ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 506 กระโดดน้ำ
บทที่ 506 กระโดดน้ำ
ป้อมปราการหลงเสินสร้างขึ้นบนแม่น้ำวันหลง ห่างจากเมืองยงโจวไปยี่สิบลี้ ที่นี่มีเมืองใหญ่ๆ ที่เจริญรุ่งเรืองและคึกคักอยู่เมืองหนึ่งคือ ‘เมืองวันหลง’ ป้อมปราการหลงเสินก็คือเมืองวันหลง ในสายตาของผู้คนทั่วไป ถ้าพูดถึงป้อมปราการหลงเสินแล้วละก็ ทำงานดีกว่าฝ่ายราชการเสียอีก
แม่น้ำวันหลงมีความกว้างยี่สิบกว่าวา ธุรกิจการขนส่งทางน้ำนั้นพัฒนาอย่างเจริญรุ่งเรือง เมืองวันหลงมีแค่ท่าเรือเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ก็ถูกป้อมปราการหลงเสินเข้าควบคุม อาศัยท่าเรือนี้ ป้อมปราการหลงเสินนั้นมั่งคั่งไปด้วยน้ำมัน
มีประชาชนมากมายอาศัยป้อมปราการหลงเสินเป็นที่หากิน ด้วยเหตุนี้ เมื่อประชาชนในเมืองมีพิพาท ก็ชอบมาหา ‘ผู้บังคับบัญชา’ ของป้อมปราการหลงเสินให้จัดการให้ เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่ความสงบเรียบร้อยของเมืองวันหลง ก็ขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบจัดการของป้อมปราการหลงเสิน
เหลยเจิ้ง ผู้ปกครองป้อมปราการคนปัจจุบันผู้นี้เป็นคนที่อารมณ์ร้อนขี้โมโห ไม่ยอมก้มหัวให้ความไม่ถูกต้อง ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบเป็นอย่างมาก จัดการปัญหาเรื่องราวต่างๆ อย่างเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ได้รับชื่อเสียงและขนานนามว่าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งฟ้าร้อง’
‘เทพเจ้าแห่งฟ้าร้อง’ เหลยเจิ้ง ผู้เก่งเรื่องในเรื่องใช้ดาบใหญ่ นักรบระดับห้า สิ่งที่ไม่เหมือนกับผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุน ก็คือเขาเป็นคนประเภทที่น่าเบื่อและผู้หญิงไม่เข้าใกล้
ทุกๆ วันเพียงแค่รักการฝึกดาบ ถือมีดปังตอหนักแน่นด้ามใหญ่เคลื่อนไหวดำลงไปใต้แม่น้ำเพื่อเหวี่ยงดาบ หากเหวี่ยงไม่ครบห้าร้อยครั้งก็จะไม่มีทางขึ้นฝั่งเด็ดขาด
ประชาชนทั่วไปในเมืองต่างก็พูดกันว่า ถ้าหากวันไหนที่เห็นผิวน้ำมีคลื่นซัดเป็นระลอก นั่นมั่นใจได้เลยว่าเทพเจ้าแห่งฟ้าร้องกำลังฝึกดาบอยู่ในแม่น้ำ
ในห้องพิจารณาคดี ณ ป้อมปราการหลงเสิน
เหลยเจิ้งจิบชาไปหนึ่งอึก พลางลูบไล้มีดพร้าด้ามใหญ่ในมือ พร้อมกับเสียงพึมพำที่ดังขึ้น
“ข้าต้องไปฝึกดาบแล้ว เจ้ามีเรื่องอะไรก็สรุปใจความมา อย่ารบกวนเวลาฝึกดาบของข้า”
ปีนี้เหลยเจิ้งเพิ่งจะพ้นอายุห้าสิบ ส่วนสูงร้อยเก้าสิบ หัวล้าน ทั้งร่างนั้นกล้ามเนื้อกำยำเต่งตึง ร่างกายนั้นยังแข็งแรงเทียบเท่ากับคนวัยรุ่นหนุ่มสาว นั่นทำให้คนมีความรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายนิสัยบุ่มบ่ามประเภทที่ว่าหากใครเห็นต่างก็สามารถยกดาบขึ้นฟันผู้นั้นได้โดยทันที ในความเป็นจริงแล้วเขาก็เป็นเช่นนี้จริงๆ
ที่อยู่ข้างกายของเหลยเจิ้ง คือกงซุนเซี่ยงหยางผู้ที่ลุ่มหลงในความงามของสตรี ชายเจ้าชู้อายุน้อยผู้นี้ พูดพลางยิ้มตาหยี “เจ้าฝึกดาบมาหลายปีขนาดนี้ อีกนานเท่าใดกว่าจะสามารถเข้าถึงระดับสี่?”
