ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 510 หลบหนี
บทที่ 510 หลบหนี
เทพบุตรนิกายสวรรค์หลี่หลิงซู่โค้งคำนับอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ
“นี่เป็นเพียงการทดสอบความสามารถของเจ้า หากเรื่องนี้ทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย คืนนี้ข้าจะไม่มาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือ นอกจากนี้ พี่ชิงไม่ใช่คนกระหายเลือด หากทั้งสองฝ่ายไม่มีความบาดหมางกัน ในตอนกลางวันนางก็คงส่งสัญญาณมา”
“มองออกแล้ว”
สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่โต๊ะ เดิมทีเขาคิดจะรินชาให้ตัวเอง แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่านี่คือความฝัน ดังนั้นเขาจึงเลิกคิดที่จะทำ
หลี่หลิงซู่กล่าวว่า “เมื่อสองปีก่อน ข้ากับศิษย์น้องท่องลงจากภูเขา เพื่อไปขอคำแนะนำจากทางโลก ระหว่างเดินทางไปที่เขตตงไห่ ก็ได้รู้จักกับคู่พี่น้องตงฟาง พวกนางเป็นสนมเอกและสนมรองของตำหนักมังกรตงไห่”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ “เขตตงไห่ เมืองแห่งความโกลาหล”
เขตตงไห่อยู่ติดกับทะเลตะวันออก มันเคยเป็นส่วนหนึ่งของต้าฟ่ง แต่ภายหลังถูกสำนักพ่อมดยึดครองไป ซึ่งต่อมาก็ถูกต้าฟ่งยึดคืนมาได้อีกครั้งในภายหลัง ทั้งสองฝ่ายยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่หลายปี ภายใต้ข้อตกลงโดยปริยายของต้าฟ่งและสำนักพ่อมด สุดท้ายก็กลายเป็นเมืองแห่งความโกลาหล
ธรรมชาติของตงไห่นั้นเหมือนกับอวิ๋นโจว ทั้งหมดล้วนเป็นพื้นที่แห่งความวุ่นวาย แต่อวิ๋นโจวไม่มีระเบียบมากกว่า เพราะเต็มไปด้วยกองกำลังยุทธภพ คนไร้ประโยชน์ สำนักพ่อมด และคนหนีคดีของต้าฟ่ง
“ตำหนักมังกรตงไห่เป็นหนึ่งในกองกำลังที่ทรงพลังที่สุดในเขตตงไห่”
สวี่ชีอันไม่รู้จักตงไห่มากนัก เขาเพียงแค่เคยได้ยินชื่อเท่านั้น
หลี่หลิงซู่พยักหน้า
“พี่สาวชื่อตงฟางหว่านหรง นางเป็นแม่มดขั้นสูงสุดในขั้นสี่ น้องสาวชื่อตงฟางหว่านชิง นางเป็นยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ จะว่าไปแล้ว สาเหตุที่ข้ามีปัญหากับพวกนางก็เพราะศิษย์น้องของข้าเอง ศิษย์น้องมีความคิดที่ยุติธรรมอย่างมาก ตอนที่บำเพ็ญธรรมอยู่บนภูเขาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันเรียบง่าย ย่อมสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ของการเป็นพี่น้องร่วมสำนักเดียวกัน นิกายสวรรค์ของพวกเราจิตใจสะอาดผ่องใสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเรื่องข่มเหงรังแกสาวกร่วมสำนักเดียวกัน ก็ยังขี้เกียจเกินไปที่จะทำ ดังนั้น พวกเราจึงไม่ได้สังเกตเห็นความคิดอันยุติธรรมที่แข็งแกร่งของนางในตอนนั้น หลังจากลงมาจากภูเขา นางก็ค่อยๆ เปิดเผยนิสัยที่แท้จริงออกมา ต่อให้เป็นเรื่องที่ไม่ชอบ นางก็เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยทั้งหมด เจ้าเดินทางท่องยุทธภพ ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน นางเป็นศิษย์น้องของข้าเอง”
สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยความชื่นชมในใจสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ของบุตรนิกายสวรรค์
“เป็นเพราะวีรกรรมอันกล้าหาญครั้งนั้น พวกเราเหล่าพี่น้องจึงได้รู้จักคู่พี่น้องตงฟาง และ…และเพราะเหตุบังเอิญบางอย่าง ทำให้ข้าเกิดมิตรภาพอันลึกซึ้งกับพวกนาง”
พูดกระบวนการอย่างละเอียดไม่ได้รึ? เขากระตุกมุมปาก แสดงท่าทีกึ่งยิ้ม “ดังนั้น เจ้าก็เลยตกหลุมรักนางทั้งคู่ในเวลาเดียวกัน?”
