ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 513 การต่อสู้ที่ไม่สามารถประนีประนอมได้
บทที่ 513 การต่อสู้ที่ไม่สามารถประนีประนอมได้
ในพริบตาที่เห็นว่าในความมืดนั้นมีคนชุดขาวยืนอยู่ หัวใจของสวี่ชีอันดูเหมือนจะหยุดเต้นไปหลายจังหวะ หนังศีรษะรู้สึกชาขึ้นมาทันที และขนลุกไปทั่วร่างกาย
นี่ไม่ใช่แค่ความผวาที่เกิดขึ้นเพราะถูกคนอื่นมามุงดูขณะกำลังทำธุระส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะหลังจากถูกสวี่ผิงเฟิงโจมตีอย่างกะทันหัน สวี่ชีอันก็จะรู้สึกได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทุกครั้งที่คนชุดขาวปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันและไม่ทันตั้งตัว
เขาใช้ประสิทธิภาพของตู๋กู่ผสมกับน้ำลาย แล้วพ่นเมือกพิษสีดำที่สามารถกัดกร่อนสรรพสิ่งออกจากปาก จากนั้นเขาก็ฟุบลงไปที่ร่างอวบอิ่มและอ่อนนุ่มของมู่หนานจือ หมายจะพานางกระโดดไปในเงามืด
โหรชุดขาวเอียงศีรษะ หลบเมือกพิษที่พ่นออกมา และพูดออกมาว่า “อย่า” ทันที
อ๊ะ? สวี่ชีอันชะงักไปครู่หนึ่ง เสียงนี้คุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่ใช่เสียงของสวี่ผิงเฟิง เขาจึงหยุดกระโดด
“กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องของมู่หนานจือดังก้องไปทั้งห้อง นางยังคงไม่ทันสังเกตเห็นโหรชุดขาว แต่นางคิดว่าสวี่ชีอันกำลังจะใช้กำลังบังคับนาง
พระมเหสีห่มผ้าห่มอยู่ และร่างกายก็ถูกเขากดทับอยู่ ทำให้นางไม่สามารถผลักไสหรือขัดขืนได้ ทำได้เพียงขยับตัวไปมา เหมือนหนอนแมลงวันตัวอวบอิ่มสมบูรณ์
กล่าวกันว่า ไม่ว่านักแม่นธนูที่ฝีมือยอดเยี่ยมขนาดไหน ก็ไม่สามารถยิงวัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงถูกได้
ในเวลานี้ นางได้ยินเสียงของสวี่ชีอันดังอยู่ในหู “เจ้าคือศิษย์พี่รองซุนเสวียนจี?”
มู่หนานจือสงบลงทันที เงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่หัวเตียง มีเงาของคนชุดขาวยืนอยู่ที่หัวเตียงจริงๆ ใบหน้าในความมืดนั้นเลือนราง
โหรชุดขาวมองมามองชายหญิงบนเตียง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “กลัว…”
กลัว? กลัวอะไร เขากลัวอะไร…ความสงสัยเช่นเดียวกันผ่านเข้ามาในสมองของสวี่ชีอันและมู่หนานจือ
ช้าก่อน เมื่อครู่เขายังพูดคำคำหนึ่ง ดูเหมือนจะพูดว่า “อย่า” สวี่ชีอันดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
“เขาเป็นศิษย์คนที่สองของท่านโหราจารย์ ศิษย์พี่ของซุนเสวียนจี”
สวี่ชีอันก้มศีรษะ จ้องมองดวงตางามดำขลับของมู่หนานจือแล้วอธิบายประโยคหนึ่ง
เขารีบลุกขึ้นจากร่างอวบอิ่มอ่อนนุ่มของพระมเหสี สวมเสื้อคลุมยาว เดินไปที่โต๊ะแล้วจุดเทียน แสงเทียนขับไล่ความมืด ทำให้เกิดแสงสลัวๆ