เหลยเจิ้งพูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
กงซุนเซี่ยงหยางพูดอย่างประหลาดใจ “ข้าต้องพิทักษ์เจ้านะ วันใดที่เจ้าเลื่อนขั้นขึ้นระดับสี่ แล้วเอาดาบมาฟันข้า แล้วข้าจะทำเช่นไร”
ประวัติป้อมปราการหลงเสินนั้นสั้นกว่าตระกูลกงซุน ในปีนั้นบรรพบุรุษของป้อมปราการหลงเสินมาที่ยงโจวเพื่อใช้กำลังบุกเข้ายึดอำนาจ มีไม่น้อยเลยที่เกิดการขัดแย้งกันกับเหล่าอิทธิพลในท้องถิ่นของตระกูลกงซุน ลูกหลานรุ่นหลังของทั้งสองฝั่งก็ต่างทะเลาะขัดแย้งกันมาจนถึงถุกวันนี้ เกิดการปะทะไปหลายต่อหลายชีวิต ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของยงโจวเป็นอย่างมาก ขุนนางทางการของเมืองยงโจวก็เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเพื่อทำการไกล่เกลี่ย
แน่นอนว่า นั่นเป็นเรื่องของเมื่อสองร้อยกว่าปีมาแล้ว เวลาล่วงมาจนวันนี้ แม้ทั้งสองฝ่ายจะยังมีการกระทบกระทั่งกันอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงอยู่บนหลักการและเหตุผล
“มีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในสุสานแล้ว”
ประโยคเดียวของกงซุนเซี่ยงหยาง ทำลายความตั้งใจของเหลยเจิ้งที่จะส่งแขก ผู้ปกครองป้อมปราการร่างกำยำกล้ามแน่นหัวล้านท่านนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“นี่มันเกี่ยวอะไรกับข้า?”
สุสานใหญ่ที่อยู่หุบเขาฝั่งทางใต้นั้นถูกตระกูลกงซุนยึดครองไว้เรียบร้อยแล้ว ตามสัญญาลับที่เป็นที่รู้กันของทั้งสองฝ่าย ป้อมปราการหลงเสินคงไม่สามารถเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้อีก นอกเสียจากว่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุนจะทำการเชื้อเชิญด้วยตนเอง
กงซุนเซี่ยงหยางนำสถานการณ์ของสุสาน ตลอดจนเรื่องราวของยอดฝีมือชุดดำ บอกให้เหลยเจิ้งได้รับรู้
ตาทั้งคู่ของเหลยเจิ้งถลึงโต เหมือนกันกับตอนที่กงซุนเซี่ยงหยางได้ยินข่าวนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกถึงวิกฤตของกระสุนปืนที่ฝังอยู่ที่ประตูกำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากสงบจิตใจได้ เขาก็จ้องผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุนอย่างเยือกเย็น พลางพูด “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
กงซุนเซี่ยงหยางพูดอย่างช้าๆ
“เจ้าสามารถลงไปที่สุสานเพื่อดูด้วยตัวเอง อืม…ถ้าหากว่าไม่กลัวตายละก็ ที่อยู่ของยอดฝีมือท่านนั้น ข้าสืบมาแล้วเรียบร้อย อยู่ที่หอภัตตาคาร เขาให้ตระกูลกงซุนไปดูที่คุกแห่งเขาทางใต้ เขาทางใต้นั้นใหญ่มาก ถ้าหากต้องการดูอย่างเข้มงวด ต้องใช้กำลังคนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ป้อมปราการหลงเสินกับตระกูลกงซุนล้วนร่วมกันหากินที่ยงโจว พวกเจ้าไม่สามารถเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ นอกจากนี้ ที่ข้าพูดนั้นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอก พวกเราไปเยี่ยมเยียนทางฝั่งยอดฝีมือท่านนั้น ก็คงจะรู้ได้แล้วมิใช่หรือ”
เหลยเจิ้งพูดฮึมฮัมออกจมูกอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นคนคิดอยากจะไปเอง แต่ไม่กล้า ด้วยเหตุนี้จึงอาศัยความใจกล้าของข้าเพื่อไปแบ่งปันความเสี่ยง”
กงซุนเซี่ยงหยางยิ้มหัวเราะแหะๆ ไม่ได้โต้แย้ง
เหลยเจิ้งจับดาบพลางลุกขึ้น “รออยู่ที่นี่อีกหนึ่งชั่วยาม ข้าฝึกดาบเสร็จแล้วจะไปกับเจ้า”
“จริงๆ แล้วยอดฝีมือท่านนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาท่านเลยแม้แต่น้อย?”
“เหอะ ยอดฝีมือหรือไม่ยอดฝีมือ ล้วนขึ้นอยู่กับปากของเจ้าที่พูดออกมา!”
