ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 508 พี่น้องในอ้อมกอด (1)
บทที่ 508 พี่น้องในอ้อมกอด (1)
พอมาถึงอำเภอฟู่หยางก็เจอฮูหยินน้อยกำลังกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
ความน่าอับอายมันอยู่ที่เขากับมู่หนานจือยังหาที่ค้างแรมไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องทำตามแผนของสวี่ชีอันคือหาโรงเตี๊ยม ก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องนี้
แต่ฮูหยินน้อยจะเชื่อคำพูดคนแปลกหน้าหรือไม่?
เงินสามสิบตำลึงเป็นเงินจำนวนมหาศาลในสายตานาง อันที่จริงถือเป็นโชคใหญ่หลวงเลยทีเดียว หากไม่ได้นำออกมาให้เห็นจริงๆ ก็เป็นเพียงให้สัญญาด้วยวาจาเท่านั้น คงไม่มีผู้ใดเชื่อ
พอมองกลับไปก็คิดไม่ออกว่าถ้านางโดดน้ำอีกจะทำอย่างไร
ดังนั้นการให้เงินนางล่วงหน้าจึงเป็นการปลอบใจนาง รอจนกว่าตนเองจะหาโรงเตี๊ยมเจอแล้วค่อยแก้ปัญหาเอาดาบหน้า สำหรับข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ ประเภทนี้ ไม่ได้ทำให้สวี่ชีอันผู้เคยรับมือกับคลื่นใหญ่ลมแรงรู้สึกตึงเครียดเลยแม้แต่น้อย
“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องราวเช่นกัน ข้าเคยตั้งปณิธานไว้ว่าขอให้บนโลกนี้ไร้ความอยุติธรรม ข้าจัดการเรื่องบนฟ้าไม่ได้ แต่ข้าจัดการเรื่องตรงหน้าได้”
สวี่ชีอันจิบเหล้าเหลืองแล้วพูดต่อ
“ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลอย่างถ่องแท้แล้วว่า การทำดีเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ เหมือนการเป็นหมอย่อมช่วยประเทศไม่ได้ ถ้าอยากให้ความอยุติธรรมในโลกลดน้อยลงก็ต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่”
มู่หนานจือเท้าคางด้วยมือข้างเดียว ดวงตาทอประกายชื่นชมพลางพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น ปณิธานของสำนักพุทธเกี่ยวเนื่องกับระดับเต๋าด้วยหรือไม่?”
นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นมา นางได้ฟังสวี่ชีอันพูดถึงหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงหลักการบำเพ็ญหลักๆ และความแตกต่าง แต่ถึงกระนั้นเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงนิทานปรัมปรา
หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งฉลาดเป็นกรดโดยไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว จงจำไว้ให้ขึ้นใจ
“ยิ่งปณิธานมากเท่าไร ระดับเต๋าก็จะยิ่งสูงเท่านั้น แต่ความสอดคล้องกันอยู่ตรงที่ความยากจะยิ่งสูงตาม…”
สวี่ชีอันพลันตะลึงงัน เขานึกถึงคำถามที่ว่า ตอนนั้นเสินซูตั้งปณิธานใดไว้?
จนถึงทุกวันนี้ เขาแทบจะมองไม่เห็นความพิเศษของเสินซู ทั้งวิถีนิกายฌานและการจับคู่บำเพ็ญล้วนอยู่ในระดับสูงมากๆ งั้นเสินซูนับเป็นพระโพธิสัตว์หรือพระอรหันต์?
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยไตร่ตรองมาก่อน
แต่ไม่ว่าจะพระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์ล้วนเป็นระดับเต๋าสูงสุด ถ้าเช่นนี้ต้องทิ้งร่องรอยไว้แน่นอน เช่น ภิกษุรูปหนึ่งได้ตั้งปณิธานไว้ว่า
‘จะสร้างบ้านหลังใหญ่นับพันนับหมื่นได้อย่างไร ให้ประสกผู้ยากไร้พักพิงชื่นมื่นทั่วหน้า!’