สวี่ชีอันอาศัยแสงเทียน พินิจพิเคราะห์ศิษย์พี่รองที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เขาสูงประมาณหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตร ธรรมดามากๆ หน้าตาดี แต่ห่างไกลจากคำว่า ‘หล่อเหลา’ จัดว่าธรรมดามากเช่นกัน
ในบรรดาศิษย์ของท่านโหราจารย์ ศิษย์พี่รองคนนี้ดูธรรมดาที่สุด ถึงแม้จะเป็นหยางเชียนฮ่วนที่ชอบสร้างภาพ…เอ่อ สวี่ชีอันไม่เคยเห็นมาก่อนว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร แต่ซ่งชิงผู้ที่คลั่งไคล้การเล่นแร่แปรธาตุ ความจริงเป็นคนที่หล่อเหลาคนหนึ่ง ส่วนฉู่ไฉ่เวยและจงหลีนั้น คนแรกเป็นเด็กสาวตาโตน่ารักร่าเริง ในขณะที่คนหลังนั้นแม้จะดูมอมแมม แต่ใบหน้าที่เผยให้เห็น ‘เพียงเล็กน้อย’ เป็นครั้งคราว ก็สามารถสรุปได้ว่าเป็นคนที่มีความงามโดดเด่นคนหนึ่ง
พระมเหสีขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนวมหนา โผล่ศีรษะมาเพียงครึ่งหนึ่ง ดวงตาที่สดใสเฉลียวฉลาด จ้องมองคนทั้งสองอย่างเงียบๆ แต่ส่วนใหญ่จะพินิจพิเคราะห์ซุนเสวียนจีมากกว่า
ซุนเสวียนจีพูด “อา…จารย์…ให้…ข้า…มา…หา…เจ้า…”
หลังจากพูดประโยคนี้จบ เวลาก็ผ่านไปหนึ่งเค่อแล้ว พระมเหสีหลับไปอีกครั้ง และกรนออกมาเบาๆ
…สวี่ชีอันมองโหรชุดขาวอย่างตะลึงงันทำอะไรไม่ถูก “ศิษย์พี่ซุน นี่คือ?”
นี่คือความบกพร่องทางการพูดรึ?
ซุนเสวียนจีพยักหน้าอย่างจริงจัง แล้วอธิบายว่า “ข้า…ไม่…”
สวี่ชีอันรีบตัดบท “ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องอธิบาย”
กว่าเจ้าจะอธิบายเสร็จ ก็ผ่านไปอีกหนึ่งเค่อแล้ว เขานึกตำหนิในใจ
“ท่านโหราจารย์ให้ท่านมาหาข้า?”
สวี่ชีอันพลิกถ้วยชาที่คว่ำอยู่ รินชาร้อนสองถ้วยแล้วพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสมีอะไรจะสั่งการ เอ่อ ถ้าเป็นไปได้ ท่านโปรดพูดเร็วนิดหน่อย”
“อาจารย์…”
“บอกว่า…”
“เจ…”
“ดีย์เปิด…”
“…แล้ว”
“เขาหวังว่า…”
“เจ้าจะ…”
“ไปสักครั้ง…”
ซุนเสวียนจีพูดจบ น้ำชาในมือของสวี่ชีอันก็เย็นสนิท
มู่หนานจือพลิกตัว แล้วพูดเบาๆ สองสามประโยค แล้วนอนหลับสนิท
ข้าอยากจะซัดเขาจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงอึดอัดใจตาย…ใบหน้าของสวี่ชีอันกระตุกอย่างรุนแรง รู้สึกแต่เพียงว่าภายในใจเกิดความรู้สึกเดือดดาลอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากจะทุบหน้าอกและคำรามออกมา
การอดทนฟังศิษย์พี่รองพูด เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมาก ไม่น้อยไปกว่าการเอาเล็บไปข่วนกระดานดำหรือเอาโฟมสองชิ้นมาถูกัน
หากพี่ชุนอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ชักดาบออกมาฟันเขา ก็คงผ่าท้องจนตาย…สวี่ชีอันคิดด้วยความเจ็บปวด
ซุนเสวียนจีหายใจเข้าลึก แล้วพูดต่อว่า “อา…จารย์…”
“รอสักครู่!”
