ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 517 ไม่ใช่ศัตรู ไม่รวมกลุ่ม
บทที่ 517 ไม่ใช่ศัตรู ไม่รวมกลุ่ม
ปากกระบอกปืนสีดำเมี่ยมจ่อมาหาตน กระบอกปืนยาวและลำกล้องหนาๆ พร้อมกับท่าทีไร้อารมณ์ไม่แยแสของคนที่ถือปืน…ทั้งหมดนี้ทำให้ภิกษุหนุ่มน้อยรู้สึกประหม่าและหวาดกลัว
เขาสามารถบุกเดี่ยวจัดการกับชาวยุทธไม่กี่คนได้ ถึงจะอยู่บนเส้นทางของจอมยุทธ์ภิกษุ แต่ก็ยังห่างชั้นจากขั้นหลอมวิญญาณอีกไกล จึงไม่มีทางหลบหนีการโจมตีจากปืนไฟได้เลย
ภิกษุหนุ่มน้อยกลอกตาไปมา เขาระงับโทสะลงเงียบๆ แล้วเก็บซ่อนความดื้อรั้นเอาไว้ก่อนจะแย้มยิ้มเต็มหน้า
“ประสกไยต้องวู่วาม สถานที่ของสำนักพุทธต้องละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หากพวกท่านอยากจะเข้าไปจริงๆ เช่นนั้นอะ…อาตมาก็จะไปรายงานให้”
หลี่หลิงซู่เอ่ยด้วยท่าทีกลับตาลปัตร “มิกล้าๆ ข้าจะกล้าไปรบกวนพระโพธิสัตว์ได้อย่างไรกัน พวกเราเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดาเท่านั้น”
ขณะที่กล่าว เขาก็เปิดช่องใส่ดินปืนไปด้วย
ภิกษุหนุ่มน้อยถอยร่นไปอย่างหวาดกลัวพลางกลืนน้ำลาย
หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยความแปลกใจ “เอ๋ ที่แท้พระโพธิสัตว์ก็กลัวปืนไฟด้วยหรือ”
ข้างๆ กัน เหล่าชาวยุทธ์พากันหัวเราะเสียงดังลั่น ท่าทางยินดีปรีดายิ่ง
คนชาวภาคกลางอย่างเราสิดี เมื่อเผชิญหน้ากับสำนักพุทธแดนประจิมที่หยิ่งยโสก็สามารถเข้ามาสู้ได้ทันใด ทั้งยังช่วยกู้หน้าให้พวกเขาอย่างไร้ความลังเล ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนด้วย
ความชิงชังในแววตาของภิกษุหนุ่มน้อยฉายวาบแล้วโบกมือติดๆ กัน “มิใช่ว่าอาตมาขัดขวาง เพียงแต่เจ้าอาวาสท่านบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าห้ามไม่ให้คนนอกเข้าวัด เจดีย์พุทธะมีบุญกุศลเต็มเปี่ยม ปีนี้จึงไม่เปิดประตูแล้ว”
ผ่านไปพักหนึ่งก็เอ่ยอย่างมีเมตตาว่า “หากพวกท่านอยากจะเข้าไปให้ได้ เช่นนั้นอาตมาก็ต้องไปรายงาน โปรดรอสักครู่”
พูดพลางก็ถอยหลังไปอย่างลองเชิง เมื่อเห็นว่าชายที่ถือปืนอยู่ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบรุนแรง เขาก็รีบหันกายหวนกลับเข้าไปในวัดทันที
“ผู้อาวุโส ยังต้องหยั่งเชิงต่ออีกหรือไม่”
หลี่หลิงซู่เหลือบมองไปยังสวีเชียน “ภิกษุน้อยผู้นั้นจิตใจคับแคบ จะต้องไปเรียกให้คนมาช่วยแน่ หากหยั่งเชิงเพียงพอแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “ไม่พอ”
ข่าวที่ได้ในตอนนี้ก็คือวัดซานฮัวเปิดประตูไม่รับแขกและไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป
แต่ในวัดนั้นมียอดฝีมือกี่คน พลังต่อสู้เป็นอย่างไร เรื่องพวกนี้สวี่ชีอันยังไม่รู้แน่ชัด
