ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 512 ฉวยโอกาสเดินหน้า
บทที่ 512 ฉวยโอกาสเดินหน้า
เมื่อเผชิญหน้ากับเทพบุตรนิกายสวรรค์ที่กำลังหวาดผวา สวี่ชีอันก็กระตุกริมฝีปาก “เจ้าลองเดาสิ”
เทพบุตรนิกายสวรรค์อ้าปากพะงาบๆ แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ความรู้สึกลึกลับที่ปรากฏให้เห็นของสวีเชียนมีความแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเขาจึงตกอยู่ในความสับสนและตกตะลึงครั้งใหญ่
‘นี่ข้าพูดเรื่องวอนหาที่ตายโดยไม่รู้ตัวรึ?’
เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของนิกายสวรรค์ มีความเป็นไปได้มากที่หลี่หลิงซู่จะบอกความจริงกับข้าไม่ได้ หากต้องการล้วงข้อมูล ย่อมไม่สามารถถามได้โดยตรง โหมดแลกเปลี่ยนก็ใช้การไม่ได้ ต้องให้เขาพูดออกมาเองด้วยความเต็มใจ…สวี่ชีอันครุ่นคิด และกล่าวเสียงเบาว่า “สำหรับเจ้า นี่คือความลับที่นิกายสวรรค์ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้ แต่สำหรับข้า กลับเป็นเรื่องที่รู้มาตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว”
‘หลายร้อยปีก่อน’…หลี่หลิงซู่เปิดปากเล็กน้อย พลางมองเขาด้วยความตกตะลึง
‘เขาคือใคร?’
‘เขามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้วรึ?’
‘นอกจากลัทธิขงจื๊อแล้ว ไม่ว่าระบบใดก็มีเพียงยอดฝีมือขั้นสี่ขึ้นไปเท่านั้น ที่สามารถมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน นี่หมายความว่าสวีเชียนคือยอดฝีมือขั้นสามเป็นอย่างน้อยงั้นรึ? ไม่ใช่ ถึงแม้เขาจะมีวิธีการที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะแม้แต่พี่ชิงได้’
ในชั่วพริบตาเดียว ความคิดต่างๆ ก็แล่นเข้ามาในหัวของหลี่หลิงซู่อย่างรวดเร็ว
“แม้แต่พี่ชิง ท่านก็ยังเอาชนะไม่ได้ มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีงั้นรึ?” เขาขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“ข้าเอาชนะยอดฝีมือขั้นสี่คนหนึ่งไม่ได้ แต่ข้าเอาชนะเผ่ากู่ได้ ข้าเอาชนะได้ทั้งหมด” สวี่ชีอันหัวเราะเหอะๆ
หลี่หลิงซู่เป็นเหมือนคนใบ้อยู่ครู่หนึ่ง เขาพูดข้อโต้แย้งไม่ออก และรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสวีเชียนเป็นคนลึกลับและคาดเดาไม่ได้
สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “รู้ แต่ไม่ได้แปลว่ารู้เรื่องภายใน”
หลี่หลิงซู่อ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ปิดปากลง เมื่อครู่เขาคิดจะถามว่า ‘ในเมื่อเจ้ารู้ความลับของนิกายสวรรค์ แล้วเมื่อครู่จะถามข้าทำไม?’
สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการได้รับคำตอบ คิดไม่ถึงว่าตรรกะของฝ่ายตรงข้ามจะละเอียดรอบคอบเช่นนี้
เทพบุตรนิกายสวรรค์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “สิ่งที่ข้ารู้ก็ไม่ได้มากไปกว่าท่าน แต่เป็นข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้ถูกบันทึกลงในหนังสือคัมภีร์โบราณเล่มใด แต่ก็ไม่มีทางปิดบังลูกศิษย์คนใดได้ เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก นิกายสวรรค์ได้รับการถ่ายทอดมานับพันปี มียอดฝีมือปรากฏขึ้นจำนวนมาก หลังจากเลื่อนขั้นสูงกว่าขั้นสาม ก็จะสามารถมีอายุยืนยาวได้ ว่ากันตามหลักเหตุผล แม้ว่าผู้อาวุโสบางส่วนจะได้รับความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ อย่างเช่น ภัยพิบัติ หรือการต่อสู้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พวกเขาตายทั้งหมด แต่นิกายสวรรค์ นิกายปฐพี และนิกายมนุษย์มียอดฝีมือขั้นสูงจำนวนน้อยมาก นิกายปฐพีบำเพ็ญบุญกุศล แต่กลับมีความเสี่ยงที่จะตกสู่ทางมาร ไฟแห่งกรรมของนิกายมนุษย์แผดเผาร่าง แทบไม่มีผู้นำเต๋าคนใดที่เอาตัวรอดจากภัยพิบัติได้ เช่นนั้น นิกายสวรรค์ของพวกเราเล่า? ปราชญ์ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ของนิกายสวรรค์ แตกต่างจากไฟแห่งกรรมและการตกสู่ทางมาร ปัญหาของนิกายสวรรค์อยู่ที่ใดเล่า? มีข้อสงสัยประเภทนี้อยู่ในใจของลูกศิษย์หลายคน อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่ถึงวาระที่จะได้รับคำตอบ มีเพียงท่านอาจารย์อาวุโสและลูกศิษย์ที่โดดเด่นไม่กี่คนที่รู้แนวทางการบำเพ็ญของนิกายสวรรค์ ยิ่งระดับขั้นสูงมากเท่าใด ก็จะยิ่งเผชิญอันตรายจากการ ‘หายไป’ ได้ง่าย ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ใด ข้าเดาว่าแม้แต่ท่านอาจารย์อาวุโสก็ยังไม่แน่ใจ บางที อาจจะมีเพียงผู้นำเต๋าแต่ละยุคในอดีตที่รู้เพียงผู้เดียว แต่พวกเขาไม่เคยพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
พูดจบแล้ว หลี่หลิงซู่ก็มองสวี่ชีอัน และขอคำแนะนำด้วยลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูล “ท่าน…พี่สวีรู้หรือไม่?”
เรื่องเหล่านี้เป็นความลับที่สำคัญของนิกายสวรรค์ ถ้าเป็นคนนอก เขาย่อมไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่สวีเชียนที่ประกาศตนเองว่ามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว และยังกล่าวอย่างตรงประเด็น หลี่หลิงซู่จึงคิดว่าฝ่ายตรงข้ามอาจรู้เรื่องภายในดีกว่าตัวเขาเอง
ดูเหมือนเจ้าก็ไม่รู้ความจริงเช่นกัน ข้าเพิ่งวางแผนล้วงข้อมูลจากเจ้าฟรีๆ แต่เจ้ากลับพลิกมือคว้ามันกลับไป…สวี่ชีอันรักษาท่าทางของการเป็นยอดฝีมือ พลางพ่นลมหายใจออกมา “ปรมาจารย์เต๋าไปที่ใด?”
รูม่านตาของหลี่หลิงซู่หดลงทันใด สีหน้าเซื่องซึม หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาที่เยือกแข็งของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย ตามด้วยการหายใจที่กระชั้นถี่ขึ้น ในชั่วพริบตาเดียว เขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจข้อสงสัยที่ไม่เข้าใจมานาน หรือข้อสงสัยบางอย่างก่อนหน้านี้ได้รับคำตอบแล้ว
“ขอบคุณท่านที่ปัดเป่าข้อสงสัย!” เทพบุตรนิกายสวรรค์โค้งคำนับด้วยใจจริง
ข้าไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ข้าใช้คือประโยคคำถาม…สวี่ชีอันบ่นพึมพำอย่างเงียบๆ เขาไม่พัวพันกับหัวข้อนี้อีกต่อไป และเปลี่ยนหัวข้อโดยการถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้ายืนยันจะไปทางตะวันตกได้อย่างไร สองพี่น้องตงฟางไม่ไล่ล่าเจ้าแล้วรึ?”
