ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 518 ในที่สุดก็ได้พบกับฆ้องเงินสวี่ในตำนานแล้ว
บทที่ 518 ในที่สุดก็ได้พบกับฆ้องเงินสวี่ในตำนานแล้ว
“บัดซบ!”
ศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่เดือดดาลขึ้นมาทันที จับคอไว้แน่น และกำลังจะลงมือทุบตี
“นายท่านโปรดไว้ชีวิตด้วย โปรดไว้ชีวิตด้วย”
หลี่หลิงซู่ยกมือขึ้นเพื่อปัดป้อง ร้องขอชีวิตด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า พร้อมกับด่าสวีเชียนในใจ ตาเฒ่าไม่มีจริยธรรมในการต่อสู้
การร้องขอชีวิตไม่เป็นผล ศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่ชกเขาคว่ำลงกับพื้น หลี่หลิงซู่รีบขดตัวทันที ปกป้องศีรษะไว้ ท่าทางยอมรับการทุบตีอย่างเงียบๆ
ศิษย์อีกคนเข้าร่วมกลุ่มทุบตี สั่งสอนคนที่กล้าล่วงเกินคนในกลุ่ม
การเคลื่อนไหวทางนี้ ทำให้ตงฟางหว่านหรงและตงฟางหว่านชิงหันมามองแวบหนึ่ง แล้วก็หันหน้ากลับ ไม่ได้ตะโกนสั่งให้บรรดาศิษย์หยุดการกระทำ แต่ก็ไม่ได้เติมเชื้อไฟให้เหตุการณ์รุนแรงกว่าเดิม
ศิษย์สองคนซัดไปทีหนึ่ง แล้วก็วิ่งตามกลุ่มไปพร้อมกับด่าทอ ทิ้งหลี่หลิงซู่ที่นอนขดตัวกุมศีรษะ เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น ไว้เพียงคนเดียว และสวี่ชีอันจูงม้ากินแตงอยู่ข้างๆ
“อันตรายมาก อันตรายมาก…”
หลี่หลิงซู่นวดเอวพร้อมลุกขึ้น ปัดฝุ่นบนตัวออก มุมปากกระตุกและพูดว่า
“ผู้อาวุโส เหตุใดเมื่อครู่ท่านถึงต้องทำร้ายข้า”
สวี่ชีอันสีหน้าเรียบเฉย “ทดสอบผลของการปลอมตัว ดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว”
…หลี่หลิงซู่มองเขาอย่างสงสัย ในฐานะเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ เขามีสติปัญญาที่เหนือธรรมดาสามัญ ไม่มีวันสูญเสียความสามารถในการชี้ขาดของตัวเองไป เพราะตัวของสวีเชียนอย่างแน่นอน
เขาสงสัยว่าเมื่อครู่สวีเชียนตั้งใจ แต่เขาไม่มีหลักฐาน
พูดตามเหตุผลก็ไม่น่านะ ข้าไม่ได้ทำให้เขาขุ่นเคือง…ดูเหมือนหลี่หลิงซู่จะคิดอะไรขึ้นมาได้ แสดงสีหน้ารู้ตัวทันที
เขาจะต้องรู้อย่างแน่นอนเลยว่าภรรยาของเขามักจะแอบมองข้า เหมือนเด็กสาวที่เพิ่งมีความรัก โอ้ เสน่ห์อันน่าเบื่อของข้า…
ข้าสบายใจแล้ว! สวี่ชีอันถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และคิดว่าตัวเองก็เป็นคนมีความยุติธรรมเช่นกัน เพราะเกลียดผู้ชายเลวๆ
