ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 511 แลกเปลี่ยนข้อมูล
บทที่ 511 แลกเปลี่ยนข้อมูล
ตงฟางหว่านหรงหวีดเสียงแหลม จากนั้นจึงเกิดภาพมายาหนึ่งขึ้นกลางอากาศ เป็นเงานกขนาดยักษ์ จับเกี่ยวไหล่ทั้งสองข้างของนาง กางปีกก่อนจะทะยานบินออกไป
เมื่อจะพูดเกี่ยวกับระบบพ่อมดผู้ประทานพรขั้นห้าแห่งพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ อย่างแรกต้องควบคุมการอัญเชิญวิญญาณวีรชนก่อน เพื่อสังหารนกปีศาจ หลังจากทุกสิ่งสอดคล้องกันแล้ว ก็จะสามารถอัญเชิญมันบินทะยานตามจุดประสงค์ได้
ในระดับต่ำถึงกลาง การโบยบินคือเคล็ดวิชาที่แทบมิอาจพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะยามสงครามหรือต่อสู้ อำนาจแห่งท้องนภาล้วนสำคัญยิ่ง
ตงฟางหว่านหรงจัดการควบคุมเงานกยักษ์ เร่งความเร็วบินไปยังทิศตะวันออก
เส้นทางการสัญจรสะดวก ผู้คนที่เดินเท้าต่างเงยหน้ามอง ตงฟางหว่านหรงชี้ไปยังกลางท้องฟ้าอย่างประหลาดใจ
ตงฟางหว่านชิงถ่ายทอดคำสั่งอย่างสงบนิ่ง “แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งไล่ตามไปทางทิศเหนือ อีกกลุ่มไล่ตามไปทางทิศใต้ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องรีบกลับมาทันที”
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาพลันขานรับ ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้าย บ้างก็วิ่งห้อตะบึงไปตามทาง อีกกลุ่มก็กระโดดไล่ตามหลังคา
ส่วนตงฟางหว่านชิงไล่ตามไปยังทิศตะวันตก
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ตงฟางหว่านหรงก็กลับมาเมืองผิงโจวโดยไร้ผลการติดตาม ซึ่งกลับไปยังลานขนาดเล็กของโรงเตี๊ยม
“คุณหนูใหญ่ นี่คือข้อความที่คุณชายหลี่ทิ้งไว้ขอรับ”
ทหารรักษาพระองค์คนหนึ่งรีบเข้ามา พร้อมกับถือกระดาษจดบันทึกแผ่นหนึ่งในมือ
สิ่งที่หลี่หลางทิ้งไว้…ตงฟางหว่านหรงรีบก้าวไปข้างหน้า คว้าจับกระดาษ กางเปิดอ่านดู “พี่หรง พี่ชิง ข้ารู้ชีวิตนั้นสำคัญ ทว่าความรักมีค่ายิ่งกว่า หากถามถึงอิสรภาพ ท่านทั้งสองคงบอกว่าสละทิ้งมันได้ ข้าเคยคิดอยากเคียงข้างพวกท่าน ใช้ชีวิตให้สนุกมีสีสัน ควบขับอาชาเข้าดื่มด่ำความซับซ้อนของโลกมนุษย์ด้วยกัน
“แต่ข้าไม่อาจแบกรับชะตาการสืบทอดนิกายสวรรค์ รักหรือเกลียดไม่อาจทำได้ดั่งใจ ได้โปรดยอมให้ข้าจากไปเถิด ข้าจะตามหาเส้นทางของข้า…”
ดวงตาอันทรงเสน่ห์ของหญิงสาวเริ่มแดงระเรื่อ นางกัดฟันพูดด้วยความโกรธ “เจ้าคนเนรคุณใจดำ ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้”
…
เมื่อตงฟางหว่านชิงกลับมายังโรงเตี๊ยม ก็พบว่าพี่สาวกำลังนั่งบนตั่งด้วยสีหน้ามืดมน นางจึงรู้ได้ทันทีว่าพี่สาวไม่อาจตามหลี่หลางกลับมาได้
ตงฟางหว่านหรงนำแผ่นกระดาษออกจากแขนเสื้อ วางบนโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคนเนรคุณมันไปตามทางของตัวเองแล้ว”