ถ้าเช่นนั้น ภิกษุต้องขับเคลื่อนด้วยบางสิ่งที่สอดคล้อง เช่นสร้างบ้านเรือนอย่างบ้าคลั่ง และพัฒนาอุตสาหกรรมอสังหาฯ
ถ้าเช่นนี้ ก็จะทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจน
หากล่วงรู้ได้ว่าตอนนั้นเสินซูตั้งปณิธานใดไว้หรือไขความลับในตัวเสินซูได้ เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังที่เขาถูกปิดผนึกได้
…
“พาผู้หญิงไปด้วยคนหนึ่ง ม้าศึกอีกหนึ่งตัวงั้นหรือ? แน่ใจหรือว่าเป็นม้าศึกจริงๆ?”
ในลานใหญ่ส่วนที่สาม ดวงตาจูเอ้อร์สว่างวาบ
“ม้าตัวนั้นคือม้าฝีเท้าดีเป็นพิเศษ สูงกว่าม้าทั่วไปอยู่มากโข รูปร่างนั้นเว้าโค้ง ละสายตาไปไม่ได้จริงๆ”
ลูกน้องผู้รับผิดชอบหน้าที่สืบสวนกล่าวชมไม่หยุดปาก
ม้าศึกเป็นของหายาก มีเงินอย่างเดียวก็ซื้อไม่ได้ ไหนจะสงครามระหว่างราชสำนักกับสำนักพ่อมดในปีนี้ กองทัพต้าฟ่งบาดเจ็บล้มตายไปมาก ทำให้การแลกเปลี่ยนม้าศึกเข้มงวดมากขึ้น
ในสายตาจูเอ้อร์ มีมูลค่ายังถือเป็นเรื่องรอง ประเด็นคือมันหายาก
สมควรแล้วที่จะนำส่งให้นายอำเภอ
หลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดชอบม้าแล้ว โดยเฉพาะม้าลักษณะดี
จูเอ้อร์ไตร่ตรองอยู่นาน บางอย่างพลันดลใจขึ้นมา “เอาล่ะ ไปบอกหัวหน้าหลี่ดีกว่า ให้เขาพาบรรดาพี่น้องไปโรงเตี๊ยมซานหยาง”
…
เหล้าเหลืองของอำเภอฟู่หยางนั้นดีจริงๆ รสชาติเยี่ยมยอด สวี่ชีอันที่ไม่รู้วิธีหมักเหล้าเดาได้เพียงว่าเป็นเพราะคุณภาพน้ำและธัญพืช
แผ่นดินผืนน้ำใดย่อมหล่อเลี้ยงคนท้องถิ่นนั้น แผ่นดินผืนน้ำย่อมมีสภาพแวดล้อมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
“ตอนออกจากฟู่หยาง ซื้อเหล้าติดไปสักสองสามไหสิ…”
มู่หนานจือเม้มริมฝีปาก แล้วพูดอย่างสำราญใจ
สำหรับนาง ข้อได้เปรียบข้อใหญ่ที่สุดของการท่องยุทธภพคือการลิ้มลองอาหารเลิศรสเหล้าชั้นดีแต่ละที่ ได้ชื่นชมประเพณีท้องถิ่นที่แตกต่างกัน
แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอข่าวร้ายบ้าง ปล่อยให้จิตใจปลดปล่อยด้านลบและไม่มีความสุข แต่นั่นก็ถือเป็นประสบการณ์
ทั้งสองคนวางเหยือกเหล้าลง ออกไปจัดการธุระให้ฮูหยินน้อยด้วยกัน
ตามบันไดที่ทอดยาวไปยังห้องโถงของโรงเตี๊ยมมีเสียงฝีเท้ากระชั้นถี่ มือปราบสี่คนและกลุ่มชายฉกรรจ์หน้าตาเหี้ยมโหดกรูกันเข้าไปในโรงเตี๊ยม
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำสวมเครื่องแบบหัวหน้ามือปราบชุดดำคาดแถบแดง
การแต่งตัวที่คุ้นตาเช่นนี้ ทำให้สวี่ชีอันเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นมาอย่างหาคำอธิบายไม่ได้