บุตรนิกายสวรรค์พยักหน้าด้วยความเก้อเขิน
สวี่ชีอันรู้สึกราวกับเห็นตนเอง ขึ้นชื่อว่ายอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ ไม่ว่าในระบบใด ล้วนเป็นหินหลักกลางกระแสชล และเป็นแกนนำของดินแดนมนุษย์
สองพี่น้องที่งดงามดุจดอกไม้เช่นนั้นพวกนางเต็มใจปรนนิบัติสามีคนเดียวกันงั้นรึ
เขาเหลือบตามองบุตรนิกายสวรรค์ด้วยสายตาเห็นด้วยเล็กน้อย พลางกล่าวอย่างครุ่นคิดว่า “ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ พวกนางสองพี่น้องน่าจะหลงใหลเจ้าถึงจะถูก ทำไมเจ้าคิดจะหลบหนีเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บุตรนิกายสวรรค์ก็กล่าวด้วยความกลุ้มใจว่า “เจ้ามีฐานการบำเพ็ญอันลึกซึ้ง น่าจะรู้จักนิกายสวรรค์กระมัง”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันพยักหน้า เขาจึงไม่ได้แนะนำนิกายสวรรค์ให้ยืดยาว กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “สิ่งที่นิกายสวรรค์ของพวกเราบำเพ็ญคือวิชาตัดอารมณ์ ทำไมต้องเป็นวิชาตัดอารมณ์? ท่านอาจารย์บอกว่า โดดเดี่ยว ไม่เกิดอารมณ์ปฏิพัทธ์ เป็นผู้ที่ถูกลืม ตามความเข้าใจของข้าคือ ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ไม่ถูกรบกวนโดยความรู้สึก การตัดอารมณ์ไม่ใช่ความโหดเหี้ยม ไม่เกิดความกังวลเพราะความรัก ไม่ติดบ่วงเพราะความรัก เข้าถึงระดับของการอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ทั้งสิ้น ผสานกลืนสวรรค์และพิภพ ความสุขสูงสุดอยู่ที่ความพอใจ ความสงบสุขที่สุดอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว ระดับนี้ทำได้เพียงตรัสรู้ เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งของนักรบ และ ‘เจตนา’ ทั้งหมดล้วนต้องการความเข้าใจอย่างซาบซึ้งในตัวเอง”
สวี่ชีอันฟังอย่างอดทน ทั้งที่ความจริงไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น
เขายกมือขึ้นมาขัดจังหวะการพูดของบุตรนิกายสวรรค์ในเวลาที่เหมาะสม ก่อนจะขมวดคิ้วกล่าวว่า “สองคนนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?”
“มีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นอน”
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ “จะปลงได้ ย่อมต้องสัมผัสความรักก่อน ดังนั้น…”
เขาเหลือบตามองสวี่ชีอัน เห็นอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้างุนงง แต่ในขณะที่กำลังจะกล่าวต่อไป ชายชุดดำที่มีภูมิหลังลึกลับท่านนี้ก็ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ดังนั้น เจ้าก็เลยฟันพวกนางแล้วทิ้ง?”
