ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 503 เทพเซียน
บทที่ 503 เทพเซียน
เสียงคำรามของเฉินสยงดังก้องอยู่ในหู ผสานกับการข่มขู่ที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้กงซุนซิ่วตัวสั่นไปทั้งร่าง ริมฝีปากสั่นเทาจนพูดไม่ออก แต่จิตใจของนางกลับคล่องตัวผิดปกติ ความคิดผันผวนอย่างรวดเร็ว ถ้าเดาไม่ผิด ‘เขา’ ที่ซากศพร่างนี้พูดถึงน่าจะเป็นชายชุดดำท่านนั้น หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับชายชุดดำ อย่างเช่น บรรพบุรุษ หรือท่านอาจารย์ผู้อาวุโส…
ในบรรดาคนบนโลกนี้ มีเพียง ‘เขา’ เท่านั้นที่มีข้อตกลงกับซากศพแห้ง ตัวตนของซากศพร่างนี้ และชายชุดดำท่านนั้นคืออะไรกันแน่ จะต้องมีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
‘ดูจากท่าทางของซากศพนี้ ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับของบางสิ่งบางอย่าง เขาคิดว่าชายชุดดำนำของมาให้ข้ารึ? แต่ แต่ข้าไม่มี…หากบอกความจริงกับเขาอย่างตรงไปตรงมา จะถูกคิดว่าเป็น ‘คำพูดเพ้อเจ้อ’ อันไร้ประโยชน์ และถูกฆ่าตายด้วยประการฉะนี้หรือไม่?’
‘มันจะฆ่าพวกเราทุกคน เนื่องจากความโกรธและเดือดดาลหรือไม่…’
กงซุนซิ่วคิดมากในทันใด และครุ่นคิดว่าจะจัดการกับซากศพ และเอาชีวิตรอดจากหายนะครั้งนี้อย่างไร
กงซุนเซี่ยงหมิงและทหารที่เหลือไม่รู้ว่ามีความผันผวนเกิดขึ้นในนั้น เห็นเพียงคำพูดประโยคเดียวของหลานสาวช่วยชีวิตทุกคนไว้ ทำให้ซากศพที่น่าสะพรึงกลัวนี้แสดงอารมณ์ขุ่นหมองออกมาอย่างชัดเจน
พวกเขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาเช่นนี้ จะมีปริศนาอะไรอยู่ในนั้น
กงซุนเซี่ยงหมิงหน้าซีดเผือด เขาหอบพักหายใจสองสามวินาที ก่อนจะคิดอะไรขึ้นได้อย่างกะทันหัน พลางหันไปมองนักพรตเฒ่าชิงกู่ และทหารจำนวนหนึ่งที่ข้ามทะเลสาบมาเมื่อตอนเที่ยง
ดูเหมือนซิวเอ๋อร์ หรือยอดฝีมือลึกลับที่บังเอิญพบในทะเลสาบท่านนั้นจะเป็นคนกล่าวประโยคนี้…
กงซุนเซี่ยงหมิงเห็นนักพรตเฒ่าชิงกู่และทหารจำนวนหนึ่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคิดไม่ผิด
และในเวลานี้ กงซุนซิ่วก็ตัดสินใจแล้ว นางวางแผนจะเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าสิ่งนี้จะเน้นให้เห็นถึงความ ‘เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ’ ของตนเอง และทำให้ซากศพผิดหวัง แต่ภายใต้ความไม่ชัดเจนว่าซากศพมีวิธีที่จะแยกแยะคำโกหกหรือไม่ ความซื่อสัตย์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ยังมีพื้นที่สำหรับทางหนีทีไล่
