ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 520 ความขัดแย้ง (1)
บทที่ 520 ความขัดแย้ง (1)
ยิ่งวันเปิดเจดีย์พุทธะใกล้เข้ามาเท่าไร ชาวยุทธ์ทั้งหลายก็ตบเท้าหลั่งไหลมายังเขาจินกวง และพยายามบุกเข้ามาในวัดซานฮัวมากขึ้นเท่านั้น
เกิดความบาดหมางขึ้นอย่างมากระหว่างสองฝ่าย แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ชาวยุทธ์ทั้งหลายไม่คิดจะบุกเข้าไปข้างใน เพียงแต่ส่งเสียงโห่ร้องอยู่รอบๆ วัด
จอมยุทธ์ภิกษุแห่งวัดซานฮัวออกมาคุ้มกันรอบวัด และเริ่มปะทะกับชาวยุทธ์ที่จำนวนเพิ่มขึ้น
ในโบสถ์ที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ไต้ซือผานหลงเจ้าอาวาสวัดนั่งอยู่บนอาสนะ และหารือถึงวิธีการรับมือร่วมกับประธานภิกษุ และภิกษุอาวุโสทั้งหลายในวัด
“หลี่เมี่ยวเจินเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์มาก่อความวุ่นวายเมื่อตอนนั้น น่ารังเกียจนัก”
ประธานภิกษุผู้มีสถานะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาส เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ตอนนี้คนในยุทธภพมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ไล่ก็ไม่ไป จะทำอย่างไรดี” ภิกษุอาวุโสรูปหนึ่งขมวดคิ้วแน่น
สถานการณ์ในปัจจุบันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขา เดิมทีในการคาดเดาของสำนักพุทธ คิดว่าซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์จะส่งกองทัพมาปราบปรามและชิงปราณมังกรไป
หากเป็นเช่นนี้ เทพอารักษ์ตู้หนานก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะลงมือจัดการ ต่อให้กองทัพเข้ามาโดยอ้างว่ามา ‘ปราบปีศาจ’ แต่สำนักพุทธเองก็มีเหตุผลรองรับเช่นกัน
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาแห่งสำนักพุทธ แค่นี้ก็เป็นข้ออ้างในการฉีกสัญญาพันธมิตร และโจมตีต้าฟ่งได้แล้ว
แน่นอนว่านี่เป็นสถานการณ์ที่ฉีกหน้ากันอย่างรุนแรง ความสัมพันธ์ของสำนักพุทธและต้าฟ่งยังไม่เลวร้ายลงถึงขั้นนั้น แต่สำนักพุทธสามารถกล่าวโทษต้าฟ่ง เรียกร้องการขออภัย และสิ่งชดเชยต่างๆ จากต้าฟ่งได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ใครจะล่วงรู้ว่ากองทัพต้าฟ่งไม่ได้มาเอง แต่กลับเป็นชาวยุทธ์กลุ่มใหญ่ที่มาแทน
ราชสำนักต้าฟ่งไม่มีทางชดใช้ในสิ่งที่คนพวกนี้ทำอย่างเด็ดขาด
“ไล่ไม่ไปงั้นหรือ อมิตตาพุทธ เช่นนั้นก็จงปัดเป่าให้สิ้นเสีย” ภิกษุอาวุโสรูปหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ประธานภิกษุพยักหน้าช้าๆ
“ถูกต้อง สำนักพุทธของเราเป็นสถานที่บรุสิทธิ์ผุดผ่อง จะปล่อยให้จอมยุทธ์จากต้าฟ่งมากระทำการป่าเถื่อนได้อย่างไร ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านไม่สร้างขบวนทัพสยบปีศาจวางไว้รอบวัด แล้วปล่อยให้พวกคนเหล่านั้นบุกทะลวงเข้ามาล่ะขอรับ วิธีนี้นอกจากจะหยุดยั้งฝูงชนได้อยู่หมัดแล้ว ยังเป็นการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาควบคุมพวกมันให้สงบเสงี่ยมได้
“แม้ว่าท่านเทพอารักษ์ตู้หนานจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็คงรู้สึกไม่พึงใจอยู่ลึกๆ พวกเราต้องจัดการเรื่องนี้ให้ได้”
ภิกษุทุกรูปมองไปทางเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวพร้อมกับพยักหน้า “ได้!”