ตงฟางหว่านชิงคลี่กระดาษและเมื่ออ่านจบ ดวงหน้าก็พลันแข็งทื่อทันใด กัดฟันเอ่ยเน้นทีละคำ “ครั้งหน้าถ้าได้เจอมัน ข้าจะหักขาทั้งสองขาเสีย ทำให้เดินไม่ได้ในชาตินี้”
ทว่าจู่ๆ นางก็มุ่นคิ้ว ก้มหน้าอ่านใหม่อีกครั้ง ก่อนจะพูดเสียงดังว่า “นี่ไม่ใช่ลายมือของหลี่หลาง”
ตงฟางหว่านหรงคนพี่ทำเสียง “อืม” ก่อนเอ่ยว่า “แม้ใช่ไม่ลายมือของหลี่หลาง แต่ก็เรื่องเขาที่ทิ้งไว้เป็นความจริงอยู่ดี เจ้าคนชุดดำนั่นคงไม่ได้ทำทั้งหมดนี้หรอกนะ ที่ผ่านมาเขาอยู่ภายใต้สายตาของข้ามาโดยตลอด ไม่น่ามีโอกาสทิ้งข้อความ
“มาคิดดูแล้วคงให้เจ้าคนลึกลับนั่นเขียนทั้งหมด แล้วฉวยโอกาสมาทิ้งไว้ระหว่างที่พวกเรายังอยู่บนท้องถนน ฮึ ก็ยังใจดำอยู่ดี”
ตงฟางหว่านชิงก้มหน้า อ่านเนื้อหาบนกระดาษอีกครั้ง พร้อมกับนัยน์ตางามที่คลอหยาดน้ำ ราวกับสะเทือนใจจากข้อความดังกล่าว
“เมื่อวานที่เขาก่อปัญหาโดยไร้เหตุผล ข้าก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว ไม่เหมือนนิสัยของเขาตามปกติเลย วันนี้พอมาคิดดู เขาตั้งใจหาเรื่อง คงเพราะแอบไปตกลงกับคนอื่นเอาไว้” คนน้องขมวดคิ้วพลางเอ่ยอย่างเย็นยะเยือกราวกับภูเขาน้ำแข็ง
หญิงคนพี่ถอนหายใจจนเป็นเสียงหวานที่ทำให้ผู้คนประทับใจ “ช่างเถอะ เขาอยากมีอิสระ ก็ให้อิสระเขา ครึ่งปีมานี้ เขาดูไม่มีความสุขจริงๆ แหละนะ ไว้จัดการเรื่องนั้นก่อน ค่อยตามเขากลับมาเถอะ”
…
ณ ทางเดินบนเขาเส้นหนึ่งที่ห่างไกลผิงโจว มีม้าสองตัวกำลังวิ่งเหยาะๆ ไปยังเบื้องหน้า
“พี่สวี ท่านเขียนข้อความอะไรทิ้งไว้แทนข้านะ?”
“พี่สวี ม้าตัวนี้ของท่านช่างเป็นม้าพันธุ์ดีจริงๆ ต่อให้นั่งสองคนเดินทางยังสบายเลย เป็นม้าสงครามหรือ”
หลี่หลิงซู่ถือจอกสุราในมือ ดูหล่อเหล่าอย่างสดใส รอยยิ้มประหนึ่งแสงตะวัน
สวี่ชีอันมองเขาปราดหนึ่ง ต้องขอบอกว่าเขาเป็นชายที่มีเสน่ห์มากทีเดียว ตราบใดที่มีใบหน้าสุนัข ก็สร้างความรู้สึกดีๆ ให้ตนได้เสมอ
ซึ่งบนโลกนี้ ผู้คนส่วนมากล้วนมีใบหน้าสุนัข
“คนคนนี้คือใคร? พูดพร่ำไม่หยุด ไม่จบก็ไม่สิ้นสักที” มู่หนานจือที่นั่งข้างหน้าในอ้อมอกสวี่ชีอัน บ่นพึมพำเสียงเบา
หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งคือสตรีที่หาได้ยาก เนื่องจากไม่แยแสต่อชายหน้าตาดี ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ในสายตานางก็ล้วนน่าเกลียดทั้งนั้น
สวี่ชีอันตอบ “เขาคือศิษย์พี่ของหลี่เมี่ยวเจิน พวกเราท่องยุทธภพ ไม่ต้องสนใจมาก เจ้าเองก็อย่าเปิดเผยตัวตนของข้าแล้วกัน”
มู่หนานจือได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที มองหลี่หลิงซู่ด้วยสายตาที่กึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
ในจังหวะนั้นคนที่ตามหลังกลับยิ้มตอบอย่างสุภาพ แล้วเอ่ยชวนคุยว่า “คนผู้นี้คือพี่สะใภ้หรือ?”