นอกจากนี้ นางยังเชื่อสุดหัวใจว่า เมื่อชายชุดดำท่านนั้นกล่าวเพียงประโยคนี้ โดยไม่ได้อธิบายสิ่งอื่น แน่นอนว่าเขาย่อมมั่นใจว่าประโยคนี้จะมีแรงผูกมัดกับซากศพเป็นพิเศษ
“ผะ ผู้อาวุโส…” ริมฝีปากของกงซุนซิ่วไม่ค่อยกระฉับกระเฉง และกล่าวตะกุกตะกักว่า “ยอดฝีมือท่านหนึ่งที่ศิษย์น้องบังเอิญพบตอนข้ามทะเลสาบวันนี้เป็นผู้กล่าวประโยคนี้ เขารู้ว่าข้าต้องสำรวจสุสานหลัก จึงพูดว่า หากพบวิกฤตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในหลุมฝังศพ…ให้กล่าวประโยคสั้นๆ นี้รอบหนึ่ง” หลังจากนั้นก็มองซากศพอย่างระมัดระวัง สังเกตการตอบสนองของมัน
หลังจากซากศพแห้งได้ยิน ใบหน้าซีดเซียวก็แสดงความผิดหวังออกมาราวกับมนุษย์
“ก็จริง เขาจากไปไม่ถึงหนึ่งปี แม้จะต้องคืนข้า…ก็คงไม่เร็วเช่นนั้น เป็นข้าเองที่หวังเกินตัว” มันชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความนิ่งเฉยอีกว่า
“เขาให้เจ้าถ่ายทอดประโยคนี้ให้ข้า เพื่อเตือนข้าว่าอย่าพยายามฉกฉวยแก่นโลหิตและเปิดผนึก! วันนั้นเขาปิดผนึกข้าไว้ที่นี่ ทั้งยังเคยให้คำมั่นกับข้าว่าหากไม่ทนรับความเหงาที่นี่ตลอดไป ก็ตายซะ! เฮ้อ ข้าเลือกที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ เอง”
ซากศพที่น่าสะพรึงกลัวและประหลาดร่างนี้ถูกปิดผนึกงั้นรึ? และคนที่ปิดผนึกมัน ก็คือชายชุดดำที่พบกันโดยบังเอิญในทะเลสาบ ไม่ใช่บรรพบุรุษ ไม่ใช่อาจารย์ผู้อาวุโส แต่เป็นชายชุดดำท่านนั้น…
แต่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งปีไม่ใช่รึ? ช้าก่อน…กงซุนซิ่วนึกถึงการพังทลายและการล่มสลาย ณ ที่แห่งนี้ และสภาพการเดินทางตลอดทั้งทาง จู่ๆ นางก็รู้ตื่นตัวขึ้นมา
ในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่มีการเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองยงโจว แต่สุสานหลักแห่งนี้กลับพังทลายอย่างรุนแรง ประกอบกับสิ่งที่ซากศพกล่าวเมื่อสักครู่ กงซุนซิ่วก็เกิดการคาดเดาในใจ
ปีที่แล้ว ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครรู้ ชายชุดดำท่านนั้นเคยมาที่วังสุสานใต้ดิน และต่อสู้กับซากศพแห้งอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของวังสุสานใต้ดิน
โอ้พระเจ้า…กงซุนซิ่วถอนหายใจยาว ความปั่นป่วนพลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจของนาง
‘แล้ว แล้วบุคคลนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านใดกันแน่ น่ากลัวเช่นนี้เลยรึ’
ทหารที่อยู่บนเรือในตอนเที่ยงต่างก็อ้าปากค้างด้วยความหวาดผวา ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าบุคคลที่ชายหนุ่มพวกนั้นพบตอนเที่ยงน่ากลัวอย่างไร