…
บนทางเดินเลียบภูเขา สวี่ชีอันเดินทางไปกับคารวานของสมาคมการค้าเหลยโจว ที่มีเหวินเหรินเชี่ยนโหรวเป็นคนนำขบวน เข้าใกล้ซุ้มประตูที่เชิงเขาจินกวง
ซุ้มประตูถูกสร้างขึ้นที่เชิงเขา สูงสามจั้ง สลักไว้บนแผ่นป้ายว่า ‘วัดซานฮัว!’
“เฮ้อ คนเยอะเหลือเกิน”
หลี่หลิงซู่กล่าวยิ้มๆ ขณะนั่งบนหลังม้า
เขาเลิกแกล้งแปลงกายเป็นหลี่เมี่ยวเจิน ภาพของวัดซานฮัวที่ถูกฝูงชนปิดล้อม ล้วนเป็นการทำเพื่ออุทิศให้แก่จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินหลี่เมี่ยวเจิน หากตอนนี้เขาแปลงกายหลี่เมี่ยวเจิน ก็ไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
และยังมีความเสี่ยงที่ตัวตนจะถูกเปิดเผยอีกด้วย
สวี่ชีอันส่งเสียงพึมพำออกมา พลางกวาดตามองไปรอบๆ ที่ใต้ซุ้มประตูของวัดซานฮัวมีแต่ม้าลานตา แนวป่ารอบด้านมีแต่ม้าที่ถูกล่ามเอาไว้
เมื่อทอดสายตาออกไป ก็เห็นชาวยุทธ์ที่ถือสารพัดอาวุธเอาไว้ในมือ บ้างก็พูดคุยกัน บ้างก็กอดอาวุธพลางหลับตาพิงต้นไม้ บ้างก็นั่งสวาปามไก่ย่างอยู่ข้างทาง
ระดับความวุ่นวายเทียบเท่าตลาดสด
มีคนตบเท้ามาที่นี่ไม่น้อย พวกยอดฝีมือก็มีมากเช่นกัน…สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างพึงใจ นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ‘การโฆษณา’ ของเขาได้ผลดีเยี่ยม
จอมยุทธ์ยึดถือพลังเป็นสรณะ ชาวยุทธ์ที่รักอิสระทำตามใจตนเองพวกนี้ ใช้เป็นเบี้ยที่รับกระสุนได้อย่างดี ใครก็ตามที่จับจุดอ่อนของพวกเขาได้ ก็ใช้พวกเขาเป็นเครื่องมือได้ตามสบาย
ในบรรดาสายหลักทั้งหลาย ประชากรในสายลัทธิขงจื๊อและโหรนั้นมีจำนวนน้อยที่สุด ขณะที่จำนวนของจอมยุทธ์มีมากที่สุด
ในจิ่วโจวจอมยุทธ์ที่เดินสายฝึกวิทยายุทธ์มีมากกว่าจำนวนของผู้ฝึกตนระบบสายหลักทั้งหลายรวมกันหลายเท่า
แต่อ้างอิงจากภาพจิตรกรรมฝาผนังในวังใต้ดินที่ได้เห็น และข้อมูลที่ได้มาจากศพโบราณ จิ่วโจวมีสายฝึกตนเพียงสามจำพวกเป็นเวลาช้านานหลังการล่มสลายของเทพปีศาจ
หนึ่งคือ สายนักรบ สองคือ สายเต๋า และสามเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ในบรรดาสายฝึกตนทั้งหมด นักรบและเผ่าพันธุ์ปีศาจล้วนแต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือการฝึกฝนร่างกายและจิตใจ เพื่อก้าวไปสู่การพิสูจน์เต๋าด้วยพลัง เพียงแต่เผ่าพันธุ์ปีศาจมีแก่นปีศาจและพลังเหลือธรรมชาติแต่กำเนิด ส่วนนักรบมี ‘จิต’ และการผสานเต๋า
ส่วนเต๋า ในขณะนั้นยังเรียกว่า ‘ลัทธิเต๋า’ ไม่ได้ เนื่องจาก ศพโบราณยังไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ลัทธิเต๋า’ มาก่อน ลำพังแค่ข้อนี้ ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าปรมาจารย์เต๋าไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด ‘เต๋า’ แต่อย่างใด
ทว่า ทั้งสามสายการฝึกตนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในภายหลัง วิทยายุทธ์และเต๋ามารเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สายลัทธิเต๋าเหล่าเพียง ‘สวรรค์ ปฐพี มนุษย์’ สามนิกาย ส่วนนิกายอื่นๆ ต่างล่มจมจนไม่มีค่าให้เอ่ยถึง