ไม่ทันที่สวี่ชีอันจะได้ตอบ มู่หนานจือก็ชิงอธิบายก่อน “ไม่ใช่ ข้าแค่ร่วมเดินทางท่องยุทธภพด้วยเท่านั้น”
ด้วยนิสัยปากไม่ตรงกับใจของนาง ย่อมไม่มีทางยอมรับว่าตนมีความสัมพันธ์กับสวี่ชีอันอยู่แล้ว จะเป็นคนผ่านทางก็ช่าง เจ้าคนชื่อหลี่อะไรนี่คือศิษย์พี่ของหลี่เมี่ยวเจิน ไม่มีบทบาทสำคัญอะไรหรอก
หลี่หลิงซู่ใจพลันกระตุกวูบ เหงื่อเย็นผุดพรายบนแผ่นหลังจนไหลจ๊อก คิดในใจว่าเสน่ห์ของเขาช่างแย่จริงเลย ยังไม่ทันคุ้นชินกับพี่สะใภ้ผู้นี้ นางก็รีบปัดความสัมพันธ์กับชายของตัวเองเสียแล้ว…
เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์มองสวี่ชีอันอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยด้วยความจริงใจว่า “นิสัยของพี่สะใภ้โดดเด่นจริงๆ ไม่เหมือนพวกชายตุ้งติ้งเหล่านั้นเลย ราวกับสวรรค์สร้างมาคู่ให้กับพี่สวีเลย เหมาะสมกันมาก”
ใช่สิ หากดูจากหน้าตาของพวกเขาสองคนคงเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน
มู่หนานจือคุมสีหน้า จึงมองไม่ออกว่าพอใจ หรือแค่ไม่ได้ถือสากันแน่
นางพินิจมองหลี่หลิงซู่ ทันใดนั้นก็ส่งเสียง “เฮ้อ” ออกมาก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าเด็กนี่เหมือนกับเจ้าเลยนะ พูดจาไพเราะหวานน่าฟังเก่งทีเดียว เช่นนี้เองถึงได้คอยซบอยู่ในอ้อมอกพี่สาวน้องสาวคู่นั้นรึ?”
เฮ้ๆ เจ้ากำลังทำลายภาพลักษณ์ของข้านะ…สวี่ชีอันหยิกเอวบางอ่อนนุ่มของนางด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ และไม่ตอบอะไร
เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาก็พลันเปล่งประกาย “พี่สวีก็เป็นผู้ชายที่ดีเหมือนกัน”
คำพูดนี้ราวกับไปแทงจุดเจ็บของมู่จือหนาน นางหัวเราะเยาะ “หญิงสาวที่เขาชอบพอด้วย ก็ไม่ได้ต่างไปจากพี่น้องฝาแฝดของเจ้าหรอกนะ ไม่สิ เลวร้ายที่สุดเทียบกับพี่น้องฝาแฝดของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”
สวี่ชีอันเอ่ยราบเรียบ “นางพูดเล่นกับเจ้าน่ะ”
เขาหยิกที่เอวบางของนางอีกครั้ง มู่หนานจือเจ็บจนน้ำตาแทบไหล จึงหันศีรษะกลับอย่างหงุดหงิด
หลี่หลิงซู่ยิ้มแย้ม เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพี่สะใภ้ผู้นี้คุยโม้แทนชายของนาง ไม่สิ นี่เป็นการโอ้อวดของนางต่างหาก
อุปนิสัยของพี่สะใภ้ไม่เลวเลย มีความจริงใจ แต่รูปลักษณ์นั้นก็ยังยากที่จะอธิบายออกมาอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับสองสาวพี่น้องชิงหรง หน้าตาของสาวใช้ภายในตำหนักมังกรตงไห่ยังดีกว่านางเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเดินทางมาสักพัก สวี่ชีอันก็เห็นลำธารอยู่ที่ไกล จึงพูดขึ้นทันทีว่า “พักที่ริมลำธารสักหนึ่งก้านธูปกันเถอะ”
