ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 520 ความขัดแย้ง (2)
บทที่ 520 ความขัดแย้ง (2)
ภิกษุถือไม้พลองแปดรูปชี้ไปทางสวี่ชีอันด้วยท่าทางยินดีอย่างยิ่ง “คนผู้นี้ต่ำช้า ใช้เล่ห์กลสกปรกเพื่อโจมตีศิษย์น้องอิ้นซุ่น”
“วางดาบลงเสีย กลับใจคือฟากฝั่ง”
น้ำเสียงอ่อนโยนเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ มีอำนาจในการลบล้างอารมณ์ ทำให้ผู้คนในที่นี้คลายความเป็นปฏิปักษ์ เกิดความอ่อนโยนมีเมตตาขึ้นมา
‘เคร้ง เคร้ง’ เสียงของอาวุธในมือของฝูงชนร่วงไปอยู่กับพื้น
ไม่กี่วินาทีต่อมา ชาวยุทธภพก็ค่อยๆ หลุดพ้นจากคาถาครอบงำของสำนักพุทธทรงศีลทีละคน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เป็นภิกษุหรือ ไม่สิ อาจจะเป็นนักพรตก็ได้”
“เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นนักพรต คาถาของภิกษุธรรมดาไม่แข็งแกร่งขนาดนี้…”
ชาวยุทธภพในเหลยโจวรู้จักสำนักพุทธเป็นอย่างดี จุดนี้ชาวยุทธ์จากแดนอื่นไม่สามารถเทียบเคียงได้
“อมิตตาพุทธ ประสกนั่นเอง”
ภิกษุจิ้งซินประนมมือขึ้น เขามองสวี่ชีอันด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง
“ประสกมาหาเรื่องถึงวัดของอาตมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประสกรู้ว่าสำนักพุทธมีเมตตาเหลือล้น ประสกก็ต้องรู้ว่ายังมีเนตรพิโรธระดับเพชรอยู่ด้วย”
จอมยุทธ์ภิกษุรอบข้าง และชาวยุทธ์ตามหันไปมองสวี่ชีอันเป็นตาเดียว เพื่อดูว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร
สวี่ชีอันเตะร่างของจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนกระเด็นไปตกแทบเท้าจิ้งซิน เช่นเดียวกับที่เขาเตะร่างไร้วิญญาณของจอมยุทธ์ขั้นหกเมื่อครู่
ภิกษุจิ้งซินช้อนตัวของอีกฝ่ายขึ้นด้วยมือสองข้าง พยุงตัวจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนขึ้นมา หลังจากสำรวจอย่างละเอียดแล้ว เขาก็ขมวดคิ้ว
“มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถรักษาพิษในร่างของเขาได้ ให้ข้าเข้าวัดเสีย ไม่งั้นก็ปล่อยให้เขาตาย”
สวี่ชีอันยังคงวางท่าเป็นผู้สูงส่ง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ไม่ว่าศาสตร์ใดย่อมต้องมีมือหนึ่ง แต่สำนักพุทธไม่สันทัดในการรักษาพิษ ขอบเขตด้านยารักษาโรคเป็นสิ่งที่หมอผีตู๋กู่และโหรเชี่ยวชาญ ส่วนพวกลัทธิเต๋ารู้เพียงผิวเผิน
ชาวยุทธภพเหลยโจวที่นึกว่าสวี่ชีอันจะถูกกำราบจึงทำหน้าผิดหวังกันยกใหญ่ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว
มิน่าล่ะถึงส่งคนคืนให้อย่างง่ายดายนัก ที่แท้ก็มีที่พึ่งพิงจึงไม่กลัวนั่นเอง
ภิกษุจิ้งซินจ้องมองสวี่ชีอันด้วยแววตาล้ำลึก และเอี้ยวตัว ผายมือเป็นการเชื้อเชิญ
“ประสกเข้ามาในวัดได้ อาตมาจะเป็นผู้นำทาง พาเจ้าเข้าไปเอง”
สายตาแต่ละคู่หันไปมองสวี่ชีอันเป็นตาเดียว
พวกเจ้าคิดจะปิดประตูตีแมวกันชัดๆ…สวี่ชีอันเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ
เมื่อเห็นทางทีลังเลของเขา ภิกษุจิ้งซินก็เอ่ยถาม “อะไรกัน ประสกกลัวงั้นหรือ”
ถ้าข้าอายุน้อยกว่านี้สักสิบปี ป่านนี้ข้าคงหัวร้อนไปแล้ว… สวี่ชีอันเอามือไพล่หลัง และตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเจ้า ไม่โผล่หน้ามาอีกหรือ จะรอไปถึงเมื่อไร”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ก็มีเสียงหัวเราะอย่างจริงใจดังขึ้นมาจากบันไดหินเบื้องล่าง “คนแซ่หยางยินดีติดตามพี่ชายเข้าวัดไปด้วย”
ฝูงชนหันหลังไปมอง เห็นชายหนุ่มร่างสูงแปดฉื่อในชุดจิ้นจวง แบกดาบคู่บนหลังปีนขึ้นบันไดมา ตามหลังมาด้วยเหล่าสาวกที่สะพายดาบคู่มาด้วยเช่นกัน
“สำนักดาบคู่มาแล้ว”
ใครบางคนตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ
สายตาของสวี่ชีอันมองข้ามเจ้าสำนักดาบคู่ ไปตกอยู่ที่หญิงสาวที่เดินตามมาข้างหลังเขา นางมีรูปร่างสูงโปร่ง ริมฝีปากเอิบอิ่ม ดวงตาสดใส ใบหน้างดหยด เป็นสาวสวยเผ็ดแซ่บอย่างมาก
ชื่อ ชื่อ…หลิวอวิ๋น นางมาแล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองหลวง เคยได้พบเจอกับนางครั้งหนึ่ง
สวี่ชีอันนึกชื่อของคนงามออกช้าเหลือเกิน ทันใดนั้นก็หันไปมองเทพบุตรนิกายสวรรค์ ก็พบว่าไอ้หนุ่มเจ้าชู้ลอบยิ้มน้อยๆ พลางจ้องมองหลิวอวิ๋นด้วยสายตาชื่นชม
ในตอนนี้เอง ก็มีเสียงดังขึ้นจากป่าทึบ ตามมาด้วยเสียงกระทบกันของชุดเกราะ แม่ทัพหนุ่มผิวสีเข้ม ดวงตาสดใสก้าวออกมาจากพุ่มไม้
เขาสะพายหอกยาวไว้บนหลัง และคาดดาบยาวขนาดมาตรฐานไว้ที่เอว ดวงตาแข็งกร้าว ดุดัน แฝงกลิ่นอายสังหารตามฉบับทหารออกมา ในปากคาบฟางไปด้วย
“หลี่เส่าอวิ๋น แม่ทัพเจิ้นฝู่แห่งเหลยโจว”
เขายืนพิงหอกยาว กวาดตามองทุกคน และประกาศชื่อเสียงเรียงนามของตน
“ได้ยินว่าที่วัดซานฮัวมีสมบัติวิเศษ ที่สามารถทำให้ขั้นสี่ก้าวเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ได้ จึงอยากจะมาดูให้เห็นกับตา เจ้าลาหัวโล้น หากบังอาจขวางข้า ข้าจะเอาหอกแทงให้ตาย”
ทหารในเหลยโจวนิสัยโหดเหี้ยม แต่แม่ทัพขั้นสี่โหดเหี้ยมยิ่งกว่า
บ้าไปแล้ว…ชาวยุทธภพชำเลืองมอง คนผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นทหาร คำพูดคำจาโอหังจาบจ้วง ไม่ปิดซ่อนกลิ่นอายของตนเองแม้แต่น้อย
ยังไม่หมดเท่านี้ ผ่านไปอีกไม่นาน ก็มีเสียงเหยี่ยวร้องดังลงมาจากฟากฟ้า
เหยี่ยวหางแดงสิบกว่าตัวสยายปีกกว่าสามจั้งเจ็ดฉื่อ โฉบมาจากระยะไกล พวกมันโผบินเหนือฟากฟ้าของเขาจินกวง ก่อนจะร่อนลงอย่างช้าๆ
สองปีกกระพือเกิดแรงลมโหมกระหน่ำ พัดเอาฝุ่นและใบไม้ปลิดปลิวให้ลอยคละคลุ้ง
ฝูงชนเบื้องล่างต่างแตกกระเจิง เปิดพื้นที่โล่งกว้างให้เหยี่ยวหางแดงลงจอด
ทหารม้าที่นำหน้ามา สวมชุดเกราะ มีผิวสีเข้มเป็นเอกลักษณ์ของชาวเหลยโจว รูปร่างกำยำ ไว้หนวดเคราดกหนา
ตามหลังนกเหยี่ยวแดงที่อยู่ด้านหลังของเขา คือพลทหารที่อยู่ในชุดเกราะแบบเดียวกัน
หยวนอี้!