หลี่หลิงซู่อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะโต้กลับเสียงดัง “ไม่ใช่ฟันแล้วทิ้ง เพียงแต่ข้ายังมีความรับผิดชอบในฐานะของศิษย์ในสำนัก ข้าต้องค้นหาเส้นทางของตนเอง อีกอย่าง ไม่ว่าโอรสหรือธิดานิกายสวรรค์ ย่อมต้องสืบทอดเชื้อสายอันยิ่งใหญ่ของนิกายสวรรค์ในอนาคต ข้าแบกรับหน้าที่สำคัญในการเป็นอาจารย์ แล้วจะมีความรักอันลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวได้อย่างไร สู้ปลดปล่อยตนเองให้พ้นจากพันธนาการ ทั้งทางสังคม และจิตใจดีกว่า ดังนั้น ข้าจึงติดตามศิษย์น้องของข้าไปยังสุดขอบฟ้าไกล และออกจากเขตตงไห่”
ปลดปล่อยตนเองให้พ้นจากพันธนาการ ทั้งทางสังคม และจิตใจ และตายไปอย่างผู้ชายเลวๆ…สวี่ชีอันตำหนิส่อเสียดอยู่ในใจ
“แต่พี่ชิงและพี่หรงไม่คิดเช่นนั้น พวกนางคิดว่าข้าเป็นคนเนรคุณ แล้งน้ำใจ เกลียดชังเพราะความรัก ในที่สุดพวกนางก็ติดตามร่องรอยของพวกเราทั้งสองจนพบเมื่อหนึ่งปีก่อน ศิษย์น้องของข้านั้นไม่เคยสนใจศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นางเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดาย ข้าจึงทำได้เพียงวิ่งหนีเอาตัวรอดคนเดียว…”
บุตรนิกายสวรรค์มีสีหน้าเศร้าหมอง “สุดท้ายก็หนีไม่พ้นจากเงื้อมมือของพวกนาง ตอนนี้การบำเพ็ญธรรมของข้าถูกปิดผนึก ถูกพี่ชิงและพี่หรงกักขังอยู่ข้างกายพวกนาง”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีแม้แต่น้อย…สมองของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะถ่มน้ำลายอย่างไร จึงกล่าวช้าๆ ว่า “ดังนั้นเจ้าจึงอยากให้ข้าช่วยเจ้าหนีให้พ้นจาก ‘เงื้อมมือ’ ของพวกนางงั้นรึ?”
เทพบุตรนิกายสวรรค์พยักหน้ารับอย่างต่อเนื่อง
“เหอะ!” สวี่ชีอันยิ้มเยาะ “ขอโทษด้วย ข้าคงทำอะไรไม่ได้ พวกนางทั้งสองเป็นยอดฝีมือสูงสุดของขั้นสี่ หากเป็นแค่ยอดฝีมือก็คงไม่เป็นอะไร แต่หนึ่งในนั้นเป็นแม่มดที่เชี่ยวชาญเรื่องการทำนาย จำเป็นต้องมีเส้นผม ผิวหนัง หรือเลือดเนื้อของอีกฝ่ายอยู่ในมือเสียก่อน ตราบใดที่อีกฝ่ายทำการเสี่ยงทาย ก็จะสามารถล่วงรู้ที่อยู่ของเจ้าได้ เพราะการทรยศของเจ้า พวกนางยังสามารถเปลี่ยนความรักให้กลายเป็นความเกลียดชังอีกครั้ง และร่ายคาถาปลิดชีพเจ้าโดยตรง แน่นอนว่า ‘ของติดตัว’ ของเจ้าอาจไม่ได้อยู่ในมือ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในร่างของพวกนาง”
บุตรนิกายสวรรค์ไม่ได้ตื่นเต้นร้อนรน และยังคงสงบนิ่ง “พี่ชิงและพี่หรงฆ่าข้าไม่ลงหรอก เรื่องนี้ข้ารับประกันได้ แน่นอนว่า ต่อให้พวกนางเลือกที่จะร่ายคาถาปลิดชีพ ข้าก็ไม่แค้นเคือง อย่างไรความรักที่ข้ามีต่อพวกนางก็มาจากก้นบึ้งของหัวใจ”
เดี๋ยวก็กอดซ้ายกอดขวา เช่นนี้ยังคู่ควรที่จะพูดว่ารักงั้นรึ? อืม ดูเหมือนข้าเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดถึงเขา…สวี่ชีอันยังคงส่ายศีรษะ