หัวหน้ามือปราบวัยกลางคนชำเลืองมองเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยม แล้วพูดเสียงขรึม “วันนี้มีคนแปลกหน้าค้างแรมในโรงเตี๊ยมหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านมองไปที่สวี่ชีอันและมู่หนานจือทันที “ใต้เท้า สองคนนั้นอยู่นั่น”
หัวหน้ามือปราบวัยกลางคนมองสวี่ชีอันแล้วพูดขึ้น “มีคนแจ้งข้าว่าเจ้าขืนใจหญิงสาว เจ้าต้องไปที่ทำการปกครองกับพวกข้า”
ข้า? ขืนใจหญิงสาว? สวี่ชีอันรู้สึกตนโดนใส่ร้ายอย่างรุนแรง ปกติแล้วหากฆ้องเงินสวี่ต้องการหลับนอนกับแม่นางน้อยบ้านไหน พวกแม่นางน้อยต้องดีใจจนหุบขาไม่ลงสิ
ทำไมต้องขืนใจ
ขืนใจหญิงสาว? แขกที่มาค้างแรมในโรงเตี๊ยมต่างพากันมองมา
เมื่อได้ยินว่าคนต่างถิ่นขืนใจหญิงในท้องถิ่น ในตอนนี้พวกแขกจึงแสดงท่าทางไม่เป็นมิตร
“ใครแจ้งข้า มีเอกสารหรือไม่”
สวี่ชีอันเข้าใจขั้นตอนการนำจับคนของที่ทำการปกครองอย่างแจ่มแจ้ง ในขณะที่พูดก็มองกลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยแววตาปกติ มองไปยังบุรุษผู้หนึ่งแต่งตัวสะอาดเอี่ยมอ่อง ดูอ้วนท้วนแข็งแรง
ในสายตาสวี่ชีอัน ชายผู้นี้ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีทองจางๆ มีเงามังกรตัวเล็กๆ ลอยพันวนไปวนมาอยู่รำไร
นี่ทำให้เขาทั้งดีใจทั้งเสียดาย ดีใจที่เดินทางมานานในที่สุดก็เจอร่างพักพิงชีพจรมังกร แต่เสียดายที่ชีพจรมังกรของร่างพักพิงอยู่ในประเภทฟุ้งกระจาย
ซึ่งไม่ใช่เก้าชีพจรมังกรที่ตามหา
ชายวัยกลางคนผู้นั้นที่แต่งตัวดูดี ร้องเฮ้อออกมาแล้วพูดขึ้น
“ข้าชื่อจูเอ้อร์ ข้าเป็นคนไปแจ้งเจ้าที่ทำการปกครองเอง วันนั้นเจ้าช่วยผู้หญิงคนหนึ่งที่พลัดตกน้ำที่ริมแม่น้ำ เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่?”
สวี่ชีอันพยักหน้า
จูเอ้อร์พูดเสียงขุ่นเคือง “เจ้าใช้อุบายพานางไปที่บ้านพ่อหม้ายเฒ่าเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วฉวยโอกาสนี้ขืนใจนาง พอนางกลับมาถึงบ้านก็ร้องห่มร้องไห้เล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง”
ขณะพูด เขามองไปยังหัวหน้ามือปราบวัยกลางคนแล้วพูดว่า “หัวหน้าหลี่ เจ้าต้องช่วยตัดสินใจแทนข้าผู้ต่ำต้อย”
ทันใดนั้นสวี่ชีอันจ้องเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่แท้เจ้าก็คือจูเอ้อร์ ที่วางกลับดักให้ง่อยจางตกหลุมพรางจนหมดสิ้นเนื้อประดาตัว จากนั้นจึงขืนใจภรรยาของเขา บังคับให้เธอฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดน้ำ ข้าเจอนางเลยสงสาร จึงยื่นมือเข้าช่วยและให้เงินสามสิบตำลึงให้นางไว้ใช้หนี้ ทำไมล่ะ ข้าขัดความสุขของเจ้างั้นหรือ? อืม ภรรยาง่อยจางอยู่กับเจ้าหรือเปล่านะ?”