‘พลังฝึกตนของข้าถูกผนึก ส่วนเจ้าก็ดูๆ ไปไม่ได้ดีเท่าไรนัก แม้แต่ขั้นสี่สูงสุดก็ยังเอาชนะไม่ได้’…หลี่หลิงซู่แยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ในใจ
จากนั้นเขาก็เห็นสวีเชียนยื่นถุงหนังมาให้
“รับไป แล้วซ่อนตัวในสถานที่เปิดโล่ง” สวี่ชีอันเอ่ย
“…ได้”
หลี่หลิงซู่รับถุงหอมมาแล้วเข้าไปในพุ่มไม้นอกขั้นบันไดเงียบๆ
จากนั้นสวี่ชีอันก็หันไปมองชาวยุทธ์ทั้งหลาย “พวกท่านเขยิบไปไกลๆ หน่อย”
เขารู้ว่าความบันเทิงที่ชาวยุทธ์ชื่นชอบที่สุดก็คือเรื่องซุบซิบ การไล่พวกเขาไปอย่างไรก็ไม่มีทางได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
“พี่ชาย ระวังหน่อยนะ”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกดูหมิ่นเมื่อครู่เอ่ยเตือน “ต้าฟ่งกำจัดพุทธ ที่ทำการในเหลยโจวและคนท้องถิ่นไม่ไยดีต่อสำนักพุทธ ดังนั้นวัดซานฮัวและเหล่าภิกษุจึงรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเข้าข้างคนกันเองโดยไม่คำนึงถึงเหตุและผล”
ภิกษุของวัดมังกรเขียวที่เมืองหลวงไม่เห็นจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเช่นนี้เลย…อืม ที่เมืองหลวง ต่อให้สามัคคีกันก็ไร้ประโยชน์…สวี่ชีอันพยักหน้า
“ขอบคุณ”
ชาวยุทธ์สองสามคนนั้นรีบถอยห่างไป แต่ก็หยุดลงไม่ไกลนัก
ไม่นานเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้นมา ภิกษุหนุ่มน้อยที่ถือไม้กวาดกลับมาอีกครั้งพร้อมกับภิกษุกลุ่มหนึ่ง บ้างก็สวมจีวร บ้างก็สวมชุดคลุม บ้างก็ถือประคำ บ้างก็ถือไม้พลอง
ภิกษุหนุ่มน้อยชี้ไปที่สวี่ชีอันแล้วตะโกนลั่น “อาจารย์อาฮุ่ยอัน คนที่ใช้ปืนจ่อมาที่ศิษย์คือสหายของคนผู้นี้”
เขากวาดตามองไปทั่วแล้วเอ่ยอย่างชิงชัง “เจ้านั่นคงจะหนีไปแล้วสิท่า”
ชายวัยกลางคนที่สวมจีวรที่เหลืองแดงคนหนึ่งก้าวออกมาแล้วประนมมือ
“อาตมานามฮุ่ยอัน ภิกษุโฆษกของวัด ประสก เหตุใดจึงใช้กำลังกับสถานที่อันบริสุทธิ์ของสำนักพุทธของพวกเราด้วย”
สวี่ชีอันประนมมือแล้วตอบกลับ
“จิตใจของข้าพเจ้าเคารพต่อพุทธ เพียงคิดอยากเข้าไปจุดธูปไหว้พระข้างใน ใครจะรู้กลับถูกภิกษุน้อยเฝ้าประตูวัดด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทั้งยังทำร้ายสหายของข้าพเจ้าอีกด้วย”
พูดพลางก็ชี้ไปยังชาวยุทธ์สองสามคนที่อยู่ไกลๆ แล้วเอ่ยต่อ
“ด้วยเหตุนั้นจึงต้องใช้ปืนไฟเพื่อข่มขู่แล้วบีบให้เขายั้งมือเสีย”
“เหลวไหล”
ภิกษุหนุ่มน้อยโมโห “พวกเขาสองคนสร้างเรื่อง เมื่อครู่ยังข่มขู่ศิษย์อยู่เลย บอกว่าจะฆ่าศิษย์ด้วย อาจารย์อา หากมิใช่เพราะศิษย์ประนีประนอมก็คงตายเพราะปืนไฟไปแล้วขอรับ”
ภิกษุฮุ่ยอันพยักหน้าช้าๆ แล้วมองไปยังสวี่ชีอันพร้อมกับเอ่ยอธิบาย