สวี่ชีอันตัดบท เทน้ำฝนหมึกอย่างเร็วที่สุด คลี่กระดาษออก จับพู่กันจุ่มลงบนหินฝนหมึก ยื่นให้เขาด้วยสองมือ แล้วพูดด้วยความจริงใจว่า
“พี่รอง พวกเราสามารถใช้มือได้ อย่าได้พูดพล่ามอยู่เลย ตกลงไหม”
ซุนเสวียนจีขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะชอบการสื่อสารด้วยคำพูดมากกว่า แต่จำต้องฝืนใจรับพู่กันมา นั่งลงเขียนที่โต๊ะ
เฮ้อ…สวี่ชีอันถอนหายใจ จังหวะการเขียนที่คล่องแคล่ว ลีลาการเขียนที่ไม่หยุดนิ่ง เทียนที่ลุกไหม้อย่างเงียบๆ…โลกนี้ช่างงดงามเสียจริงๆ
ลูกศิษย์ของท่านโหราจารย์ ไม่มีใครปกติสักคน เมื่อเทียบกับหยางเชียนฮ่วนที่ชอบสร้างภาพ ซ่งชิงผู้คลั่งไคล้การเล่นแร่แปรธาตุ จงหลีผู้ไม่มีความสุข และฉู่ไฉ่เวยที่ไม่มีพิษมีภัย ซุนเสวียนจีคนนี้นับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด
เป็นรองแค่สวี่ผิงเฟิงคนไม่เข้าท่า
“ศิษย์พี่รอง ท่านจะมา เหตุใดไม่บอกล่วงหน้า” สวี่ชีอันบ่น หากคนน่ารำคาญคนนี้ไม่มา เขาอาจจะทำให้พระมเหสีได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า “M” และ “一” เขียนอย่างไร
“ข้า บอก แล้ว แต่ เจ้า…”
หลังจากนั้นไม่นาน ซุนเสวียนจีก็เขียนเสร็จ แต่เขายังพูดไม่จบ
มองหน้าสวี่ชีอันแล้วพูดว่า “ไม่ สน ใจ ข้า”
…สวี่ชีอันประสานมือคารวะ แล้วรับกระดาษมาอ่าน เขายิ่งอ่านก็ยิ่งเคร่งเครียด ผสานกับความตื่นเต้น
พุทธเจดีย์สมบัติล้ำค่าที่สุดของสำนักพุทธ ใช้ในการปราบและหลอมปีศาจ เมื่อห้าร้อยปีก่อน สำนักพุทธเผยแผ่ศาสนาในที่ราบภาคกลาง และได้นำแขนสองข้างของเสินซูกลับมา
แขนขวาอยู่ที่ที่ซังผอ แขนซ้ายอยู่ในพุทธเจดีย์ของวัดซานฮัวในเหลยโจว
เมื่อสองร้อยปีก่อนต้าเฟิ่ง ‘ละเลยศีลธรรม’ ใช้นโยบายทำลายล้างพระพุทธศาสนา ผลักดันพระพุทธศาสนากลับสู่แดนประจิมทิศ เหลือเพียงวัดเล็กๆ ที่หายใจรวยรินอยู่ในพื้นที่ราบภาคกลาง
วัดซานฮัวก็เช่นเดียวกับวัดมังกรเขียวในเมืองหลวงที่ไม่ได้ถอนตัวออกไปทั้งหมด แต่ได้ทิ้งลัทธิเต๋าไว้เบื้องหลัง
ภารกิจของวัดมังกรเขียวก็คือการจับตามองสิ่งที่ถูกปิดผนึกไว้ใต้ซังผอ วัดซานฮัวก็เช่นเดียวกัน
สำหรับสาเหตุที่ทำไมไม่อัญเชิญพุทธเจดีย์กลับไปแดนประจิมด้วย คำอธิบายของซุนเสวียนจีก็คือ การปิดผนึกของวัดซานฮัวในเหลยโจวกับการปิดผนึกใต้ซังผอนั้นเหมือนกันราวกับแกะ ต่างมีท่านโหราจารย์เป็นผู้ช่วยจัดวางค่ายกล
ในยามที่สำนักพุทธและต้าฟ่งสองพี่น้องดีต่อกัน ก็จะไม่มีปัญหา แต่ทันทีที่พี่น้องปลอมๆ แตกคอกัน ค่ายกลของท่านโหราจารย์ก็จะกลายเป็นอุปสรรค นอกจากนี้ ตอนแรกที่สำนักพุทธส่งร่างกายไม่สมประกอบของเสินซูไปปิดผนึกที่ต้าฟ่ง ก็เพราะพวกเขาไม่กำลังที่จะปิดผนึกร่างกายไม่สมประกอบอีกต่อไป
แขนที่ถูกปิดผนึกอยู่ในพุทธเจดีย์ จะต้องมีวิญญาณที่ไม่สมประกอบอยู่ วิญญาณที่ไม่สมประกอบสองส่วนผสมผสานกัน ทำให้เสินชูสามารถคิดเรื่องราวได้มากกว่า…