หลี่หลิงซู่สบถ “เฮ้อ” และกล่าวว่า “เพราะเดิมทีพวกนางก็จะไปทางตะวันตก และพูดอย่างชัดเจนว่าจะไปเล่ยโจว ดูเหมือนพวกนางกำลังหาเจดีย์พุทธ ได้ยินพี่หรงพูดว่า ท่านอาจารย์ของนางจะฟื้นคืนชีพได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการเดินทางครั้งนี้”
เจดีย์พุทธ ฟังจากชื่อก็รู้ว่าเป็นของสำนักพุทธ เล่ยโจวเป็นรัฐที่อยู่ใกล้กับดินแดนประจิมทิศ เป็นส่วนหนึ่งของต้าฟ่ง ตงฟางหว่านหรงเป็นแม่มด ท่านอาจารย์ของนางย่อมต้องเป็นพ่อมดอย่างแน่นอน…
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว เป็นการยากที่จะเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านี้เข้าด้วยกัน “พูดให้ละเอียดที”
“ข้าไม่แน่ใจในรายละเอียดมากนัก ข้ารู้เพียงว่าท่านอาจารย์ของพี่หรงคือน่าหลานเทียนลู่ อดีตเจ้าเมืองจิ้งซานสมัยก่อนๆ ซึ่งเป็นท่านพ่อของอดีตเจ้าเมืองน่าหลันเหยี่ยน ตอนที่เกิดสงครามด่านซานไห่ เขาถูกเว่ยเยวียนฆ่าตาย”
หลี่หลิงซู่มองผ่านไหล่ของสวี่ชีอัน เห็นพี่สะใภ้นั่งอยู่บนก้อนหินไกลๆ และกำลังมองมาทางด้านนี้ด้วยรอยยิ้ม
เขาตกตะลึง และรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว เขาสงสัยว่าพี่สะใภ้กำลังแอบมองเขา แต่เขาไม่มีหลักฐาน
ผู้หญิงธรรมดาพื้นๆ ไม่ได้อยู่ในรายการตัดอารมณ์ของเขา ยิ่งไม่ต้องพูดว่าผู้ชายของนางเป็นบุคคลน่ากลัวเพียงใด
เพราะเสน่ห์เจ้ากรรมของข้าอีกแล้ว…
เทพบุตรนิกายสวรรค์สงบจิตสงบใจ และกล่าวว่า “แต่สิ่งที่ท่านรู้ สำนักพ่อมดเชี่ยวชาญในการบำเพ็ญจิตเดิม กายเนื้อถูกทำลายได้ง่าย แต่จิตเดิมยากที่จะพังทลาย เท่าที่ข้ารู้ น่าหลันเทียนลู่คือเจ้าแห่งวัสสานขั้นสอง ปีนั้นเขาน่าจะตายแต่ยังไม่สิ้นฤทธิ์ จิตเดิมจึงถูกสำนักพุทธจับไป”
แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับเจดีย์พุทธอีก…สวี่ชีอันครุ่นคิด
…
เมืองหลวง
ตำหนักจิ่งซิ่ว องค์รัชทายาทที่สวมหมางเผ่านั่งอยู่ในห้องโถงอันอบอุ่น และถือถ้วยชาอยู่ในมือ “หมู่เฟย อีกครึ่งเดือน ลูกก็จะขึ้นครองราชย์แล้ว”
ในขณะที่องค์รัชทายาทกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสุขุม ราวกับผู้ที่มีสีหน้าสงบนิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีภูเขาถล่มอยู่ตรงหน้า
นี่เป็นรายละเอียดที่เขาเน้นย้ำกับตัวเองเมื่อเร็วๆ นี้มาโดยตลอด เสด็จพ่อที่สวรรคต เว่ยเยวียนที่ตายในสนามรบ และสมุหราชเลขาธิการหวังที่ยังคงยืนหยัดอยู่ในราชสำนัก บุคคลที่เคยทรงพลังเหล่านี้ล้วนมีออร่าที่มั่นคงในทุกๆ ด้าน ในฐานะราชาของประเทศที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ เขาย่อมต้องไม่แสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้า
พระสนมเฉินผู้สง่างามและเปล่งปลั่งที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เดินไปที่ข้างองค์รัชทายาท ลูบแขนเสื้อของเขาเบาๆ และกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ในที่สุดก็อดทนจนพ้นผ่านมาได้”
หยดน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของหญิงผู้ทรงเสน่ห์ นางปลื้มปีติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วในฉับพลัน “เจ้าต้องป้องกันองค์ชายสี่ที่เป็นสุนัขจนตรอกให้ดี”
องค์รัชทายาทส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็น ลูกนั่งอยู่ในพระราชวังหลวงมาหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นข้อคิดเห็นของประชาชนหรือท้องพระโรง ในใจของพวกเขาล้วนตรงมาหาข้าเสมอ ข้าคือสายเลือดที่แท้จริง ตอนนี้เสด็จพ่อสวรรคตแล้ว อาณาจักรไม่สามารถอยู่ได้โดยไร้ซึ่งจักรพรรดิแม้แต่วันเดียว ทั้งราชสำนักและประชาชนล้วนตั้งตารอคอยให้ลูกขึ้นครองบัลลังก์โดยเร็ว นอกจากนี้ หลังจากติดประกาศดังกล่าวแล้ว ชื่อเสียงของลูกก็จะพุ่งสูงขึ้นในหมู่ประชาชนทันที น้องสี่ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน ไร้ค่าและไร้การเสียสละ จะว่าไปแล้ว ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณสมุหราชเลขาธิการหวาง หากไร้ซึ่งการช่วยเหลือจากเขา เกรงว่าน้องสี่ยังคงสามารถพึ่งพาพรรคพวกที่เหลืออยู่ของเว่ยเยวียนในการต่อสู้ได้”
พระสนมเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากเจ้าขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ต้องพึ่งพาสมุหราชเลขาธิการหวางให้มากขึ้น”
“ลูกเข้าใจแล้ว”
พระสนมเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่จู่ๆ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเกลียดชังว่า “รอให้เจ้าขึ้นครองบัลลังก์ หมู่เฟยจะให้ผู้หญิงคนนั้นเข้าไปที่ตำหนักจ่างชุน”
ตำหนักจ่างชุนคือตำหนักเย็นที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร
องค์รัชทายาทขมวดคิ้วกล่าวว่า “หมู่เฟย หลังจากลูกขึ้นครองราชย์ ท่านก็จะเป็นนายท่านของวังหลัง ทำไมต้องคิดเล็กคิดน้อยกับสถานภาพด้วยเล่า”
เขาเข้าใจความหมายของหมู่เฟยเป็นอย่างดี หมู่เฟยต้องการเป็นพระพันปี จึงยิ่งอยากนำผู้หญิงคนนั้นไปไว้ที่ตำหนักเย็น แต่เขาเป็นพระโอรสของฮองเฮาเพียงแต่ในนามเท่านั้น ฮองเฮาคือแม่ใหญ่ของเขา เว้นแต่ฮองเฮาจะทำผิดจนไม่สามารถให้อภัยได้ มิเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะขึ้นครองราชย์แล้ว ก็ไม่สามารถลิดรอนฐานะและชื่อเสียงของฮองเฮาได้
“ฮึ่ย!” พระสนมเฉินกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเข้าใจความหวั่นเกรงขององค์รัชทายาท ฮองเฮาทำผิดศีลธรรมนานแล้ว นางไม่สมควรเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง…”
องค์รัชทายาทฟังจบแล้วก็ตกตะลึง จนไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฮองเฮาจะมีอดีตกับเว่ยเยวียนเช่นนี้
“แต่ตอนนี้เว่ยเยวียนตายไปแล้ว การตายของเขาก็ไร้ข้อพิสูจน์…” องค์รัชทายาทขมวดคิ้วแน่น
“ความที่จะใส่ ไฉนกลัวไร้ข้ออ้าง” พระสนมเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“ให้ข้าคิดพิจารณาก่อน”
…
พระราชวังหลวง
หลังจากองค์รัชทายาทกลับมาแล้ว ก็ส่งคนไปเรียกสมุหราชเลขาธิการหวางมาเข้าเฝ้าทันที
เขาบอกความคิดของพระสนมเฉินให้สมุหราชเลขาธิการหวังฟัง และถามว่า “ใต้เท้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
สมุหราชเลขาธิการหวังที่ผมเริ่มหงอกตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจและกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงไขข้อสงสัยที่มีมาหลายปีของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “พระองค์กำลังจะขึ้นครองขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ เมื่อพบกับเรื่องที่ต้องตัดสินพระทัย ให้ทรงพิจารณาถึงผลดีและผลเสียเป็นอันดับแรก มิใช่สายเลือดเดียวกันหากทรงปลดฮองเฮาด้วยเหตุนี้ ก็สมเหตุสมผล แต่ฝ่าบาททรงเคยคิดหรือไม่ ว่าศักดิ์ศรีของราชวงศ์อยู่ที่ใด? หลังจากท่านขึ้นครองราชย์ ศักดิ์ศรีของราชวงศ์ ก็คือศักดิ์ศรีของท่าน หลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิองค์ก่อน ทุกสิ่งในอดีตล้วนถูกกล่าวโทษไปที่เขา จนถึงตอนนี้ ต้าฟ่งก็ยินดีต้อนรับราชวงศ์ใหม่ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หากมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก ฝ่าบาทที่เสียศักดิ์ศรี คนที่จะเสียชื่อเสียงไม่ใช่เพียงแต่ฮองเฮาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวท่านด้วย แต่หากพูดในแง่ดี ต่อให้ฝ่าบาทไม่ทรงคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ และยังยืนยันที่จะดำเนินการเรื่องนี้ เช่นนั้นชื่ออนุสรณ์ของเว่ยเยวียนเล่า…สวี่ชีอันจะตกปากรับคำหรือ?”