ไม่ทันได้รอให้เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ตอบ เขาก็ตีบั้นท้ายม้าแล้วมุ่งไปยังริมลำธารโดยพลัน
หลี่หลิงซู่เร่งตามไปทันที ก่อนจะเห็นคนสกุลสวีพลิกตัวลงจากม้า พร้อมกับอุ้มภรรยาที่งามปานกลางลงจากหลังม้า จากนั้นควักแปรงออกมา ขัดจมูกอาบน้ำให้ม้า
ม้าศึกแห่งต้าฟ่ง ต้องแปรงจมูกทุกๆ สามสิบลี้ เพื่อป้องกันไม่ให้จมูกของม้าปนเปื้อนฝุ่นมากเกินไป เพราะจะทำให้ม้าหายใจลำบาก ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมันอีกด้วย
ในใจของหลี่หลิงซู่ได้คิดเอาไว้แล้ว ยามพวกเขาออกจากพิงโจว วิ่งห้อตะบึงข้ามผ่านเส้นทางบนภูเขาตลอดทาง ตอนนี้น่าจะอยู่ห่างจากเมืองกว่าสามสิบลี้
เขาเคยเข้าร่วมกองทัพรึ? เป็นแค่คนธรรมดาในยุทธภพ ไม่มีความรู้เรื่องการแปรงจมูกม้าทุกๆ สามสิบลี้…หลี่หลิงซู่จึงทำได้คาดเดาเท่านั้น
“พี่สวี ข้าขอยืมแปรงได้หรือไม่”
หลี่หลิงซู่เข้าหาด้วยรอยยิ้มแป้น เอ่ย “เมื่อก่อนพี่สวีเป็นคนในราชสำนักหรือ?”
สวี่ชีอันพยักหน้าหนึ่งที “เคยเป็นทหารในกองดาบแห่งเมืองหลวงมาก่อน ภายหลังสร้างความขุ่นเคืองให้เบื้องสูง จึงถูกปลดออกจากตำแหน่ง”
“สร้างความขุ่นเคืองให้เบื้องสูงหรือ?”
“อืม เขาชื่อว่าสวี่ผิงจื้อ ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อคนชื่อสวี่ผิงจื้อ ชื่อนี้โด่งดังในเมืองหลวงอย่างมากเชียวล่ะ”
หลี่หลิงซู่ปรบมือและยิ้มเล็กน้อย “บังเอิญจัง เดิมทีพี่สวีก็เป็นคนจากเมืองหลวงนี่เอง พอดีเลยข้าก็อยากไปเมืองหลวงเพื่อหาคนใจร้ายของข้าเช่นกัน เจ้าศิษย์น้องหญิงที่ไม่สนใจว่าศิษย์พี่จะเป็นหรือตายน่ะ เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าจะนำ อืม นำสิ่งของของข้าคืน และให้จ่ายค่าชดใช้ด้วย” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
“เจ้าอยากไปเมืองหลวงหรือ?”
“คิดฝันมานานแล้ว เมืองหลวงเป็นเมืองที่ดีที่สุดในเขตที่ราบจงหยวน มีความเจริญรุ่งเรือง และไม่มีเมืองใดในใต้หล้าจะเฟื่องฟูไปกว่าเมืองหลวงอีกแล้ว” หลี่หลิงซู่พูดจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ “แม้ว่าข้าจะโดนสองพี่น้องตงฟางกักบริเวณนานครึ่งปี แต่ก็ยังได้ข่าวสารจากโลกภายนอกอยู่ ได้ยินมาว่าศิษย์น้องเมี่ยวเจินอยู่เมืองหลวงจนราวกับเป็นปลาได้น้ำ นางสามารถอยู่เมืองหลวงได้นานขนาดนั้น ก็พออธิบายได้ว่าเมืองหลวงนั้นมีดีมากมาย
“นอกจากนี้ สำหรับข้าเมืองหลวงดีที่สุด เหมาะกับเป็นสถานที่ในการบำเพ็ญตน”
สวี่ชีอันเอ่ย “เพราะสตรีแห่งสำนักสังคีตในเมืองหลวงที่งามประหนึ่งเมฆารึ?”