เหลยเจิ้งยังคงอยู่ในท่าทางระแวง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยลงไปที่สุสาน และไม่เคยไปกินปูที่ทะเลสาบหยางไป๋ด้วย เพียงแค่อาศัยคำพูดของกงซุนเซี่ยงหยางเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เขานั้นประหม่าเป็นอย่างยิ่ง
กงซุนเซี่ยงหยางดูลับๆ ล่อๆ เพียงแค่บอกว่าเป็นยอดฝีมือ แต่กลับไม่ได้ถึงพูดบทกวีอะไรนั้น มิเช่นนั้น ท่าทางของเหลยเจิ้งคงจะดูซื่อตรงมากกว่านี้
…
ณ หอภัตตาคาร
ที่ริมโต๊ะนั้นมีพืชมีพิษสดๆ จัดเรียงวางอยู่ พร้อมขวดเซรามิกสามสี่ใบ มีงาอยู่ห้าตำลึง สวี่ชีอันขอให้เตี้ยนเสี่ยวเอ้อ นำถ้วยบดยามาให้ แล้วนำพืชมีพิษกำหนึ่งโยนลงไปบดตำให้แตกละเอียด
หลังจากนั้นก็เทน้ำพิษงูใส่ลงไป พร้อมกับตำ ‘โป๊ก โป๊ก โป๊ก’ อย่างต่อเนื่อง
มู่หนานจือที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างได้สูดเข้าจมูก ก็ขมวดคิ้วพลางพูด “นี่มันกลิ่นอะไรกัน เหม็นที่สุดเลย”
สวี่ชีอันพูด “เปิดหน้าต่างให้ลมพัดอากาศถ่ายเท ข้ากำลังปรุงยาพิษลูกกลอนอยู่”
ขณะพูดไป เขาก็หยิบงาขึ้นมาพร้อมกับโปรยลงในโถบดยา
พระมเหสีเปิดหน้าต่างไว้ตามที่บอก นางไม่ได้สูดเอาอากาศหายใจใหม่เข้าไป แต่กลับเดินไปนั่งลงที่ข้างโต๊ะ พร้อมกับปัดมือสวี่ชีอันตกไปอย่างยโส พร้อมกับแย่งชิงโถมา นางยกปลายนิ้วของนางที่สัมผัสกับน้ำพิษเล็กน้อยนั้นขึ้นดูดที่มุมปาก หลังจากนั้นก็ทำเสียง ‘แจ๊บๆ’ พร้อมกับเลียขอบปาก
“พืชมีพิษพวกนี้มีฤทธิ์ธรรมดา ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอก ส่วนรสชาติของน้ำพิษงูนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
ถ้าพูดถึงเทพดอกไม้แล้ว หญ้ามีพิษก็คือหญ้า ดอกไม้พิษก็คือดอกไม้เช่นกัน เทียบกับพืชธรรมดาทั่วไปแล้วแทบจะไม่มีอะไรต่างกัน
สวี่ชีอันเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยกันไป ราวกับว่ากำลังพูดถึงอาหารบางอย่างที่ชอบเหมือนๆ กัน
“ครั้งนี้ข้าไปที่วังสุสานใต้ดินเพื่อไปหาซากศพเก่าๆ เพื่อขอยืมน้ำพิษ ส่วนที่ดีที่สุดของร่างศพพันปีที่ตายทั้งกลม พวกมันมีฤทธิ์กระตุ้นตู๋กู่ได้อย่างรุนแรงที่สุด”
สวี่ชีอันพูดไป พร้อมกับหยิบขวดหยกที่บรรจุน้ำพิษซากศพออกมาจากในกระเป๋าแล้วดึงจุกขวดออก
“กลิ่นช่างรุนแรงเหลือเกิน” มู่หนานจือปิดจมูกแล้วเดินหนีออกไป
สวี่ชีอันเอียงขวดหยกเล็กน้อย น้ำเหลืองสีดำๆ เหนียวข้นก็ค่อยๆ ไหลออกมาจากขวดอย่างช้าๆ หยดลงในโถ
ชั่วพริบตาเดียว เศษกากยาในโถบดยาก็ถูกย้อมเป็นสีดำ มองเห็นเพียงความแวววาว ก็สามารถทำให้คนคิดไปถึงฤทธิ์ของพิษได้แล้ว
ต่อมา เขาก็นำโถบดยาใส่ลงไปบนเตาถ่าน ใช้ไฟอ่อนในการเผา เผาจนเกือบจะแห้งสนิท ก็หยุดพักไว้
สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับต่อมาก็คือนำมันไปกลิ้งให้เป็นเม็ดยาลูกกลอน ทานทุกวันวันละหนึ่งเม็ด น้ำพิษของร่างศพนั้นรุนแรงเกินไป ด้วยระดับตู๋กู่ในตอนนี้ ไม่สามารถรับระดับพิษที่รุนแรงเกินไปได้ในครั้งเดียว มิเช่นนั้นอาจจะตายด้วยพิษได้
หลังจากกลิ้งยาเป็นเม็ดลูกกลอนเล็กๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันก็นำมันกระจายไว้บนโต๊ะ ผึ่งให้มันแห้งไปเอง
อากาศนั้นเต็มไปด้วยสารพิษ ถ้าหากว่าเปลี่ยนให้คนปกติมาอยู่ตรงนี้ คงไม่เกินเวลาหนึ่งถ้วยชา คงต้องตายเพราะพิษแน่นอน
มู่หนานจือนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ทั้งกลอกตามองบน พลางอ่านหนังสืออ่านเล่นที่นางซื้อมาจากถนนในตัวเมือง
เวลานี้ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เสียงของเตี้ยนเสี่ยวเอ้อก็ดังขึ้นมา “นายท่าน มีขุนนางสองท่านมาหาท่าน”
หาข้างั้นรึ?