“เจ้าอาวาสสั่งว่าให้ปิดวัดไม่รับผู้แสวงบุญอีกต่อไป คงฝานเพียงปฏิบัติตามคำสั่ง มีเรื่องใดผิดหรือ”
สวี่ชีอันงึมงำ ‘อ้อ’ ออกมา “ลงมือทำร้ายผู้คน กล่าววาจาดูหมิ่นผู้คน มิผิดหรือ”
ภิกษุฮุ่ยอันราวกับไม่ได้ยิน เขาเอ่ยต่อไป “ประสกใช้ปืนไฟมาข่มขู่ลูกศิษย์ในวัด อาตมาเป็นภิกษุโฆษกของวัด จึงมิอาจนิ่งดูดายอยู่ข้างๆ ได้ คงเจี้ยน เจ้าไปแลกหมัดกับประสกผู้นี้สักตั้งสิ”
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่เคยถามความเห็นของสวี่ชีอันเลย ทั้งยังไม่สนใจเขาด้วย เพียงดำเนินการตามด้วยตัวเอง
ภิกษุสวมชุดคลุมสีเขียวก้าวออกมา เขามีร่างกายแข็งแรงกำยัง กล้ามเนื้อดันจนชุดคลุมภิกษุหลวมๆ คับแน่น
เขายืนอยู่บนบันไดแล้วมองลงมายังสวี่ชีอัน สองมือประนมขึ้น “อมิตตาพุทธ”
ครู่ต่อมาเขาก็ก้าวเท้าเหยียบลงบนบันไดแล้วกระโจนตัวสูงขึ้นราวกับพยัคฆ์ร้ายพุ่งไปสังหารเหยื่อ
จอมยุทธ์ภิกษุ!
ตอนนี้เอง จอมยุทธ์ภิกษุผู้มีชื่อธรรมว่า ‘คงเจี้ยน’ ก็พลันนิ่งชะงัก เขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่มาจากทั่วทุกทิศทาง
เห็นๆ อยู่ว่ารอบด้ายไม่มีศัตรูแอบแฝง แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงอันตรายที่พุ่งมาจากทั้งสี่ทิศเสียอย่างนั้น
สองเท้าหนักอึ้ง เขาพลันร่วงลงมา พร้อมกับโคจรพลังปราณเพื่อพยายามสลัดอันตรายที่มองไม่เห็นเหล่านั้นออกไป
ฮูว…พลังปราณกลายเป็นสายลมแรงพัดทั้งใบไม้และเศษฝุ่นขึ้นมาจากบันได
ภิกษุคงเจี้ยนเห็นเพียงข้างหน้าดำมืด สองขาไร้แรงกำลังแล้วล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ก่อนจะเขายกมืออันสั่นเทาขึ้นแล้วชี้ไปที่สวี่ชีอัน
“จะ…เจ้า…”
สวี่ชีอันไม่สนใจเขา เขามองไปที่ภิกษุฮุ่ยอันแล้วกล่าว “เป็นอย่างไร”
ชาวยุทธ์สองสามคนที่อยู่ไกลอ้าปากตาค้าง พวกเขาไม่เห็นเลยแม้แต่นิดว่าสวี่ชีอันลงมืออย่างไร
สีหน้าของภิกษุฮุ่ยอันนิ่งสงบ เพียงก้าวออกมาหนึ่งแล้วประนมมือ “อมิตตาพุทธ ผู้มีจิตเมตตาย่อมไม่ทำร้ายผู้ใด”
คำพูดนี้ผสมผสานกับพลังของสำนักพุทธทรงศีล ทำให้ไปชะล้างความเหี้ยมโหดของสวี่ชีอัน ทำให้ความคิดของเขาอ่อนโยนและยากจะเกิดโทสะ
เมื่อเห็นดังนั้น ภิกษุฮุ่ยอันก็เข้าไปใกล้อีกก้าว ปากของเขาพึมพำบทสวด เสียงนั้นเริ่มเปลี่ยนจากเลือนรางเป็นแจ่มชัด จากแจ่มชัดก็เข้ามาดังก้องอยู่ในหู มันสะท้อนอยู่ข้างหูของสวี่ชีอันไม่หยุด ทั้งยังสะท้อนอยู่ในใจของเขาด้วย
โดยไม่รู้ตัว จิตใจของเขาก็ค่อยๆ เกิดความคิดอยากจะเข้าสู่ความว่างเปล่า เกิดความคิดว่าพุทธคือแก่นแท้ของสรรพสิ่งทั้งมวล และสำนักพุทธคือบ้านหลังสุดท้ายของชีวิต
ความรู้สึกประเภทนี้ ยามที่เขาเข้าพิธีประลองกับสำนักพุทธก็เคยพบพานมาก่อนแล้ว
พยายามจะล้างสมอง?