“พี่สวีรู้ใจข้านี่”
หลี่หลิงซู่ทำความสะอาดจมูกม้าพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ว่ากันว่าสำนักสังคีตแห่งเมืองหลวงมีคณิกาอยู่ยี่สิบสี่คน แต่ละคนมีอายุยาวเป็นพันปี และมีความสามารถแตกต่างกันไป แม้แต่พื้นเพของพวกนางยังคือกุลสตรีชนชั้นสูง หญิงสาวเช่นนี้ เหมาะจะปรึกษาเรื่องรักมากที่สุด ช่วยให้ข้าลืมเรื่องราวอันเจ็บปวด อีกทั้งหากพูดคุยกับพวกนางก็ไม่มีผลเสียออกมาภายหลัง”
ไม่เพียงไม่มีผลเสียออกมาภายหลัง อาจสามารถได้เที่ยวโดยไม่เสียเงินอีกด้วย…สวี่ชีอันพยักหน้า พร้อมกับเห็นด้วยกับความคิดของตัวเอง
ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายสวรรค์ชำเลืองมองมู่หนานจือที่อยู่ไม่ไกล แล้วกระซิบว่า “พี่สวีเคยไปร่ำสุราดอกไม้ที่สำนักสังคีตบ้างหรือไม่? เคยพบเจอนางคณิกาหรือเปล่า เคยเจอนางคณิกาฝูเซียงที่โด่งดังเพราะฆ้องเงินสวี่ผู้นั้นหรือไม่ ไม่รู้ว่ารสนิยมของคณิกาทั้งยี่สิบสี่เป็นอย่างไร”
เขาคิดว่าด้วยระดับการบำเพ็ญและพลังของสวีเชียน ก็น่าจะค่อนข้างมีตำแหน่งในเมืองหลวง การร่วมหลับนอนกับนางคณิกาอาจเป็นเรื่องยาก แต่สุดท้ายก็พอหาหนทางเจอจนได้
นางคณิกาฝูเซียงมีรูปร่างสูงเพรียว สัดส่วนดีเยี่ยม ขาทั้งสองยาวเรียวนั้นแทบกระชากวิญญาณออกจากร่าง ด้านแม่นางหมิงเยี่ยนมีรูปร่างอ่อนช้อย เวลานอนลงสามารถงอตัวเอาเข่าแตะที่ไหล่ได้ ส่วนเสียวหย่าบอบบางที่สุด มักจะร่ำไห้พลางกู่ร้องว่า “ท่านพี่ได้โปรดลงโทษน้องเถิด” และบทเพลงฤดูหนาวช่างไพเราะเสนาะหู ชอบยามร้องพลางขบกัดใบหู เป็นความอ่อนโยนที่ปะปนความเร้าร้อนจนพรั่งพรูออกมา…สวี่ชีอันทำน้ำเสียงราบเรียบแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่เคยไปสำนักสังคีต”
หลี่หลิงซู่เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเย็นชา ก็เชื่อขึ้นมา แล้วพูดอย่างอาลัยว่า “ช่างน่าเสียดาย”
ผ่านไปสักพัก เขาก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “จริงๆ แล้วจุดหมายสุดท้ายของการเดินทางครั้งนี้ก็คือเมืองหลวง ยามเกิดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์คือช่วงที่ข้าเยี่ยมเยียนนิกายมนุษย์ทั้งเข้าเป็นศิษย์ หากไม่ใช่ว่าเพราะสองพี่น้องตงฟาง ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ข้าคงได้ออกโรงไปแล้ว
“ได้ยินมาว่าการต่อสู้เมี่ยวเจินกับฉู่หยวนเจิ่นคนนั้นเสมอกัน แต่สุดท้ายทั้งฝ่ายสวรรค์และมนุษย์ก็โดนปราบลงด้วยสองฝ่ามือของฆ้องเงินสวี่ ความจริงถ้าข้าอยู่ที่นั่น ฝ่ายที่ชนะย่อมเป็นนิกายสวรรค์แน่”
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ เขาก็เผยสีหน้าจริงจัง “หลังเหตุการณ์นั้นข้าได้สรุปตามข้อมูลที่มี และวิเคราะห์ประสิทธิภาพในการรบทั้งสามด้าน การบำเพ็ญของฉู่หยวนเจิ่นนั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง การฝึกวิชากระบี่ของนิกายมนุษย์ วิทยายุทธ์จะมีจุดสิ้นสุด เพราะพลังต่อสู้จริงๆ มีอยู่จำกัด
“สำหรับฆ้องเงินสวี่ การบำเพ็ญยังตื้นเขิน ยังต้องพึ่งพาคัมภีร์วรยุทธ์ขงจื๊อถึงจะชนะได้ หากเป็นเมี่ยวเจินของข้า ก็มีวิธีหลบเลี่ยงสามวิธีขึ้นไปที่จะพลิกสถานการณ์ให้ชนะได้”
น้ำเสียงและแววตาของเขา ไม่เหมือนกำลังโอ้อวดเลยแม้แต่น้อย
ไม่สิ ต่อให้ไม่มีพี่น้องตงฟาง เจ้าก็ไม่มีโอกาสชนะอยู่ สุดท้ายสิ่งที่เป็นได้มากที่สุดคือจะเป็นเจ้าเองที่เร่งเร้าฉู่หยวนเจิ่น จนเขาจะชักกระบี่ยาวออกมาฟันเจ้าตายน่ะสิ…สวี่ชีอันพูดในใจ
กระบี่ของฉู่หยวนเจิ่นนั่นสะสมพลังมานับสิบปีจะไม่น่ากลัวไปหน่อยหรือ?