สวี่ชีอันระงับความตื่นเต้นของเขาไว้และถามว่า “เหตุใดท่านไม่รีบบอกเรื่องนี้ให้ข้ารู้ตั้งแต่แรก”
ซุนเสวียนจียกพู่กันขึ้นเขียนว่า “อาจารย์เป็นคนเล่นหมากรุก”
นี่หมายความว่า หมากอย่างข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะรู้ข่าวล่วงหน้า? สวี่ชีอันนึกตำหนิในใจ
“ข้าได้ยินมาว่า สำนักพ่อมดก็ส่งคนไปเหลยโจวเช่นกัน”
ซุนเสวียนจีขมวดคิ้ว สีหน้าตื่นตะลึง แล้วยกพู่กันขึ้นเขียนว่า
“พุทธเจดีย์มีวิธีเปิดสองวิธี วิธีแรก สำนักพุทธกับท่านอาจารย์ร่วมกันเปิด วิธีที่สองทุกหกสิบปีจะเปิดเองหนึ่งครั้ง กำหนดเวลาการในการเปิดแบบที่สองใกล้จะมาถึงแล้ว”
สวี่ชีอันเข้าใจทันที
“ตอนนั้นที่เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองถูกส่งเข้าไปในพุทธเจดีย์ ก็เป็นฝีมือการร่วมมือกันของท่านโหราจารย์และสำนักพุทธ?”
อืม เมื่อครั้งสงครามด่านซานไห่ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักพุทธกับต้าฟ่งค่อนข้างแนบแน่น
ซุนเสวียนจีเขียนว่า “ข้าไม่ค่อยแน่ใจ ในเวลานั้นข้ายังเด็ก เจ้าต้องทำสองสิ่ง สกัดกั้นไม่ให้สำนักพ่อมดช่วยดวงวิญญาณของน่าหลันเทียนลู่ และนำแขนที่หักของเสินซูออกมา ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
“ทำไมท่านโหราจารย์จึงไม่ลงมือด้วยตัวเอง”
“ตอนที่ตั้งค่ายกลนั้น อาจารย์และสำนักพุทธได้ให้คำสัตย์ปฏิญาณร่วมกันต่อสวรรค์ ว่าจะไม่ทำในสิ่งที่จะเป็นการทำลายการปิดผนึก”
“เข้าใจแล้ว”
สวี่ชีอันหัวเราะ แม้ว่าสองพี่น้องตงฟางจะอยู่ในขั้นสี่สูงสุด แต่ซุนเสวียนจีเป็นปรมาจารย์ความลับของสวรรค์ขั้นสาม บวกกับการช่วยเหลือของตัวเขาเอง การรับมือกับพวกนางจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับพวกเขา
อืม บางทีอาจจะยังมียอดฝีมือแห่งวัดซานฮัว แต่ปัญหาไม่น่าใหญ่
ความคืบหน้าเช่นนี้ใช้ได้ทีเดียว วัสดุ ปราณมังกร และแขนของเสินซู ได้ทำการรวบรวมอย่างเป็นระเบียบ…วันนั้นที่ท่านโหราจารย์มอบหอยสังข์ให้กับข้า ข้ายังคิดว่าเขาต้องการให้ซุนเสวียนจีช่วยข้าค้นหาปราณมังกร คาดไม่ถึงปมเงื่อนจะอยู่ตรงนี้
ซุนเสวียนจีเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเขียนว่า
“อย่าได้ประมาท หลังจากเว่ยเยวียนตีเมืองจิ้งซานได้สำเร็จ พลังชีวิตของสำนักพ่อมดถูกทำลายอย่างหนัก จึงยอมเสี่ยงอันตรายและเปลี่ยนจุดหมายไปที่พุทธเจดีย์ มีแนวโน้มสูงว่าพวกเขาจะส่งปรมาจารย์พลังจิตไปจัดการ”
ปรมาจารย์พลังจิต… รูม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวเล็กน้อย
ไม่รอให้เขาพูด ซุนเสวียนจีเขียนต่อไปว่า
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าไปที่เหลยโจวและได้ใช้วิชามองปราณสังเกตเห็นเทพผู้พิทักษ์”
สวี่ชีอันอ้าปากกว้าง “วัดซานฮัวมีเทพผู้พิทักษ์คอยปกป้อง?”