ทั้งสองคนเดินไปครู่หนึ่ง นกกระจอกตัวหนึ่งก็บินมาเกาะที่ไหล่ของสวี่ชีอัน ร้องจิ๊บๆ อยู่ชั่วครู่ แล้วก็กระพือปีกบินไป
หลี่หลิงซู่เห็นสีหน้าของเฒ่าประหลาดสวีเชียนเคร่งขรึมเล็กน้อย
“สองพี่น้องตงฟางเข้าวัดซานฮัวไปแล้ว” เขากล่าว
ทันใดนั้น หลี่หลิงซู่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอารมณ์ของเฒ่าประหลาดคนนี้จึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
วัดซานฮัวปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ใครก็เข้าไปไม่ได้ เหตุใดตำหนักมังกรตงไห่ที่เป็นกองกำลังของสำนักพ่อมดจึงสามารถเข้าไปได้
นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงที่ให้ใครรู้ไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ แผนการพยายามสร้างความขัดแย้งอย่างลับๆ เพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ของตาอยู่ของข้าก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า…สวี่ชีอันคิดในใจ
หลี่หลิงซู่ลูบคางแล้วพูดว่า “ข้ากลับไม่เคยได้ยินว่าแม่นางหรงพูดว่าสำนักพ่อมดและสำนักพุทธสมคบกัน”
สวี่ชีอันไม่สนใจ เดินจูงม้าไปคนเดียวด้วยความวิตกกังวล
…
ภายในกุฏิ วัดซานฮัว
ตงฟางหว่านหรงและตงฟางหว่านชิงสองสาวพี่น้อง ได้เข้าไปในกุฏิตามคำชี้นำของภิกษุในวัด
ภายในกุฏิ มีเทพอารักษ์นั่งขัดสมาธิอยู่องค์หนึ่ง ท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างห่มหนังเสือ ผิวเป็นสีทองอ่อนๆ ไม่มีเครา ไม่มีคิ้ว ประหนึ่งรูปปั้นที่หล่อจากทองคำ
เขาสูงหนึ่งจั้ง ร่างกายไม่ได้สูงใหญ่ แต่กลับเต็มไปด้วยพลัง ด้านหลังศีรษะมีและวงแหวนไฟกำลังลุกโชนอยู่
เมื่อก้าวเข้าไปในกุฏิ สองพี่น้องตงฟางรู้สึกได้ถึงความร้อนผะผ่าว ราวกับเปลี่ยนจากต้นฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูร้อนที่แผดเผา
เทพอารักษ์ระดับสามมีพลังจิตที่ยิ่งใหญ่ ขอเพียงมีเขาอยู่ ก็จะไม่มีสิ่งชั่วร้ายสามารถบุกเข้ามาในกุฏิหลังนี้ได้
ทางด้านขวาของเทพอารักษ์ มีจอมยุทธ์ภิกษุรูปหนึ่งยืนอยู่ เป็นคนหนุ่มที่มีกล้ามเนื้อดันจีวรขึ้น คิ้วหนา ดวงตาดุจระฆังทองเหลือง เปล่งประกายแวววาวยามมองผู้คน ราวกับกำลังถลึงตา
“คารวะเทพอารักษ์!”
