ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 522 ภาระหน้าที่อันแสนยากเย็น
บทที่ 522 ภาระหน้าที่อันแสนยากเย็น
สวี่ชีอันลองวิ่งเบาๆ ซึ่งราบรื่นไร้อุปสรรค ‘ประหนึ่งเดินเหินบนที่ราบ’ จากนั้นเขาก็สลัดความคิดเรื่องพุทธบุตรออกจากหัวไป อย่างไรพระโพธิสัตว์หลิวหลีโฉมสะคราญองค์นั้นก็ถูกจัดการโดยท่านโหราจารย์แล้ว ในสองสามปีนี้จึงไม่มีทางหนีออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาได้อยู่ดี
ถึงแม้ว่าผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร หรือกระทั่งพระอรหันต์องค์อื่นๆ จะคุกคามตน แต่ตราบใดที่รู้จักการคดเคี้ยว อ้อมทางเสียบ้าง และคอยหลีกเลี่ยงอันตราย พระอรหันต์ก็มิได้น่ากลัวขนาดนั้น
ในเมื่อเอาชนะไม่ได้ ก็ยังพอที่จะหลบหนีได้
ในทางกลับกันการเผชิญหน้าพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้เป็นยอดฝีมือแห่งความว่องไวและการควบคุมนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็หลบหนีไม่พ้น
ขณะเดียวกันนั้น ฝ่ายหลิวอวิ๋นก้าวย่างอย่างยากลำบาก หลังจากเดินมาถึงเส้นทางที่มีรูปปั้นทองคำพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์เรียงรายอยู่ทั้งสองข้าง ก็พลันเกิดแรงกดดันอันมหาศาลจากฟากฟ้า ซึ่งแรงกดดันที่ยากจะอธิบายนี้ไม่ได้กระทบร่างกาย แต่กระทบกับภายในจิตใจของผู้คน
แต่ละฝีก้าวเริ่มคล้อยตามกับศาสนาพุทธมากขึ้นทีละนิด ราวกับถูกล้างสมองอย่างช้าๆ
สาเหตุที่ก้าวเดินได้อย่างยากลำบาก ก็เพราะความคิดเดิมกำลังขัดแย้งต้านทานกับความคิดอื่นๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาอีกครั้ง
ตราบใดที่คือสิ่งมีชีวิตอันมีสติปัญญาเป็นของตน ก็ย่อมต่อต้านการล้างสมองตามสัญชาตญาณ
สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปตามอย่างนางคาดการณ์ไว้ ด้วยความที่เป็นกองกำลังยุทธภพท้องถิ่นแห่งเหลยโจว นางจึงเคยได้พูดคุยกับ ‘ผู้ศรัทธา’ ไม่น้อยที่ปรารถนาจะละทิ้งทางโลกเข้าประตูแห่งธรรม แม้ว่าสุดท้ายแล้วเหล่าผู้ศรัทธานี้จะล้มเหลว แต่หลังพวกเขาออกมาจากเจดีย์พุทธะ กลับศรัทธาอย่างแรงกล้ายิ่งกว่าเก่า
“หากข้าลองรับ ‘การปลูกฝัง’ นี้ดู และคิดที่จะยอมรับความรู้สึกคล้อยตามนี้ การทำเช่นนี้อาจทำให้ความเร็วของข้าว่องไวขึ้นบ้างไหมนะ?”
จากนั้นนางจึงลองพยายามไม่ต่อต้านมัน ก็พลันประหลาดใจระคนดีใจที่ค้นพบว่า ความเร็วไวขึ้นเล็กน้อยอย่างที่คาดไว้จริงๆ
เมื่อได้ข้อสรุปจากไหวพริบอันเลิศล้ำ การใช้ใจค่อยๆ ยอมรับแนวคิดแห่งพุทธ บางทีอาจจะทำให้ความเร็วว่องไวขึ้น แต่หัวใจหลักกลับเป็นสิ่งอื่น เพราะความเร็วของนางไวขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมายอันใด
ส่วนหัวใจหลักคืออะไรนั้น หลิวอวิ๋นก็ยังไม่เข้าใจ
ขณะนั้นเอง สายตาของนางก็เหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งผ่านข้างกายนางไป
‘เร็วขนาดนี้เชียวรึ?’