องค์รัชทายาทหายใจติดขัด การแสดงออกแข็งทื่อเล็กน้อย วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็เป็นปกติ และกล่าวช้าๆ ว่า
“ความคิดของสมุหราชเลขาธิการหวังถูกประเด็นมาก เป็นข้าเองที่คิดไม่รอบคอบ”
เขาเข้าสู่หัวข้อถัดไปอย่างง่ายดาย ด้วยการกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าลูกสาวผู้ดุจดั่งทองพันชั่งของสมุหราชเลขาธิการหวังกำลังจะหมั้นกับซู่จี๋ซื่อสวี่ซินเหนียนรึ?”
สมุหราชเลขาธิการหวังเผยรอยยิ้มทันที “เลือกวันมงคลแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาจะหมั้นกันในอีกสามเดือนข้างหน้า”
องค์รัชทายาทกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานั้นก็อย่าลืมเชิญข้าไปดื่มสุราด้วยล่ะ”
…
วันนี้แดดออกพอดี ยายตัวร้ายสวมชุดกระโปรงสีแดงหรูหรา เหยียบอยู่บนมังกรหลิงหลงที่บิดตัวไปมาเพื่อเดินทางข้ามทะเลสาบ
ฮว๋ายชิ่งที่สวมชุดสง่างามยืนถือถ้วยสุราอยู่ที่ริมฝั่ง เมื่อเห็นหลินอันที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ก็ระเบิดหัวเราะออกมาราวกับเสียงระฆังเงิน
หลังจากสวี่ชีอันไปแล้ว นางก็รับรู้ถึงสถานะของหลินอันได้อย่างชัดเจน พูดได้ว่าปัดกวาดเมฆหมอกออกไปจนสิ้น
แม้จะมีบางครั้งที่เหม่อลอย แต่โดยทั่วไปก็ยังคงมีความสุขเป็นส่วนใหญ่
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิเจินเต๋อ บรรยากาศภายในพระราชวังก็สงบลงและปลอดโปร่งขึ้นมาก องค์รัชทายาทกำลังจะขึ้นครองราชย์ หลินอันมีความสุขกับพี่ชายร่วมสายเลือดอย่างมาก แต่ฮว๋ายชิ่งคิดว่า เหตุผลหลักคือสวี่ชีอันต่างหาก
“เขาพูดอะไรกับเจ้าก่อนที่จะไปหรือไม่? หรือให้คำมั่นอะไรหรือไม่?”
ธิดาองค์โตผู้งดงามเปล่งปลั่งราวกับดอกไม้ขมวดคิ้ว นางมองออกไปบนท้องฟ้า และกล่าวพึมพำ “ลมพายุคะนองห่าฝนกำลังจะมา เหตุการณ์เลวร้ายกำลังจะเกิด”
ปัญหาที่เสด็จพ่อทิ้งไว้ยังไม่เท่าไร กลุ่มกบฏของอวิ๋นโจว และการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทในอนาคต ถึงจะเป็นการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชสำนัก
…
ทั้งสามควบม้าสองตัวไปบนถนนแคบบนภูเขาอย่างรวดเร็ว เม็ดฝุ่นฟุ้งกระจายอยู่ที่ด้านหลัง
ทั้งสามคนรวมสวี่ชีอันมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในช่วงก่อนพลบค่ำ เพื่อเตรียมตัวพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมคืนหนึ่ง
ทั้งสามนั่งอยู่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องโถงของโรงเตี๊ยม หลี่หลิงซู่จิบสุรา และกล่าวด้วยความสงสัยว่า “ท่านพี่สวี ทำไมไม่กลับเมืองหลวงเล่า ยังมีเรื่องต้องจัดการรึ?”
