ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 524 ตามหาน่าหลันเทียนลู่
บทที่ 524 ตามหาน่าหลันเทียนลู่
สวี่ชีอันรู้สึกร้อนใจอย่างยิ่ง หากแดนแห่งความฝันปรากฏขึ้นเป็นภาพ เขาก็จะพุ่งตัวเข้าไปปิด ไม่ให้ใครได้เห็น หากตัวตนที่แท้จริงถูกเปิดเผยในเจดีย์พุทธะ จะหมายความว่าอะไร?
สำนักพ่อมดจะฆ่าเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด และสำนักพุทธก็จะช่วยเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
ถึงเวลานั้น ไม่ต้องพูดถึงการปลดผนึกเสินซูและฟื้นปราณมังกร แม้แต่ตัวเองเขาก็ยังปกป้องได้ยาก
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงแห่งเหลยโจว หรือภิกษุสำนักพุทธ หรือสองพี่น้องตงฟาง ต่างก็ถูก ‘แดนแห่งความฝัน’ ดึงดูดความสนใจทั้งสิ้น
“นี่ นี่คืออะไร?”
“ฝอซาน เครื่องแบบของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล…เหมือนกับเคยเห็นมาก่อนเลย”
ทุกคนต่างก็สับสนและอยากรู้อยากเห็น ไม่มีใครตอบโต้อะไรชั่วขณะ เหลยโจวอยู่ห่างจากเมืองหลวงมาก คนที่อยู่ที่นี่ย่อมไม่เคยเห็นพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธมาก่อน รวมทั้งไม่เคยเห็นสวี่ชีอันด้วยตาตนเองด้วย
“นี่คือพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ บุคคลนั้นคือฆ้องเงินสวี่” เจ้าสำนักดาบคู่ถังหยวนอู่กล่าวเสียงดัง
ตอนที่มีพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ เขาก็อยู่ที่เมืองหลวงด้วย อันที่จริงเขาตั้งใจมุ่งเป้าไปที่ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ เป็นผลให้ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์เลื่อนออกไปเป็นเดือน แต่กลับเป็นโอกาสให้เขาบังเอิญได้เห็นการประลองฝีมืออันยิ่งใหญ่ในสนามพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ
“ว้าว!”
คลื่นเสียงลุกฮือขึ้นในทันใด วีรชนชาวเหลยโจวต่างก็ชี้ไปที่ภาพ และพูดคุยกันเสียงดังเจื้อยแจ้ว
“เขาคือฆ้องเงินสวี่ หล่อเหลากว่าในภาพมากนัก ทันทีที่เห็นก็รู้เลยว่าเขาต้องเป็นมังกรหงส์ในฝูงชน”
“วันนั้นไม่มีบุญได้เห็นพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ คิดไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ วันนี้จะได้เห็นผ่านวิธีการเช่นนี้ ฮ่าๆ…”
สองพี่น้องตงฟางต่างก็เบิกตาด้วยความตกตะลึงเช่นกัน และมองชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบฆ้องเงินคนนั้นตาไม่กะพริบ
เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงของเขามานาน แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองสักครั้ง การได้มีโอกาสได้เห็นเช่นนี้ ก็นับว่าไม่เลว อย่างไรเมืองหลวงก็เป็นแหล่งบัญชาการใหญ่ของต้าฟ่ง ซึ่งพวกนางไม่สามารถไปที่นั่นได้
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลซ่อนตัวอยู่ทั่วทุกที่ในจิ่วโจว และยังมุ่งตรวจสอบกองกำลังทุกฝ่ายอย่างละเอียดรอบคอบอย่างมาก เรื่องเล็กๆ อย่างการที่ตำหนักมังกรตงไห่เป็นกองกำลังหนึ่งของสำนักพ่อมด ย่อมไม่สามารถซ่อนจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้อย่างแน่นอน
ไปที่เมืองหลวงก็เหมือนไปตาย
ด้วยเหตุนี้ โดยพื้นฐานแล้ว พวกนางจึงไม่หวังที่จะได้พบกับฆ้องเงินสวี่ในตำนาน
“หล่อผิดมนุษย์มนาจริงๆ แต่ก็ยังหล่อไม่เท่าคุณชายหลี่” ตงฟางหว่านหรงมองฆ้องเงินสวี่ และทำการตัดสินชี้ขาด
‘ก็แค่ค่ายกลอันหนึ่งที่ทำให้เขากุมขมับกรีดร้อง ฆ้องเงินสวี่ในเวลานั้นไม่มีจิตใจอันทระนงอย่างในตำนานสักหน่อย’ ตงฟางหว่านชิงคิดอยู่ในใจ
อีกด้านหนึ่ง จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนมองพระภิกษุจิ้งซิน พลางกล่าวเสียงเบาว่า “นี่คือสาวกที่เหล่าพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ต้องการรับเข้าสำนักพุทธด้วยใจจริงใช่หรือไม่?”