แล้วจะทำอย่างไรต่อ?
ซุนเสวียนจีส่ายหน้า แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียน “หลังจากกำจัดสำนักพุทธในปีนั้น พุทธศาสนิกชนขั้นสี่ขึ้นไป ต่างถอนตัวออกจากที่ราบภาคกลางทั้งหมด วัดซานฮัวไม่มีเทพผู้พิทักษ์คอยปกป้อง สาเหตุที่มีเทพผู้พิทักษ์ท่านนี้ ข้าเดาว่าเขามาเพื่อวิญญาณชีพจรมังกร”
เพื่อวิญญาณชีพจรมังกร…สวี่ชีอันรู้สึกหนักใจ นี่ไม่ใช่ข่าวดี หมายความว่าหากเขายังคงสะสมชีพจรมังกรต่อไป ก็จะต้องพบกับเทพผู้พิทักษ์ผู้นี้
“สำนักพุทธ รวบรวมปราณมังกรไว้เพื่ออะไร?” สีหน้าของสวี่ชีอันดูไม่ค่อยดีนัก
“สูญเสียปราณมังกร ที่ราบภาคกลางจะต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ ได้รับปราณมังกร ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเข้ารุกรานและปกครองที่ราบภาคกลาง ในด้านนี้ สำนักพุทธและสำนักพ่อมดก็ไม่แตกต่างกัน”
ซุนเสวียนจีชำเลืองมองเขา แล้วเขียนต่อไปว่า “มีปราณมังกรติดอยู่ที่ด้านในพุทธเจดีย์ และเป็นหนึ่งในเก้าปราณมังกรที่สำคัญสายหนึ่ง”
ฟ้าผ่าตอนกลางวัน! สีหน้าของสวี่ชีอันเหม่อลอยทันที อ้าปากเล็กน้อย มองหน้าซุนเสวียนจีอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
ฝ่ายหลังมองอย่างสงบ
นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากพุทธเจดีย์มีเพียงแขนของเสินซู ข้ายังพอถ่วงเวลาไว้ได้ สามารถรวบรวมปราณมังกรไว้ก่อน…หรือหาวิธีอื่นที่พอจะหลงเหลืออยู่ แต่ตอนนี้หนึ่งในวิญญาณมังกรทั้งเก้าสาย อยู่ที่วัดซานฮัว ดึงดูดเทพผู้พิทักษ์ขั้นสาม เมื่อรวมเข้ากับแขนของเสินซู สำหรับข้าแล้ว นี่เป็นนี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่สามารถประนีประนอมได้
บางที อาจจะเจรจากันได้?
สำนักพุทธต้องการเชิญข้าไปเป็นสาวกที่แดนประจิมไม่ใช่หรือ?