“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เจ้าเต็มใจตายหรือไม่ แต่ประเด็นคือพวกนางก็อาจจะไม่ได้เต็มใจฆ่าเจ้า แต่นางต้องโกรธแค้นข้าอย่างแน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของยอดฝีมือสูงสุดของขั้นสี่ทั้งสองนี้”
“พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” บุตรนิกายสวรรค์มองเขาอย่างพิจารณา พลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าสามารถใช้ความสามารถในการเคลื่อนย้ายดวงดาราบนท้องฟ้าของเทียนกู่ได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อปกปิดกลิ่นอายของข้า หากพวกนางหาข้าไม่พบ เช่นนี้ก็ปลอดภัยแล้ว”
เขารู้ว่าข้ามีวิชา ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ ได้อย่างไร…สวี่ชีอันหวาดหวั่นจนเกือบจะเข้าสู่สถานะต่อสู้ และแสดงอาการโมโหโดยฉับพลัน แต่เมื่อคิดได้ว่าเทพบุตรนิกายสวรรค์นับว่าเป็นครึ่งหนึ่งของตนเอง เขาจึงอดทนไว้
“ไม่ต้องกังวล ข้าเคยเห็นความสามารถของ ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ มาก่อน และยังเคยสัมผัสมันด้วยตนเอง ตอนที่บังเอิญพบกันบนถนนเมื่อตอนกลางวัน ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของเทียนกู่ มีเพียงผู้ที่เคยรับพลังเทียนกู่ด้วยตนเองมาก่อน จึงจะสามารถสัมผัสถึงมันได้ แต่กู่เจ้าชะตาในร่างของเจ้าแปลกประหลาดมาก นอกจากเทียนกู่แล้ว ยังใช้อั้นกู่ ลี่กู่และตู๋กู่ด้วย”
“ยังมีซินกู่ ฉิงกู่และซือกู่ ไม่สิ ปัญหาหลักคือ เจ้าเคยรับพลังดวงดาราผันเปลี่ยนของเทียนกู่งั้นรึ?” สวี่ชีอันถามด้วยความสงสัย
“เรื่อง เรื่องนี้พูดไปก็ยาว” บุตรนิกายสวรรค์กล่าวอีกว่า “วันนั้นข้าหนีลงไปทางใต้เพื่อหลบหนีจากสองพี่น้องตงฟาง ข้าหนีไปถึงเผ่ากู่ และได้รับการช่วยเหลือจากหญิงงามที่มีชีวิตชีวาผู้หนึ่ง นางเห็นอกเห็นใจข้ามาก จึงพาข้าไปยังเขตเทียนกู่ และขอร้องให้แม่ย่าเทียนกู่ใช้พลังดวงดาราผันเปลี่ยนมาปกปิดกลิ่นอายของข้า และขัดขวางการติดตามของพี่หรง เจ้ารู้จักแม่ย่าเทียนกู่หรือไม่ นางเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งมากท่านหนึ่ง”
สวี่ชีอันถามว่า “เช่นนั้นเจ้าถูกสองพี่น้องตงฟางพบอีกครั้งได้อย่างไร?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น บุตรนิกายสวรรค์ก็เผยรอยยิ้มที่พะอืดพะอม “ต่อมา ข้าพบกับสาวเทียนกู่คนนั้นครั้งแรกก็รู้สึกสนิทสนมราวกับเป็นเพื่อนเก่าแก่ คืนหนึ่งที่พระจันทร์สุกสว่างอยู่บนท้องฟ้า ข้าสัมผัสนางโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด นางก็สัมผัสข้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเช่นกัน และยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่แยกจากกันตลอดไป…”
หัวใจของสวี่ชีอันเต้นแรง และมองเขาอย่างเงียบๆ “หญิงงามนั้นเป็นใคร?”