ผู้บัญชาการกองทัพเหลยโจว หยวนอี้
ชาวยุทธภพส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับทหารผู้เก่งกาจแห่งเหลยโจวผู้นี้บ่อยครั้ง ทีแรกก็ไม่มีใครจำเขาได้ จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งในฝูงชนเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
“นั่นมันผู้บัญชาการกองทัพหยวนอี้ไม่ใช่หรือ”
ทันใดนั้นก็เกิดความฮือฮาขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน มีข่าวลือมาว่าหยวนอี้ผู้บัญชาการเหลยโจวไปเยี่ยมเยียนจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน สอบถามเรื่องราวของสมบัติในวัดซานฮัว
ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงจริงๆ ด้วย
หยวนอี้มาเยือนที่นี่จริงๆ
ทันใดนั้นสถานที่แห่งนี้ก็คึกคักขึ้นมา ถือเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน
ยิ่งมียอดฝีมือมากเท่าไร สถานการณ์ก็ยิ่งวุ่นวายขึ้น โอกาสในการกวนน้ำจับปลาก็มีมากขึ้นตามไปด้วย
หยวนอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ เมินผ่านชาวยุทธ์ทั้งหลายไป เขาพยักหน้าให้เหวินเหรินเชี่ยนโหรวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเมื่อเห็นคนหนุ่มในชุดเกราะ ก็ชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะขมวดคิ้ว
“หลี่เส่าอวิ๋น เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร เป็นถึงแม่ทัพเจิ้นฝู่ ออกมาจากกองทัพโดยพลการเช่นนี้ ถือว่ามีโทษร้ายแรง”
ชายหนุ่มที่ยืนกอดหอกยาวยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ใต้เท้าผู้บัญชาการ ท่านอย่าเอายศมาข่มคนอื่นเลย ข้ามาชิงยาโลหิต หากข้าเลื่อนขั้นขึ้นเป็นขั้นสามเมื่อไร ตำแหน่งของท่านก็ต้องตกมาอยู่ในมือข้า
“ถ้าชิงมาไม่ได้ อย่างแย่ที่สุดก็แค่ทนถูกเฆี่ยนไม่กี่ร้อยที ไม่ก็ถูกปลดออกจากราชการ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ในฐานะทหารขั้นสี่ เขาเป็นที่พึ่งพามากที่สุด หากไม่ได้ทำความผิดร้ายแรง ทำตัวดื้อรั้นแต่พอเหมาะพอควร ราชสำนักและการทางย่อมปล่อยผ่านให้ได้
เขาไม่มีอะไรต้องกลัว
“ข้าว่าเจ้าคงอยากโดนเฆี่ยนสินะ”
หยวนอี้จ้องมองเขาไม่วางตา และตวาดลั่น “ยังไม่ไสหัวไปอีก”
หลี่เส่าอวิ๋นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างสำราญใจ
“ผู้บัญชาการหยวนอี้ ถังหยวนอู่เจ้าสำนักดาบคู่ หลี่เส่าอวิ๋นแม่ทัพเจิ้นฝู่แห่งฟางโจว ซ้ำยังมียอดฝีมือลึกลับในชุดสีดำ และจอมยุทธ์ขั้นสี่ของสมาคมการค้าเหลยโจว…”
“ตอนนี้มีจอมยุทธ์ขั้นสี่ถึงห้าคน และยังมียอดฝีมือขั้นห้าจำนวนเกินสองมือนับไหว มาดูกันซิว่าภิกษุวัดซานฮัวจะยังเหิมเกริมได้อีกหรือไม่”