ซึ่งนี่ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด แม้ว่าผลพวงจาก ‘สวรรค์ ปฐพี มนุษย์’ สามนิกายจะยิ่งใหญ่ แต่นิกายอื่นๆ ก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบร้ายแรงขนาดนี้
ผลคือนิกายที่มีปัญหาใหญ่ที่สุดสามนิกายต่างกับอยู่รอดต่อมาได้ ในขณะที่นิกายอื่นๆ ต่างก็ล่มสลายไป…
ในตอนนี้เอง เสียงอุทานก็ดังขัดจังหวะการครุ่นคิดของสวี่ชีอัน และมีคนเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“คนจากสมาคมการค้าเหลยโจวมาแล้ว ฮ่า ในที่สุดก็มีคนลงมือสักที”
คนที่เอ่ยขึ้นมาคือชายหนุ่มที่สวมชุดจิ้นจวง ในมือถือหอกยาว ซึ่งเป็นหอกที่ใช้ในกองทัพ ลักษณะดูล้าสมัย เดาว่าคงจะซื้อมาจากตลาดมืด
การขายอาวุธเก่าๆ ตกรุ่นเป็นวิธีการหาเงินที่เหล่าแม่ทัพระดับสูงทั้งหลายเคยชิน
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวหันหน้ามา โน้มตัวเข้าไปพูดกับองครักษ์สองสามประโยค และแล้วองครักษ์ผู้นั้นก็กระทุ้งท้องม้า ให้วิ่งไปหาชายหนุ่มผู้ถือหอกคนนั้นพร้อมกับซักถามเล็กน้อย
“คุณหนูใหญ่ วัดซานฮัวและคณะภิกษุทำตัวเหิมเกริม พวกเขาไม่ยอมให้ใครเข้าไป ถึงขั้นทำร้ายคนไปหลายคนแล้วขอรับ”
องครักษ์กระซิบตอบ
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวพยักหน้า หันไปเอ่ยกับหลี่หลิงซู่และสวี่ชีอันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหลยโจวอยู่ติดกับดินแดนประจิมทิศ มีนิกายเซนคอยหนุนหลัง วัดซานฮัวจึงวางก้ามมาโดยตลอด ต่อให้เป็นทางการ ปกติก็ไม่มีใครอยากยั่วโทสะของพวกเขานัก”
สวี่ชีอันมองไปทางเขาจินกวง แล้วพูดขึ้น “ว่ามาสิ”
“เมื่อไม่กี่ปีก่อน เกิดภัยแล้งขึ้นใกล้กับวัดซานฮัว ประชาชนเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ได้ ภิกษุทั้งหลายในวัดไม่ได้ทำอาชีพเกษตร จึงต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินลงเขาไปเดินบิณฑบาตร ได้ธัญพืชมาหลายพันจิน จากผู้มีจิตศรัทธาหลายร้อยคนยอมสละทรัพย์สินบริจาคทานให้”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวยกมุมปากขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “วัดซานฮัวรอดพ้นจากภัยแล้ง แต่ไม่มีเคยรู้ว่ามีคนตายเพราะความอดอยากกี่คน ทั้งที่สำนักพุทธสอนให้ฝึกตนเองก่อนจะคิดถึงผู้อื่น”
สวี่ชีอันหรี่ตา “เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ผิดกฎหมายของต้าฟ่ง ซ้ำยังละเมิดสัญญาระหว่างต้าฟ่งและสำนักพุทธที่เคยมีด้วย”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวพยักหน้า
“ทว่าสมุหเทศาภิบาลแห่งเหลยโจวกลับขึ้นเขาเข้าวัดไปตำหนิเพียงครั้งเดียวพอเป็นพิธี เหตุผลแรกคือไม่มีใครกล้าขัดขืนต่อสำนักพุทธ เหตุผลที่สองคือยามจัดการกับปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นในเขตชายแดน จำต้องระมัดระวัง และอาศัยความอดทนสูง