สวี่ชีอันขัดขืนไปพลางแสร้งว่าตนได้รับผลกระทบไปด้วย เขาเปลี่ยนมาเลื่อมใสพุทธ จากนั้นเขาก็ก้าวเท้าขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ พลางมองเหล่าภิกษุด้วยสายตาอันอบอุ่น
“ฮึ!”
ภิกษุหนุ่มน้อยเผยรอยยิ้มพึงใจ
ปุถุชนคนใดเมื่อฟังบทสวดท่อนนี้จบ จิตใจล้วนหันมานับถือสำนักพุทธและร่ำไห้อยากจะเข้าสู่ความว่างเปล่า คนประเภทนี้ สำนักพุทธจะไม่รีบรับเข้ามาทันที แต่จะมองดูความจริงใจของอีกฝ่ายด้วย
ความจริงใจอาจหมายถึงการคุกเข่านอกวัดสามวันสามคืน หรือหมายถึงการบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดให้กับวัดซานฮัว…ไม่มีมาตรฐานกำหนด เพียงดูแค่ว่าอีกว่าจริงใจหรือไม่
แน่นอนว่า หากคิดจะไม่จริงใจก็เป็นเรื่องยาก
ภิกษุน้อยแทบรอให้อีกฝ่ายคุกเข่าอยู่นอกวัดไม่ไหว เขาอยากเห็นอีกฝ่ายร้องไห้คร่ำครวญให้วัดซานฮัวช่วยเหลือ
คิดไปคิดมา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าท้องน้อยร้อนระอุขึ้น
“นี่ นี่ นี่…”
ภิกษุน้อยใบหน้าหวาดผวา
ภิกษุรูปอื่นก็ตกอยู่ในความโกลาหลเช่นเดียวกัน เพราะพวกเขาก็เกิดอาการเดียวกันกับภิกษุหนุ่มน้อย ใบหน้าแดงก่ำ ปากแห้งผาก ทั้งหัวมีแต่เรื่องอย่างว่า
บั้นท้ายของศิษย์พี่ทั้งหลายช่างน่าดึงดูดนัก…
สตรี ข้าต้องการสตรี…
ทรมานนัก…
ภิกษุทั้งหลายมองหน้ากัน บรรยากาศแปลกๆ ก่อตัวขึ้นรอบกายของพวกเขา
เมื่อพวกเขาเห็นสายตาของอีกฝ่ายมองมายังบั้นท้ายของตนก็ถอยร่นด้วยความหวาดกลัว ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความระแวดระวังและความไม่เชื่อ
ทุกคนล้วนจดจ้องไปที่บั้นท้าย แต่ไม่ว่าใครล้วนไม่อยากให้บั้นท้ายตัวเองถูกจับจ้อง
ภิกษุฮุ่ยอันหน้าแดงก่ำและริมฝีปากแห้งผาก เมื่อเห็นภิกษุรอบๆ ตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย เขาก็รีบประนมมือทันทีแล้วพยายามใช้สำนักพุทธทรงศีลช่วยกำจัดความคิดฟุ้งซ่านของเพื่อนร่วมสำนัก
แต่ตอนนี้เอง เงาดำด้านหลังของเขาก็มีร่างคนโผล่ออกมา จากนั้นก็ใช้สันมือฟาดเข้าไปที่คอของเขา
ขณะเดียวกัน เขาก็ใช้ฉิงกู่ฉีดพ่นปราณเสน่หาออกมามากขึ้น
แววตาของเหล่าภิกษุยิ่งร้อนแรงและบ้าคลั่งมากกว่าเดิม ภิกษุส่วนหนึ่งถึงขั้นมองไปยังบั้นท้ายของสวี่ชีอัน
…สวี่ชีอันใช้การกระโดดสู่เงาหลบหนีออกมาจากกลุ่มคน
เหล่าภิกษุที่ถูกไฟปรารถนาครอบงำรีบหันไปมองยังฮุ่ยอันผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่สลบอยู่
การเลือกเป้าหมายที่ไม่สามารถต่อต้านได้เพื่อทำการส่งต่อเชื้อสายแบบดั้งเดิมนั้น ถือเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตทุกตน
อันตราย ฮุ่ยอัน อันตราย!