มิน่าเล่า มิน่าเล่าเขาถึงคาดเดาสภาพอากาศล่วงหน้าได้ นั่นเป็นเพียงความสามารถเล็กน้อยที่คาดไม่ถึงของเขา
ถึงแม้นักพรตเฒ่าชิงกู่จะทั้งตกตะลึง ทั้งประหลาดใจ เขาก็เดาได้ว่าชายชุดดำท่านนั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเทพเซียนเช่นนี้
เขาประเมินต่ำเกินไป
“พวกเจ้ายังโชคดี ข้าจะไม่ฆ่าใคร”
“เจ้ามาแล้วสินะ”
ซากศพแห้งดูเหมือนจะเน่าเปื่อยแล้ว น้ำเสียงแหบแห้งไม่น่าฟัง แต่กลับชอบที่จะหัวเราะเยาะ จนทำให้คนที่ได้ยินต่างก็หวาดผวา
มาแล้ว? ใครมา…
หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน และหันกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน แสงสว่างพุ่งลุกโชน สะท้อนร่างที่พร่ามัว ซึ่งปกคลุมไปด้วยโคลนทั้งร่าง พร้อมกับดาบในมือของเขา
“ผ่านมายงโจวพอดี ข้าเลยมาหาเจ้า” ร่างที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่เขาเปิดปากพูด กงซุนซิ่วก็จำเสียงของเขาได้ทันที และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านพี่สวี…”
ทหารจำนวนหนึ่งที่โชคดีพอที่ได้พบยอดฝีมือลึกลับสวีเชียนเมื่อตอนเที่ยง ต่างก็แสดงความปีติยินดี การมาถึงของบุคคลสำคัญเช่นนี้ หมายความว่าพวกเขาย่อมปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตอีกต่อไป
เขาคือยอดฝีมือลึกลับที่ที่ซิ่วเอ๋อร์กล่าวถึง ยอดฝีมือที่ปิดผนึกซากศพ…
กงซุนเซี่ยงหมิงรู้สึกกระจ่างแจ้ง ร่างของสวี่ชีอันหายไปอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางซากศพแห้ง กงซุนซิ่ว และคนอื่นๆ น้ำเสียงของเขามีความกระสับกระส่ายเล็กน้อย ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกอารมณ์ไม่ดี
“ออกไปรอข้าข้างนอกเร็วเข้า”
กงซุนซิ่วและคนอื่นๆ ทั้งกลิ้งทั้งคลานเพื่ออพยพออกไปข้างนอก ราวกับได้รับการนิรโทษกรรม สูญเสียความตั้งใจในการล่าสมบัติไปนานแล้ว
ซากศพแห้งไม่ได้ขัดขวางเขา หลังจากรอให้ทุกคนออกไปแล้ว เขาก็มองสวี่ชีอัน และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า
“เมื่อสักครู่คือวิธีการของเทพเจ้ากู่”
“ถ้าจะพูดให้ถูกคือ วิธีการของเผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้”
สวี่ชีอันแก้คำพูด ก่อนจะกวักมือเรียกคบไฟที่อยู่แทบเท้าขึ้นมา ชูขึ้นสูง เพื่อมอบแสงสว่างให้กับซากศพแห้งที่มีสภาพแห้งเฉาและน่ากลัว
“ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ อยากขอร้องให้เจ้าช่วย อืม รับของบางอย่างจากตัวเจ้า”
เขานั่งขัดสมาธิบนพื้น ชูคบไฟขึ้น และกล่าวว่า “ยืมเล็บ พิษร้าย และกลิ่นอายศพของเจ้ามาใช้”
ซากศพแห้งกล่าวว่า “เจ้าต้องการอาวุธเวทมนตร์งั้นรึ?”
