ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 515-2 เหวินเหรินเชี่ยนโหรว (2)
บทที่ 515 เหวินเหรินเชี่ยนโหรว (2)
ณ เมืองหลวง
เทพธิดาปิงอี๋ในชุดนักบวชลัทธิเต๋าสีดำ สวมมงกุฎดอกบัวบนศีรษะ ใบหน้างดงามกลับไร้อารมณ์ บังคับกระบี่บินหยุดอยู่นอกเมืองหลวง
เมื่อมองลงมาจากยอดเมฆ นางเห็นเพียงบรรดาคนงาน ทหารอาสา และช่างหินอยู่เบื้องล่างอย่างหนาแน่น กำลังซ่อมแซมกำแพงเมือง
เรื่องที่ฆ้องเงินสวี่ลอบปลงพระชนม์ผ่านไปหลายเดือนแล้ว นอกจากกำแพงเมืองยังซ่อมแซมอยู่ ที่เหลือก็มองไม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้
เทพธิดาผู้มีแววตาสุกสกาวคู่นั้นถอนสายตาจากกำแพงเมือง มองไปยังสำนักโหราจารย์
นางผู้ซึ่งไม่ได้รับการแจ้งเตือนใดๆ จึงขี่กระบี่บิน ลัดเลาะข้ามท้องฟ้าเพื่อร่อนลงยังแท่นแปดทิศ
เมื่อถึงแท่นแปดทิศ ข้างโต๊ะมีผู้ใส่ชุดสีขาวและผู้ใส่ชุดกระโปรงสีเหลืองนั่งอยู่
สาวน้อยในชุดกระโปรงสีเหลืองนั่งแทะถั่วกินดัง “กึกๆ” พลางจิบเหล้าผลไม้จากแก้วเป็นครั้งคราว พร้อมส่งเสียง “อ่าฮ่า”อย่างสบายใจ
ท่านโหราจารย์ชุดขาวนั่งเงียบอยู่ข้างๆ
“คารวะท่านโหราจารย์”
เทพธิดาปิงอี๋โค้งคำนับ
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีเหลืองตกใจ เหมือนนางเพิ่งพบเจอแขกที่คาดไม่ถึง จึงรีบหันหน้าไปมอง
ท่านโหราจารย์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบชรา “เจ้ามาทำอะไรในเมืองหลวง”
“ข้า กำลังหาตัวลูกศิษย์ของข้า หลี่เมี่ยวเจิน”
“จงออกจากเมืองหลวงก่อนพลบค่ำ”
หลังจากท่านโหราจารย์พูดจบ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก
เทพธิดาปิงอี๋คำนับอีกครั้งแล้วบังคับกระบี่บินจากไป
นางเหยียบกระบี่บินโดยไม่สนใจ ‘แววตา’ ของคนบนท้องถนนทุกสายในเมืองหลวง ในไม่ช้า เทพธิดาปิงอี๋ เล็งเป้าไว้ที่ลานกว้างชั้นสาม แล้วบังคับกระบี่กดลงจอดอย่างไม่ลังเล
ภายในลาน
นางเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวๆ หกเจ็ดขวบ ตัวเล็กๆ ราวกับเม็ดถั่ว กำลังแบกโต๊ะหินขนาดใหญ่กว่าตัวนางหลายเท่า เดินไปอย่างช้าๆ ในลานกว้าง เหมือนขัดเกลาวรยุทธ์อยู่
เด็กหญิงตัวน้อยมีใบหน้าแดงก่ำ คิ้วบางๆ ทั้งสองข้างลู่ลง ขาสั้นๆ ทั้งสองข้างสั่นเทา
ข้างๆ นั้นมีเด็กสาวจากซินเจียงตอนใต้ ผิวสีข้าวสาลี ตาสีฟ้าครามกำลังกินถั่วพร้อมปรบมือไปด้วย
ยังมีหญิงสาวทรงเสน่ห์ดูโตขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ กำลังพึมพำ “ระวังหน่อย ระวัง…”
เทพธิดาปิงอี๋ลงมาที่ลานกว้าง จึงดึงดูดความสนใจของหญิงสาวทั้งสองคนและเด็กหญิง
“เจ้าเป็นใคร?”