“ลักษณ์งามกระดูกขาว ล้วนแต่เป็นความว่างเปล่า”
ทันใดนั้น เสียงสวดมนตร์แผ่วเบาก็ดังมาจากด้านหลังของสวี่ชีอัน คนธรรมดาที่ได้ยินเสียงนี้ล้วนจะเกิดความคิดที่ว่า ‘สตรีมีผลเพียงความเร็วในการตวัดดาบของข้าเท่านั้น’ ขึ้นมาและพลันรู้แจ้งอย่างสุดซึ้ง ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ภิกษุที่ตกอยู่ในความปรารถนาและไม่อาจควบคุมตัวเองได้เริ่มมีสติขึ้นมาและหลุดพ้นจากอิทธิพลของฮอร์โมนกันแล้ว
พวกเขาประนมมือด้วยความละอายและสำนึกในความผิดพลาดของตน
สวี่ชีอันหันหลังกลับทันใด ห่างจากตัวเขาไปหนึ่งจั้งมีภิกษุหนุ่มที่ใบหน้าราวกับแกะสลักและมีเอกลักษณ์ของคนจากดินแดนประจิมทิศรูปหนึ่งยืนนิ่งอยู่
แววตาล้ำลึก จมูกตรงเป็นสัน หน้าตาหล่อเหลา
สวี่ชีอันใจตกไปที่ตาตุ่มทันใด เขาลอบแผ่ไอพิษไร้สีไร้กลิ่นและปราณเสน่หาออกมา
ภิกษุหนุ่มประนมมือแล้วยิ้มอ่อน “ประสก สี่ธาตุของอาตมานั้นว่างเปล่า”
ขั้นสี่เป็นอย่างต่ำ…สวี่ชีอันประเมิน
ภิกษุหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรได้อุทิศตนต่อสู้กับผู้ที่เป็นศัตรูกับพุทธ ประสก ท่านใช้กำลังในสถานที่อันบริสุทธิ์ของสำนักพุทธเช่นนี้ ก็ตามอาตมาไปพบกับผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรหน่อยเถิด”
พอไปถึงที่นั่น ข้าคงถูก ‘กำจัดมารปีศาจ’ หรือไม่ก็ถูกพวกเจ้าล้างสมองสินะ…สวี่ชีอันไม่ได้ต่อต้านมือที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ เขาเอ่ยยิ้มๆ
“ไต้ซือมีสมญานามว่าอันใดหรือ”
“อาตมานามจิ้งซิน”
รุ่นเดียวกับจิ้งซือและจิ้งเฉิน…สวี่ชีอันเหลือบมองมือที่แตะอยู่บนบ่าของตนแล้วเอ่ยถาม “หากข้าไม่ยินดีติดตามไปพบผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรเล่า”
ภิกษุจิ้งซินส่ายหน้า “เรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับประสกแล้ว”
เผด็จการเสียจริง!
สวี่ชีอันรักษารอยยิ้มแผ่วเบาแล้วมองไปยังทิศทางหนึ่ง “ข้าว่า เรื่องนี้ก็มิได้ขึ้นอยู่กับไต้ซือเหมือนกัน”
จิ้งซินเหลือบมองไปทางเดียวกับสายตาเขา พักใหญ่สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้น
บนเนินเขาไกลๆ ปืนใหญ่สิบสองกระบอกเรียงกันเป็นหนึ่งแถวแล้วเล็งมาทางเขาของวัดซานฮัว
ชายหนุ่มที่สวมชุดและมีใบหน้าธรรมดา ในมือถือปืนไฟมองจิ้งซินแล้วหัวเราะคิก
“หึๆ…”
สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ “มิทราบว่าสำนักพุทธเป็นเหมือนลัทธิขงจื๊อหรือไม่ ที่มีความเชื่อว่ายอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์?”