สองพี่น้องตงฟางก้มศีรษะ ด้วยความเคารพและสงบเสงี่ยม
เทพอารักษ์ปรือตาพูดช้าๆ
“คนที่มาคืออีเอ่อร์ปู้หรืออูต๋าเป๋าถ่า”
อีกฝ่ายพยายามพูดอย่างช้าๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่สำหรับสองพี่น้องตงฟางแล้ว มันยังคงเหมือนเสียงฟ้าร้อง ดังโครมโครมอยู่ในหู
นี่คือลักษณะของการฝึกสิงโตคำรามของสำนักพุทธจนถึงระดับสูง
หากคนธรรมดาได้ยิน จิตใจจะรู้สึกสั่นไหว หวาดหวั่นพรั่นพรึงในทันที
คนคดโกงและชั่วร้ายได้ยินแล้ว ก็จะตัวสั่นงันงก ราวกับถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ตงฟางหว่านหรงก้มหน้า “คือผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้”
ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริมว่า “ระหว่างทางที่ผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้เดินทางมา ได้ถูกซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์ขัดขวางไว้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน และต่างฝ่ายต่างได้รับบาดเจ็บ”
เทพอารักษ์พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า สำนักโหราจารย์ลงมืออย่างที่คิดไว้จริงๆ กลอุบายของโหรแปลกประหลาด ต้องระวังให้มาก พ่อมดเป็นร่างเดิมของโหร มีปราชญ์วิญญาณลงมือ และมีข้าคอยป้องกันอยู่ข้างนอก เหตุการณ์จึงวางใจได้”
ตงฟางหว่านหรงกล่าวว่า “สำนักพ่อมดมาที่นี่ด้วยความจริงใจยิ่ง หวังว่าสำนักพุทธก็จะรักษาสัญญา ปลดปล่อยดวงวิญญาณของท่านอาจารย์ด้วย”
“คนออกบวชไม่พูดปด สำนักพุทธไม่ใช่ต้าฟ่ง พูดจาเชื่อถือไม่ได้ พวกเรารับปราณมังกร ส่วนพวกเจ้าก็นำวิญญาณของน่าหลันไป แต่ว่าพวกเจ้าจะพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของตัวเองอย่างไร จะพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของน่าหลันอย่างไร”
เทพอารักษ์ลืมตาขึ้น ดวงตาเป็นสีทองขณะที่เขาลืมตา วงแหวนไฟที่อยู่ด้านหลังศีรษะของเขาลุกโชนขึ้นมาทันที
สองพี่น้องตงฟางตัวสั่น หน้าของพวกเขาซีดลงทันที ตงฟางหว่านหรงผู้พี่สูดลมหายใจ
“ดวงวิญญาณของอาจารย์ถูกปราบมายี่สิบปี และพลังชีวิตของเขาได้รับความเสียหายอย่างหนัก แม้คิดจะไม่รักษาคำพูด เกรงว่าคงจะไม่มีความสามารถมากพอ ส่วนผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้นั้น เขาสัญญาว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลง”
เทพอารักษ์หลับตาลงอีกครั้ง
ตงฟางหว่านหรงถอนหายใจช้าๆ รู้สึกโล่งอก พูดว่า
“ผู้อาวุโสอีเอ่อร์ปู้บอกว่า แม้ว่าขั้นสี่ขึ้นไปจะไม่สามารถเข้าไปในเจดีย์พุทธะได้ แต่ไต้ซืออย่าลืมว่า ถ้าซุนเสวียนจีแห่ง สำนักโหราจารย์และสวี่ชีอันร่วมมือกันแล้วละก็…”
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลือกที่จะพูดให้ชัดเจน “แม้ว่าสวี่ชีอันจะเป็นคนเก่งรุ่นหลัง แต่กลับแข็งแกร่งและน่ากลัวกว่า อ๋องสยบแดนเหนือ”
ความหมายของประโยคนี้คือ พวกเขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสวี่ชีอัน
แต่อีกฝ่ายเป็นเทพอารักษ์ของสำนักพุทธ นางไม่กล้าพูดให้ชัดเจนนัก อีกฝ่ายจะได้ไม่คิดว่านางสบประมาทสำนักพุทธ
เทพอารักษ์ทำสมาธิ แล้วกล่าวว่า “สวี่ชีอันนั้นใช้การไม่ได้แล้ว ไม่ต้องกังวล”
อะไรนะ! สวี่ชีอันใช้การไม่ได้แล้ว?