“หากเรื่องราวบานปลายขึ้นมา ราชสำนักย่อมไม่ยินดีที่จะแตกหักกับสำนักพุทธ เมื่อถึงเวลานั้นสมุหเทศาภิบาลจะตกเป็นแพะรับบาปทันที สำนักพุทธแข็งแกร่งเพียงไร ท่านคงรู้ดีแก่ใจ”
สวี่ชีอันไม่ได้พูดอะไรอีก
“สำนักพุทธเป็นพวกจอมปลอมถึงที่สุด เมื่อห้าร้อยปีก่อน พวกมันชักธงรบกับเผ่าพันธุ์มนุษย์กันเอง เพียงเพราะหมายตาอาณาเขตภูเขาสือว่านของซินเจียงตอนใต้”
จิ้งจอกขาวตัวน้อยส่งเสียงร้องอย่างกระฟัดกระเฟียด
นางขดตัวอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของมู่หนานจือ พลางถือขนมชิ้นหนึ่งไว้ด้วยอุ้งเท้าหน้าสองข้าง
มู่หนานจือให้ขนมเพียงชิ้นเดียว ก็สามารถซื้อใจนางได้แล้ว
หลังจากที่สุนัขจิ้งจอกขาวตัวน้อยกินขนมจนหมดแล้ว นางก็ออกแรงกดอุ้งเท้าจ้ำม่ำของนางลงบนเนินอกของมู่หนานจือ พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ท่านน้า หน้าอกของท่านใหญ่กว่าของท่านพี่เย่จีอีกนะเนี่ย”
…สวี่ชีอันถึงขั้นกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ทุกคนผูกม้าของตนเรียบร้อย ก็ปีนบันไดขึ้นไปบนเขา
ในขณะที่เข้าใกล้วัดซานฮัว ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องคำราม และเสียงอาวุธปะทะกันสนั่นหวั่นไหว
‘ผลัวะ ผลัวะ!’
ในวัดซานฮัว บริเวณลานกว้างที่ปลายบันไดหิน ชายผู้หนึ่งที่ถือกระบองในมือ ถูกจอมยุทธ์ภิกษุหลายรูปใช้ไม้พลองสกัดจุดสำคัญทั่วร่างกาย ทำให้เขาตัวแข็งทื่อไปทันที
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งในพวกหลักสบโอกาสหมุนตัวกลับ อัดฉีดพลังปราณเข้าใส่ไม้พลอง พลางควงไม้พลองหลายรอบ ก่อนจะฟาดเข้ากลางศีรษะของชายหนุ่มผู้ถือกระบองคนนี้อย่างหนักหน่วง
‘ปัง!’
แสงเทวะคุ้มกายของชายหนุ่มผู้ถือกระบอกแตกสลาย เลือดสดๆ ไหลอาบลงมาที่แก้มของเขา
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนดวงตาวาววับ เมื่อเห็นเหวินเหรินเชี่ยนโหรวนำขบวนสมาคมการค้าเหลยโจวขึ้นมา จึงยื่นไม้พลองออกไป และยกร่างของชายผู้ถือกระบองผู้นี้ด้วยไม้พลองจนตัวลอย
แล้วโยนมาตกเบื้องหน้าของพวกสวี่ชีอัน
สีหน้าของชาวยุทธ์ทั้งหลายเปลี่ยนไปเล็กน้อย ความโกลาหลยังคงดำเนินอยู่
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันเป็นเวลานาน และในที่สุดก็เกิดศพแรกขึ้นจนได้ เห็นได้ชัดว่าวัดซานฮัวหมดความอดทน และพร้อมจะใช้มาตรการรุนแรงแล้ว
“พวกภิกษุอัปรีย์ บังอาจสังหารคน”
ใครบางคนตะโกนขึ้น
นี่เป็นการตั้งคำถามกับภิกษุแห่งวัดซานฮัวว่าจะฆ่าให้เกลี้ยงใช่หรือไม่
“เหอะ!”
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนกระแทกไม้พลองลงกับพื้น กวาดตามองไปรอบๆ และสำแดงวิชาสิงโตคำรามสำนักพุทธ
“พวกเจ้าตั้งใจจะบุกรุกเข้ามาในวัดของเรา หมายจะฉกชิงพระพุทธรัตนะของเราไป หัวขโมยต้องถูกลงโทษ แต่เพราะท่านเจ้าอาวาสมีจิตเมตตา ไม่ต้องการก่อกรรมทำเข็ญ หากใครอยากจะเข้าวัดก็ให้ผ่านขบวนทัพสยบปีศาจไปให้ได้เสียก่อน อนุญาตให้บุกเข้ามาทีละคน”
“ไอ้บ้า!”
