระจัดกระจาย
“หลายปีมานี้ไม่มีแผ่นดินไหวในยงโจว อยู่ดีๆ จะถล่มลงมาได้อย่างไร”
กงซุนเซี่ยงหมิงขมวดคิ้วแน่น
เดินสำรวจต่อไปไม่นาน พวกเขาก็มาถึงสุสานที่ถล่มลงมาครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งของสุสานถูกฝังกลบอยู่ใต้กองหิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเรียงรายด้วยโลงศพหิน รอบๆ โลงศพมีชิ้นส่วนแขนขา ศีรษะขาดวิ่น ตกกระจายไปทั่ว
ชิ้นส่วนแขนขาดังกล่าวมีลักษณะผอมแห้งเป็นสีดำ ผิดจากแขนขามนุษย์ปกติ
“มันคือผีดิบ…”
นักพรตเฒ่าชิงกู่ขมวดคิ้ว “เดาว่าน่าจะถูกวิญญาณร้ายขุดขึ้นมากิน”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงกงซุนซิ่วเอ่ยขึ้น พร้อมทำหน้าเคร่งเครียด “ไม่ใช่ รอยแผลบนมือข้างนี้ดูเรียบกริบ มันถูกตัดด้วยของมีคม”
กงซุนเซี่ยงหมิงวิเคราะห์ “อาจจะเกิดจากกรงเล็บของวิญญาณร้ายก็ได้”
กรงเล็บของวิญญาณร้ายแหลมคมไม่ด้อยไปกว่าดาบเหล็กชั้นดี
กงซุนซิ่วพยักหน้าเป็นการยอมรับความคิดดังกล่าว ทุกคนสำรวจมาพักหนึ่ง แต่ก็ไม่พบสมบัติที่ฝังมาพร้อมกับศพ
หลังจากเดินต่อไปอีกหนึ่งเค่อ จนแล้วจนรอดพวกเขาก็ไม่พบวิญญาณร้ายตัวที่สองสักที บรรยากาศเงียบสงบจนผิดสังเกต
จนกระทั่งประตูหินสูงตระหง่านหลายจั้งปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
เสี้ยวขณะที่พวกเขาพบกับประตูหินบานนี้ ทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ดูจากขนาดของประตู ก็เดาได้ไม่ยากว่าด้านหลังประตูบานนี้ คือ ‘ห้องนอน’ ของเจ้าของสุสานอันมโหฬารแห่งนี้
กงซุนซิ่วหยุดเดิน ส่งสายตาไปทางจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณสองคน ออกคำสั่งให้ไปเปิดประตูหิน
จอมยุทธ์ในขั้นนี้มีสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมและสามารถหลีกเลี่ยงกับดักและอันตรายได้อย่างคล่องแคล่ว
ครืน ครืน…
ประตูหินค่อยๆ เปิดออก จอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณสองคนยกคบเพลิงขึ้น หันกลับมาเอ่ยว่า “ปลอดภัย!”
กงซุนซิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก นำขบวนที่อดใจรอไม่ไหว เดินผ่านประตูหินเข้าไป
นางสังเกตสภาพของคบเพลิงก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อเห็นว่าแสงของคบเพลิงหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่สภาพเดิมนางก็โล่งอก ดูเหมือนว่าเป็นเพราะสุสานถล่ม ทำให้มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ต้องกังวลว่าจะหายใจไม่ออก
จากนั้นเมื่อแสงจากคบเพลิงสาดส่องไปยังเบื้องหน้า นางก็ตัวแข็งทื่อทันที
เบื้องหน้าไร้ซึ่งหนทาง หากพูดให้ถูกต้อง มันไม่มีหนทางในแบบที่นางจินตนาการเอาไว้
ก้อนหินขนาดใหญ่และเล็กเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้นทางเดินที่แตกหัก ก้อนหินที่ทับถม ชวนให้รู้สึกเหมือนเศษหินปะปนกับหินแร่ ไม่ใช่สุสาน
“ที่นี่ก็ถล่มด้วยหรือ”
จอมยุทธ์คนหนึ่งกดเสียงต่ำ
“เอาไหน้ำมันมา!”
กงซุนซิ่วรับไฟน้ำมันมาจากสมาชิกตระกูลคนหนึ่ง นางแหย่คบเพลิงเข้าใกล้ปากไหน้ำมัน จากนั้นก็ขว้างออกไปจนสุดแรง
‘ตู้ม!’