ความกระจ่างชัดขึ้นมาในใจเขาเมื่อชีพจรมังกรและโชคชะตามาบรรจบกัน ระหว่างเดินทางมานี้ เขารู้ว่าจะได้เจอร่างพักพิงชีพจรมังกรไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่ระบุเวลาที่แน่ชัดไม่ได้
อาจใช้เวลาถึงหนึ่งปี สองปีหรือนานกว่านั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แขกภายในโถงก็เข้าใจทันที
แม้ว่านี่จะเป็นคนต่างถิ่น แต่ก็ไม่มีใครในอำเภอนี้ไม่รู้จักจูเอ้อร์ และไม่มีใครไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์กับนายอำเภอเช่นไร
เมื่อลองเทียบคำพูดของเขาแล้ว ทุกคนเต็มใจที่จะเชื่อคนต่างถิ่นมากกว่า
หัวหน้ามือปราบหลี่ผู้มีหัวคิดในเชิงธุรกิจขัดขึ้น “หยุดพูดไร้สาระ ไปที่ว่าการปกครองกับพวกข้า นายอำเภอจะสอบสวนหาความจริงและไม่เข้าข้างผู้ใด”
ทันใดนั้นเสียงม้าร้องแหลมสูงดังขึ้น ตามด้วยเสียงกรีดร้อง
ทุกคนรีบออกจากโรงเตี๊ยมเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นบนท้องถนน มีชายสองสามคนกำลังพยายามกำราบม้าพันธุ์ดี ชายสองคนกำลังดึงบังเหียน ส่วนอีกคนหนึ่งพยายามขึ้นขี่มัน
แต่กลับโดนลูกเตะอันสวยงามจากแม่ม้าน้อยจนลอยเคว้งออกไป นอนหายใจรวยรินบนพื้น ปากและจมูกมีเลือดทะลักล้นออกมา
จูเอ้อร์ทั้งตกใจปนดีใจ ม้าตัวนี้มีจิตวิญญาณมากกว่าที่เขาคิด หัวใจของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความโลภจึงขึ้นเสียงสูง
“หัวหน้าหลี่ เขาใช้ม้าฆ่าคนตาย ต้องถูกเพิ่มโทษอีกขั้นหนึ่ง”
มู่หนานจือที่ได้ยินเช่นนี้ เท้าเอวแล้วยิ้มเยาะ “ถ้าพวกเจ้าไม่กวนโมโหมัน มันจะทำร้ายผู้คนหรือ? เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเจ้าจ้องจะขโมยม้า”
คำพูดของมู่หนานจือถูกทุกคนเมิน เหตุเพราะนางมีหน้าตาไม่ดีนัก
หัวหน้ามือปราบหลี่ทำหน้าตึง “ม้าตัวนี้นับเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเช่นกันและจะถูกนำตัวไป เมื่อสักครู่เขาผิวปากสั่งให้ม้าทำการฆาตกรรม ต้องถูกเพิ่มโทษอีกขั้นหนึ่ง”
จูเอ้อร์ยิ้มทันที “หัวหน้าหลี่ตัดสินได้เด็ดขาดเช่นเทพสวรรค์ พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่?”
กลุ่มชายฉกรรจ์ด้านหลังเขาพลอยหัวเราะด้วย
ผู้คนข้างถนนกรูกันเข้ามารวมกลุ่มชี้นิ้วพร้อมกระซิบกระซาบ
“จูเอ้อร์ร่วมมือกับพวกขุนนางชั่วพวกนี้ไปรีดไถใครกัน?”