ชาวยุทธภพต่างก่นด่ากันเสียงขรม “พวกเจ้าเก้าคนรุมกระทืบคนคนเดียว ช่างไร้ยางอายนัก”
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนเอ่ยอย่างไม่แยแส “จะถอยกลับก็ไม่ว่า”
เขาทำท่าราวกับจะบอกว่าถิ่นสำนักพุทธ สำนักพุทธใหญ่สุด
ด้านหลังเหล่าจอมยุทธ์ภิกษุทั้งหลายต่างโห่ร้องคำราม
เสียงดังสนั่น!
ชาวยุทธ์ที่รายล้อมชักดาบออกมาทีละคน เตรียมพร้อมจะต่อสู้กับจอมยุทธ์ภิกษุแห่งวัดซานฮัว
นี่คงเป็นธาตุแท้ของจอมยุทธ์ภิกษุสินะ ใจหยาบต่ำช้า เทียบกันแล้ว ไต้ซือเหิงหย่วนเองก็เลือกเดินบนเส้นทางคดเคี้ยวเช่นกัน เหตุใดรอบตัวข้าถึงมีแต่สหายนิสัยไม่เข้าท่าเลยสักคน…สวี่ชีอันก้าวออกมาหนึ่งก้าว เอ่ยถาม
“ขอบังอาจถามไต้ซือ วัดซานฮัวมีพุทธรัตนะใดหรือ”
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนกล่าว “เจดีย์พุทธะเต็มไปด้วยบุญกุศลล้นเปี่ยมแต่เพียงเท่านั้น”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าของวิเศษเองก็สามารถฝึกตนได้ด้วย อีกประการหนึ่ง หากว่าในเจดีย์เต็มไปด้วยบุญกุศลล้นเปี่ยม เหตุใจวัดซานฮัวจึงไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าไปเล่า คิดว่าพวกข้าจะยกเอาเจดีย์ไปเป็นของตนได้หรือ” สวี่ชีอันเอ่ยถามอีกคำ
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนตอบกลับ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า เป็นเพียงปุถุชนจะมารู้คุณวิเศษของพุทธรัตนะได้อย่างไร”
หน้าไม่อาย มันคือปราณมังกรของต้าฟ่งแท้ๆ อยู่ดีๆ จะกลายเป็นสมบัติของสำนักพุทธไปได้อย่างไร
สวี่ชีอันไม่พูดอะไรต่อ สายตาทอดมองไปไกลยังส่วนลึกของวัด เห็นเจดีย์สูงผนังขาวปูกระเบื้องหลังคาดำ
ในสายตาของเขา เจดีย์ดังกล่าวกลับมีลักษณะต่างออกไป ทั้งเจดีย์เป็นสีทองอร่าม ร่างของมังกรสีทองเกาะเจดีย์ พลางย่างก้าวอย่างเชื่องช้า
เงาร่างมังกรตนนี้ใหญ่โตมโหฬารจนโอบรอบเจดีย์สูงตระหง่านได้ ขนาดร่างกายพอๆ กับวิญญาณมังกรที่จักรพรรดิเจินเต๋อประทับเมื่อในอดีต ทว่าแสงทองไม่เปล่งปลั่ง เทียบไม่ได้กับร่างจริงของวิญญาณแห่งชีพจรมังกร
“ไต้ซือไม่ประสงค์จะตอบ เช่นนั้นข้าจะแถลงไขแทนไต้ซือเอง ตามคำบอกเล่าของจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน กล่าวว่าในเจดีย์กักขังยอดฝีมือแห่งเผ่าอนารยชนสองเผ่าและสำนักพ่อมด จากด่านซานไห่เมื่อครั้งนั้น ยี่สิบปีต่อมายอดฝีมือไร้เทียมทานเหล่านั้นได้กลายสภาพเป็นยาโลหิตและยาวิญญาณ เป็นโอกาสและเป็นตัวช่วยสุดพิเศษในการก้าวสู่ขั้นสาม”
“เหลวไหล!”