สวี่ชีอันพยักหน้า
ซากศพแห้งในชุดคลุมสีเหลืองที่ขาดรุ่งริ่งไม่ได้ตอบสนอง แต่จ้องเขาตาเขม็งในทันใด แสงสว่างฉายชัดในดวงตาทมิฬ “เจ้าถูกปิดผนึกแล้ว”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตาดีจริงๆ”
สมแล้วที่เป็นร่างของยอดฝีมือขั้นหนึ่งเป็นอย่างน้อย ด้วยบุคลิกภาพเช่นนี้ กวาดตามองเพียงแวบเดียวก็เห็นปัญหาเกี่ยวกับสภาพร่างกายของข้า
ดวงตาของซากศพแห้งสั่นไหวเล็กน้อย
สวี่ชีอันยิ้มอย่างเมินเฉยและกล่าวว่า “ข้าพยายามเลียนแบบนายท่านของเจ้า ดังนั้น ข้าจึงสังหารจักรพรรดิและประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิ แต่ข้าบังเอิญถูกโหรขั้นหนึ่งและท่านโหราจารย์ลอบฆ่า ตอนนี้ฐานการฝึกฝนของข้าจึงถูกปิดผนึก”
ในขณะที่พูด สวี่ชีอันก็ปลดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นตะปูที่ฝังอยู่บนร่างของตนเอง
“เจ้า?”
สีหน้าของซากศพแห้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย “แล้วสัตว์ประหลาดในร่างของเจ้าเล่า? ทำไมเขาไม่ออกมาพบข้า”
สิ่งที่ซากศพแห้งให้ความสนใจอย่างแท้จริงคือเทพเสินซู ไม่ใช่ฐานะผู้ถูกอาศัยอย่างสวี่ชีอัน แต่หลังจากมองตะปูเหล่านี้แล้ว เขาก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติในทันใด
‘เด็กคนนี้จะต้านทานผนึกร้ายแรงเหล่านี้ด้วยความสามารถของตนเองได้อย่างไร?’
“เขาหลับสนิทแล้ว หลังจากฆ่าจักรพรรดิวันนั้น ข้าก็ร่วมมือกับเขาต่อสู้กับโหรขั้นหนึ่ง แต่พ่ายแพ้ ข้าถูกปิดผนึก เขาก็จมสู่ห้วงนิทรา จริงสิ…”
สวี่ชีอันยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ข้าเลื่อนสู่ขั้นสามเป็นร่างอมตะแล้ว”
“ร่างอมตะ มิน่าล่ะ…”
มิน่าเขาได้รับการปิดผนึกเช่นนี้ แต่กลับยังกระโดดโลดเต้นอยู่ได้
สีหน้าของซากศพแห้งสับสนเล็กน้อย ตอนแรก ฐานการบำเพ็ญของเด็กคนนี้ตื้นเขินมาก เป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่ง
นี่ผ่านไปนานเท่าใด?
เขาก้าวเข้าสู่ขั้นสาม เข้าสู่ดินแดนแห่งร่างอมตะแล้ว
เขาพิจารณาสถานะของตนเองในตอนนี้อยู่ครู่หนึ่ง พลังส่วนใหญ่ถูกปิดผนึกหมดแล้ว โดยพื้นฐานเขาไม่มีทางต่อสู้กับทหารขั้นสามได้อย่างแน่นอน ถึงแม้เด็กคนนี้จะถูกปิดผนึกเช่นกัน แต่สัตว์ประหลาดที่หลับใหลอยู่ในร่างกายนั้น ถ้าตื่นขึ้นมา…
ประสิทธิภาพของซินกู่ใช้ได้ทีเดียว ถึงแม้จะแนะนำเพียงเล็กน้อย และไม่ถึงขั้นควบคุมก็ตาม…สวี่ชีอันกล่าวพึมพำในใจ แต่ภายนอกของเขายังคงสงบนิ่ง
“ข้าจะไม่เอาของของเจ้าไปมือเปล่า ข้าจะลองช่วยเจ้าตามหานายท่านของเจ้า ความจริงแล้ว หลังจากวันนั้น ข้าก็ให้ความสนใจกับนายท่านของเจ้า และตรวจสอบราชวงศ์ต้าเหลียงมาโดยตลอด “