จิ้งซินตอบรับ “อืม” พลางเพ่งมองฆ้องเงินสวี่อย่างใจจดใจจ่อ
จิ้งหยวนถามว่า “เจ้าคิดว่านิกายมหายานเป็นอย่างไร?”
จิ้งซินนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “มันเหมือนประตูบานหนึ่งที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและอันตราย แต่ก็ทำให้คนโหยหาอย่างยิ่ง พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ก็อยากจะผลักไสมันออกไป แต่ก็กลัวที่จะผลักไสมันเช่นกัน เจียหลัวซู่ไม่อยากผลักไสมัน แต่ก็อดคิดที่จะผลักไสมันไม่ได้ ศึกระหว่างนิกายมหายานและนิกายเถรวาทมีข้อถกเถียงกันมาจนถึงตอนนี้ นอกจากพระพุทธเจ้าจะบรรทมสนิท ไม่สามารถพิพากษาคดีอย่างเที่ยงธรรมแล้ว ความลังเลของเหล่าพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์ก็เป็นเหตุผลที่สำคัญเช่นกัน จอมยุทธ์ภิกษุไม่บำเพ็ญฌาน สำหรับพระธรรม เพียงแค่เหมือนกันเล็กน้อยก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญ”
แน่นอนว่าหากต้องเลือก จอมยุทธ์ภิกษุก็มีแนวโน้มที่จะกอบกู้นิกายเถรวาท เพราะเส้นทางของจอมยุทธ์ภิกษุและทหารมีความคล้ายคลึงกันมาก ทั้งหมดต่างบำเพ็ญด้วยตนเอง
ในขณะที่ภิกษุทั้งสองรูปกำลังพึมพำ จู่ๆ ฆ้องเงินสวี่ที่ติดอยู่ในค่ายกลก็บ้าคลั่งขึ้นมา จับด้ามดาบ ตวัดลงมาด้วยพรสวรรค์อันงดงามและน่าทึ่ง คมดาบที่ทำให้ยอดฝีมือขั้นสี่ที่อยู่ที่นี่ต่างก็หวาดกลัว
ค่ายกลแปดทุกข์แตกเป็นเสี่ยงๆ คาที่
หลังจากนั้น ฆ้องเงินสวี่ก็ตวัดดาบฟันพลังเทพวชิระแห่งสำนักพุทธจนแตกพ่าย คุยกับภิกษุอาวุโสใต้ต้นโพธิ์ ภิกษุอาวุโสตู้ฮว่าปืนขึ้นไปบนยอดสำนักพุทธ ยืนกรานที่จะไม่คุกเข่าภายใต้การบังคับของร่างธรรมอันยิ่งใหญ่
อัญเชิญดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ ตีแดนพุทธแตกพ่าย
“แข็งแกร่งมาก ที่แท้ตอนที่อยู่ในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ ฆ้องเงินสวี่ก็แข็งแกร่งเช่นนี้แล้ว”