“อย่าเพิ่งได้ใจไป เจ้าอาวาสกับประธานภิกษุวัดซานฮัวล้วนแต่เป็นนักพรต ซ้ำยังมีภิกษุนามว่าจิ้งซิน ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปอีก ดูท่าทางจะแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย ยอดฝีมือในวัดซานฮัวมีมากไม่ต่างจากเมฆเชียว”
“ก็ยังมีพวกเราอยู่ไม่ใช่หรือ ยอดฝีมือวัดซานฮัวที่ว่ามีมาก จะมากสู้พวกเราได้หรือ ที่ตีนเขายังมีคนที่ยังไม่ได้ขึ้นมาเหมือนกัน อีกประเดี๋ยวเจดีย์เปิด พวกเราก็ค่อยปีนขึ้นเขาเรียกพวกเขา เดี๋ยวพวกก็แห่มากันหมดแล้ว”
ระหว่างพูดคุยกันอยู่นั้น ฝูงชนก็เห็นภิกษุเฒ่าคิ้วและเคราหงอกขาว นำหน้ากลุ่มภิกษุเดินเข้ามา
“อมิตตาพุทธ ใต้เท้าผู้บัญชาการหยวน ไม่ได้พบเจอกันนานเลยนะ”
ผานหลงประนมมือเป็นการเคารพ
“ไต้ซือผานหลง”
หยวนอี้ประสานมือคำนับ
“ใต้เท้าผู้บัญชาการ ท่านมาในนามของทางการเหลยโจว เป็นตัวแทนของต้าฟ่งงั้นหรือ”
เจ้าอาวาสผานหลงเอ่ยถาม “ต้าฟ่งและสำนักพุทธเป็นพันธมิตรกัน ชาวยุทธ์เหล่านี้จะทำอะไรก็ไม่ใช่กงการของราชสำนักต้าฟ่ง แต่ท่านไม่ใช่ กลับไปเสียเถิด”
หยวนอี้ส่ายหน้า “ข้าติดอยู่ในขั้นสี่มาหลายปีนัก ไม่อาจทะลวงระดับได้สักที ได้ยินมาว่าวัดซานฮัวมียาโลหิต จึงมาขอแบ่งปัน สงครามด่านซานไห่เมื่อครั้งนั้น ต้าฟ่งเองก็เสียสละมามาก ไม่มีเหตุผลอันใดที่สำนักพุทธจะยึดโลหิตเม็ดนี้ไว้เป็นของคนแต่เพียงผู้เดียว
“อีกทั้ง ข้ามาในนามส่วนตัว มีแต่คนสนิทติดตามมาด้วยเท่านั้น ไม่ได้นำกองทัพมาด้วย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก”
เจ้าอาวาสผานหลงเอ่ยพระนามพระพุทธเจ้าอีกครั้ง ก่อนจะกล่าว “อาตมาอุตส่าห์เจรจากับพวกโยมอย่างจริงใจ แต่ในเมื่อพวกโยมไม่ฟัง เช่นนั้นก็ช่างเถิด”
เขาไม่พูดให้มากความอีก
แต่แล้วทุกคนก็ได้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งแบกเกี้ยวไร้หลังคาออกมาจากในวัด เกี้ยวนั้นมีม่านห้อยลงมา และมีสองสาวฝาแฝดนั่งอยู่ข้างใน
สาวงามหนึ่งในนั้นหัวเราะคิกคักออกมา
“ไต้ซือเจ้าอาวาส ถ้าอย่างนั้นหล่อยให้พวกเราสองพี่น้องจัดการสังหารหยวนอี้แทนท่านจะดีกว่า หากราชสำนักต้าฟ่งสอบสวนขึ้นมาก็ไม่เกี่ยวข้องกับท่าน ถ้าหากว่าต้าฟ่งกล้าสอบสวนสำนักพุทธน่ะนะ”
หยวนอี้หรี่ตามอง
หลี่หลิงซู่ก้มศีรษะลง และแยกตัวออกไปจากสวีเชียนทันที
ชายผู้นี้ต่อสู้ไม่ได้ แค่เข้าไปเตะทีหนึ่ง เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว
เมื่อเห็นชายในชุดสีดำ สองที่น้องตงฟางก็เหลือบมองโดยไม่รู้ตัว หลังจากพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว ก็เสมองทางอื่นและเลิกสนใจไปเสีย