เทพบุตรนิกายสวรรค์กล่าวอย่างเซื่องซึม “นางเป็นหญิงงามของเขตฉิงกู่”
‘พู…’ สวี่ชีอันเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่เขายังคงรักษาบุคลิกอันเคร่งขรึมของตนเองไว้ได้
“ดังนั้น เพื่อที่จะสลัดนางทิ้ง เจ้าจึงโยนตัวเองเข้าไปในกับดัก และปล่อยให้สองพี่น้องตงฟางหาตนเองจนพบงั้นรึ?”
เทพบุตรนิกายสวรรค์ถอนหายใจ “แต่ตอนที่อยู่กับนาง ข้ามีความสุขอย่างแท้จริง ข้าชอบนางจริงๆ แต่ความต้องการที่จะครอบครองของนางมีมากกว่าพี่ชิงและพี่หรงมาก นางยังปลูกฉิงกู่ไว้ในร่างของข้าอีกด้วย นอกจากนี้ ติดตามพี่หรงและพี่ชิง ข้าก็ยังมีโอกาสหลบหนี การอยู่ในเผ่ากู่ที่มีสายตาจับจ้องมากมาย มียอดฝีมือจำนวนมาก รวมทั้งวิธีการที่แปลกประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน ข้าหนีไปไหนไม่ได้เลย”
การผจญภัยอันยอดเยี่ยมของบุตรนิกายสวรรค์ มีการพัวพันกับผู้หญิงถึงสามคน…สวี่ชีอันประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันและวางลงบนโต๊ะ พลางกล่าวว่า “เจ้าบำเพ็ญธรรมขั้นใด ใช้พลังได้มากเท่าใด? สิ่งนี่เกี่ยวข้องกับแผนของข้า นอกจากนี้ ข้าช่วยเจ้าได้ แต่เจ้าต้องนำค่าตอบแทนที่ทำให้ข้ารู้สึกพอใจพอสมควรออกมาก่อน”
หลี่หลิงซู่ทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ เมื่อพิจารณาอย่างจริงจังดีแล้ว เขาก็กล่าวอย่างนอบน้อมจริงใจว่า “ข้าเพิ่งรวมปราณก้าวสู่ขั้นสี่ ตอนที่ท่องลงจากเขาในวันนั้น ข้าและศิษย์น้องล้วนอยู่ในขอบเขตเทพเจ้าหยิน หลังจากนั้นหนึ่งปี ข้าก็เป็นยอดฝีมือขั้นสี่ นางเพียงแค่ขั้นห้า ในช่วงครึ่งปีของการไล่ล่า ข้าไม่มีทางลงหลักปักฐานเพื่อบำเพ็ญธรรมได้ ฐานบำเพ็ญธรรมของข้าถูกปิดผนึก ข้าก้าวไปข้างหน้าไม่ได้มาโดยตลอด พลังสูงสุดที่ข้าสามารถแสดงได้ในตอนนี้อยู่ที่ขั้นเจ็ดเท่านั้น สังเวยปราณขั้นเจ็ดก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับอาวุธเวทมนตร์เหล่านั้น”
กากเดนที่อ่อนแอ…สวี่ชีอันประเมินอยู่ในใจ
หลี่หลิงซู่กล่าวจบแล้ว ก็กล่าวต่อไปอีกว่า “สำหรับค่าตอบแทน ตอนนี้ข้าสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว แผ่นดินของข้า…อืม สิ่งของทุกอย่างล้วนถูกทิ้งไว้ที่นั่นกับศิษย์น้อง มีทองและเงิน อาวุธเวทมนตร์ และชิ้นส่วนสมบัติสวรรค์จำนวนหนึ่ง หลังจากเจ้าช่วยข้าแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปหานาง และแบ่งเงินสะสมทั้งหมดของข้าให้เจ้าครึ่งหนึ่ง เหอะๆ นั่นเป็นทรัพย์จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว หากเจ้าไม่เชื่อข้า ก็น่าจะเชื่อในชื่อเสียงของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน”