“ใช่ ตอนพิธีต้าวฮวด เขาเพิ่งกลับมาจากอวิ๋นโจวได้ไม่นาน พูดได้ว่าเรื่องที่เขาต้านกบฏแปดพันคนเพียงลำพังนั้นไม่ใช่แค่ข่าวลือ”
“แปดพันคนอะไรกัน ไม่ใช่สองหมื่นหรอกหรือ”
“สมแล้วที่เป็นฆ้องเงินสวี่ ไม่แปลกใจเลยที่ต่อมาเขาสามารถเข้าพิชิตสวรรค์และมนุษย์ด้วยสองมือนั้น ไม่แปลกที่เขาสามารถปกป้องเมืองในสงครามด่านอวี้หยางได้ หนึ่งคน หนึ่งดาบ สังหารกองกำลังศัตรูอย่างสำนักพ่อมดไปกว่าสองแสนชีวิต”
“ใช่ ฆ้องเงินสวี่ฝึกวิทยายุทธ์มาสิบกว่าปี แต่แข็งแกร่งกว่าพวกเราที่ฝึกฝนมาสิบกว่าปีก็ยังไม่สามารถก้าวสู่ขั้นสี่ได้ นี่คือพรสวรรค์ที่พระเจ้ามอบให้อย่างแท้จริง”
ปวงชนเหลยโจวตื่นเต้นอย่างมาก เหลยโจวอยู่ไกลจากเมืองหลวง ดังนั้นข่าวเกี่ยวกับการกระทำของฆ้องเงินสวี่ย่อมเกินจริงและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่วันนี้เมื่อได้เห็นพลังที่แท้จริงของฆ้องเงินสวี่ในภาพพิธีต้าวฮวด เหล่าวีรชนเหลยโจวก็เชื่ออย่างสนิทใจในข้อเท็จจริงที่ว่า คนเดียวต่อต้านกบฏแปดพันคนที่อวิ๋นโจว โอ้ ไม่สิ กบฏสองหมื่นคนต่างหาก
และยังเชื่อเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในสงครามด่านอวี้หยาง ที่บุคคลเดียวสังหารกองทัพศัตรูถึงสองแสนคนอีกด้วย
สองพี่น้องตงฟางกันมาสบตากัน และถอนคำพูดเมื่อสักครู่อย่างรู้กัน เมื่อเทียบกับฆ้องเงินสวี่แล้ว คุณชายหลี่ของพวกนางก็ยังห่างไกลกันมากจริงๆ
แดนแห่งความฝันค่อยๆ สลายไป แต่อารมณ์ของทุกคนยังคงค้างไม่รู้จบ
จู่ๆ พระเถระชั้นผู้ใหญ่แห่งวัดซานฮัวเหิงอินก็กล่าวขึ้นมาเสียงดังว่า “เหตุใดฉากพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธถึงได้ปรากฏที่นี่?”
ประโยคนี้ทำให้ทุกคนตื่นตัว และตระหนักถึงความไม่สมเหตุสมผล
จริงด้วย ทำไมพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธถึงได้ปรากฏขึ้นที่นี่?
ทุกสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าล้วนเป็นแดนแห่งความฝัน เช่นนี้นี่เป็นแดนแห่งความฝันของผู้ใด?
…
“เอ๋ ทำไมพวกเขาถึงยืนนิ่งกันหมดเล่า?”