แค่สวมชุดสีดำเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ชายที่พรากชีวิตคุณชายหลี่ที่ผิงโจวไป
“นางแพศยา!”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวระเบิดโทสะ ก้าวขึ้นมาข้างหน้า และชี้นิ้วด่าสองพี่น้องตงฟาง
ตงฟางหว่านหรงหลุดยิ้ม นางหรี่ตาจ้องมอง และเอ่ยอย่างเนิบช้า “แม่นางท่านนี้ พวกเรารู้จักกันด้วยหรือ”
ตงฟางหว่านชิงจ้องมองครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเย้ยหยัน
“อ้อ นางแพศยาที่ไอ้ผู้ชายไม่รักดีคนนั้นมันหนีไปกกด้วยอย่างไรเล่า ท่านพี่ท่านเคยพบเจอนางตอนที่ติดตามเบาะแสคำทำนายเมื่อตอนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะนางแพศยานี่มียอดฝีมือล้อมกาย ตอนที่ไล่ตามไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นไป ท่านคงจะสังหารนางไปนานแล้ว”
เมื่อพูดจบ ผ้าม่านก็เปิดออก ตงฟางหว่านชิงกลายร่างเป็นเงาดำ พุ่งตัวเข้าไปหมายสังหารเหวินเหรินเชี่ยนโหรว
สีหน้าของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไปทันที ในขณะที่กำลังจะเข้าไปขวาง ขุนนางต่างถิ่นขั้นสี่ที่อยู่ข้างกายเหวินเหรินเชี่ยนโหรวกลับเร็วกว่า เขาก้าวไปข้างหน้าสิงสามก้าว และผลักนางออกด้วยสองมือ
‘ตู้ม!’
พลังปราณปะทะกันส่งเสียงดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า ฝุ่นตลบ ต้นไม้รอบด้านก็ดูเหมือนจะเอียงเอนไปตามแรงลมกระโชก
เหล่าวีรบุรุษนักรบทั้งหลายต่างซวนเซ ก้าวถอยไปด้านหลัง
สีหน้าของขุนนางต่างถิ่นขั้นสี่ซีดเผือดไปทันที จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เขากลืนเลือดที่ไหลขึ้นมาจุกคอลงไป
ฝ่ายตงฟางหว่านชิง กลับหย่อนตัวลงบนเกี้ยวอย่างนวดนาด โดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี
ขั้นสี่ก็มีแบ่งแยกผู้แข็งแรงและอ่อนแอเช่นกัน
“ปะ เป็นขั้นสี่เหมือนกันหรือ”
“ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าท่านขุนนางของสมาคมการค้าเหลยโจวเสียอีก”
“ชิ…สองพี่น้องคู่นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่”
“ไม่ใช่ยอดฝีมือแห่งยุทธภพเหลยโจวนี่”
เมื่อประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของสองพี่น้องตงฟาง ฝูงชนทั้งหลายก็หัวใจหล่นวูบ สองพี่น้องคู่นี้เป็นยอดฝีมือของวัดซานฮัวแน่แท้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยอดฝีมือขั้นสี่ของสองฝั่งก็มีจำนวนเท่ากันแล้วสิ