สีหน้าของเขากำลังแสดงออกว่า ‘ศิษย์น้องของข้าคือผู้ยิ่งใหญ่’ ซึ่งสำหรับตำแหน่งทางยุทธภพ หลี่เมี่ยวเจินคือลูกพี่ใหญ่จริงๆ
สวี่ชีอันพิจารณาอยู่นาน “ข้าจะลองช่วยเจ้า แต่ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ”
ทั้งสองหารือกันเสียงเบาทันที
…
วันรุ่งขึ้น หลี่หลิงซู่ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า พร้อมกับอาการปวดเอวเล็กน้อย
ยังไม่ถึงขั้นสูง การพัฒนาของร่างกายในระบบลัทธิเต๋าย่อมไม่แข็งแรง ไม่มีทางเทียบได้กับนักรบในเขตแดนเดียวกัน
สายลมโบกสะบัดอยู่ที่ลานบ้านอย่างรุนแรง เนื่องจากพี่ชิงกำลังฝึกฝนกำปั้นอยู่ที่นั่น
ในห้องนอนอันอบอุ่น ที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งที่คลุมด้วยผ้าโปร่งแสง มีผู้หญิงทรงเสน่ห์เอวบางกำลังแต่งหน้าในกระจก และมองกลับมาอย่างอ่อนหวาน “หลี่หลาง ตื่นแล้วรึ?”
หลี่หลิงซู่ยกผ้านวมขึ้นและลุกออกจากเตียง ก่อนจะเข้าไปกอดหญิงงามจากด้านหลังและกล่าวว่า “ใช่แล้วพี่สาว ข้าช่วยท่านเขียนคิ้วเอง”
ตงฟางหว่านหรงยิ้มหวาน นางเงยหน้ารูปไข่ขึ้นเล็กน้อย และหลับตาลง
หลี่หลิงซู่เขียนคิ้วไปพลาง และกล่าวไปพลาง “เครื่องลายครามผิงโจวนั้นประณีตมาก ข้าอยากไปเดินซื้อของ”
ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้วกล่าวว่า “กำหนดการเดินทางของพวกเราแน่นมาก”
หลี่หลิงซู่เกลี่ยที่กึ่งกลางคิ้ว และกล่าวด้วยความนุ่มนวลว่า “อย่าขมวดคิ้ว มันจะทำลายความงามของพี่หรงนะ”
ใบหน้ารูปไข่ของตงฟางหว่านหรงกลายเป็นสีแดงก่ำ “เช่นนั้นก็ได้ มากสุดก็ครึ่งวัน ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วต้องออกเดินทางนะ”
หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้า ขบวนของตำหนักมังกรตงไห่ก็ปรากฏตัวโอ้อวดอยู่บนถนนอีกครั้ง แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับครั้งก่อนคือ ครั้งนี้พวกเขาเดินเท้าโดยไม่ได้นั่งเกี้ยว
สำหรับยอดฝีมือสูงสุดในขั้นสี่ทั้งสองท่าน ไม่ว่าจะโอ้อวดเพียงใด ก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
ในขณะที่เดินเที่ยวเตร่ตลอดทั้งทาง ก็ซื้อเครื่องลายครามมาจำนวนมาก หลี่หลิงซู่ตั้งใจดื่มชาจนเต็มกระเพาะ ก่อนจะกล่าวกระซิบว่า “พี่สาวทั้งสอง ข้าอยากไปเข้าห้องน้ำ”
ตงฟางหว่านชิงพยักหน้า ใบหน้าสวยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ “ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
นางพาสาวรับใช้จำนวนหนึ่งไปที่ห้องน้ำในลานภายในของร้านค้าพร้อมกับหลี่หลิงซู่ทันที
ตงฟางหว่านชิงและสาวรับใช้หยุดรออยู่ที่ด้านนอกโดยไม่ได้เข้าไปใกล้ และเฝ้าสังเกตอยู่ไกลๆ