ไม่นะ จะคิดเช่นนี้ไม่ได้ ทุกสิ่งล้วนว่างเปล่าตายเสียยังดีกว่า
ทำไมสำนึกพุทธจึงต้องสะสมปราณมังกร? แล้วยังมีความคิดที่จะยึดที่ราบลุ่มภาคกลางอีก? และอาจเป็นไปได้ว่าต้องการใช้ปราณมังกรเพื่อบีบบังคับ กลับมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ราบภาคกลางอีกครั้ง แต่มีความเป็นไปได้น้อย ในด้านนี้สำนักพุทธเคยเสียเปรียบมาก่อน จึงไม่น่าผิดซ้ำซาก…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว
ในยามค่ำคืน เขารู้สึกเย็นเล็กน้อย
“เทพผู้พิทักษ์และปรมาจารย์พลังจิตล้วนเป็นขั้นสาม ข้าควรทำอย่างไรดี? คนที่อยู่ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดเช่นข้าอาจจะทำได้” สวี่ชีอันถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ขั้นสี่ขึ้นไปเข้าไปในพุทธเจดีย์ไม่ได้ นี่มีข้อห้ามของของวิเศษเอง และเป็นข้อห้ามเกี่ยวกับค่ายกลของอาจารย์ หากไม่เป็นเช่นนี้ จิ้งจอกเก้าหางที่บุกเข้าไปในพุทธเจดีย์ ก็จะนำแขนของเสินซูออกมา”
ซุนเสวียนจีเขียนดังนี้
เมื่อจ้องมองที่กระดาษ ดวงตาของสวี่ชีอันก็ค่อยๆ เป็นประกายขึ้น เปล่งรัศมีแห่งความหวังออกมา
ทันใดนั้น ก็เกิดความคิดมากมายแล่นผ่านเข้ามาในสมองของเขา แต่มันกระจัดกระจายเกินไป จนไม่สามารถปะติดปะต่อเป็นแผนการที่สามารถปฏิบัติได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังมีเวลาอีกมากในการดำเนินการ และจะต้องใช้เวลาในการวางแผนเล็กน้อย…
สวี่ชีอันจิบน้ำชาที่เย็นเฉียบ แล้วพูดว่า “ยังมีอะไรอีกหรือ”
ซุนเสวียนจีเขียนว่า “ข้าต้องเตรียมการบางอย่าง พรุ่งนี้เจ้าออกเดินทางไปเหลยโจวได้เลย เมื่อถึงเวลานั้นให้ใช้หอยสังข์ติดต่อกัน กำหนดแผนการ ข้าเข้าไปในพุทธเจดีย์ไม่ได้ แต่ข้าสามารถช่วยจัดการกับแรงกดดันจากภายนอกได้”
สวี่ชีอันพยักหน้า “พาศิษย์พี่หยางมาด้วยได้หรือไม่ เขาจะต้องชอบงานแบบนี้อย่างแน่นอน”
สีหน้าของซุนเสวียนจีแปลกประหลาดขึ้นทันที แล้วเขียนว่า “ศิษย์น้องหยางถูกอาจารย์ขังไว้อีกแล้ว”
“ทำไมต้องใช้คำว่า อีกแล้ว?”
“หลังจากเจ้าออกจากเมืองหลวงไม่นาน เขาก็ออกมาจากชั้นใต้ดิน เพื่อตรวจสอบองค์รัชทายาทอย่างลับๆ”
“ตรวจสอบองค์รัชทายาท?”