ในความคิดของเขา ทั้งสามน่าจะขึ้นเหนือไปยังเมืองหลวงทันที แต่สวีเชียนกลับยังคงไปทางตะวันตก โดยไม่มีความประสงค์จะกลับเมืองหลวงแต่อย่างใด
“หากเจ้าอยากไปเมืองหลวงก็ไปด้วยตนเองได้” สวี่ชีอันรินสุราให้มู่หนานจือถ้วยหนึ่ง
“ไม่ หากแยกกับท่าน ข้าก็จะสูญเสียวรยุทธ์ดวงดาราผันเปลี่ยนไป พี่หรงและพี่ชิงก็จะตามจับข้าได้ในไม่ช้าก็เร็ว” หลี่หลิงซู่ลูบบริเวณเอว พลางส่ายศีรษะอย่างต่อเนื่อง
หลังจากมื้ออาหารค่ำที่เร่งรีบ ทั้งสองฝ่ายต่างก็กลับไปที่ห้องของตนเอง สวี่ชีอันหยิบถังน้ำใบใหญ่และพืชมีพิษจำนวนหนึ่งออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี วางไว้ข้างเตียง ด้วยความหวังว่าพวกมันจะเจริญเติบโตอย่างที่ควรจะเติบโต ภายใต้การเกิดใหม่ของเทพดอกไม้ในความชุ่มชื้น
“อืม ต่อไปข้าไม่สามารถหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาต่อหน้าหลี่หลิงซู่ได้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นหมายเลขเจ็ด”
เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนแนะนำสมาชิกในพรรคฟ้าดิน เคยกล่าวถึงหมายเลขเจ็ดว่าถูกคนตามไล่ฆ่า และยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับหลี่เมี่ยวเจิน
หมายเลขเจ็ดและหลี่หลิงซู่มีความสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ เขายังเคยกล่าวว่า เงินสะสมทั้งหมดของเขาอยู่ที่ศิษย์น้องหลี่เมี่ยวเจิน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก็อยู่ในมือของหลี่เมี่ยวเจินด้วย
ประเด็นนี้เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่สามารถเข้าใจได้ หลี่หลิงซู่ไม่มีความมั่นใจในตนเองมากนัก ว่าจะสามารถหนีพ้นจากการไล่ล่าของสองพี่น้องทรงเสน่ห์ได้หรือไม่ และหนังสือปฐพีก็เป็นของขวัญจากนักบวชเต๋าจินเหลียน เป็นของวิเศษของนิกายปฐพี และเพื่อป้องกันไม่ให้ของวิเศษชิ้นนี้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่า หลี่หลิงซู่มอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้กับศิษย์น้อง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
เวลานี้เอง หัวใจของสวี่ชีอันก็รู้สึกถึงบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ เหนี่ยวนำไปถึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ความผันผวนของอาวุธเวทมนตร์ที่มีเอกลักษณ์บางอย่างส่งมาถึงเขา
เขาสัมผัสกระจกด้วยปลายนิ้ว
‘เคร้ง’ หอยสังข์ที่สลักคาถาหล่นลงบนโต๊ะ
เขาคว้าหอยสังข์เข้ามาใกล้หู
เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นอย่างชัดเจน “เจ้า…”
สวี่ชีอันรักษาท่าการฟังอยู่เป็นเวลานาน แต่หอยสังข์กลับยังคงเงียบและไร้การเคลื่อนไหวใดๆ
“เจ้า?”
สวี่ชีอันจมสู่ห้วงความคิด ลูกศิษย์คนที่สองของท่านโหราจารย์ต้องการแสดงความหมายอะไรหรือไม่
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มเชื่อมโยงและระดมสมอง หลังจากนั้น ในที่สุดก็มีเสียงดังมาจากหอยสังข์ “อยู่…”
“เจ้า อยู่?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่นยิ่งขึ้น และพูดในใจว่า นี่หมายความว่าอะไร ศิษย์พี่สองท่านนี้ต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่?
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรีบระดมสมองเพื่อครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ทันที สิ่งที่น่าเสียดายคือ ไม่มีเสียงจากหอยสังข์อีกแล้ว
สวี่ชีอันเดาไม่ออกว่าศิษย์พี่สองหมายถึงอะไร เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ เขาถอดรองเท้า แช่เท้าไว้ในน้ำอุ่นพักหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะนอนพักผ่อน พลังการได้ยินอันพลังก็จับเสียงอันแผ่วเบาของหอยสังข์ที่วางอยู่บนโต๊ะได้พอดี
“ที่ใด…”
ในที่สุดก็มีเสียงแล้ว! สวี่ชีอันกล่าวทวนเสียงเบา “เจ้า อยู่ ที่ ใด…”
เขากล่าวซ้ำเสียงดังอีกครั้ง “เจ้าอยู่ที่ใด?!”