นางพลันตกอยู่ในภวังค์ พลางมองด้วยความตะลึง
“ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนนะ!” สวี่ชีอันที่รู้สึกถึงสายตาของนาง ก็ผงกศีรษะอย่างนิ่งเรียบ ก่อนจะเดินจากไปไกลอย่างเงียบๆ
ขณะมองร่างของเขาที่อยู่ไกลออกไปนั้น ในสมองของหลิวอวิ๋นก็คิดเพียงว่า ‘ดูเดินสบายใจประหนึ่งอยู่ลานบ้าน’
นางค่อยๆ เปิดปากกว้าง พร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลง
“ไม่โดนผลกระทบอันใดเลยหรือ? ปะ…เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่มีผลกระทบเลย กระทั่งพระภิกษุแห่งสำนักพุทธ ก็ยังได้รับแรงกดดันอยู่ชัดๆ แต่เขากลับดูเหมือนเมื่อยามปกติ”
ในหัวของหลิวอวิ๋นสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด
ขณะนั้นเอง สวี่ชีอันก้าวแซงหน้าคนพื้นที่เหลยโจวคนแล้วคนเล่า รวดเร็วปานขี่ม้าจนฝุ่นตลบ ส่งผลให้พวกเขาตกตะลึงอ้าปากค้างไป
เหล่าบุรุษทั่วไปที่กำลังก้าวเดินอย่างตั้งใจนั้น ก็ถึงกับเหม่อลอยเมื่อได้เห็นภาพฉากนี้
“นะ…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเราไม่ได้เดินทางเดียวกันหรือ ทำไมเขาถึงดูสบายใจขนาดนี้”
ด้วยเหตุนี้คนจำนวนมากจึงหยุดเดินแล้วยืนมองแทน พร้อมกับแสดงความคิดเห็นด้วยความประหลาดใจ
ผู้คนด้านหน้าที่ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนด้านหลังนี้ ก็ได้แก่ หยวนอี้ หลี่เส่าอวิ๋น สองสาวพี่น้องตงฟาง และเจ้าสำนักดาบคู่ถังหยวนอู่
เนื่องจากพวกเขาอยู่ช่วงตรงกลาง จึงสามารถได้ยินเสียงพูดคุยที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของคนด้านหลัง
สองสาวพี่น้องตงฟางเกิดความสงสัยจึงหันศีรษะกลับไปดู จากนั้นใบหน้างามก็พลันเปลี่ยนสี เพราะสิ่งที่สายตาเห็นนั้น คือชายชุดสีครามอมดำกำลังค่อยๆ ก้าวย่างเข้ามาอย่างสบายง่ายดาย ไม่สะทกสะท้านอันใด
“เอ๊ะ?”