สวี่ชีอันชะงักงัน พลางตอบกลับเตี้ยนเสี่ยวเอ้อด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เป็นใครกัน?”
เตี้ยนเสี่ยวเอ้อตอบกลับ “พวกเขาคนหนึ่งเรียกตนเองว่ากงซุนเซี่ยงหยาง ส่วนอีกคนเรียกตนเองว่าเหลยเจิ้ง”
กงซุนเซี่ยงหยาง คนของตระกูลกงซุนงั้นหรือ? แล้วเหลยเจิ้งคือใครกัน…สวี่ชีอันไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับ “เชิญพวกเขาเข้ามา”
เขาเดาว่ากงซุนเซี่ยงหยางคงจะเป็นผู้อาวุโสอย่างสูงท่านหนึ่งของตระกูลกงซุน หรือไม่ก็เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุน
ตามกฎแล้ว บุคคลที่สุดยอดจนบรรลุเซียนผ่านโลกมาเป็นระยะเวลาแปดร้อยปีมาอยู่ที่นี่ ตระกูลกงซุนผู้มีอำนาจในยุทธภพ ถ้าหากว่าต้องการจะมาเยี่ยมเยียน ก็คงจะต้องเป็นตระกูลประเภทที่มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่ชนแน่นอน
คงไม่สามารถส่งคนผู้น้อยหรือคนตำแหน่งเล็กในวงศ์ตระกูลมาแทนได้ ครั้งล่าสุด ก็เป็นทายาทของตระกูลอย่างกงซุนซิ่ว
สำหรับเหลยเจิ้ง สวี่ชีอันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับระดับของคนผู้นี้มาก่อน แต่ในเมื่อมากับตระกูลกงซุน ก็คงจะเป็นคนที่มีหน้ามีตามีบารมีเช่นเดียวกัน
“ต้องการให้ข้าไปเอาฉากกั้นห้องด้านหลังมาปิดกันไว้ให้สักหน่อยหรือไม่?” พระมเหสีชายตามองขึ้นมา
“ไม่ต้อง ไปเปิดสลักประตูเอาไว้”
พระมเหสีเบะปากเล็กน้อย พลางส่ายสะโพกอันอวบอิ่มชวนหลงใหล เดินไปที่ประตูแล้วดึงสลักประตูออก
ชั่วเวลาอันสั้น เสียงก้าวเดินของสองเท้านั้นก็หยุดลงที่หน้าประตู ตามมาด้วยเสียงเข้มหนาที่ดังขึ้น พูดอย่างเคารพนอบน้อม
“ท่านผู้อาวุโส ข้าน้อยผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกงซุน กงซุนเซี่ยงหยาง”
สวี่ชีอันพูดนิ่งๆ “ประตูไม่ได้ล็อก”
ประตูถูกผลักเปิดออก ชายกลางคนสวมชุดเสื้อแพรคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าแต้มไปด้วยรอยยิ้ม รอยเหี่ยวราวกับหางปลาที่หางตานั้นชัดเจน นี่คือร่องรอยคุ้นชินที่เกิดขึ้นประจำเวลายิ้ม ชายชราร่างกำยำสูงใหญ่อีกคน ที่หลังนั้นมีมีดพร้าขนาดใหญ่เหน็บอยู่ หัวโล้น นิสัยดูดุเดือด ทำให้ผู้คนมองว่าเขามุทะลุดุดันและโหดร้าย เป็นความประทับใจแรกที่ไม่ค่อยดีนัก
“ผู้ปกครองป้อมปราการหลงเสิน…เหลยเจิ้ง”
ชายชราหัวโล้นประสานมือคารวะ เสียงเขาดังและชัดเจน
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ ยกมือขึ้นเพื่อเป็นการเชื้อเชิญ “นั่งเถิด”
ณ เวลานี้ สายตาของเขานั้นอ่อนโยน ดวงตาคู่นั้นผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเป็นเวลาหลายปี ท่าทางที่ดูสบายๆ แต่กลับมีความเป็นธรรมชาติและน่าเกรงขามอย่างที่สุด น่าเสียดายที่ขมับทั้งสองข้างนั้นมีผมสีดอกเลาแซมอยู่เล็กน้อย
กงซุนเซี่ยงหยางกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างเงียบๆ ถือโอกาสเฉียดสายตาผ่านไปทางร่างของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง พลางค่อยๆ นั่งลงอย่างสำรวม ระมัดระวังและรอบคอบ