เครื่องหมายคำถามปรากฏขึ้นในสมองของสวี่ชีอันอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ศิษย์พี่สองพูดคือ เจ้าอยู่ที่ใด
กำลังถามตำแหน่งของข้ารึ…
แค่นี้รึ?
เป็นเพราะระยะทางไกลเกินไป ‘สัญญาณ’ ของหอยสังข์จึงไม่ค่อยเสถียรกระมัง สวี่ชีอันคาดเดาในใจ ก่อนจะตอบว่า “ข้าอยู่ที่ชายแดนยงโจว สถานที่หนึ่งที่มีชื่อว่าชิงหยาเจิ้น”
หลังจากรอเป็นเวลานาน ก็มีเสียงดังมาจากหอยสังข์ว่า “อืม”
หลังจากนั้นก็มีเพียงความเงียบชั่วนิรันดร์
น่าจะไม่มีเรื่องอะไรกระมัง หอยสังข์ที่ท่านโหราจารย์มอบให้ใช้การไม่ได้จริงๆ สัญญาณก็แย่เช่นนี้…ในขณะที่บ่นพึมพำ เขาก็เดินเข้าไปที่ตู้ และหยิบเครื่องนอนที่สะอาดออกมา
“ขยับไปหน่อย เจ้าเหลือที่ให้ข้าเล็กไปหน่อยกระมัง “ สวี่ชีอันโยนผ้านวมลงบนเตียง ผลักไหล่มู่หนานจือเล็กน้อย
“ทำไมเจ้าไม่เปิดสองห้องเล่า?” มู่หนานจือหันหน้าไปมองเขา ดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความสงสัย
“ข้าห่วงว่าเจ้าจะกลัวการนอนคนเดียว”
สวี่ชีอันถือโอกาสซุกตัวเข้าไปในผ้านวม แม้ว่าพวกเขาจะนอนใต้ผ้านวมคนละผืน แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ใกล้ชิดมาก ใกล้จนเขาสามารถนับเส้นผมของพระมเหสีได้ ใกล้จนเขาได้กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของเทพดอกไม้ที่กลับชาติมาเกิด
มู่หนานจือจ้องเขาตาเขม็ง ก่อนจะพลิกตัว หันหน้าเข้าหากำแพง
ระหว่างเส้นผมที่ยุ่งเหยิง ลำคอระหงที่ขาวเนียนราวกับหิมะปรากฏขึ้น
สวี่ชีอันขยับตัวเข้าไปด้านใน มู่หนานจือก็ขยับตัวเข้าไปด้านในเช่นกัน ในที่สุด มู่หนานจือก็ถูกบีบบังคับให้ชนเข้ากับกำแพง ภายใต้การหลีกเลี่ยงในระหว่างการรุกของศัตรู ครั้นจะถอยก็ถอยไม่ได้
นางพลิกตัวกลับมา พลางจ้องเขาและกล่าวตำหนิว่า “เจ้าจะทำอะไร”
ต้องขออภัย เมื่อครู่เป็นเพราะฉิงกู่ชิงลงมือก่อน…สวี่ชีอันเงียบลงครู่หนึ่ง และไม่มีทางตอบโต้ใดๆ ได้
เขามองใบหน้าธรรมดาของมู่หนานจือ และกล่าวเสียงเบาว่า “ข้า ข้าอยากเห็นรูปลักษณ์ของเจ้าอีกครั้ง รูปลักษณ์ที่แท้จริง”
ใบหน้าของมู่หนานจือเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แม้แต่โคนหูของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
ทั้งสองมองหน้ากันในความมืด ลมหายใจค่อยๆ สั้นลง อัตราการเต้นของหัวใจก็กระชั้นถี่ขึ้น
ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังวางแผนเดินหน้าต่อ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของบุคคลที่สาม
ทันใดนั้น เขาหน้าซีดด้วยความตกใจ เงยหน้าขึ้นไปมองที่หัวเตียงทันที โหรชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น และกำลังมองหนุ่มสาวบนเตียงอย่างเงียบๆ
……………………………..………………