อาสะใภ้มองสำรวจนักพรตหญิงรูปโฉมงดงามจนไม่สามารถคาดเดาอายุได้ รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนรูปปั้นที่ไร้ความรู้สึกเท่านั้น
“ข้า เทพธิดาปิงอี๋จากนิกายสวรรค์”
รูปปั้นไร้ความรู้สึกคำนับแล้วเอ่ยขึ้น “ที่นี่ใช่บ้านของฆ้องเงินสวี่หรือไม่”
อาสะใภ้พยักหน้า คิดในใจว่าหลานชายผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นยั่วยุแม่นางรูปงามมาอีกแล้ว
จู่ๆ นางก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จึงโพล่งออกมา “เจ้าเป็นศิษย์พี่สำนักเดียวกันกับหลี่เมี่ยวเจินใช่หรือไม่?”
เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า “จอมทรยศตัวน้อยผู้นี้เอง”
ทันใดนั้นอาสะใภ้ก็ร้อนรนขึ้นมา แล้วกล่าวทักทาย “นักบวชเต๋าเชิญเข้าด้านใน”
ทั้งสองฝ่ายเข้าไปในโรงเรือน แล้วอาสะใภ้ก็สั่งให้ลวี่เอ๋อสาวใช้ส่วนตัวยกชามาให้
เทพธิดาปิงอี๋มองไปที่อาสะใภ้ ดวงตาสุกสกาวคู่นั้นสงบนิ่ง น้ำเสียงนุ่มนวลกลับไร้อารมณ์
“จอมทรยศตัวน้อยไม่อยู่ในบ้านหรือ”
อาสะใภ้ดื่มชาแล้วพูดว่า:”นักบวชหลี่ นางเดินทางออกจากเมืองหลวงเมื่อไม่กี่วันก่อน”
“ไปที่ใด”
“ข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าไปท่องยุทธภพ”
เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้าช้าๆ พลางพูดด้วยเสียงนุ่มๆ “ฮูหยิน บอกข้าได้หรือไม่ว่า คนหัวรั้นผู้นั้นไปทำการใดที่เมืองหลวง”
อาสะใภ้รีบโอ้อวดเกี่ยวกับหลี่เมี่ยวเจินทันที เหมือนกำลังคุยโม้เรื่องลูกกับป้าข้างบ้าน
“นักบวชหลี่ใจบุญสุนทาน มีใจกล้าหาญ นางเป็นผู้หญิงหญิงที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ โอ๊ย นิกายสวรรค์สมควรได้รับเกียรติๆ ลูกศิษย์ที่สอนมามีการอบรมทางด้านศีลธรรมไร้ที่ติ
“เรื่องเล็กๆ เช่นบริจาคโจ๊กให้แก่คนยากไร้ เรื่องใหญ่ๆ อย่างช่วยหลานชายข้าสังหารทรราช ดี แสนดีจริงๆ!”