ไหน้ำมันระเบิดกลางอากาศ น้ำมันก๊าดที่อยู่ภายในกระเด็นไปทุกที่ เกิดเป็นประกายไฟพร่างพราว กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง
ทั้งสุสานสว่างวาบขึ้นมา จังหวะนี้ทุกคนมองเห็นสภาพของสุสานได้อย่างชัดเจน ที่นี่เกิดการถล่มลงมาจริงๆ ดูจากสภาพแล้ว หากบอกว่าเป็นถ้ำหินยังจะน่าเชื่อกว่าสุสานเสียอีก
นอกจากกองหินที่ทับซ้อนกัน และกำแพงหินขรุขระ ภายในสุสานหลักก็ไม่มีอะไรอีก
ทันใดนั้น รูม่านตาของกงซุนเซี่ยงหมิงก็หดลงเล็กน้อย เขากดเสียงกระซิบต่ำ “นั่นอะไร”
กลุ่มคนทั้งหมดมองตามสายตาของเขาไป เห็นร่างดำทะมึนร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในเงามืดไกลออกไป เปลวไฟจากการระเบิดเมื่อครู่ค่อยๆ ริบหรี่ ดับวูบลง ไม่อาจส่องแสงไปถึงจุดที่ไกลออกไปได้
กงซุนซิ่วตอบสนองทันที นางขว้างคบไฟในมือออกไปโดยอาศัยประสาทสัมผัสด้านทิศทางของตน คบเพลิงหมุนคว้าง และลอยออกไปไกล ก่อนจะตกสู่พื้นดิน และสาดประกายแวววาวออกมา
มันตกลงตรงหน้าร่างดำทะมึนร่างนั้นพอดีโดยหาใช่โชคช่วย
การควบคุมแรงของจอมยุทธ์ขั้นสลายแรง เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
แสงไฟจากคบเพลิงเผยใบหน้าที่แท้จริงของร่างนั้นออกมา เขาสวมชุดคลุมสีเหลืองขาดรุ่งริ่ง ยากที่จะบ่งบอกว่ามาจากยุคสมัยใด ศีรษะมีเส้นผมหร็อมแหร็ม ผิวหนังแห้งเหี่ยวติดกระดูก ออกสีดำคล้ำ
จมูกของเขาเหลือเพียงรูจมูกสองรู หลับตาแน่นิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
นี่เป็นศพที่มีอายุเก่าแก่มากแล้ว มันไม่ได้นอนอยู่ในโลงทว่ากลับนั่งขัดสมาธิท่ามกลางซากปรักหักพัง
‘ผีดิบหรือ’
‘ไม่สิ ผีดิบจะเข้าใจการนั่งสมาธิได้อย่างไร…หรือว่านี่จะไม่ใช่ผีดิบธรรมดา’…ขณะที่กงซุนซิ่วผู้มีทักษะการต่อสู้สูงส่งกล้าหาญกำลังนำขบวนเข้าไปใกล้ๆ
ทว่าศพแห้งร่างนั้นกลับลืมตาขึ้นมาเองโดยไม่คาดคิด ลูกตาสีดำคล้ำฝังอยู่ในเบ้าตาที่กลวงโบ๋เล็กน้อย
เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตบุกเข้ามาในอาณาเขตของตน ดวงตาสีดำก็ฉายแสงแดงก่ำ ศพแห้งอ้าปาก และสูดลมเข้าไปเฮือกใหญ่
ทันใดนั้น พายุหมุนก็โหมกระหน่ำ ปากของศพแห้งเป็นดั่งวังน้ำวนที่ดูดกลืนทุกสิ่งอย่างเข้าไปในตัวของมัน
รวมถึงกงซุนซิ่ว จอมยุทธ์ทั้งสิบแปดคนต่างก็รู้สึกถึงพลังอันน่ากลัวที่ตอกตรึงตนเอง ดึงร่างของพวกเขาให้ขยับเข้าไปใกล้เจ้าศพแห้ง
‘ปะ เป็นผีดิบที่น่ากลัวเหลือเกิน ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ธรรมดาจะต้านทานได้เลย’…หัวใจของกงซุนซิ่วสั่นสะท้าน ความหวาดกลัว ความตกใจ ความเสียใจผสมปนเปกันหมด จากนั้นนางก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังหลุดลอยออกไปจากร่างกาย
นางพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก เมื่อหันมองไปด้านข้าง ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง