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนโกรธขึ้ง ชี้หน้าสวี่ชีอันด้วยไม้พลอง “หยุดปลุกปั่นฝูงชนด้วยคำกล่าวชั่วร้ายได้แล้ว หากเจ้ายังเป็นคนอยู่ ก็จงเข้ามาประลองกับอาตมาเดี๋ยวนี้”
“ร้อนตัวเสียแล้วหรือ? ผู้ที่ถูกจองจำในเจดีย์ เป็นผู้มีคุณูปการสูงส่งต่อต้าฟ่งของเราในเวลานั้น การที่สำนักพุทธยึดครองสมบัติล้ำค่าแต่เพียงผู้เดียว ช่างชั่วร้ายเกินคน คงคิดว่าหากเทพสงครามแห่งต้าฟ่งสละชีพตนแล้ว คงไม่มีผู้ใดกล้าลงทัณฑ์พวกเจ้าอย่างนั้นสิ?”
สวี่ชีอันยกแขนขึ้น และส่งเสียงตะโกนลั่น “ทุกท่านจงฟัง เว่ยกงสิ้นชีพในสนามรบที่เมืองจิ้งซาน ตอนนี้สำนักพุทธกำลังฉวยโอกาสในตอนที่เขาล่วงลับ วางแผนจะยึดครองชัยชนะของต้าฟ่งเมื่อยี่สิบปีก่อน”
“ถูกต้อง ยาโลหิตและยาวิญญาณควรตกเป็นของต้าฟ่งส่วนหนึ่ง สำนักพุทธมีสิทธิ์อันใดถึงได้ยึดเอาไปเป็นของตนทั้งหมด คิดจะเอาเปรียบต้าฟ่งของข้าหรือไร”
“ส่งยาโลหิตมา ไม่งั้นข้าจะเผาวัดซานฮัวให้ราบเป็นหน้ากลอง”
เหล่าชาวยุทธภพต่างมีปฏิกิริยาตอบโต้ ส่งเสียงตะโกนลั่นขึ้นมาทันที
หลายคนมองไปทางสวี่ชีอันและพยักหน้าให้ ชายผู้นี้พูดได้มีเหตุผล
พวกเขาไม่ได้จะปล้นของวิเศษของสำนักพุทธก่อน แต่สำนักพุทธทำตัวไร้เกียรติ พวกเขาเพียงแต่ช่วงชิงสิ่งที่ควรเป็นของต้าฟ่งกลับคืนมาเท่านั้น
พวกเขายืดตัวแน่วแน่ทันที
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนโกรธจัด จ้องมองสวี่ชีอันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ไร้สาระ วัดซานฮัวไม่มียาโลหิตและยาวิญญาณ นี่มันเจตนาก่อความขัดแย้งโดยแท้”
สวี่ชีอันตอกกลับ “จะเชื่อเจ้า หรือเชื่อจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน พวกข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง”
ชาวยุทธ์เฮลั่นอีกครั้ง
“ไอ้ลาหัวโล้น ไร้ยางอาย”
“ภิกษุไม่พูดปดงั้นหรือ? โกหกหน้าด้านๆ”
เมื่อถึงคราวปะทะฝีปาก สิบปากภิกษุแห่งวัดซานฮัว เทียบไม่ได้กับปากของชาวยุทธภพเพียงปากเดียว
สารพัดถ้อยคำผรุสวาทปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า ฝั่งซ้ายด่าวงศาคณาญาติฝ่ายหญิงทั้งตระกูลมาจนไม่เหลือชิ้นดี ฝั่งขวาด่าว่าเป็นแค่ไอ้ลูกหมา
จอมยุทธ์ภิกษุไม่ใช่ฉานซือ ไม่มีแรงข่มใจ เส้นเลือดบนหน้าผากของจอมยุทธ์ภิกษุเก้ารูปที่ถือไม้พลองในมือต่างปูดโปน
“ถุย ไร้ยางอาย!”
สุนัขจิ้งจอกขาวตัวน้อยเกลียดชังสำนักพุทธสุดขั้วหัวใจ เมื่อเห็นทุกคนกำลังด่าทอเหล่าภิกษุอย่างเมามัน นางก็อยากเข้าไปผสมโรงด้วย เอาแต่ดีดตัวอย่างตื่นเต้นในอ้อมแขนของมู่หนานจือ
“ปีศาจจิ้งจอกหรือ?”
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนอดรนทนรอสังหารสวี่ชีอันแทบไม่ไหว เมื่อเห็นดังนั้น ก็ฉวยโอกาส ตะโกนลั่น
“บังอาจสมคบคิดกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ ตายเสียเถิด!”