อ๋องสยบแดนเหนือลำดับสามสูญเสียครั้งใหญ่แล้ว
หลังจากทำความสะอาดจมูกม้าเสร็จ ทั้งสองก็ไปยืนคุยต่อที่ริมลำธาร หลี่หลิงซู่ชอบหยิบยกเรื่องผู้หญิงมาคุย สวี่ชีอันก็โต้ตอบด้วยความสุภาพอย่างพอเหมาะพอควร ความจริงเขาไม่ใช่คนชอบเปิดเผย แต่ก็ไม่ได้คัดค้าน
“แม้ว่านิกายสวรรค์จะไม่ได้จัดการกับนิกายมนุษย์ ทว่าลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ ได้ยินมาว่านางเป็นคนงามที่หาได้ยากบนโลกนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังตัดสินใจจะฝึกฝนเคล็ดวิชาของนิกายมนุษย์ให้ถึงขั้นสูงสุด ก็บังเกิดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา และเรียกไฟแห่งกรรมมารัดกาย
“ไฟแห่งกรรมไม่เพียงแผดเผาร่างคน ยังส่งผลกระทบต่อคนอื่นโดยรอบด้วย มันไปกระตุ้นความคิดจิตใจของพวกเขาแต่ละคน โดยเฉพาะกามารมณ์”
เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี บนร่างของลั่วอวี้เหิงข้าเคยเจอน้องสะใภ้ที่แสนใจดี สหายของมารดา รวมถึงมารดาของสหาย และพี่สาวที่อยู่ข้างบ้าน…สวี่ชีอันยังคงรักษาท่าทีเย็นชา พยักหน้าเอ่ยว่า “รู้เรื่องพวกนี้มาบ้าง เพราะนิกายมนุษย์ชอบมายืมโชคชะตาไปบ่มเพาะ”
หลี่หลิงซู่ตกตะลึง และมองไปที่สวีเชียน “พี่สวีรอบรู้ไม่เบาเลยนะ”
สวี่ชีอันนิ่งเงียบ
ทั้งสองเงียบไม่พูดจากันอยู่พักหนึ่ง สวี่ชีอันก็พลันสังเกตเห็นแม่ม้าน้อยกำลังหมุนตัว ด้วยท่าทางอ้อนแอ้นและสง่างาม พร้อมกับโค้งร่างที่เงาวับอย่างประณีต…
“เพียะ!” เขาตีที่มือตัวเองหนึ่งครั้ง
หลี่หลิงซู่พูดขึ้นอย่างงุนงง “พี่สวี?”