ใบหน้าเย็นเทพธิดาปิงอี๋ ไร้อารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วผุดลุกขึ้นกล่าวลา “ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ จึงอยู่นานไม่ได้”
“ให้ข้าไปส่งท่านนักบวช…”
อาสะใภ้ส่งนางออกจากห้องโถงด้านใน เฝ้าดูอีกฝ่ายเหยียบกระบี่บินหายลับไปกลางอากาศ
“ดูเหมือนจะไม่ดีใจเลย?” อาสะใภ้บ่นพึมพำ
…
เทพธิดาปิงอี๋ไม่ได้ออกจากเมืองหลวงทันที แต่วนกระบี่บินไปที่อารามรัตนะ
นางเพิ่งโฉบผ่านเขตพระราชฐาน เข้าใกล้อารามรัตนะ เมื่อมองลึกเข้าไป อยู่ๆ กระบี่ก็สว่างวาบเจิดจ้า
ดวงตาสุกสกาวของเทพธิดาปิงอี๋แข็งกร่าว นางปล่อยให้กระบี่บินเบี่ยงออกนอกเส้นทาง ครู่ต่อมา แสงกระบี่นั้นหันเหทิศทางด้วยตัวเอง ก่อนพุ่งผ่านท้องฟ้าแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว
เทพธิดาปิงอี๋ร่อนลงที่ลานเล็กๆ ลึกเข้าไปในอารามรัตนะ
ลานกว้างเต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา ภูเขาจำลองยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในสระน้ำเล็กๆ ที่เงียบสงบ มีหญิงงามนั่งขัดสมาธิ สวมมงกุฎดอกบัว ในชุดเสื้อคลุมเต๋า ระหว่างคิ้วมีชาดแดงจุดเล็กๆ เสมือนเทพเซียนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจุติลงมา
สงบนิ่งโสภา ไร้รอยโลกีย์
ทั้งสองคนเป็นนักพรตหญิงที่งดงาม ด้วยรูปลักษณ์ที่แตกต่างช่วยเสริมซึ่งกันและกัน
“ศิษย์น้องลั่ว องค์เทพมอบหมายให้ข้าส่งข่าวแก่เจ้า ให้เจ้าเลื่อนขั้นเป็นอันดับหนึ่งภายในสามปีได้หรือไม่?”
เทพธิดาปิงอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและใบหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าภายในสามปีเจ้าไม่สามารถเลื่อนขึ้นถึงอันดับหนึ่ง เจ้าจะต้องตายอย่างทรมาน ตายด้วยทัณฑ์สวรรค์ เทียบไม่ได้กับการตายด้วยน้ำมือขององค์เทพ”
หากไม่รู้เขาไม่รู้ข้อคุณธรรมที่ดีงามของนักพรตแห่งนิกายสวรรค์ ลั่วอวี้เหิงคงคิดว่าเทพธิดาปิงอี๋กำลังยั่วยุตน
ลั่วอวี้เหิงพูดเสียงราบเรียบ “อย่างช้าก็แค่สามเดือน อย่างมากก็นานเป็นปี แล้วข้าจะกลับไปเยี่ยมนิกายสวรรค์สักรอบ”
เทพธิดาปิงอี๋ยังคงไม่แสดงออกเหมือนเคย พูดว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะหนีเคราะห์กรรม?”
ลั่วอวี้เหิงไม่ปกปิด “ข้าหาคู่บำเพ็ญเจอแล้ว ในไม่ช้า ข้าจะบำเพ็ญคู่กับเขา บำเพ็ญคู่ตลอดเจ็ดวัน ภายในครึ่งปี ก็จะหลีกหนีเคราะห์กรรมได้”
“เยี่ยมมาก!”
เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าคงรู้ว่าลูกศิษย์เราไปที่ใด”
“ข้าไม่รู้ ศิษย์เจ้าคนนั้นมีความยุติธรรมแกร่งกล้า ไม่ยอมขยี้เม็ดทรายใส่ตาตน คิดจะให้นางลืมความรู้สึก ยากเสียยิ่งกว่ายาก”
ลั่วอวี้เหิงหยอกล้อเล็กน้อย “ผู้คนบนโลกต่างรู้จักจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน ไม่ใช่เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ แทนที่จะคาดหวังให้นางรับช่วงต่อในนิกายสวรรค์ ไปคาดหวังเทพบุตรนิกายสวรรค์ไม่ดีกว่าหรือ”
เทพธิดาปิงอี๋ส่ายหน้าช้าๆ “เมี่ยวเจินแยกทางออกไปก็จริง แต่เทพบุตรนิกายสวรรค์หลงระเริงไปแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เทพธิดาปิงอี๋ไม่ตอบคำถาม