สองพี่น้องตงฟางทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ ใบหน้างามเปี่ยมไปด้วยความยินดี
ชื่อเสียงของสวี่ชีอัน สำหรับพวกนางเรียกได้ว่าดังสนั่น ในฐานะกองกำลังในสังกัดของสำนักพ่อมด ศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้ทำให้ผู้คนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
คนเนรคุณและใจจืดใจดำในอดีตนั้น มักจะยกย่องสวี่ชีอันต่อหน้าพวกนาง จึงทำให้พวกนางรู้สึกดีและชื่นชมฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งอยู่ไม่น้อย
แต่เนื่องจากสวี่ชีอันได้สกัดทหารกบฏแปดหมื่นนายที่ด่านอวี้หยางแต่เพียงผู้เดียว สังหารจักรพรรดิหยวนจิ่งที่เมืองหลวง และขัดขวางแผนการของพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ ทำให้พวกนางทั้งสองคนยากที่จะชื่นชมเขาอีกต่อไป รู้สึกแต่เพียงว่าสวี่ชีอันเป็นศัตรูที่ทำให้รู้สึกขนหัวลุก ความอันตรายนั้นบรรยายครั้งเดียวไม่หมด
เทพอารักษ์หลับตาลง ไม่พูดอะไรอีก
สองพี่น้องตงฟางโค้งคำนับและออกจากกุฏิไป กระแสลมเย็นปะทะใบหน้า พวกนางสดชื่น หายใจเข้าลึกสองสามครั้ง รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
…
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว เทพอารักษ์ก็พูดว่า “จิ้งหยวน เรียกจิ้งซินให้มาพบข้า”
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำที่อยู่ข้างๆ พนมมือ โค้งคำนับ และออกจากกุฏิไป
ครู่เดียว เขาก็นำจิ้งซินเข้ามาในกุฏิ ฝ่ายหลังพนมมือทำความเคารพ “อาจารย์อาตู้หนาน”
เทพอารักษ์ตู้หนานหลับตา พูดเสียงงึมงำ
“จิ้งซิน เจ้าเป็นวงศ์วานของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ เข้ากันได้กับของวิเศษของเขา หลังจากนี้แปดวัน เจ้าจะต้องขึ้นไปที่ชั้นสาม สื่อสารกับวิญญาณของเจดีย์ และควบคุมเจดีย์ในฐานะวงศ์วานของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้
“น่าหลันเทียนลู่ถูกผนึกไว้ที่ชั้นสอง พลังของเขาเต็มพื้นที่ชั้นสอง ไม่มีเจดีย์คอยช่วยเหลือ หากคิดจะบุกเข้าไป มีเพียงตัวเขาเอง ‘เปิดทางให้’ ดังนั้น เจ้าต้องร่วมมือกับคนของสำนักพ่อมดก่อน เพื่อเปิดผนึกของน่าหลันเทียนลู่
“เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักพ่อมดกลับคำ เจ้าจงนำหยดน้ำตาของสัตว์กระจก เพื่อที่ข้าจะได้เห็นสถานการณ์ภายในเจดีย์จิ้งหยวน เจ้าจงเข้าไปในเจดีย์พร้อมกับจิ้งซิน”
“ขอรับ!”
จิ้งหยวนและจิ้งซินพนมมือ ฝ่ายหลังถามว่า “ยังคงไม่มีข่าวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้?”
เทพอารักษ์ตู้หนานส่ายหน้าช้าๆ
ลำดับของเจดีย์พุทธะในกลุ่มของวิเศษ อยู่ในลำดับสูงกว่าอาวุธวิเศษหนึ่งลำดับ เจ้าของของมันคือพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่พระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักพุทธ
เมื่อสามร้อยหกสิบปีที่แล้ว พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ได้เดินทางออกไปจาริก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีข่าวคราว และก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย
ทุกหกสิบปีพระโพธิสัตว์หลิวหลีของสำนักพุทธจะออกไปตามหาครั้งหนึ่ง สามร้อยหกสิบปีที่ผ่านมา ออกไปตามหาทั้งหมดหกครั้ง แต่ก็ไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ สำนักพุทธจึงต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างยิ่ง ปราณมังกรติดอยู่ในเจดีย์พุทธะและเจดีย์พุทธะจะจำเฉพาะเจ้าของ และไม่จำคนอื่น เว้นแต่จะสามารถไปถึงชั้นสามและสื่อสารกับวิญญาณของเจดีย์ได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากคิดจะฉกฉวยปราณมังกร มีเพียงสองวิธี วิธีแรกคือทำลายเจดีย์เสีย ปราณมังกรไม่มีที่พึ่งพา ย่อมต้องออกมา สำนักพุทธไม่มีวิธีควบคุมปราณมังกรโดยตรง แต่สามารถหลอกล่อให้มันเลือกเจ้าของได้ทันที
เลือกร่างที่สามารถควบคุมได้ จากนั้นนำผู้ที่ได้รับโอกาสอย่างสูงกลับไปยังดินแดนประจิม
อย่างไรก็ตาม ของวิเศษนั้นยากที่จะทำลาย อย่างน้อยจะต้องมีขั้นหนึ่งสองคนลงมือ อีกประการหนึ่ง การทำลายของวิเศษเป็นความสูญเสียที่สำนักพุทธไม่เต็มใจที่จะแบกรับ สุดท้าย การทำลายเจดีย์พุทธะ ก็เท่ากับปล่อยแขนของเสินซูไป ถ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจรู้ แม้แต่ในความฝันก็คงจะหัวเราะออกมา
วิธีที่สองคือต้องผ่านอีกสองชั้น และขึ้นไปถึงชั้นที่สาม เพื่อให้จิ้งซินในฐานะศิษย์หลานของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ สามารถควบคุมเจดีย์ได้ชั่วคราว และให้เจดีย์พ่นปราณมังกรออกมา
ในฐานะที่เป็นของวิเศษ เจดีย์สามารถพ่นปราณมังกรออกมาได้เอง เนื่องจากปราณมังกรที่กระเจิดกระเจิงนี้ไม่ได้เป็นของมัน ทั้งสองฝ่ายจึงไม่มีความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลต่อกัน
ไม่เหมือนกับจักรพรรดิในโลกมนุษย์ ที่หมกมุ่นอยู่กับโชคชะตามากเกินไป ไม่ทำลายชาติ ก็ไม่มีวันหลุดพ้นจากพันธนาการของโชคชะตาที่รัดตัวไปได้ชั่วนิรันดร์
แต่หากเป็นเช่นนี้ ก็จะหนีเจ้าแห่งวัสสานน่าหลันเทียนลู่ไม่พ้น
ถ้าหากไม่ใช่เพราะปราณมังกรติดอยู่ในเจดีย์ คงไม่มีใครขึ้นไปบนชั้นสองที่มีพลังของเจ้าแห่งวัสสานแทรกซึมอยู่ และเขาจะไม่มีวันหลบหนีได้ชั่วนิรันดร์ จนกว่าพลังของจิตเดิมจะสูญหายไป
จิ้งซินถอนหายใจครั้งหนึ่ง “เมื่อเทียบกับสำนักพ่อมดแล้ว ข้ากังวลเกี่ยวกับท่านโหราจารย์มากกว่า ว่าเขาจะยอมให้สำนักพุทธชิงปราณมังกรที่สำคัญที่สุดไป?”
ตู้หนาน “เจ้าก็คือผู้ได้รับโอกาสที่สำนักพุทธเลือก หลังจากที่เจดีย์พ่นปราณมังกรแล้ว ปราณมังกรไม่สามารถออกจากเจดีย์ได้ จึงทำได้เพียงเลือกอยู่กับเจ้า ตอนนั้นท่านโหราจารย์ได้สาบานกับฟ้า ว่าห้ามเข้าไปในเจดีย์ ห้ามทำลายค่ายกลในเจดีย์ รอจนเมื่อเจ้าได้รับปราณมังกรแล้ว ก็ให้อยู่ในหอคอยก่อน เมื่อบรรยากาศอันตึงเครียดที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตา[1]คลี่คลายลงแล้ว ย่อมต้องมีพระโพธิสัตว์มารับเจ้าออกจากเจดีย์”
เวลานี้ จิ้งซินจึงเข้าใจชัดแจ้งได้ในทันที
เทพอารักษ์ตู้หนานพูดอีกว่า “เมื่อครู่มีการปะทะกันที่นอกวัด”
จิ้งซินตอบว่า “เป็นคนของทางการเหลยโจว น่าจะเป็นเพราะจู่ๆ วัดซานฮัวก็ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก จึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจของทางการ จนต้องส่งคนมาตรวจสอบอย่างลับๆ แต่อาจารย์อาโปรดวางใจ เวลาแปดวันผ่านไปในพริบตา กว่าชาวยุทธ์ของต้าฟ่งจะรู้ตัว สถานการณ์โดยทั่วไปก็สงบลงแล้ว”
เทพอารักษ์ตู้หนานพยักหน้า
…
กลุ่มของตำหนักมังกรตงไห่ค่อยๆ เดินตามเกี้ยวไปอย่างช้าๆ บนเกี้ยวที่กว้างใหญ่ ตงฟางหว่านชิงพูดเสียงต่ำว่า
“สำนักพุทธจะรักษาคำมั่นสัญญา?”