หลี่เส่าอวิ๋นที่กำลังถือหอกยาวนั้นหันหลังกะทันหัน แล้วกวาดหอกเป็นแนวขวาง ซึ่งผู้บัญชาการหยวนอี้ที่อยู่ข้างกายก็ลดศีรษะลง เพื่อหลบหอกที่โจมตีมา
เขากำลังจะต่อว่าผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ ทว่าเมื่อมองตามสายตาของอีกฝ่าย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงทันใด
จังหวะนั้นเองสองพี่น้องตงฟาง หยวนอี้ และถังหยวนอู่พากันจับจ้องทันที
สวี่ชีอันเดินต่อเนื่องโดยไม่หยุด ก็ตอบอย่างราบเรียบเพียงประโยคเดียว “พรสวรรค์สามารถแบ่งปันกันได้ด้วยหรือ”
หลี่เส่าอวิ๋นถึงกับอ้าปากค้าง ไร้คำพูดจะโต้เถียง
จนกระทั่งชายชุดสีครามอมดำเดินจากไปไกล เขาถึงพึมพำขึ้นมาว่า “แม่เจ้า นี่คือคุณสมบัติของผู้เกิดมาเพื่อเป็นพระภิกษุเลย”
คุณสมบัติของผู้เกิดมาเพื่อเป็นพระภิกษุบ้าอะไร…สวี่ชีอันเบ้ปาก พร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
หยวนอี้หรี่ตามอง โดยสายตาจดจ้องอยู่ที่สองเท้าของเขาอย่างต่อเนื่อง แล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มว่า “ไม่มีการหยุดชะงักเลย ทำได้อย่างไรกันนะ”
ตงฟางหว่านชิงขมวดคิ้วงาม “ท่านพี่ คนผู้นี้มีบางอย่างที่ดูแปลกๆ นะ”
ตงฟางหว่านหรงตอบ “อืม” ด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วส่งกระแสจิตว่า “เขาคงไปถึงชั้นสองเร็วกว่าภิกษุของวัดซานฮัวก้าวหนึ่ง แต่ไม่เป็นไร พระภิกษุแห่งสำนักพุทธได้บอกไว้ว่า บริเวณชั้นสองโดนพลังของท่านอาจารย์กัดกร่อนมาก่อน เขาอาจติดกับดักอยู่ที่นั่น”
“แต่จะให้เขาแซงหน้าพวกเราง่ายๆ ไม่ได้นะ”
ตงฟางหว่านส่ายหน้า “เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือ ภายในเจดีย์มีคาถา จึงยากจะกระทำการใดๆ อย่างน้อยที่แน่ๆ คือชั้นแรกมีคาถา เจดีย์พุทธะคืออาวุธเวทมนตร์ที่สักการะอัฐิธาตุและคุมขังยอดฝีมือ หากสามารถลงมือได้โดยง่าย แล้วจะคุมขังยอดฝีมือได้เช่นนี้หรือ?”
ทันใดนั้นเองตงฟางหว่านชิงเปล่งเสียงกล่าว “ไต้ซือจิ้งซิน ลองมองที่ด้านหลังท่านสิ”
‘ด้านหลังหรือ?’ เหล่าพระภิกษุที่อยู่ข้างหน้าหันหน้ากลับมามอง ดวงตาของพวกเขาดูเบิกโพลงเล็กน้อย ทั้งแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อค้างอยู่บนใบหน้านั้น
แม้กระทั่งจิ้งซินและผู้นำนิกายฉานซือเหิงอิน ก็ยังเกิดความรู้สึกเหลือเชื่อขึ้นภายในใจ
ภายใต้ ‘การเฝ้าดู’ ของพระโพธิสัตว์กับเทพอารักษ์แห่งพุทธศาสนา มีคนนอกคนหนึ่งเดินเหินได้อย่างสบายใจทั้งอิสรเสรี ในทางตรงกันข้ามนั้น พวกเขาเหล่านี้ที่เป็นลูกศิษย์ของสำนักพุทธกลับ ‘สอดส่องทุกย่างก้าว’ และได้รับแรงกดดันอันหนักหน่วงอีก
“โยมคือใครกัน?” จิ้งซินหยุดชะงักฝีเท้า มองไปทางสวี่ชีอันที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ตอนนั้นเองพระทุกองค์ต่างจับจ้องที่เขา
ข้าคือชายผู้ที่สำนักพุทธของพวกเจ้าไม่มีวันได้ไปครองไงเล่า…สวี่ชีอันตอบโดยที่เท้าไม่ได้หยุดเดินแต่อย่างใด “จอมยุทธ์แห่งต้าฟ่ง”
จากนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็เดินสวนผ่านกันไป
เหล่าพระแห่งสำนักพุทธมองตามหลังเขาอย่างงุนงง
พระภิกษุจิ้งซินดึงสายตากลับ ก่อนจะมองดูลูกทรงกลมที่เกิดจากการควบแน่นของหยาดน้ำตาอสูรคันฉ่องในมือ
‘ท่านอาจารย์อาตู้หนาน คงได้เห็นภาพฉากเมื่อครู่นี้แล้ว’
…
ณ ด้านนอกเจดีย์
เสียงของอีเอ๋อร์ปู้ดังก้องกังวาน “ตู้หนาน คนคนนี้คือใครกัน เหตุใดถึงสามารถก้าวย่างได้อิสรเสรีภายในเจดีย์พุทธะเช่นนี้?”