สวี่ชีอันใช้ซินกู่นำทางอีกครั้ง
ดวงตาของซากศพแห้งสว่างวาบ ความสนใจทั้งหมดของมันถูกดึงไปที่หัวข้อนี้
นี่ไม่ใช่เพราะซินกู่มีความสามารถอันทรงพลัง แต่เป็นเพราะซากศพแห้งให้ความสนใจกับข้อหัวที่คล้ายกันนี้มากที่สุด ซินกู่เพียงทำหน้าที่สนับสนุนเท่านั้น ทำให้สนใจสิ่งที่สนใจอยู่แล้วมากขึ้น กังวลสิ่งที่กังวลอยู่แล้วมากขึ้น เพื่อไม่ให้เสียสมาธิไปเรื่องอื่น อย่างเช่น การแทงข้างหลังสวี่ชีอัน
“ประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ต้าเหลียงอยู่ในสมัยโบราณ เป็นยุคที่เทพและปีศาจสิ้นสุดลงและถือกำเนิดเผ่ามนุษย์ทั้งสองเผ่าขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทายาทของเทพและปีศาจสร้างหายนะให้กับจิ่วโจว ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์นั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวายและความโกลาหล ลัทธิขงจื๊อไม่เคยปรากฏตัวขึ้น ไม่หลงเหลือหนังสือประวัติศาสตร์ที่บันทึกรายละเอียดอย่างที่ควรจะเป็น”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างฉะฉาน “แต่ว่า พวกเรายังสามารถอนุมานได้จากแง่มุมอื่นอีกมากมาย อย่างเช่น หลังจากนายท่านของเจ้าสลัดร่างเก่าทิ้ง และสร้างร่างใหม่ จุดสิ้นสุดมีเพียงสองทาง หนึ่ง เขาตายไปนานแล้ว สอง เขาเปลี่ยนเสื้อกั๊กไปแล้ว”
ซากศพแห้งขมวดคิ้ว “เปลี่ยนเสื้อกั๊ก? พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เปลี่ยนเสื้อกั๊กหมายถึงการเปลี่ยนตัวตน อย่างเช่น สวีเชียนเป็นเสื้อกั๊กของข้า บางเวลา สวี่เอ้อร์หลางก็เป็นเสื้อกั๊กของข้า…” สวี่ชีอันกล่าว
“เจ้าน่าจะรู้กฎที่ว่า ผู้ที่ได้รับโชคชะตาไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้กระมัง?”
“ผู้ที่ได้รับโชคชะตาไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้…” ซากศพแห้งกล่าวพึมพำกับตนเอง และส่ายศีรษะ
“เจ้าไม่รู้ นั่นหมายความว่าตอนที่นายท่านของเจ้าคิดทรยศสังหารจักรพรรดิและขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็ไม่รู้กฎนี้เช่นกัน ต่อมาเขาไม่สามารถข้ามพ้นมหันตภัยได้ เขาจึงเข้าใจกฎนี้อย่างกระจ่างแจ้ง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสลัดร่างเก่าทิ้ง ตัดขาดอดีตทั้งหมด รวมทั้งเจ้าและพระราชลัญจกรแห่งโชคชะตาด้วย”
สวี่ชีอันยกยิ้ม “ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ผู้ที่ได้รับโชคชะตาไม่สามารถมีชีวิตยืนยาวได้ เป็นกฎที่ยอดฝีมือขั้นสูงและทุกคนในจิ่วโจวทราบกันดี แต่ในสมัยโบราณ คนที่รู้กฎนี้มีจำนวนน้อยมาก ทำไมกัน?