เหลยเจิ้งดูท่าทางจะเรื่อยเฉื่อยไม่ยี่หระมากยิ่งกว่า สายตาเขาจ้องมองมาที่สวี่ชีอันดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาเคยไปที่วังสุสานใต้ดินมาแล้ว เพียงแต่สำรวจแค่บริเวณรอบนอกเท่านั้น ที่สุดแล้วก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายเข้าไปในสุสาน ด้วยเหตุนี้ สำหรับคำพูดของกงซุนเซี่ยงหยางแล้ว ก็ฟังหูไว้หูมาโดยตลอด
“ต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสเป็นอย่างมากสำหรับบุญคุณที่ช่วยชีวิตลูกสาวข้า คงไม่มีทางจะตอบแทนบุญคุณตระกูลกงซุนได้หมดแน่ ที่ทำได้คงจะเป็นการดูแลปกป้องหุบเขาทิศใต้ให้ดี ไม่ให้ใครหน้าไหนเข้าไปที่สุสานได้”
เป็นครั้งแรกของกงซุนเซี่ยงหยางเช่นกันที่ได้พบเจอกับยอดฝีมือ ความสงสัยภายในใจก็ไม่ได้น้อยไปกว่าเหลยเจิ้งเลย เขาแอบสังเกตมองอยู่เงียบๆ แต่ก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติอะไรในตัวของยอดฝีมือผู้นี้เลย
แต่ด้วยเพราะเหตุนี้ ก็ยิ่งน่าเคารพเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปอีก
เหลยเจิ้งพูดหยั่งเชิง “ท่านผู้อาวุโส ร่างศพที่อยู่ในวังสุสานใต้ดินนั้นอยู่ในฐานะอะไร”
สวี่ชีอันตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เพียงแค่สามัญชนทั่วไปเท่านั้น “
‘สามัญชน…อย่างน้อยก็ต้องเป็นร่างศพที่ชั่วร้ายของระดับสาม ในสายตาของเขาเห็นเป็นเพียงแค่สามัญชนเท่านั้น’ กงซุนเซี่ยงหยางประหลาดใจ เขากำลังจะพูด แต่ปีกจมูกกลับกระตุกอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยอาการเวียนหัวตาลาย เขายืนขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
“มี…มีพิษ…”
เหลยเจิ้งก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน ก้าวถอยหลังไป สายตาของทั้งสองมองไปที่เม็ดลูกกลอนสีดำเล็กๆ บนโต๊ะ
‘ของสิ่งนี้มันคืออะไรกัน เพียงแค่มันส่งกลิ่นออกมา ก็ทำให้ข้าไร้หนทางรับมือ’ กงซุนเซี่ยงหยางตกตะลึง
ถึงสลายแรงระดับห้าแล้ว ยาพิษส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนต้องอาศัยการทำงานของตับในการขับออกทั้งนั้น ยาพิษลูกกลอนที่อยู่ตรงหน้านี้ เกรงว่าเพียงแค่เม็ดเดียวก็สามารถส่งพิษร้ายแรงสังหารระดับห้าได้ น้ำเสียงของสวี่ชีอันนุ่มนวล เจือไปด้วยความรู้สึกผิดและเสียใจ
“ยาพิษลูกกลอนที่ข้าเพิ่งทำไปเมื่อครู่นี้ เพื่อเตรียมเป็นทานเป็นอาหารว่าง จากนั้นค่อยเก็บมันเข้าไป” พูดเสร็จ เขาก็หยิบเม็ดยาขึ้นมาปั่นใส่ปาก พลางเคี้ยวอย่างละเอียด
‘กิน…กินมันลงไปแล้ว’ กงซุนเซี่ยงหยางตกตะลึง สีหน้าแข็งทื่อ กระดูกสันหลังเย็นยะเยือก
รูม่านตาของเหลยเจิ้งหดตัวอย่างแรง ขนทั่วร่างลุกตั้งชัน ความรู้สึกกลัวกำลังจะระเบิดออกมาในชั่วพริบตา
สายตาแข็งทื่อของยอดฝีมือระดับห้าทั้งสองคนกำลังจ้องมองไปที่สวี่ชีอัน จ้องที่ปากของเขา จ้องที่คอของเขา มองเห็นลำคอกำลังเคลื่อนไหว บ่งบอกถึงว่ายาเม็ดนั้นกำลังถูกกลืนลงไปในท้อง