เจ้าอาวาสผานหลงถือรัตนชาติในมือ พลางแสดงความจริงจังบนใบหน้าชราที่เต็มไปด้วยริ้วรอย
ทันใดนั้นเองอุณหภูมิรอบตัวพลันสูงขึ้นเท่าตัว พร้อมกับเกิดคลื่นความร้อนพัดผ่าน จากนั้นเงาร่างของเทพอารักษ์ตู้หนานก็ปรากฏขึ้นที่ข้างกายเจ้าอาวาสผานหลงทันใด ก่อนจะเอื้อมมือคว้ารัตนชาติจากอีกฝ่าย และจ้องมองอย่างเงียบๆ
มู่หนานจือพินิจมองตู้หนานที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันด้วยความสงสัยใคร่รู้ พระองค์นี้สูงเก้าฉื่อ รูปร่างตัวโตกำยำ และมีวงแหวนไฟที่ไม่มีวันมอดดับส่องสว่างอยู่ด้านหลัง
นี่คือผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรแห่งสำนักพุทธรึ?
เจ้าจิ้งจอกขาวตัวน้อยขดตัวอยู่ในอ้อมอกของนาง ก็เอ่ยขึ้นด้วยร่างที่สั่นเทาว่า “ระ…ร้อนจัง…ระ…ร้อนมาก”
มู่หนานจือกอดจิ้งจอกขาวตัวน้อยแน่นกว่าเดิม ก่อนจะค่อยๆ ถอยหลังทีละก้าว จนกระทั่งเจ้าร่างตัวเล็กหยุดสั่นเทิ้มลง
เทพอารักษ์ตู้หนานจ้องมองพลางกล่าว “ชั้นแรกของเจดีย์พุทธะมีพลังคาถา ส่วนของวิเศษไม่ได้มีปัญหาอันใด ที่เป็นปัญหาก็คือโยมผู้นี้ การที่สามารถเดินเหินอิสระบนชั้นหนึ่งได้เช่นนี้ ก็มีแต่ผู้ที่ควบคุมคาถาได้เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์เท่านั้น แม้แต่ตัวข้าเองหากเข้าไปที่แห่งนั้น ก็ยังได้รับผลกระทบเลย”
อีเอ๋อร์ปู้ทำเสียงฮึดฮัด ก่อนจะพูด “เจ้าจะบอกว่า คนคนนี้คือพระโพธิสัตว์ไม่ก็พระอรหันต์หรือ?”