เพราะเผ่ามนุษย์เพิ่งเกิดขึ้นในตอนนั้น กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมดยังไม่ได้รวบรวมโชคชะตามากนัก สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ในตอนนั้น โชคชะตาเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด นักพรตเต๋าโบราณที่ดูคล้ายว่าจะเดินทางนิกายมนุษย์ เมื่อตระหนักได้ว่าโชคชะตาสามารถช่วยเขาบำเพ็ญธรรม ด้วยเหตุนี้ เขาจึงฟันงูใหญ่ กลายเป็นราชครูที่ที่มีชื่อเสียงและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ ในที่สุดเขาก็สังหารราชาของประเทศ ขึ้นครองบัลลังก์เหมือนกับจักรพรรดิเจินเต๋อที่เขาปลิดชีพไป
แต่ต่อมา เขาค้นพบว่าฐานการบำเพ็ญของตนเองยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับยากที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของโชคชะตา ยากที่จะมีชีวิตยืนยาว…
ดังนั้น จึงอาศัยกลยุทธ์จักจั่นลอกคราบ แยกวิญญาณบางส่วนออกมาจากร่างเก่า ตัดขาดสัมพันธ์ในอดีตทั้งหมด ประกอบกับเนื้อหาของภาพจิตรกรรมฝาผนัง เหตุผลนี้สะท้อนให้เห็นถึงตรรกะและข้อเท็จจริง
“นักพรตเต๋าผู้นี้มีบางอย่าง ในขณะเดียวกันยังพัวพันกับโชคชะตาที่รัดตัว บรรพบุรุษ และทหารขั้นหนึ่งผู้ล่วงลับอย่างอู่จง ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ก็ล่วงลับไปแล้ว ในประวัติศาสตร์ ไม่มีจักรพรรดิผู้ก่อตั้งองค์ใดที่มีฐานการบำเพ็ญสูงจนเป็นอมตะ แต่เขาสามารถบังคับตัดขาดทุกอย่างได้”
“เขาทำได้อย่างไร? ในนั้นจะต้องมีขั้นตอนสำคัญที่ข้าไม่รู้อย่างแน่นอน…”
สวี่ชีอันรวบรวมแนวคิดที่กระจัดกระจาย และกล่าวต่อไปว่า “เขาทิ้งเจ้าและพระราชลัญจกรแห่งโชคชะตาไว้ที่นี่ เพื่อพิสูจน์ว่าเขาตัดขาดจากอดีตได้สำเร็จ เช่นนั้น ด้วยฐานการบำเพ็ญของเขา กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้ เขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หากต่อมาเขากลายเป็นเซียน เช่นนั้น นอกจากเทพเจ้ากู่ ไม่ว่าเซียนคนใดก็อาจเป็นเสื้อกั๊กของเขาได้ เสื้อกั๊กหมายถึงตัวตนใหม่ แต่ถ้าเขาไม่กลายเป็นเซียน คาดว่าเขาก็น่าจะกำลังซ่อนตัว หรืออาจจะวางแผนมุ่งร้ายอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่ตาย”
‘ยังไม่ตาย ยังไม่ตาย…’ ดวงตาของซากศพแห้งเป็นประกายด้วยความผันผวนทางอารมณ์ของมนุษย์ ผสมผสานกับความเศร้าโศกและความสุข
เมื่อเห็นอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างรุนแรงของเขา สวี่ชีอันก็หัวเราะ “หึ” และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“นับว่าผลลัพธ์นี้เป็นที่น่าพอใจหรือไม่? “
ซากศพแห้งพยักหน้าช้าๆ
สวี่ชีอันก็พอใจเช่นกัน เขาสัมผัสบนพื้นผิวของชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเบาๆ เพื่อเรียกดาบไท่ผิงออกมา