‘ทำไมถึงต้องเอายาพิษมาเป็นทานเป็นอาหารว่าง ไม่สิ นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ที่สำคัญคือเขาเป็นคนที่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้จริงๆ เป็นยอดฝีมือระดับสูงของโลกลึกลับ’ กงซุนเซี่ยงหยางค่อยๆ ยืดตัวตรงอย่างเงียบๆ
‘กงซุนเซี่ยงหยางไม่ได้หลอกข้า’ เหลยเจิ้งรู้สึกถึงความตกตะลึงเป็นอย่างมากนี้แล้ว เขารีบปรับท่าทางของตนเองให้เป็นปกติ กลัวว่าท่าทางกังวลใจและขัดเคืองของตนเองก่อนหน้านี้จะทำให้ยอดฝีมือที่แสดงความอ่อนโยนท่านนี้เกิดความไม่พอใจขึ้นมาได้
“เอาล่ะ!” สวี่ชีอันนำขวดหยกเล็กเก็บเข้าไว้ในอก
ในความเป็นจริงถ้าถือตามพลังต่อสู้ที่แท้จริง เขาคงสู้ระดับห้าไม่ได้ นอกเสียจากว่าเขาจะมีวิธีการนำยาพิษใส่เข้าไปในท้องของยอดฝีมือระดับห้าโดยตรง นอกจากยาพิษแล้ว เขายังขาดวิธีที่มีประสิทธิภาพ วิธีการที่จะตีกระดูกเหล็กผิวทองแดงให้แตก แน่นอนว่า ชาวยุทธจักรก็สู้เขาไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าวิธีการชีเจวี๋ยกู่นั้นเหลวไหล มีวิธีอื่นอีกมากมายที่ไร้พ่ายในปฐพี
รอให้ข้าย่อยยาพิษลูกกลอนนี้ให้หมดก่อน ก็น่าจะสามารถรบชนะระดับห้าได้… สวี่ชีอันคิดในใจ แต่ยังคงแสดงออกอย่างสงบนิ่ง
“พอดีเลย ถึงแม้ทั้งสองท่านจะไม่มีหาข้า ข้าก็ตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมเยียนหาพวกท่านอยู่แล้วเช่นกัน”
กงซุนเซี่ยงหยางและเหลยเจิ้งสบตากันอยู่แป๊บหนึ่ง กงซุนเซี่ยงหยางจึงรีบเอ่ยถามด้วยความเคารพทันที
“ไม่ทราบว่าผู้น้อยผู้นี้มีอะไรที่จะสามารถรับใช้ท่านผู้อาวุโสได้บ้าง”
สวี่ชีอันมองไปที่ทั้งสอง สายตาอ่อนโยนและสงบนิ่ง
“ข้าอยากจะขอเชิญท่านทั้งสองให้ช่วยหน่อย ให้จัดการประลองครั้งใหญ่ของกลุ่มจอมยุทธ์ในยงโจว ระบุเวลาไว้หลังจากนี้หนึ่งเดือนครึ่ง”
นี่คือความคิดที่เขาเพิ่งจะคิดออกได้เมื่อไม่นานมานี้ กับการที่จะหาเจ้าของชีพจรมังกรไปแบบเรื่อยเปื่อย ก็คงไม่สู้คิดหาวิธีทำให้พวกเขารวมตัวกันขึ้นมา แล้วจัดการกวาดให้เรียบทีเดียว แม้ว่าการจัดประลองครั้งใหญ่ของกลุ่มจอมยุทธ์จะเป็นการเผชิญหน้ากันของผู้คนในยุทธภพ แต่โดยสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ชอบเล่นสนุก แน่นอนว่าต้องมีบุคคลของตระกูลใจกว้างเข้ามาร่วมให้การสนับสนุนแน่นอน
สาเหตุที่มอบหมายให้ตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินเป็นผู้นำเรื่องนี้ อันดับแรกเลยก็เพราะว่าไม่เป็นจุดสนใจ เขาเตรียมป้องกันทางหนีทีไล่ของสวี่ผิงเฟิง ด้วยเหตุนี้การหลบอยู่เบื้องหลังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ส่วนเวลาที่ถูกกำหนดไว้หนึ่งเดือนครึ่งหลังจากนี้ ก็เพื่อพิจารณาถึงการแพร่กระจายข่าว ตลอดจนการสื่อสารและเดินทางที่ไม่สะดวก คนของยงโจวในแต่ละพื้นที่ได้รับข่าวสารและกว่าจะรีบตามมาที่ยงโจว จำเป็นต้องใช้เวลาไม่น้อยแน่ๆ
“นี่…ข้าน้อยสามารถถามถึงต้นเหตุของเรื่องราวได้หรือไม่?”