จิ้งซินเอ่ยช้าๆ “ประสกคือคนของราชสำนักหรือ”
“ถ้าบอกว่าใช่ก็ใช่” สวี่ชีอันยิ้มมุมปาก
จิ้งซินถอนมือที่กดบ่าของเขากลับมาแล้วไม่พูดมากความอีก ก่อนจะเดินผ่านไปเงียบๆ
สวี่ชีอันโบกมือให้หลี่หลิงซู่ที่อยู่ไกลๆ แล้วเดินลงบันไดเขาไป หลี่หลิงซู่เปิดถุงหอมออกแล้วเก็บปืนใหญ่
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น”
“มะ ไม่เข้าใจเลยสักนิด”
“พี่ชายผู้นั้นเป็นคนของราชสำนักหรือ”
“ใช่แน่ๆ มิเช่นนั้นจะเอาปืนใหญ่สิบสองกระบอกมาจากไหนเล่า”
ชาวยุทธ์ที่อยู่ไกลๆ อ้าปากค้าง นอกจากเรื่องการนำปืนใหญ่มาข่มขู่ภิกษุที่พวกเขาดูรู้เรื่องแล้ว เหตุการณ์ตรงหน้าล้วนเป็นดั่งเมฆหมอกเลือนรางทั้งสิ้น
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันและหลี่หลิงซู่มารวมตัวกันยังซุ้มประตูที่เชิงเขา
“เจ้าเป็นคนของราชสำนักหรือ?”
หลี่หลิงซู่ส่งถุงหนังให้สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันรับมาแล้วเก็บใส่อกเสื้อก่อนถามกลับ “เพราะอาวุธเวทมนตร์พวกนี้หรือ”
หลี่หลิงซู่พยักหน้า
ในถุงนี้นอกจากปืนใหญ่แล้วยังมีเครื่องยิงหิน รถศึก และปืนไฟกับหน้าไม้ ล้วนแต่อาวุธเวทมนตร์สังหารแบบหนักทั้งสิ้น
มีเพียงกองกำลังชั้นยอดของต้าฟ่งเท่านั้นที่จะมีอาวุธเวทมนตร์ประเภทนี้ได้
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาร้อนแรงของหลี่หลิงซู่ สวี่ชีอันก็ทอดมองไปไกลๆ แล้วเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย
“เป็นของที่ได้จากเดินหมากชนะท่านโหราจารย์ แค่ของเล่นเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าเจ้าชอบ ข้ามอบให้เลยดีหรือไม่”
‘ดะ เดินหมากชนะท่านโหราจารย์’…นัยน์ตาของหลี่หลิงซู่เบิกโพลง สีหน้ายากจะเชื่อ
“มะ ไม่ต้อง!”
เขาโบกมือติดกัน ในใจลอบประเมินฐานะและระดับการฝึกตนของสวีเชียนอีกครั้ง มีชีวิตมาหลายร้อยปีก็ต้องขั้นสามคือเป็นอย่างต่ำ สามารถเล่นหมากรุกกับท่านโหราจารย์ได้ ทั้งยังเอาชนะจนได้อาวุธเวทมนตร์มากมายมาจากท่านโหราจารย์ขนาดนั้นด้วย
‘กะ เกรงว่าคงไม่ใช่สิ่งที่ขั้นสามจะทำได้กระมัง…’
‘ต่อไปเมื่อกลับสำนักแล้ว ก็ต้องขอคำชี้แนะจากเทพสวรรค์ให้ดี บางทีเทพสวรรค์อาจรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของสวีเชียนผู้นี้ก็ได้ บุคคลชั้นยอดของจิ่วโจวมีไม่มาก แม้ว่าจะไม่รู้จักมักจี่กัน แต่ก็รับรู้การมีอยู่ของอีกฝ่าย’
เทพบุตรคิดอยู่เงียบๆ
เฮ้อ! นับว่ารู้ความ หากเจ้าทำหน้าหนารับเอาไว้จริงๆ ข้าก็คงละอายใจที่จะต้องกลับคำแล้ว! สวี่ชีอันแอบตัดสินใจว่าต่อไปเมื่ออยากจะสร้างภาพก็ต้องรู้จักระมัดระวังด้วย