ตู้หนานส่ายหน้าเบาๆ “ยามที่พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้นำเจดีย์พุทธะมาตั้งในสถานที่แห่งนี้ ได้กำหนดข้อห้ามเอาไว้ ผู้มีฝีมือขั้นสี่ขึ้นไปห้ามเข้า พระอรหันต์ก็เข้าไม่ได้ พระโพธิสัตว์ที่คิดอยากจะเข้า จึงคิดหาวิธีทำลายกฎข้อห้ามเพียงอย่างเดียว”
“แล้วมันอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างไร?” อีเอ๋อร์ปู้ถาม
เทพอารักษ์ตู้หนานนิ่งเงียบ ทว่าในใจของเขากลับเกิดการคาดเดาหนึ่งผุดขึ้นมา ‘อาจจะเป็นพระอรหันต์ที่กลับชาติมาเกิด แล้วมีความสัมพันธ์ในด้านเหตุและผลกับพุทธศาสนา เช่นนี้จึงสามารถฝ่าคาถา จนย่างกรายไปถึงหน้าพระพุทธรูปทองคำได้’
อีเอ๋อร์ปู้สงบจิตใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ช่างเถอะ โชคดีที่เขายังไม่ผ่านชั้นสอง”
เมื่อหลี่หลิงซู่ได้ยินบทสนทนาของผู้วิเศษสองคนจากที่ไกล ก็ทำหน้าตาบูดบึ้งพลางคิดว่า ‘ชายชรานามสวีเชียนผู้นี้ คือใครกัน? แล้วมีความสัมพันธ์อะไรกับพุทธศาสนา? ซ้ำยังมีความสัมพันธ์กับสำนักโหราจารย์ที่ดูไม่ธรรมดา มีเคล็ดวิชากู่ติดตัวมากมาย มาตอนนี้ก็สงสัยอีกว่าเขาจะมีต้นกำเนิดที่ยิ่งใหญ่ในทางพุทธศาสนา ตกลงเขาเป็นใครกันแน่นะ…’
…
ผ่านไปไม่นาน สวี่ชีอันก็เดินมาถึงหน้าพระพุทธรูปทองคำอย่างราบรื่น แล้วเงยหน้ามองพระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ดุจภูเขาแสนโอ่อ่านี้
“เจดีย์พุทธะมีสามชั้น ชั้นแรกคือการประเมินความสามารถผู้คน ซึ่งไม่ได้ยากมากนัก สิ่งอันตรายก็แทบไม่มี เช่นนั้นแล้ว ในชั้นที่สองและสาม อาจจะปิดผนึกเสินซูและเป็นที่อยู่ของน่าหลันเทียนลู่ก็ได้
“ข้าต้องแย่งชิงปราณมังกร และต้องคลายผนึกเสินซู อีกทั้งยังต้องห้ามให้พวกเขาปล่อยน่าหลันเทียนลู่ออกมา ภาระหน้าที่หนักหนาเสียจริง…
“ควรเก็บรวบรวมปราณมังกรที่ติดมากับของวิเศษอย่างไรดีนะ? คงสังหารของวิเศษไม่ได้หรอกกระมัง ส่วนของวิเศษจากพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง สุดท้ายมองดูอย่างไรก็โดนสังหารด้วยความแค้นอยู่ดี”
สวี่ชีอันไม่ได้เร่งรีบไปยังชั้นสอง กลับเงยหน้ามองรูปปั้นทองคำด้วยท่าทีเหม่อลอย เสมือนภายในสมองกำลังเปลี่ยนความคิดไปมาอย่างรวดเร็ว
เขายื่นมือเข้าไปในอ้อมอกอย่างนิ่งเงียบ คว้าจับเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี แล้วอ่านสิ่งดังกล่าว ลองพยายามใช้สัจคาถาที่ท่านโหราจารย์เคยสอนเขาไว้ โดยดูดคุณสมบัติเด่นของปราณมังกรและชะตาของชาติ ทั้งยังเสริมด้วยเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เพื่อดูดปราณมังกร
ช่างน่าเสียดายที่ต้องผิดหวัง
ปราณมังกรไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งที่มีความเกี่ยวพันกับเจดีย์ แต่ก็ยังเมินเฉยต่อการเรียกของเขา
“สถานะของเจดีย์พุทธะสูงส่งเกินไปหรือ? แต่สำนักพุทธมายังที่แห่งนี้ก็เพื่อปราณมังกรเช่นเดียวกัน แต่ตัวเราสามารถลอบสังเกตการณ์ รอเป็นชาวประมงได้รับผลประโยชน์ก็ได้ ทว่าในทางกลับกันทั้งการคลายผนึกเสินซูและขัดขวางการปล่อยตัวน่าหลันเทียนลู่ สองเรื่องนี้ก็ยังค่อนข้างลำบากพอตัวอยู่
“เรื่องแรก ศิษย์พี่รองเคยสอนสัจคาถาคลายผนึกแก่ตัวเราแล้ว แต่ถึงจะสามารถคลายผนึกของท่านโหราจารย์ได้ ก็ไม่อาจคลายผนึกบนตัวเจดีย์พุทธะได้อยู่ดี เรื่องต่อมา นอกจากเราจะต้องสังหารสองพี่น้องตงฟางแล้ว ก็ยังมีเหล่าพระภิกษุแห่งสำนักพุทธอีก มิเช่นนั้นตอนที่ขัดขวางการปล่อยตัวน่าหลันเทียนลู่ จะหมดปัญหาได้อย่างไร?