กงซุนเซี่ยงหยางลองถามหยั่งเชิง
เดิมที สวี่ชีอันคิดอยากจะบอกว่าให้ยืม ‘อิทธิพล’ ของขุนศึกแห่งยงโจวเพื่ออำพรางร่างศพ แบบนี้จะทำให้ดูเหมือนเป็นปริศนาจนคาดเดาไม่ถูก แต่พอคิดดูอีกรอบ ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือจนบรรลุเซียนผ่านโลกมาเป็นระยะเวลาแปดร้อยปี การบีบอัดร่างศพก็ยังคงต้องการความช่วยเหลือจากขุนศึกแห่งยงโจวอยู่
ร่างนี้ไม่สมบูรณ์เป็นอย่างมาก ไม่มีเค้าโครงเลย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงหัวเราะนิ่งๆ พลางพูด “เพราะว่าน่าสนใจ”
กงซุนเซี่ยงหยางและเหลยเจิ้งพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง
“หากต้องการจัดการประลองครั้งใหญ่ของกลุ่มจอมยุทธ์ ก็จำเป็นต้องมีกลไกลูกเล่นไว้ดึงดูดคน…”
“สู้แบบนี้จะดีกว่า พวกเราสองตระกูลร่วมมือกันจัดการกลุ่มจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งของยงโจวร้อยอันดับ เชื้อเชิญให้เหล่าคนที่มีฝีมือในแต่ละสายเข้าร่วมประลองทดสอบข้อเขียน จัดทำรายชื่อขึ้นมา สำหรับเหล่าคนในยุทธภพที่ชอบในชื่อเสียงแล้ว นี่เป็นสิ่งยั่วยวนที่ช่างยากจะต้านทานได้…”
“แถมยังได้รางวัลขนาดใหญ่อีก…”
กงซุนเซี่ยงหยางและเหลยเจิ้งร่วมหารือกันอย่างไม่หยุดพัก สวี่ชีอันจิบชาพลางฟังไปยิ้มไป
ครึ่งค่อนวันผ่านไป ทั้งสองคนคุยกันได้ข้อสรุปแล้วก็ลุกขึ้นกล่าวคำอำลา
รอจนทั้งสองจากไป มู่หนานจือก็มองมาที่เขาพร้อมกับเอ่ยถามอย่างตรงประเด็น “เมื่อครู่เจ้ากำลังแสดงเป็นเว่ยเยวียนใช่หรือไม่?”
สวี่ชีอันไม่สนใจ พร้อมกับพูดขึ้น “พรุ่งนี้พวกเราต้องออกจากเมืองยงโจว เพื่อไปลาดตระเวนรอบๆ ยงโจว”
…
ณ อำเภอฟู่หยาง
แม่ม้าน้อยถูกเจ้านายของมันจูงอยู่ เดิน ‘ต้อยๆๆ’ หลังของมันมีผู้โดยสาร จากชายที่หล่อที่สุดกลับกลายเป็นหญิงสาวที่สวยที่สุด
มู่หนานจือนั่งอยู่บนหลังม้า มองซ้ายมองขวา นี่นับว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์มากเท่าไหร่นัก ทั้งหมดนั้นแสดงออกผ่านทางที่ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางที่ขาดการซ่อมแซมไปนานหลายปี ตลอดจนบ้านช่องที่เก่าพอๆ กัน
เสื้อผ้าที่ผู้คนที่เดินๆ อยู่สวมใส่นั้นก็ไม่ได้สง่างามมากพอเช่นกัน รูปแบบและวัสดุของเสื้อผ้านั้นล้วนค่อนข้างจะธรรมดา แต่เหล้าสีอำพันของอำเภอฟู่หยาง เป็นของขึ้นชื่อและมีชื่อเสียงกระจายไปทั่วทั้งเมืองยงโจว
สวี่ชีอันมาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อมาดื่มสุรา พระมเหสีก็ชอบดื่มสุราเช่นกัน ดังนั้นจึงตกลงยอมมาด้วยอย่างยินดี สองคนกับม้าหนึ่งตัว เดินไปรอบๆ ยุทธภพ เดินทางไปที่ไหน ก็ต้องกินต้องดื่มที่นั่น
เส้นทางแม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่ง บนแม่น้ำนั้นมีสะพานหิน บ้านเรือนเป็นกำแพงสีขาวมุงกระเบื้องสีดำ สะพานเล็กๆ มีสายน้ำไหลผ่าน ถ้าหากว่ามีหมอกลงปกคลุม มีคนถือร่มกระดาษน้ำมันกางอยู่ นั่นคงจะยิ่งสมบูรณ์
สวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อยขึ้นสะพานหินไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนร้องอย่างตกใจดังขึ้นอยู่ไม่ไกล
“มีคนตกน้ำแล้ว มีคนตกน้ำ!”