ข้าถือดาบไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ดึงมือซากศพแห้งขึ้นมา และกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่ได้ตัดเล็บมาหลายพันปี เจ้าไม่กลัวเลือดกำเดาไหลเวลาแคะจมูกรึ”
เล็บของซากศพแห้งเป็นสีดำสนิท ซึ่งแตกต่างจากเล็บของมนุษย์ เล็บของมันเหมือนกรงเล็บของสัตว์ขนาดใหญ่มากกว่า แข็งแรงและคมกริบ แต่กลับไม่นับว่ายาวนัก
สวี่ชีอันกระชับดาบในมือ ฉับฉับฉับ ประกายไฟจากการเฉือนกระจายไปทุกที่ กว่าจะเฉือนชิ้นหนึ่งก็ไม่ง่าย
หากเป็นเพียงแค่การกลั่นอาวุธเวทมนตร์ เล็บเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่วัสดุบนร่างซากศพแห้งนั้นหาได้ยาก สวี่ชีอันจงใจไม่ชี้ให้เห็นถึงปริมาณ โดยยึดหลักการนับให้ได้มากที่สุด
หลังจากตัดเล็บทั้งห้านิ้วติดต่อกัน ซากศพแห้งก็กำหมัด และเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยกับนิ้วที่ ‘ว่างเปล่า’ เมื่อเห็นสวี่ชีอันดึงมืออีกข้างของเขาขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าของซากศพแห้งก็เปลี่ยนไปในทันที “เจ้าอย่าทำเกินไป”
สวี่ชีอันหยุดชั่วคราว เมื่อได้รับการอนุญาตจากซากศพแห้งแล้วก็นำดาบวางเป็นแนวนอนที่ลำคอของเขา ก่อนจะผ่าเปิด และนำของเหลวสีเขียวแกมดำประมาณสิบมิลลิลิตรออกมาเก็บไว้ในขวดหยกขนาดเล็ก
ถึงตอนนี้ วัสดุที่จำเป็นสำหรับการฟื้นคืนชีพของเว่ยเยวียนก็รวบรวมได้สองชิ้นแล้ว
สวี่ชีอันถอนหายใจ เขารู้สึกว่าส่วนลึกของหัวใจสงบลงมาก และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
สุดท้ายก็อาศัยกลิ่นอายศพของฝ่ายตรงข้ามมาเลี้ยงซือกู่
ควันดำสองเส้นพุ่งออกมาจากปากของซากศพแห้ง และลอยตัวอยู่ในอากาศอย่างคงที่ ดูแล้วเหมือนกับสิ่งที่มีพิษรุนแรง
สวี่ชีอันเกร็งหน้าท้องส่วนล่าง พลางสูดลมหายใจเอาควันดำเข้าไปในจมูกของเขา
ในชั่วพริบตา เขาดูเหมือนคนเมาจนโงหัวไม่ขึ้น รูม่านตาขยายออก เส้นเลือดสีดำเด่นชัดอยู่บนโหนกแก้ม ทำให้เขาดูน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
กระบวนการนี้กินเวลาถึงยี่สิบนาทีเต็ม ก่อนที่เขาจะย่อยกลิ่นอายของศพจนหมด เส้นเลือดสีดำบนโหนกแก้มจางลง และรูม่านตากลับมาเป็นปกติ
เขาหลับตาลง สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ็ดยอดกู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ความสามารถของซือกู่ ด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ เขากลายเป็นพิษสังหารที่แข็งแกร่งของเทียนกู่
เขาในตอนนี้ สามารถควบคุมยอดฝีมือขั้นเจ็ดในแต่ละระบบได้ค่อนข้างสมบูรณ์
ค่อนข้างสมบูรณ์หมายถึง สามารถฟื้นฟูประสิทธิภาพในการรบ และทักษะการรบได้มากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์
ซากศพแห้งขมวดคิ้วในทันใด และกล่าวว่า “เจ้าจ้องข้าทำไมกัน”
สวี่ชีอันแสดงออกอย่างนอบน้อมและจริงใจ “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย”
“?”
ซากศพแห้งมองเขาอย่างไร้ความรู้สึก
สวี่ชีอันยิ้มอย่างสบาย ก่อนจะลุกขึ้นโค้งคำนับ “ลาก่อน!”