“ตอนนี้ต้องทำให้ดีที่สุด จะสำเร็จหรือไม่ก็แล้วแต่ฟ้าลิขิต ทว่าต้องชิงปราณมังกรมาให้ได้ หากเรื่องของเสินซูถ้าไม่ได้ผล ก็ค่อยว่ากันทีหลัง ส่วนเรื่องน่าหลันเทียนลู่ อย่าเร่งรีบเลยจะดีกว่า อีกอย่างเรามันตัวคนเดียว พยายามให้ถึงที่สุดก็พอแล้ว ท่านโหราจารย์ก็จริงๆ เลย มามอบหมายภาระหน้าที่แสนยากเย็นแก่เราแบบนี้
“อย่างแรกเข้าไปสู่ชั้นสองเพื่อสำรวจเส้นทางก่อน จากนั้นค่อยคิดว่าจะวางแผนชาวประมงได้รับประโยชน์อย่างไรดีก็แล้วกัน”
เขาพลันกำหนดเป้าหมายให้กับตัวเองทันที ปราณมังกรคือสิ่งที่ต้องเอามาให้ได้ และต้องพยายามให้ดีที่สุดในเรื่องเสินซู ส่วนเรื่องขัดขวางน่าหลันเทียนลู่ก็ปล่อยให้เป็นไปตามพรหมลิขิต
เมื่อเห็นว่าจิ้งซินและคนอื่นๆ เริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น สวี่ชีอันก็ไม่ลังเล กราบไหว้พระพุทธรูปทองคำสามครา
ต่อจากนั้น เมฆหมอกที่ลอยวนเวียนอยู่บนโดมเพดาน พลันทอประกายแสงสีทอง แล้วเขาก็อันตรธานหายไปจากชั้นหนึ่งทันที
…
สวี่ชีอันรู้สึกถึงแสงแดดอันอบอุ่นได้เป็นสิ่งแรก จากนั้นก็เห็นผืนพสุธาที่กว้างขวางเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้เพิ่งเกิดสงครามแสนโหดร้ายครั้งใหญ่มา
ที่แห่งนี้คือพื้นที่รกร้างอันกว้างใหญ่ มีท้องฟ้าเป็นสีครามเข้ม ส่วนภูมิอากาศก็ทั้งแห้งและหนาวเย็น
ที่นี่คือดินแดนพุทธเหรอ? บรรยากาศไม่ดีอย่างที่ดินแดนพุทธควรจะเป็นเลยสักนิด…ขณะที่เขาคิดกำลังในใจ ทันใดนั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนอันแสนคุ้นเคยเสียงหนึ่งตรงบริเวณข้างหู “วันนี้ เจ้าตายแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
เมื่อมองตามเสียงไป จึงพบว่ามีคนคนหนึ่งในชุดสีดำกำลังยืนอยู่ไม่ไกล หน้าตาหล่อเหลางามสง่า รูปร่างสูงเพรียว นัยน์ตาใสกระจ่าง ไร้การเปลี่ยนแปลงอันตาลปัตรหลบซ่อนอยู่ภายใน ผมที่ขมับทั้งสองข้างก็ไม่มีหงอกขาว
เว่ยเยวียน!
…………………………………………………..