ทั้งเขาและพระมเหสีหันสายตาไปมองด้านข้างพร้อมกัน ที่บริเวณต้นน้ำ มีหญิงคนหนึ่งกำลังตะเกียกตะกายขึ้นลงอยู่ในน้ำ สถานการณ์นั้นดูวิกฤตและอันตรายอย่างมาก คนที่เดินอยู่ทั้งสองบ้างก็ต่างพากันชี้นิ้ว บ้างก็หาไม้ไผ่ยื่นไปทางหญิงผู้นั้น เพื่อพยายามจะช่วยชีวิตนาง
หญิงผู้นั้นสำลักน้ำไปหลายอึก หน้าดูบิดเบี้ยวพยายามที่จะลอยเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ว่าสายน้ำไหลเร็วมาก ตนเองไม่สามารถลอยไหลไปกับสายน้ำได้ ยิ่งพยายามตะเกียกตะกายลอย ก็ยิ่งสำลักน้ำเข้าไปมากขึ้นอีก
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พลังก็เริ่มใกล้หมดเต็มทีแล้ว
“ช่วยคน รีบไปช่วยคน…”
ผู้คนที่อยู่บริเวณไกลๆ นั้นเห็นว่าที่ต้นสะพานนั้นมีคนอยู่ ก็รีบตะโกนบอกทันที
กระโดดลงจากหัวสะพาน แล้วคว้าไหล่ของหญิงคนนั้นเอาไว้ ใช้ปลายเท้าตีน้ำเพื่อว่ายลอยกลับเข้าฝั่ง…สวี่ชีอันคิดวิธีการอย่างเป็นระบบขึ้นในหัวสมองเรียบร้อย หลังจากนั้น เขาก็กระโดดลงจากหัวสะพานไป
‘ตู้ม!’
เขากระโดดลงในแม่น้ำที่เย็นจัดราวกับน้ำแข็ง พยายามสุดตัวเพื่อว่ายไปทางหญิงผู้นั้น
ในความสามารถทั้งเจ็ดประเภทของชีเจวี๋ยกู่ ไม่มีสักอย่างที่สามารถลอยได้
ผู้คนที่อยู่บริเวณรอบๆ มากมายขนาดนี้ สวี่ชีอันละทิ้งความคิดที่จะใช้อั้นกู่เพื่อช่วยชีวิตคนภายใต้สายตาของผู้คนมากมายที่จ้องมอง
บางครั้ง ทหารที่หยาบคายก็สามารถสง่างามกว่าระบบอื่นๆ ได้เช่นกัน…ทันทีที่เขางมหญิงที่จมน้ำขึ้นมา ในใจของสวี่ชีอันก็มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว
“ไอ้หนุ่ม จับก้านไผ่ไว้! “
ชายชราผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ริมฝั่ง ยื่นก้านไม้ไผ่ไปทางสวี่ชีอัน
ภายใต้การช่วยเหลือของชายชรากับคนที่อยู่ถนน สวี่ชีอันคว้าจับก้านไผ่ไว้แล้วดึงตัวเองขึ้นมาพร้อมกับหญิงผู้นั้นขึ้นฝั่ง หญิงผู้นั้นสำลักน้ำ สติเลือนราง ใบหน้าซีดขาว แต่องค์ประกอบใบหน้านั้นใช้ได้ นางเป็นหญิงร่างเล็กที่จัดว่าหน้าตางดงามอย่างมากคนหนึ่งเลยทีเดียว
สวี่ชีอันใช้ฝ่ามือตบที่หลังของนาง
“อุแหวะ…”
หญิงสาวพ่นสำลักน้ำออกมาคำใหญ่ สติที่เลือนรางนั้นฟื้นกลับคืนมาแล้ว ทว่ากลับไม่ได้มีความดีอกดีใจที่เพิ่งหนีจากความตายขึ้นมาได้เลย ซ้ำร้ายยังร้องไห้ออกมา
“ให้ข้าตายเสียเถอะ ตายตกไปเสีย ขอร้องล่ะ…พวกท่าน…” นางปิดหน้าร้องพลางร้องไห้
“นี่คือภรรยาของจางปั่วจือไม่ใช่หรอกหรือ”
“อยู่ดีๆ ไปกระโดดน้ำทำไมกัน”
“โธ่ นางคือหญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง…”
ผู้คนรอบบริเวณนั้นซุบซิบคุยกันเบาๆ
……………………………………………………….