“ผู้อาวุโส เมื่อครู่พลังฝึกตนของภิกษุผู้นั้นไม่ด้อยเลย ข้ามองไม่ชัดว่าเขามาโผล่อยู่ด้านหลังท่านได้อย่างไร ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น” หลี่หลิงซู่เอ่ย
ข้ามองไม่เห็นเลยสักนิด…สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ “ฝีมือต่ำต้อย”
ในใจกลับคิดว่าหากขั้นสามไม่สามารถเข้าสู่เจดีย์พุทธะได้ เช่นนั้นสำนักพุทธก็อาจจะส่งภิกษุจิ้งซินผู้นั้นเข้าไปในเจดีย์
แต่ไม่รู้ว่านอกจากจิ้งซินแล้ว ยังมีขั้นสี่คนอื่นๆ อีกหรือไม่
จิ้งซินคือฉานซือ ไม่ใช่จอมยุทธ์ภิกษุ เรื่องนี้ไม่ดีแน่ หากเป็นจอมยุทธ์ภิกษุ สวี่ชีอันก็มีวิธีรับมือมากมาย แต่ฉานซือสามารถควบคุมฉิงกู่และตู๋กู่ รวมถึงซินกู่ได้
อีกอย่าง วัดซานฮัวก็ปิดประตูไม่รับแขน มีระดับเพชรขั้นสามประจำอยู่ การบุกเข้าไปแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เช่นนั้นควรจะเข้าวัดอย่างไรดีล่ะ
จริงสิ สำนักพ่อมดก็อยากจะเข้าไปในเจดีย์พุทธะนี่นา ทั้งสองฝ่ายจะต้องเกิดความขัดแย้งกันแน่ สามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่นะ?
ขณะกำลังคิด จู่ๆ ก็ได้ยินหลี่หลิงซู่สบถด้วยสำเนียงบ้านไหนก็ไม่รู้ออกมา สีหน้าของเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์เปลี่ยนไปยกใหญ่
ข้างหน้าของพวกเขามีกลุ่มคนและม้าค่อยๆ เดินเข้ามา ชายฉกรรจ์เก้าคนแบกเกี้ยวหลังใหญ่ไร้หลังคาหลังหนึ่งมาด้วย ม่านห้อยลงมาและเผยให้เห็นหญิงสาวงดงามที่บุคลิกแตกต่างแต่ใบหน้าคล้ายคลึงกันสองคน
เจ้าแห่งตำหนักมังกรตงไห่ทั้งสองคนนั้น
ตงฟางหว่านหรง ตงฟางหว่านชิง
หลี่หลิงซู่ร้องคร่ำควญด้วยความเจ็บปวด ดวงตาส่องประกายระยับ มุมปากค่อยๆ บิดเบี้ยว เขาก้มหน้าดึงบังเหียนม้าแล้วเอ่ยเสียเบา
“ผู้อาวุโส รีบหนีเร็ว”
สวี่ชีอันตอบรับ ‘อืม’
ทั้งคู่ชักม้าไปข้างทางแล้วก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนเดินไปข้างหน้า
นิ่งไว้ๆ ตอนนี้ข้าเป็นแค่คนธรรมดา ดูจากความยโสของสองพี่น้องนี่แล้ว คงไม่มีทางสังเกตคนผ่านทางธรรมดาๆ แน่…หลี่หลิงซู่พยายามควบคุมจังหวะหัวใจและการหายใจของตัวเองอย่างเต็มที่ แสร้งทำเป็นว่าตนเป็นแค่คนผ่านทางธรรมดาเท่านั้น
‘อารมณ์ที่ประหม่ามากเกินไปและจังหวะหัวใจที่เต้นรัวจะทำให้พี่ชิงที่เป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ระดับสูงสุดได้ยินเข้า’
ทั้งสองฝ่ายกำลังจะบรรจบกัน ขณะที่กำลังเดินสวนไป จู่ๆ หลี่หลิงซู่ก็เห็นสวีเชียนที่อยู่ข้างๆ ยกเท้าขึ้นแล้วถีบตนออกไปอย่างแรง
“!!!”
หลี่หลิงซู่เซแล้วกระเด็นเข้าไปในขบวนของตำหนักมังกรตงไห่
………………………………………………………