หยวนอี้ หลี่เส่าอวิ๋น รวมถึงเจ้าสำนักดาบคู่ ยอดฝีมือขั้นสี่ทั้งสามท่านมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ที่แท้วัดซานฮัวก็มีพันธมิตรอยู่แล้วนี่เอง มิน่าเล่าถึงได้จองหองพองขน ไม่กลัวใครถึงขั้นนี้”
ผู้บัญชาการหยวนอี้กล่าวพึมพำ
ภิกษุจิ้งซินกลับหลังหัน ประนมมือคำนับไปทางวัด
“ท่านอาจารย์อาตู้หนานโปรดขับไล่ผู้คนที่น่ารังเกียจเหล่านี้ด้วยเถิดขอรับ”
ตงฟางหว่านหรงยิ้มอย่างสำราญใจ “ขอท่านผู้เฒ่าอีเอ๋อร์ปู้ช่วยขับไล่ผู้คนน่ารังเกียจเหล่านี้ออกไปด้วยเถิด”
ทันทีที่ทั้งสองเอ่ยขึ้น ก็ทำให้ให้เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าแห่งเหลยโจวตกอยู่ในความงุนงง ในขณะเดียวกันหัวใจของพวกเขาก็จมดิ่ง
ทันใดนั้น กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวสองแห่งก็ทะลักออกมา กลิ่นอายด้านหนึ่งมาจากภายในวัดซานฮัว อีกด้านหนึ่งมาจากป่าทึบด้านซ้ายมือ
วินาทีที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงทั้งสอง ในหัวของทุกคนปรากฏคำสองคำขึ้นมา ‘เหนือมนุษย์’!
กลิ่นอายที่แข็งแกร่งเหนือมนุษย์
แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะไม่เคยสัมผัสกับขั้นสามมาตลอดชีวิต แต่ด้วยแรงกดดันเข้าขั้นเป็นภัยคุกคามต่อชีวิต ก็ทำให้พวกเขารู้ถึงระดับขั้นของอีกฝ่ายได้โดยปริยาย
ตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไป เป็นขั้นที่เหนือมนุษย์ ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับมนุษย์ปุถุชนอีกต่อไป
“มาจากวัดซานฮัวในรัศมีห้าสิบลี้”
ภายในวัดมีเสียงคำรามเลื่อนลั่นราวกับฟ้าผ่า
ทุกคนที่ได้ยินเสียงดังกล่าว ปราณโลหิตในทรวงอกก็เดือดพล่าน เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมา
สิงโตคำรามสำนักพุทธ จอมยุทธ์ภิกษุขั้นสามสำแดงสิงโตคำรามสำนักพุทธ
นี่ยังถือว่าปรานีต่ออีกฝ่ายมากแล้ว หากคำรามจนสุดเสียง ตั้งแต่ขั้นหกลงไปต้องตายคาที่ ตั้งแต่ขั้นสี่ลงไป จิตใจจะเกิดความสับสน
กลิ่นอายจากอีกด้านยังไม่ได้เอ่ยปาก ก็หอบแรงกดดันขนาดใหญ่มาสู่ทุกคนได้เช่นกัน เป็นแรงที่กดทับร่างกายและจิตใจหนักหน่วงเป็นสองเท่า
เหล่าผู้กล้าแห่งเหลยโจวต่างตัวสั่นงันงก ส่วนยอดฝีมือขั้นสี่อย่างหยวนอี้ก็สภาพไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก ไม่ว่าจะไปอยู่ที่มณฑลใด ขั้นสี่ก็ถือว่าเป็นเจ้าแห่งขุนเขา
ในเมื่อเผชิญหน้ากับขั้นสามที่เหนือมนุษย์นั้น ความสามารถของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากจอมยุทธ์ชั้นกเฬวราก
เหมือนเอาแมลงหวี่มาสู้กับหนู
เมื่อเห็นจอมยุทธ์แห่งเหลยโจวทั้งหลายต่างหน้าถอดสี ท่าทางหวาดกลัวจับใจ เหล่าภิกษุวัดซานฮัวก็คลี่ยิ้ม และประนมมือขึ้นอย่างสบายใจ