หลี่หลิงซู่ระบายความอัดอั้นในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อก้มศีรษะลง ก็เห็นหนูตัวใหญ่ในรางของเสีย ร่างครึ่งหนึ่งของมันเปียกโชกไปด้วยมูลของเสีย มันเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยแววตาเคร่งขรึม
“ข้าอยู่ในห้องน้ำ สองพี่น้องแยกจากกันชั่วคราว” เขากล่าวเสียงเบา
หนูตัวใหญ่หันศีรษะแล้วจากไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงดัง ‘หึ่งหึ่ง’ แห่งความโกลาหลก็ดังขึ้น กองทัพหนูตัวใหญ่ปรากฏตัวขึ้นในรางของเสีย พวกมันอาศัยพลังการกระโดดที่แข็งแกร่ง กระโดดออกไปจากบ่อเก็บของเสีย
พวกมันพุ่งตัวไปที่ลานกว้าง ใช้ร่างกายที่แปดเปื้อนไปด้วยของเสีย กระโจนเข้าหาตงฟางหว่านชิง และทหารผู้คุ้มกันจำนวนหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ก็มีเสียงเห่าดังขึ้น สุนัขทั้งเล็กและใหญ่จำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามาในลาน แยกเขี้ยวยิงฟันและกระโจนเข้าหาตงฟางหว่านชิง
เป็นไปไม่ได้ที่สัตว์เหล่านี้จะทำให้นักรบขั้นสูงได้รับบาดเจ็บ แต่ความโกลาหลที่พวกมันก่อขึ้น ทำให้สาวรับใช้หลายคน รวมถึงตงฟางหว่านชิงรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย ซึ่งปฏิกิริยาแรกไม่ใช่การพุ่งตัวออกจาก ‘วงล้อม’ เพื่อจับกุมหลี่หลิงซู่
แต่เป็นการพยายามขับไล่กองทัพหนูตัวเหม็นโฉ่และฝูงสุนัขบ้าคลั่งออกไป
ดังนั้น หลี่หลิงซู่จึงได้รับโอกาสอันล้ำค่าในการหลบหนี
สวี่ชีอันทะลวงออกมาจากเงาของหลี่หลิงซู่ กดไหล่ของเขาไว้ พลางมองไปที่ตงฟางหว่านชิงที่อยู่ในระยะไกลด้วยความสงบ เห็นสีหน้าอันงดงามของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างมาก
เขาถอนสายตากลับ และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ไป!”
ทั้งสองหายไปในทันใด
“ไอ้สารเลว!”
ตงฟางหว่านชิงกระโดดขึ้นไป และลอยอยู่ในอากาศเป็นระยะเวลาสั้นๆ เมื่อมองลงมาจากที่สูง เห็นบ้านเรือนเรียงกันเป็นแถว คนเดินเท้าผ่านไปมาไม่รู้จบ แล้วนางจะเห็นร่องรอยของสองคนนั้นได้อย่างไร?
นางถลาลงที่หน้าร้านค้าด้วยสีหน้าซีดเซียว ก่อนจะเดินข้ามธรณีประตู และมองไปที่พี่สาว พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หลี่หลางถูกจับไปแล้ว”
ตงฟางหว่านหรงผู้มีใบหน้าอันทรงเสน่ห์ขมวดคิ้วแน่น นางหยิบกระดาษยันต์ออกมาอย่างใจเย็น ที่ด้านในมีกระจุกผมกำหนึ่ง นางปิดเปลือกตาลง ประสานมือเข้าด้วยกัน และร่ายคาถาเพื่อทำนายสภาพการณ์ แต่ในที่สุดนางก็สูญเสียความสงบ ใบหน้าอันงดงามซีดขาว “การทำนายไม่ได้ผล…”
ตงฟางหว่านหรงขมวดคิ้วแน่น และกล่าวเสียงเบาว่า “เป็นชายชุดดำเมื่อวาน”
ชายชุดดำที่มาอย่างลึกลับเมื่อวานนี้…ตงฟางหว่านหรงหันไปมองน้องสาว และกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย “เขาจะพาหลี่หลางไปด้วยทำไม?”
………………………….…………………………