แย่แล้ว เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ซินกู่ควบคุมสัตว์เสียแล้ว…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างใจเย็น “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
เพื่อแก้บรรยากาศบรรยากาศที่ชวนน่าอึดอัด หลี่หลิงซู่ก็พูดขึ้นว่า
“ความจริงสิ่งที่ข้าอยากรู้มากที่สุดก็คือพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือผู้นั้น หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง เมื่อก่อนข้าเคยท่องยุทธภพกับศิษย์น้อง ยามกล่าวถึงสตรี เหล่าบุรุษในยุทธภพต่างก็เอ่ยถึงแต่พระมเหสี
“ว่ากันว่านางคือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง ไม่เป็นสองรอใครบนโลกนี้ งามหยดย้อยยิ่งกว่าเทพธิดา ข้าเคยถามพวกเขาว่างามอย่างไรหรือ? พวกเขากลับพูดไม่ออก เพราะไม่มีใครเคยเจอนางมาก่อน ไม่ว่าใครก็ได้ยินมาเท่านั้น”
สวี่ชีอันอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคืนวันนั้น ครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมู่หนานจือ เป็นความรู้สึกตกตะลึงที่สั่นคลอนไปทั้งหัวใจ และภาพเหตุการณ์นั้นยังคงเด่นชัดในความทรงจำ
นางจะสวยหรือไม่มิใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย นางเป็นสตรีประเภทที่หาเจอได้ยาก น่าเสียดายที่คืนวันนั้นมืดไปหน่อย ข้าเลยไม่เห็นหน้าอกนาง…
หลี่หลิงซู่ยิ้มเอ่ย “ไปเมืองหลวงครั้งนี้ ข้าจะไปเชยชมหน้าของหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งให้ได้เลย พี่สวีอยากรู้บ้างหรือเปล่าว่านางจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร เมื่อข้าเห็นแล้ว จะมาท่านแน่นอน”
เขาเงียบไปสักพัก เก็บรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าได้ยินมาว่าจักรพรรดิแห่งต้าฟ่งถูกฆ้องเงินสวี่ปลงพระชนม์ แต่ประกาศจากราชสำนักบอกว่าจักรดิพรรดิหยวนจิ่งโดนสำนักพ่อมดจัดการ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ชัดๆ พี่สวีมาจากเมืองหลวง พอจะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างหรือไม่?”
นี่เป็นการลองเชิงตัวตนของข้ารึ? หรือว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน?
สวี่ชีอันระงับสติอารมณ์ กล่าว “จักรดิพรรดิหยวนจิ่งอยู่ในขั้นสองของลัทธิเต๋า อยากมีอายุยืนนาน เลยคิดจะสละโชคชะตาของชาติกับสำนักพ่อมด จึงโดนฆ้องเงินสวี่ปลงพระชนม์”
คำอธิบายของเขาสั้นกระชับ หลี่หลิงซู่ที่ได้ฟังเช่นนั้น ก็ประหนึ่งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ อารมณ์ของเขาทั้งหมดแทบระเบิดหมด จนเขาตะลึงค้างทำตัวไม่ถูก นิ่งเงียบเป็นเวลานาน
เขาคิดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะมีเรื่องราวเช่นนี้ ไม่สิ ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมาก อย่างเช่น นึกไม่ถึงเลยว่าจักรดิพรรดิหยวนจิ่งจะอยู่ในขั้นสอง? เขาคิดได้อย่างไรจะสละโชคชะตาของชาติ? แล้วฆ้องเงินสวี่ปลงพระชนม์เขาอย่างไร?
“เรื่องนี้มีเบื้องลึกเยอะเลย แค่ประโยคสั้นๆ นี้ ข้าก็ราวกับรู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นที่โหมซัดสาดภายใต้เมืองหลวงไม่นานมานี้…”
หลี่หลิงซู่มองสวีเชียนอย่างอดไม่ได้ คิดในใจว่า สถานะของคนคนนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่
ยามนั้นเอง เขาก็ฟังสิ่งที่สวี่ชีอันพูด “ข้าได้ยินมาว่า เบื้องหลังของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์นั้นไม่ธรรมดาเลย หากผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ชนะผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์ ก็จะสามารถยืมอาวุธโจมตีขั้นหนึ่งได้
“ทว่าผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์ไม่ได้ชนะหรือว่าแพ้ จึงไร้ผลกระทบอันใด แต่หากยอมแพ้ในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ก็จะหายไปอย่างน่าแปลกประหลาด เจ้าพอจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอื่นๆ ขึ้นบ้างหรือไม่?”
‘ตึกๆ ตึกๆ…’
เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ถอยฝีเท้าหลายก้าว สีหน้าพลันเปลี่ยน จ้องไปที่สวีเชียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะเปล่งเสียงแหลมว่า “จะ…เจ้าเป็นใครกันแน่?”
……………………………………………………….