“ตามที่เขาพูด เขาได้รวบรวมหลักฐานการกระทำผิดขององค์รัชทายาทเกี่ยวกับการทุจริตรับสินบน และข่มเหงนางกำนัล รอแค่องค์รัชทายาทเสด็จขึ้นครองราชย์…”
ภายในห้อง ตกอยู่ในความเงียบสงัดครู่หนึ่ง มีเพียงเสียงหายใจเอื่อยๆ ของมู่หนานจือ
ผ่านไปเป็นเวลานาน สีหน้าของสวี่ชีอันดูจริงใจ พูดว่า
“ฝากคารวะท่านโหราจารย์แทนข้าด้วย ให้ท่านรักษาสุขภาพให้มากๆ การเปิดใจกว้างเป็นความลับของการมีอายุยืนยาว”
ซุนเสวียนจีส่งเสียง “อืม”
เขาลุกขึ้นและกำลังจะออกไปส่งข่าว สวี่ชีอันรีบกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว “คำพูดเมื่อครู่ อย่าลืมเขียนลงบนกระดาษ”
แล้วอย่าได้ไปซ้ำเติมท่านโหราจารย์เล่า
…ซุนเสวียนจีเหลือบมองเขา ลวดลายใต้ฝ่าเท้าส่องแสงระยิบระยับ หายไปในทันที
สวี่ชีอันรออยู่ครู่หนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่กลับมาอีกครั้ง จากนั้นก็เป่าเทียนดับ หดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม แล้วหลับไปทันที
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
สวี่ชีอันและมู่หนานจือลุกขึ้นล้างหน้าแปรงฟัน แล้วมากินอาหารเช้าที่ห้องโถงของโรงเตี๊ยม บังเอิญเห็นหลี่หลิงซู่ซึ่งสวมชุดคลุมสีดำหรูหรากลับมาที่โรงเตี๊ยม
ในมือเขาถือยาห่อใหญ่ ห่อด้วยกระดาษไข
หลี่หลิงซู่ค่อยๆ ซ่อนห่อยาไว้ข้างหลัง ยิ้มแย้ม “อรุณสวัสดิ์ ทั้งสองท่าน”
พระมเหสีมู่ไม่ได้สนใจเขา ยังคงก้มหน้ากินโจ๊ก
สวี่ชีอันสูดลมหายใจเข้า แล้วพูดเบาๆ “เขากวางอ่อน สั่วหยาง หวงจิง ฮั่วเฉ่าเกิน งาดำ…”
ล้วนเป็นตัวยาที่ช่วยเสริมพลังหยางและบำรุงไต
มู่หนานจือเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่หลี่หลิงซู่ด้วยความประหลาดใจ
ใบหน้าของเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์แดงเรื่อ มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกประหม่า แล้วรีบพูดว่า “ท่าน ท่านอย่าพูดออกมา”
เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าในห้องโถงมีไม่มากนัก ทั้งเจ้าของร้านและเสี่ยวเอ้อต่างไม่ได้ยิน เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่งลงที่โต๊ะ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า
“ข้าต้องขออธิบายเสียหน่อย ข้าไม่ได้ส่งเสริมจนเกินงาม แต่แม่นางชิงและแม่นางหรงต่างเรียกร้องไม่หยุด…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เทพบุตรก็มีสีหน้าลำบากใจ
“พวกนางจะนอนร่วมห้องกับข้าทุกวัน หมุนเวียนกันขึ้นเตียง โดยไม่ยอมให้ข้าพักผ่อนแม้แต่วันเดียว จุดประสงค์ที่พวกนางทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ข้ามีกำลังไปเกี่ยวข้องกับสาวใช้หน้าตาดีข้างกาย”
เขาพรั่งพรูความในใจ “ข้าไม่เคยคิดจะข้องเกี่ยวกับสาวใช้เลย มีแต่สาวใช้ที่คิดจะยั่วยวนข้า เป็นเพราะเสน่ห์ของข้าล้นเหลือเกินไป…”
สวี่ชีอันพูดด้วยสีหน้าสีเรียบเฉย “รีบขึ้นไป อีกหนึ่งเค่อ พวกเราจะออกเดินทาง”
เมื่อหลี่หลิงซู่กลับห้องไปแล้ว สวี่ชีอันก็ทิ้งช้อนกระเบื้อง แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ไร้รสชาติสิ้นดี”
พระมเหสีหมอบลงบนโต๊ะ มือข้างหนึ่งกุมท้อง หัวเราะจนน้ำตาไหล
…
เวลาหนึ่งเค่อต่อมา ทั้งสามคนขี่ม้าออกจากเมือง หลี่หลิงซู่เคี้ยวยาเสริมพลังหยางอยู่ในปาก พูดเสียงดังว่า
“ผู้อาวุโส เราจะไปที่ไหนกัน?”
สวี่ชีอันมองไปไกล แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก”
…………………………………………