“ไม่รู้” ตงฟางหว่านหรงส่ายหน้า ชะงักไปหลายวินาที แล้วพูดเสริมว่า “แต่สำหรับพวกเขาแล้ว การรักษาสัญญาคือทางเลือกที่ดีที่สุด”
“ทำไม?”
“หึ เจ้าดูไม่ออกหรือ ปราณมังกรมีความสำคัญมาก สำนักพุทธก็เหมือนกับสำนักพ่อมดของเรา ต้องการมีส่วนร่วมในที่ราบภาคกลาง ปราณมังกรเป็นโอกาสที่หายาก แต่พวกเขาส่งเทพอารักษ์มาเพียงคนเดียว พระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ไม่ได้มาแม้แต่คนเดียว เจ้าว่าเป็นเพราะอะไร” ตงฟางหว่านหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตงฟางหว่านชิงขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตากำลังมีความขัดแย้งภายใน”
ตงฟางหว่านหรงหัวเราะคิกคักเบาๆ หน้าอกอวบอิ่มของนางกระเพื่อมสองสามครั้ง พูดว่า
“ถูกต้อง พระชื่อเหม็นฉาวโฉ่เหล่านี้กำลังมีความขัดแย้งภายใน การต่อสู้ระหว่างพุทธศาสนานิกายมหายานและหินยานมาถึงจุดที่ตึงเครียดมากแล้ว ไม่มีใครกล้าไปจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตา ไปจากดินแดนประจิม เพราะกลัวว่าทันทีที่จากไป ก็จะถูกอีกฝ่ายฉวยโอกาสโจมตีว่าเป็นพวกต่อต้านศาสนา”
“สาเหตุที่ไม่ได้แตกแยกอย่างถึงที่สุด น่าจะเป็นเพราะพระพุทธเจ้ายังอยู่ มีพระพุทธเจ้าทรงคอยปราบอยู่ พระโพธิสัตว์ก็ไม่กล้าแตกแยก”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เย็นชาของตงฟางหว่านชิง “เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทรงมองดูโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเล่า?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” พี่สาวผู้งดงามกลอกตา
นางรีบพูดด้วยความไม่สบายใจทันที “การต่อสู้ของสำนักพุทธด้วยคาถาอาคมเมื่อต้นปี เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อสู้ของพุทธศาสนานิกายมหายานและหินยาน เฮ้อ ฆ้องเงินสวี่คนนั้นเป็นคนที่เก่งยิ่งยวด เป็นผู้ชายแปลกที่หาได้ยากในโลก”
ตงฟางว่านชิงพูดอย่างใจเย็นว่า “ผู้ชายประเภทนั้นอยู่ห่างไกลจากเราเกินไป อย่างไรเสียควรตามจับคนทรยศต่อความรักกลับมาเร็วๆ จะดีกว่า โชคดีที่พวกเราได้เตรียมป้องกันไว้นานแล้ว โดยได้รีดพลังของเขาออกมาจนหมดสิ้นแล้ว มิฉะนั้นหากเขาออกไปข้างนอก พวกเราก็จะมีพี่น้องเพิ่มขึ้นอีกนับไม่ถ้วน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงฟางว่านหลงผู้พี่ก็กัดฟันด้วยความเคียดแค้น
…
สวี่ชีอันและหลี่หลิงซู่เร่งเดินทางให้เร็วขึ้น และกลับไปถึงเหลยโจวในวันรุ่งขึ้น หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็พาหลี่หลิงซู่ไปหาเหวินเหรินเชี่ยนโหรว
ในห้องหนังสือของเหวินเหรินเชี่ยนโหรว สวี่ชีอันถือถ้วยพร้อมกับพึมพำเบาๆ ว่า
“แม่นางเหวินเหริน ข้ามีเรื่องจะไหว้วานเจ้า”
“พี่สวีเชิญพูดมาได้เลย” เหวินเหรินเชี่ยนโหรวกล่าว
หลี่หลิงซู่ที่อยู่ข้างๆ เบะปาก เขายังไม่ทันบอกชู้รักว่าคนตรงหน้าเป็นสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว การนับถือเขาเป็นพี่เป็นน้องจะต้องอายุสั้นลง