“เหมือนจะเป็นคนต่างถิ่นนะ”
“อ้อ คนต่างถิ่นงั้นหรือ เขาดวงซวยจริงๆ”
“จูเอ้อร์เที่ยวอาละวาดมาสองครั้งแล้ว ไม่มีใครเยียวยาเขาได้ ตอนต้นปีก็ขูดรีดเถ้าแก่โจวเจ้าของร้านผ้าไหมตั้งสองร้อยตำลึง ด้วยความไม่พอใจจึงไปร้องเรียนที่ทำการปกครอง แต่นายอำเภอกับจูเอ้อร์ดันเป็นพวกเดียวกัน เถ้าแก่โจวเลยต้องเข้าเมืองยงโจวเพื่อร้องเรียนต่อ แต่ถูกดักซุ่มโจมตีแล้วส่งกลับมา ต่อมาร้านก็ตกอยู่ในกำมือจูเอ้อร์”
“เจ้าเบาเสียงหน่อย อย่าให้ใครได้ยินสิ เดี๋ยวก็ซวยเอาหรอก”
“เฮ้อ อำเภอฟู่หยางของพวกเราไม่มีฆ้องเงินสวี่ ไม่เช่นนั้นคนพาลอย่างจูเอ้อร์คงถูกโค่นเร็วๆ นี้แน่”
นี่เป็นโชคร้ายของผู้ใต้บังคับบัญชาเสียจริง การกดขี่รังแกราษฎรไร้ทางสู้ เที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ปกติในอำเภอเล็กๆ…ด้วยความที่สวี่ชีอันหูไวอย่างยิ่ง เขาจึงได้ยินบทสนทนาของราษฎรแถวนั้น อยู่ๆ ก็นึกถึงเว่ยเยวียนที่ครั้งหนึ่งเคยลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชา
หัวหน้ามือปราบหลี่ตะคอกเสียงลั่น “มัวอ้ำอึ้งอะไรอยู่ รีบเอาผ้าปิดตาม้าสิ”
เอาผ้าปิดตาม้า ม้าก็จะเดินตามคน
มือปราบคนหนึ่งรีบถอดเครื่องแบบ พลางยื่นมือไปจับแม่ม้าน้อย
แม่ม้าน้อยถอยห่างทีละก้าว แต่ก็จนปัญญาเนื่องด้วยบังเหียนถูกชายสองคนจับไว้แน่น จึงหนีไม่พ้น
มันโอดครวญไม่รู้จบ
“ร้องเรียกอะไร เรียกพ่อมาสับแกหรือไง”
มือปราบผู้นี้ขู่ขณะเอาเสื้อตัวเองคลุมหัวแม่ม้าน้อย แต่เขาทำไม่สำเร็จเพราะถูกกระสุนเงินยิงมาโดนกระดูกสะบ้าเข่าแตก
มือปราบสูญเสียการทรงตัวทันที เขาเซล้มลงบนพื้น แล้วกอดเข่าที่ชุ่มด้วยเลือดพลางร้องทุรนทุราย
เขาต้องขาเป๋ในภายหลัง
ทุกทิศทุกทางเกิดความโกลาหลขึ้นกะทันหัน ผู้สัญจรไปมาบนท้องถนนคาดไม่ถึงว่าคนต่างถิ่นผู้นี้จะหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้ เขาทำร้ายร่างกายมือปราบของที่ทำการปกครองจนบาดเจ็บสาหัส
“กล้าดียังไงเที่ยวเข่นฆ่าทำร้ายผู้คน!”
หัวหน้ามือปราบหลี่ขมวดคิ้ว ดึงมีดพกออกมา
“หัวหน้าหลี่ พวกข้าจะช่วยท่าน”
จูเอ้อร์ยิ้มเยาะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดึงมีดปากแคบเรียวยาวออกมาจากหลังเอว ลูกน้องของเขาพากันทำตามโดยชักมีดแบบเดียวกันออกมา
อาจเพราะเมื่อครู่เห็นสวี่ชีอันตอบโต้ ทำให้หัวหน้ามือปราบหลี่รวมถึงคนอื่นๆ ตระหนักได้ว่าเขามีความสามารถอยู่บ้าง จึงไม่ได้เข้าล้อมในทันที แต่ควงมีดเดินเวียนไปรอบๆ แล้วถึงขยับเข้าไปใกล้ทีละก้าว
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งจั้ง หัวหน้ามือปราบหลี่พร้อมทั้งพยายามแทงมีดพกออกไป
ด้วยร่างกายที่มีตบะอยู่บ้าง เมื่อมีดฟันลงมา จึงเกิดเสียงลมหวีดหวิว แล้วคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามา
สวี่ชีอันยกมือคว้ามีดของหัวหน้ามือปราบหลี่ไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมทาบหลังมือลงบนต้นคออีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น
“สมคบคิดกับคนพาล กดขี่รังแกราษฎรไร้ทางสู้ บั่นคอมัน!”
คมมีดพุ่งผ่านไป จากนั้นหัวคนคนหนึ่งกลิ้งตกลงมาพร้อมดวงตาเบิกโพลง
เลือดสีแดงฉานกระเซ็นราวกับน้ำพุ
…………………………………………….