มู่หนานจือหรี่ตากลมโตของนางมองไปยังลูกแก้วอัญมณีที่เกิดจากน้ำตาของสัตว์ร้ายในมือของเทพอารักษ์ตู้หนาน นางพบว่าภาพที่สะท้อนจากลูกแก้วกำลังหยุดนิ่ง
“แปลกจัง ราวกับมีเวทมนตร์บางอย่าง”
ขุนนางขั้นสี่ของสมาคมการค้าเหลยโจวกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “คุณชายหลี่ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวถามความคิดเห็นของคนรัก
หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วแน่น “มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ ให้…ให้ข้าคิดก่อน มิน่าสำนักพุทธถึงต้องการร่วมมือกับสำนักพ่อมด ที่แท้เจดีย์พุทธะชั้นสองก็ถูกกัดกร่อนโดยพลังของน่าหลันเทียนลู่ เมื่อพวกเขาปีนขึ้นชั้นสอง จึงเข้ามาติดในแดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่ทันที ดังนั้นจึงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน หากต้องการผ่านแดนแห่งความฝันไปอย่างราบรื่น ก็จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากน่าหลันเทียนลู่ มิเช่นนั้น คนเหล่านี้ก็จะไม่สามารถออกไปจากชั้นสองได้ และติดอยู่ในแดนแห่งความฝันตลอดไป จนกระทั่งพลังชีวิตในโลกภายนอกถูกตัดรอน”
เหวินเหรินเชี่ยนโหรวขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวด้วยความกังวลว่า “ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสสวีก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากแดนแห่งความฝันได้เช่นกัน…”
จู่ๆ การแสดงออกของหลี่หลิงซู่ก็แปลกประหลาดไป เขาพบว่ายิ่งมองก็ยิ่งไม่เข้าใจตาแก่นั่น เห็นได้ชัดว่าตัวตนและฐานการบำเพ็ญของเขาไม่ธรรมดา แต่มักจะแสดงฐานการฝึกฝนระดับปานกลางเช่นเดียวกับรูปลักษณ์อันธรรมดาของเขา
นี่เป็นความตั้งใจของเขา หรือมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้อย่างเต็มที่กันแน่?
“เขาวางแผนอย่างไรก็ไม่สำคัญในตอนนี้ อันที่จริงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำลายแดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่ ไม่ว่าจะอยู่ขั้นใด วรยุทธ์ของพ่อมดก็จำเป็นต้องอาศัยความฝันเป็นสื่อกลาง นี่คือกฎ”
หลี่หลิงซู่พูดอย่างฉะฉานว่า “ดังนั้นมีอยู่สองวิธี หนึ่ง ปลุกน่าหลันเทียนลู่ในเจดีย์ให้ตื่นขึ้น ก็จะหลุดพ้นจากแดนแห่งความฝันได้ สอง ตามหาจิตสำนักของน่าหลันเทียนลู่ในแดนแห่งความฝัน สื่อสารกับเขา และขอให้เขาช่วยให้ทุกคนหลุดพ้นจากแดนแห่งความฝัน”
ในฐานะที่หลี่หลิงซู่เป็นคนรักของแม่มดแห่งความฝันขั้นสี่อย่างตงฟางหว่านหรง และยังเป็นยอดฝีมือลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญในการบำเพ็ญจิตเดิม จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการของพ่อมดแห่งความฝันอย่างลึกซึ้ง
“จิตสำนึกในความฝันงั้นรึ?”
มู่หนานจือถามกลับ จิ้งจอกน้อยสีขาวในอ้อมแขนโผล่ศีรษะออกมา ดวงตาดำแป๋วมองหลี่หลิงซู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก
หลี่หลิงซู่กล่าวว่า “ไม่มีจิตสำนึก ความฝันก็ไม่เกิด ในฝันย่อมมีจิตสำนึกของคนอยู่ด้วย”
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจ “ในฐานะที่ตงฟางหว่านหรงเป็นแม่มดแห่งความฝันที่อยู่จุดสูงสุดของขั้นสี่ การตามหาจิตสำนึกของน่าหลันเทียนลู่เป็นเรื่องง่ายดายมาก แต่ทำไมนางจึงนิ่งเฉย และยังวนเวียนอยู่ในแดนแห่งความฝันด้วยเล่า?”