ครั้นเมื่อเทพธิดาปิงอี๋เดินทางไปที่เมืองหลวงเพื่อตามหาจอมทรยศหลี่เมี่ยวเจิน นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงก็ไปเยี่ยมหญิงสาวที่หลี่หลิงซู่จอมทรยศหลับนอนด้วยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
…
เหลยโจวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกติดกับแดนประจิม เป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันตกสุดของต้าฟ่ง
เหลยโจวครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ ใหญ่พอๆ กับยงโจวสองเท่า แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่มีดินเค็มมากมายและอยู่ในเขตกึ่งแห้งแล้ง ดินจึงไม่อุดมสมบูรณ์
ดังนั้นจำนวนประชากรจึงไม่หนาแน่นเท่ากับเมืองอื่นๆ และเนื่องจากเหลยโจวเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนทางการค้าระหว่างต้าฟ่งและแดนประจิม ยิ่งไปกว่านั้นมันยังทำให้พื้นที่ที่ร่ำรวยอยู่แล้วมั่งคั่งยิ่งขึ้น หากเป็นพื้นที่ที่ไม่มีเงินก็ได้แต่นั่งกินวอวอโถวในมือ
ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนจึงกว้างมาก
สำนักงานใหญ่สมาคมการค้าเหลยโจว อยู่ในหัวเมืองเหลยโจว มีประชากรแปดสิบหมื่นคน ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
สวี่ชีอันและมู่หนานจือนั่งบนเบาะรองนั่ง ฝ่ายหลังสวมผ้าคลุมกันลมขนสุนัขจิ้งจอกอยู่ถัดจากสวี่ชีอัน ไม่ได้สนใจมองไปยังเมืองเหลยโจวด้านล่าง
นางสวมจีวรแบบกันน้ำกันไฟ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธวิเศษในคลังสำนักโหราจารย์ที่สวี่ชีอันแอบหยิบมาตอนออกจากเมืองหลวง
หลังจากเดินทางร่วมสิบวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเหลยโจว ในตอนแรก มู่หนานจือจะตื่นเต้นเพราะนางมองเห็นเมืองแล้วร้อง “ว้าวววว” แต่ต่อมากลับรู้สึกว่ามาครั้งแรกก็คุ้นชินเหมือนมาครั้งที่สอง เจ็ดครั้งก็เหมือนคู่ผัวเมียไร้ชีวิตชีวา
เหยี่ยวหางแดงสี่ตัวบินผ่านเหลยโจว เลยไปยังภูเขาลูกหนึ่งนอกเมือง ราวกับว่าพวกมันจะรู้ทาง โดยไม่จำเป็นต้องควบคุม
ยอดเขายอดนั้นเป็นสถานที่เลี้ยงเหยี่ยวหางแดงของสมาคมการค้าเหลยโจว
หลี่หลิงซู่รีบร่อนลงมาหาผู้ดูแล ‘ฟาร์มเพาะพันธุ์’ ของสมาคมการค้าแล้วพูดขึ้น
“ข้านามว่าหลี่หลิงซู่ เป็นเพื่อนรักของเหวินเหรินเชี่ยนโหรว รบกวนพวกเจ้าบอกนางทีว่าข้าจะรอนางที่นี่”
ผู้รับผิดชอบได้รับการยืนยันจากคนขี่จากสาขาย่อยที่เดินทางมาด้วย แล้วส่งคนไปแจ้งคุณหนูที่เมืองเหลยโจวทันที
“เจ้าเพิ่งพูดว่า คุณหนูผู้นั้นชื่ออะไรนะ”
สวี่ชีอันเรียกหลี่หลิงซู่เพื่อถาม
“เหวินเหรินเชี่ยนโหรว”
เมื่อเห็นท่าทางพิลึกกึกกือของเขา เทพบุตรนิกายสวรรค์จึงถามว่า “มีปัญหาอะไร?”
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น แต่ไม่ได้ตอบกลับหลี่หลิงซู่ แล้วจมอยู่ในห้วงความคิด
เขามักรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูมาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไร เขาก็จำไม่ได้
ข้าอาจเคยได้ยินชื่อนี้ แต่ข้าไม่รู้จักคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมการค้าเหลยโจวผู้นี้จริงๆ แต่ แต่ข้ามักรู้สึกว่าข้ารู้จักนางมาตลอด…
เขาพึมพำกับตนเองในใจ
………………………………………………………
………………………………………………………