“ข้าอยากให้เจ้าช่วยกระจายข่าวข่าวหนึ่ง โดยบอกว่าวัดซานฮัวมีของล้ำค่า และกำลังจะถือกำเนิดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ผู้ที่ได้รับของล้ำค่าชิ้นนี้ จะมีความหวังเหนือธรรมดา นอกจากนี้ หวังว่าเจ้าจะสามารถเจรจากับทางการของเหลยโจว ให้พวกเขาออกหน้าเข้าร่วมในเรื่องนี้”
นี่เป็นแผนการที่เขาคิดไว้แล้วระหว่างเดินทาง เช่นเดียวกับที่เต๋ามารนิกายปฐพีจงใจปล่อยข่าวลือ เพื่อดึงดูดชาวยุทธ์ และกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ให้เข้าร่วมแย่งชิงเมล็ดบัว
เขาก็สามารถใช้วิธีเดียวกัน ในการกวนน้ำให้ขุ่น
“นี่…เหลยโจวอยู่ติดกับดินแดนประจิม ฝั่งทางการ คงไม่เต็มใจที่จะแทรกแซงมากเกินไป เนื่องจากเป็นพื้นที่ห่างไกล แต่สำนักพุทธอยู่ใกล้เพียงแค่นี้ นอกจากนี้ การกระจายข่าวนี้ หากไม่มีคนที่น่าเชื่อถือและมีบารมีมากพอมารับรอง คนที่เชื่อก็จะมีน้อยมาก คนที่ดึงดูดมาได้เกรงว่าจะมีแต่พวกลูกปลาตัวเล็กๆ เท่านั้น”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวฉลาดกว่าคนทั่วไป จึงชี้ให้เห็นปัญหาอย่างตรงจุด
“ฝั่งทางการ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเป็นศัตรูกับสำนักพุทธศาสนา ส่วนปัญหาหลัง…”
สวี่ชีอันมองหลี่หลิงซู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด รอยยิ้มยากจะคาดเดา
หลี่หลิงซู่โดนเขามองจนรู้สึกตื่นตระหนก ขมวดคิ้วแน่น “ข้า ข้าไม่มีสถานะใดๆ ในยุทธภพ”
สวี่ชีอันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แต่เจ้ามีศิษย์น้องหญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุทธภพนี่”
‘…’
หลี่หลิงซู่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
…
ในบ่ายวันนั้น จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินที่สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่เลื่องลือในยุทธภพมาเป็นเวลานาน ได้เดินโซซัดโซเซหนีเข้าไปในเมืองเหลยโจว ร่างกายโชกไปด้วยเลือด
บังเอิญถูกคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมการค้าเหลยโจวพบเข้า ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จับจ้องอยู่ จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินถูกคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมการค้าเหลยโจวอุ้มเข้าไปในรถม้า
หลังจากนั้น ก็มีข่าวออกมาจากสมาคมการค้าเหลยโจวว่ามีของล้ำค่าถือกำเนิดขึ้นที่วัดซานฮัว และผู้ที่ได้รับของล้ำค่านี้ จะสามารถเข้าถึงข่าวสารเหนือธรรมดาสามัญได้
จอมยุทธหญิงนางแอ่นเหินถูกภิกษุของวัดซานฮัวทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เพราะร่วมช่วงชิงของล้ำค่า
จากการกระจายข่าวของสมาคมการค้าเหลยโจว กลายเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วทั้งเหลยโจว
“ได้ยินมาว่ามีของล้ำค่าถือกำเนิดขึ้นที่วัดซานฮัว?”