ไม้พลองในมือหมุนควงเป็นวงกลม ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในมู่หนานจือพร้อมกับใช้ไม้พลองฟาดใส่มู่หนานจือ
มู่หนานจือถอยหลังด้วยความตกใจ กรีดร้องดังลั่น
สวี่ชีอันโผล่ไปอยู่ด้านหน้าของนางราวกับภูตผี ยกแขนขึ้นเพื่อสกัดกั้นไม้พลองที่เต็มไปด้วยพลังปราณชั่วร้าย จนเกิดเสียง ‘เปรี๊ยะ’ ขึ้น ไม้พลองที่เปี่ยมด้วยพลังปราณอันแข็งแกร่งหักสะบั้นทันที
แม้ว่าพลังปราณและพละกำลังจะถูกตะปูตอกวิญญาณสะกดไว้อยู่ แต่กระดูกกล้ามเนื้อที่เป็นคุณสมบัติขั้นสามตามตำรับแท้ๆ ย่อมหลงเหลือพลังต้านทานเพียงหนึ่งเดียวอย่างแน่นอน
รูม่านตาของจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนหดตัวลงเล็กน้อย สัญชาตญาณจอมยุทธ์ส่งสัญญาณเตือนภัย ในขณะที่กำลังจะหมุนตัวถอยกลับ เพื่อไปตั้งขบวนทัพสยบปีศาจกับภิกษุร่วมสำนัก ในสมองก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง
“จัดการมันเสีย!”
ความคิดนี้หายวับไปทันที ทำให้เขาเสียโอกาสโจมตีก่อน สวี่ชีอันพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ปล่อยควันสีเขียวอัดใส่หน้าจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนทันที
“หึ หึ…”
จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนหายใจอย่างยากลำบาก ปอดแสบร้อน เสียงหายใจของเขาเหมือนกับเครื่องสูบลมใกล้พัง
เขาจ้องมองสวี่ชีอันด้วยความสิ้นหวัง ขณะที่ล้มลงกับพื้น
ผลกระทบทางจิตของซินกู่ผสานกับตู๋กู่ ให้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวเลย อืม ดูจากพลังของเจ็ดยอดกู่ในตอนนี้ ตั้งแต่ขั้นสี่ลงไป ข้าแทบจะไร้คู่ต่อสู้ ตอนที่ออกมาจากเมืองหลวงใหม่ๆ พลังของข้าอย่างมากก็ไม่เกินขั้นห้ากระจอกๆ…
สวี่ชีอันพึงพอใจอย่างมากกับความคืบหน้าของการบ่มเพาะเจ็ดยอดกู่
เมื่อครู่เป็นฝีมือซินกู่ที่ส่งผลต่อจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคน ทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาด
ชาวยุทธ์โดยรอบเมื่อเห็นภาพนี้ก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ เมื่อครู่จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนใช้ค่ายกลสังหารจอมยุทธ์ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงไปหนึ่งคนอย่างโหดเหี้ยมไร้เทียมทาน ชวนให้ขวัญผวา
สุดท้ายพอมาเจอกับชายหนุ่มในชุดสีดำผู้นี้ แค่ได้เห็นก็ล้มไปเลยหรือ?
“เขาใช้พิษ…”
มีใครบางคนในฝูงชนกล่าวขึ้น
“มองปราดเดียวก็รู้แล้ว แต่ว่าภิกษุรูปนี้อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นหลอมวิญญาณ แผนการโจมตีธรรมดาไม่ได้ผล”
มีคนแย้งขึ้นทันที
ทุกคนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันปากต่อปาก พลางหันมามองสวี่ชีอันกันเป็นตาเดียว รู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ
ทว่า…
“ดูเหมือนว่าเขาคิดจะวางยาพิษจอมยุทธ์ภิกษุให้ตกตาย สังหารจอมยุทธ์ภิกษุในวัดซานฮัว น่ากลัวว่าจะถูกโต้กลับ”
“เจ้าอาวาสวัดซานฮัวเป็นฉานซือขั้นสี่ จัดการยากนัก”
“จะไปกลัวอะไร เขาดูเหมือนจะเป็นคนของสมาคมการค้าเหลยโจว ในสมาคมก็มีคนขั้นสี่เหมือนกัน”
ในขณะที่พูดคุยกันนั้น ภิกษุหนุ่มผู้มีนัยน์ตาลึกโหล จมูกโด่งเป็นสันก็ก้าวออกมาจากในวัด
“ศิษย์พี่จิ้งซิน”
………………………………………………………