ร่างกายของสหายรายหนึ่งที่อยู่ข้างๆ แห้งเหี่ยวลงไปอย่างรวดเร็ว ผิวหนังเหี่ยวย่นติดกระดูก เพียงสิบอึดใจก็กลายสภาพเป็นศพแห้ง ปราณโลหิตทั่วร่างเหือดหายจนสิ้น
คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ สูญเสียปราณโลหิตไปไม่มากก็น้อย พวกที่ตบะแข็งแกร่งอย่างกงซุนซิ่วยังสามารถอดทนได้ระยะหนึ่ง
ส่วนผู้ที่มีตบะต่ำ พวกสามสิบอึดใจ ก็ถูกสูบพลังปราณจนร่างกายแห้งเหี่ยว
ศพแห้งที่ได้รับแก่นโลหิตเติมพลังทวีความแข็งแกร่งขึ้น พายุหมุนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสองคน เป็นสามคน สี่คน… ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
คนที่ยังมีชีวิตอยู่ยิ่งหวาดผวาขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของกงซุนเซี่ยงหมิงเบิกกว้าง ลูกตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ ร่างกายกระตุกเกร็ง พยายามต้านทานจนสุดกำลัง ทว่ากลับไร้ประโยชน์ ปราณโลหิตถูกสูบกลืนอย่างบ้าคลั่ง
เขาท่องไปในยุทธภพมาหลายปี ไม่เคยพบเจอผีดิบที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้มาก่อน และยังไม่เคยประสบกับความรู้สึกไร้อำนาจ และหวาดกลัวมากเช่นนี้มาก่อน
เฝ้าดูตนเองตายอย่างช้าๆ
เนื่องจากนักพรตเฒ่าชิงกู่ไม่ใช่จอมยุทธ์ เขาจึงโชคดีพอที่จะอยู่รอดเป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม แต่อย่างไรก็หลีกหนีชะตากรรมของตนเองไม่ได้ เขาแก่ลงไปสิบปีโดยฉับพลัน สภาพกลายเป็นเหมือนคนแก่ใกล้ตาย
‘จะ จะต้องมาตายที่นี่หรือ’…ความสิ้นหวังในใจของกงซุนซิ่วท่วมท้น ทันใดนั้นนางก็นึกถึงชายในชุดดำที่เพิ่งเจอเมื่อตอนกลางวัน และจำสิ่งที่เขาเตือนได้ ว่าวังใต้ดินอันตรายมาก
ตอนนี้เป็นจริงแล้ว
‘ชะ ใช่แล้ว เขาเคยบอกว่า หากพบเจออันตรายที่ไม่อาจคลี่คลายได้ในสุสานหลัก…’ กงซุนซิ่วไม่มีทางเลือก จึงไขว่คว้าฟางเส้นสุดท้าย ตะโกนลั่นว่า
“เจ้าลืมสัญญากับคนผู้นั้นไปแล้วหรือ!”
ประโยคดังกล่าวคล้ายจะมีพลังอำนาจใดแอบแฝงเอาไว้ ทำให้พายุหมุนอันน่าสะพรึงกลัวสงบลง ปราณโลหิตไม่ถูกสูบออกไปอีก
จอมยุทธ์เก้าคนที่รอดตาย รวมถึงนักพรตเฒ่าหนึ่งคน ต่างเข่าทรุดลงไปกองกับพื้น
“รอด รอดแล้ว?!”
กงซุนเซี่ยงหมิงทั้งประหลาดใจระคนยินดี ความสุขจากการรอดพ้นจากสถานการณ์สิ้นหวังท่วมท้น พร้อมกับความสับสนงุนงง
คนอื่นๆ เองก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน ไม่เข้าใจว่าผีดิบผู้ชั่วร้ายตนนี้เหตุใดจึงเกิดจิตเมตตาขึ้นมา
‘ดะ ได้ผลจริงๆ’…กงซุนซิ่วเบิกดวงตาคู่งาม เต็มไปด้วยความรู้สึกยากจะเชื่อ
“คนที่ทำสัญญากับข้ามีอยู่เพียงไม่กี่คน ในยุคสมัยนี้มีเขาแต่เพียงผู้เดียว เจ้ามีความสัมพันธ์อันใดกับเขา…”
ศพแห้งจดจำพันธสัญญาที่ชายหนุ่มผู้นั้นเคยให้ไว้กับเขาได้ สิบปีให้หลังจะหวนกลับมา คืนโชคชะตาให้แก่เขา ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
“เขาอยู่ที่ใด เขาฝากสิ่งของอะไรมาให้ข้าหรือไม่ เขาฝากสิ่งของอะไรมาให้ข้าหรือไม่…! สาวน้อย ตอบข้ามาให้ไว!”
……………………………………………….