“ใช่ ข้าถามทหารรักษาเมืองแล้ว เขาว่าเห็นนักพรตหญิงผู้งดงามเลือดท่วมกายหนีเข้าไปในเมืองจริงๆ”
“มิน่าเล่าทำไมจู่ๆ วัดซานฮัวก็ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เจดีย์กำลังจะเปิดแล้วจริงๆ แต่กลับไม่ให้คนปิดประตูเพื่อขอบคุณผู้มาเยือน เมื่อเร็วๆ นี้ เจดีย์กำลังจะเปิดอย่างชัดเจน แต่กลับไม่ให้คนเข้าไปรับโอกาสในเจดีย์”
“สำนักพุทธก็คือสำนักพุทธ ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับข้า ปกติพูดจาน่าฟัง พอพบของล้ำค่าจริงๆ ก็รีบปิดประตูทันที ยักยอกเป็นของตนแต่ผู้เดียว”
“อ้อ จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหิน ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“พี่ชายท่านนี้ช่างหูตาแคบความรู้น้อยจริงๆ ดูท่าทางก็ไม่เหมือนปัญญาชนที่ไม่สนใจเรื่องภายนอกนี่นา”
และก็มีคนไม่เชื่อ โดยเฉพาะชาวยุทธ์ผู้มีหน้ามีตาที่ไปเยือนจวนเหวินเหรินโดยการอ้างว่ามาเยี่ยมเยือนจอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินในวันเดียวกันนั้นเอง
พวกเขาได้พบกับจอมยุทธหญิงนางแอ่นเหินสมความปรารถนา และได้คำตอบที่ต้องการ
จากนั้นก็ได้นำคำตอบที่ถูกต้อง ทำตัวเป็นผู้ส่งสาร และบอกต่อเป็นทอดๆ ไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ายังมีคนที่เก็บเงียบ เมื่อมีคนถาม ก็ปฏิเสธความจริงของข่าว แต่กลับออกจากเมืองเหลยโจว ไปวัดซานฮัวอย่างเงียบๆ
…
กลางดึก
สวี่ชีอันนั่งพิงเก้าอี้ตัวใหญ่ที่โต๊ะ ครุ่นคิดว่าจะจับปลาเมื่อน้ำขุ่นอย่างไรดี จะเข้าไปในเจดีย์พุทธะอย่างไรดี และจะถอนตัวออกมาอย่างไรหลังจากที่ประสบความสำเร็จหรือหลังจากล้มเหลว
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะหน้าต่าง “ก๊อกๆ”
เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เลื่อนกลอน หน้าต่างก็เปิดออก สุนัขจิ้งจอกขนปุกปุยสีขาวราวกับหิมะตัวหนึ่งนั่งยองๆ อยู่บนขอบหน้าต่าง มองเขาด้วยดวงตาที่สุกใสราวกับไข่มุกดำ ลำคอสั่นสะเทือน เปล่งเสียงเด็กสาวที่ใสกังวานออกมา
“โอ้ ในที่สุดก็ได้พบกับฆ้องเงินสวี่ในตำนานแล้ว”
………………………………………
[1] ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตา ต้นฉบับ คือ 圣山阿兰陀 โดยให้คำดูมีความเป็นสันสกฤติ รวมถึงอ้างอิงคำจาก ถ้ำอชันตา (阿旃陀石窟)