“นะ นี่มัน…ขั้นสามสองคนหรือ”
“อนิจจัง ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่มีวาสนากับสมบัตินั่นเสียแล้ว”
“ขั้นสามไร้เทียมทาน ไม่อาจพิชิตได้”
ในสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าวีรบุรุษผู้กล้าต่างรู้สึกท้อแท้
อย่าว่าแต่ขั้นสามสองคนเลย แค่คนเดียวก็เพียงพอจะทำลายพวกเขาให้ตายเรียบได้แล้ว
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงสมบัติ ต้องเห็นความหวังก่อนถึงจะต่อสู้มาได้ แต่นี่เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วจะสู้ไปเพื่ออะไร เก็บชีวิตอันต่ำต้อยกลับไปกกกอดแม่นางในหอนางโลมไม่ดีกว่าหรือ
เจ้าสำนักดาบคู่ถอนหายใจเบาๆ
หยวนอี้กล่าวเรียบๆ
“ดูเหมือนว่ายาโลหิตที่อยู่ในเจดีย์จะมีจำนวนมาก และบริสุทธิ์กว่าที่พวกเราคิด คนที่อยู่ในป่าคือปราชญ์วิญญาณแห่งสำนักพ่อมดสินะ พ่อมดมีกลิ่นอายเฉพาะตัว ข้ามองไม่ผิดแน่
“สำนักพ่อมดเพิ่งจะทำสงครามกับต้าฟ่งของเราไป สำนักพุทธก็มาผูกมิตรกับสำนักพ่อมดทันทีเช่นนี้ คงไม่เห็นราชสำนักต้าฟ่งของเราอยู่ในสายตาเลยสิท่า”
ตู้หนานกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ราชสำนักต้าฟ่ง? ในราชสำนักไม่มีจอมยุทธ์ขั้นสามแม้แต่คนเดียว ถดถอยลงยิ่งกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนเสียด้วยซ้ำ”
เทพอารักษ์สำนักพุทธกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน เผยความรู้สึกสมเพชต่อต้าฟ่งอย่างยิ่ง
สำนักพุทธระดับสูงส่วนใหญ่ล้วนไม่เห็นต้าฟ่งในสายตา เพราะต้าฟ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหมาขี้เรื้อน
เมื่อหกร้อยปีก่อน จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งก็กลายเป็นหมาขี้เรื้อน ละทิ้งสำนักพ่อมด
เมื่อสามร้อยปีก่อน ลัทธิขงจื๊อและราชสำนักก็กลายเป็นหมาขี้เรื้อน กวาดล้างศาสนาพุทธทางตอนกลางของดินแดนอย่างไร้เหตุผล
เทพอารักษ์สำนักพุทธเป็นจอมยุทธ์ภิกษุ และเป็นจอมยุทธ์ภิกษุที่อารมณ์ร้าย ตรงไปตรงมา เกลียดก็คือเกลียด
หยวนอี้หน้าถอดสี แต่ก็ไม่กล้าจะต่อกรกับอีกฝ่าย เมื่อดูจากพลังแผ่นดินของต้าฟ่งในตอนนี้แล้ว ทำให้ไม่กล้าจะแข็งขืนกับสำนักพุทธเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ระดับเพชรขั้นสามแห่งสำนักพุทธผู้นั้นจะอัดเขาจนเละเป็นโคลน อย่างมากราชสำนักก็ทำได้เพียงแค่ตำหนิและประณามเท่านั้น
แต่การถูกทำให้อับอายขายขี้หน้าโดยระดับเพชรขั้นสาม และยังตัดโอกาสชิงสมบัติมาเป็นของตัวเอง ก็ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เช่นกัน