เขาหันหลังจากไป โดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
เขาถือคบเพลิงตลอดทางออกจากวังสุสานใต้ดิน ก่อนจะหยุดลงที่กำแพงแห่งหนึ่ง และใช้ศีรษะโขกกำแพง พลางด่าพึมพำว่า “ช่างน่าอายจริงๆ เลย ช่างน่าอายจริงๆ เลย…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็สงบความขนลุกขนพองในใจลง และกลับขึ้นไปบนพื้นดินด้วยความคุ้นเคย
ฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่มาพร้อมกับความเย็นยะเยือก กระทบลงบนใบหน้า ไหล่ และลำคอ…เขากวาดสายตามอง ก่อนจะพบว่ากงซุนซิ่วและคนอื่นๆ ยังคงรอเขาอยู่นอกถ้ำ
บ้างก็สวมเสื้อกันฝนที่ถักทอจากฟางข้าวและหวาย บ้างก็สวมหมวกไม้ไผ่ บ้างก็ไม่มีอุปกรณ์กันฝนใดๆ
เมื่อเห็นสวี่ชีอันออกมา กงซุนซิ่วก็รู้สึกโล่งใจ พลางกำหมัดโค้งคำนับด้วยความรวดเร็ว
“ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้”
เหล่าทหารที่อยู่ข้างนางต่างก็ยกกำปั้นขึ้นมาคำนับ และกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันว่า”ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตพวกเรา”
สวี่ชีอันพยักหน้า “แค่เรื่องเล็กๆ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ก่อนที่กงซุนซิ่วและคนอื่นๆ จะเปิดปากพูด เขาก็สั่งกำชับว่า “ซากศพโบราณในสุสานทั้งดุดันและโหดร้ายมาก หากพวกที่ต่ำกว่าขั้นสามเข้าไปในนั้น ก็มีเพียงหนทางสู่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ เมื่ออยู่จุดสูงสุด ทหารขั้นสามก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทางเข้าถ้ำจะถูกปิด ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปเด็ดขาด หากซากศพโบราณกลืนกินแก่นโลหิตและฟื้นคืนสภาพเดิม ยงโจวก็จะกลายเป็นนรก เรื่องนี้ตระกูลกงซุนต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด”
ทหารขั้นสามอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน…รูม่านตาของทุกคนขยายออกอย่างควบคุมไม่ได้ หัวใจเต้นแรง และรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรง พวกเขาไม่เพียงแต่หันไปทางประตูนรก แต่กำลังเปิดขวดดื่มสุรากับพญายมโดยตรง
การที่พญายมกลับมายังโลกมนุษย์ได้นั้น ก็เพราะดื่มสุรามากเกินไป…
“เจ้าค่ะ!” กงซุนซิ่วกำหมัดแน่น พลางกัดริมฝีปากสีแดงระเรื่อ ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความจริงจัง “ศิษย์น้องจะต้องปกป้องภูเขานี้ให้จงได้ เพื่อตอบแทนศิษย์พี่ที่ช่วยชีวิตพวกเรา”
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ถามอย่างกล้าหาญว่า “ไม่ทราบว่าท่านเป็นเซียนด้านใดหรือ?”
คำถามนี้ค่อนข้างไม่มีมารยาท แต่ก็สมเหตุสมผลที่จะถามถึงตัวตนของผู้มีพระคุณหลังจากได้รับความกรุณาจากอีกฝ่าย
สวี่ชีอันไม่ตอบกลับ แต่โบกมือ พลางเดินตรงลงไปจากภูเขาทันที
ในขณะที่กงซุนซิ่วและคนอื่นๆ กำลังผิดหวัง ชายชุดดำที่ค่อยๆ หายเข้าไปในความมืดก็กล่าวเสียงดังขึ้นมาว่า “บรรลุเซียนผ่านมาแปดร้อยสารท มิเคยใช้กระบี่เข่นฆ่าผู้ใด
“หยกอ๋องมิมีบัญชานั้นไซร้ จึงนำพากระบี่คู่ใจหลีกห่าง”
………………………………………………………….