หลิวอวิ๋นที่อยู่ข้างหลังถังหยวนอู่เจ้าสำนักดาบคู่ ตอบโต้อย่างเหลืออด “ใครบอกว่าต้าฟ่งของเราไม่มีขั้นสามล่ะ หากฆ้องเงินสวี่แห่งต้าฟ่งอยู่ที่นี่ ท่านผู้อาวุโส ท่านจะกล้ากล่าววาจาจาบจ้วงเช่นนี้หรือไม่”
ระดับเพชรที่อยู่ในวัดนิ่งเงียบ ดูเหมือนรำคาญที่จะตอบ
ในป่าทึบ มีเสียงเยาะเย้ยแว่วมา “ไอ้คนแซ่สวี่กลายเป็นเศษสวะไปแล้ว มีอะไรต้องเกรงกลัว”
หลิวอวิ๋นเลือดขึ้นหน้า ก้าวออกมาข้างหน้า และตะโกนเสียงดังลั่น
“ต่อให้ท่านผู้อาวุโสเป็นปราชญ์วิญญาณแห่งสำนักพ่อมด ข้าน้อยก็ไม่อนุญาตให้ท่านใส่ร้ายฆ้องเงินสวี่เด็ดขาด”
เหล่าวีรบุรุษแห่งเหลยโจวที่ขวัญกำลังใจตกต่ำถึงขีดสุด ต่างลุกฮือขึ้นมาประท้วง ราวกับเห็นแสงสว่างสุดท้าย
ปราชญ์วิญญาณในป่าลึก กล่าวแกมหัวเราะ “เจ้ากล้าประดาบกับข้าหรือ”
เรียวคิ้วมุ่งมั่นกล้าหาญของหลิวอวิ๋นกดต่ำลง “เหตุใดถึงไม่กล้าเล่า”
นางเอื้อมมือไปข้างหลัง คว้าด้ามดาบในมือ ขณะที่ดึงออกมา ดาบของนางก็เหมือนกับเป็นสนิมเขรอะจนดึงออกจากฝักไม่ได้ ไม่ว่านางจะออกแรงจนหน้าดำหน้าแดงยังไง ก็ไม่มีทางดึงดาบคู่ออกมาได้เลย
“หึ!”
ปราชญ์วิญญาณแค่นเสียงเย็นชา
หลิวอวิ๋นคุกเข่าลงไปกองกับพื้น ราวกับถูกฟ้าผ่า และกระอักเลือดออกมา
ปราชญ์วิญญาณกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบดังมาจากในป่า “ท่านเทพอารักษ์ตู้หนาน หากท่านไม่สะดวกใจจะลงมือเพราะพันธสัญญา ปล่อยให้ข้าจัดการเองเถิด ข้าจะช่วยท่านกำจัดปลาสกปรกพวกนี้ให้เอง ดีเหมือนกัน ข้าจะได้เอากลับไปฝึกเป็นทหารผีดิบที่เมืองจิ้งซานด้วย”
ครืน…เหล่าวีรบุรุษก้าวถอยหลังไปตามกัน
“จะฆ่าพวกเราทั้งหมดงั้นหรือ โอหังเสียเหลือเกิน! เป็นเพียงปราชญ์วิญญาณแท้ๆ คิดว่าตัวเองเป็นเทพพ่อมดหรือไร”
ท่ามกลางความโกลาหล จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
ทุกคนหันขวับไปมองชายในชุดสีดำผู้นั้น ราวกับมองคนโง่เง่า
พูดจาสามหาวกับปราชญ์วิญญาณแห่งสำนักพ่อมดเช่นนี้ สงสัยไม่อยากมีชีวิตยืนยาวเสียแล้วกระมัง
คิดว่าเขาไม่กล้าลงมือหรือไร?
สำนักพ่อมดกับต้าฟ่งเป็นศัตรูคู่แค้น สังหารคนได้ไม่มีใจอ่อน
เจ้าอยากตาย ก็อย่าลากพวกเราไปเกี่ยวด้วยสิ
ดวงตาของหลี่หลิงซู่สว่างวาบ ในใจคิดว่าเอาแล้ว เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าตนนี้กำลังจะระเบิดแล้วสิ
คนอื่นอาจจะมองยอดฝีมือขั้นสามเป็นเทพเจ้า แต่หลี่หลิงซู่รู้ดีว่าเจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าสวีเชียนผู้นี้ เป็นปรมาจารย์ลึกลับที่เคยเล่นหมากรุกชนะท่านโหราจารย์มาก่อน
…………………………………………………..