พี่น้องทั้งสอง คนหนึ่งเย็นชา คนหนึ่งทรงเสน่ห์ หากมองเพียงแวบเดียว ดูเหมือนตงฟางหว่านชิงผู้เป็นน้องสาวจะเผด็จการมากกว่า ความจริงแล้วไม่ใช่ ตอนอยู่บนเตียง โดยปกติจะเป็นพี่สาวผู้ทรงเสน่ห์ที่เผด็จการและอุกอาจมากกว่า ราวกับราชินี
คิดๆ ดูแล้ว หลี่หลิงซู่ก็อดที่จะลูบเอวไม่ได้
ตั้งแต่ถูกสองพี่น้องตงฟางกักบริเวณมาครึ่งปี เขาก็ขยันขันแข็งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นับวันเขายิ่งเฉยเมยต่อสตรีมากขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกว่าตนเองค่อยๆ สัมผัสกับความหมายที่แท้จริงของการตัดอารมณ์รัก
แน่นอนว่ามันเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง
‘ศิษย์น้องเอ๋ยศิษย์น้อง เจ้าลงจากภูเขามาพร้อมกับข้า ตอนนี้เจ้ากลายเป็นจอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหิน แต่ข้าค่อยๆ ตัดรัก เมื่อครบสามปี เจ้าจะต้องอิจฉาจนน้ำลายไหลออกมาจากดวงตา
‘หึ เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ผู้สง่างาม กลายเป็นวีรสตรีผู้กระหายความยุติธรรม เจ้าเดินทางผิดแล้ว’
เมื่อหลี่หลิงซู่นึกถึงสิ่งนี้ก็รู้สึกพอใจอย่างมาก
…
“เหตุใดจึงไม่มีใครตอบโต้?”
ภิกษุเหิงอินเปล่งเสียงดัง และตะโกนอีกครั้ง พร้อมกันนั้น เขาก็กวาดสายตาอันเฉียบแหลมมองไปที่ฝูงชน
จิ้งซินและจิ้งหยวนดูเหมือนจะนึกอะไรได้ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลางใช้สายตาอันเฉียบแหลมมองเข้าไปในฝูงชน ราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง
“พี่สาว เจ้าใช้วิธีการของแม่มดแห่งความฝันเพื่อย้อนรอยว่าใครคือเจ้าของแดนแห่งความฝันได้หรือไม่”
ใบหน้าของตงฟางหว่านชิงที่เย็นชาอยู่แล้ว ในเวลานี้กลับจริงจังและเย็นชามากขึ้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงอะไร…” ตงฟางหว่านหรงพยักหน้าช้าๆ
เมื่อเห็นท่าทางของภิกษุสำนักพุทธในตอนนี้ เหล่าฝูงชนเหลยโจวก็มิใช่คนโง่ พวกเขาตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างทันที พวกเขาก้าวถอยหลังไปพลาง มองรอบๆ ไปพลาง และจับจ้องคนที่อยู่รอบตัว
สวี่ชีอันเห็นเช่นนั้น จิตใจก็จมมืดลง
“เจ้าสำนักถัง ข้าจำได้ว่า ลัทธิดาบคู่ของพวกเจ้าเคยไปเมืองหลวง และได้ชมพิธีต้าวฮวดที่ยิ่งใหญ่มาแล้วกระมัง” มีคนถามขึ้นมาเสียงดัง
ทันใดนั้น ทุกสายตาต่างก็จับจ้องไปที่ถังหยวนอู่
ถังหยวนอู่พยักหน้าช้าๆ “ช่างเป็นเกียรติยิ่งที่ได้เห็นความพ่ายแพ้ของฆ้องเงินสวี่กับตา”
ตงฟางหว่านหรงกล่าวว่า “แต่ถ้าจะฝันถึงฉากพิธีต้าวฮวดพอดี ก็จะต้องมีความทรงจำที่ลึกซึ้ง มิเช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ อย่างเช่น เจ้าสำนักถังที่จำการต่อสู้ทั้งสองสนามรบได้ตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างไรก็เป็นประสบการณ์ที่ประสบพบเจอด้วยตนเอง”
นางขบเคี้ยวเขี้ยวฟันเน้นย้ำคำว่า ‘ประสบการณ์ที่ประสบพบเจอด้วยตนเอง’ เป็นพิเศษ
แย่แล้ว พวกเขาสงสัยว่าข้าอำพรางตัวอยู่ในฝูงชน ภิกษุสำนักพุทธ ตำหนักมังกรตงไห่ และคนท้องถิ่นของเหลยโจวที่อยู่ที่นี่ ทุกคนต่างก็มีสหายที่สามารถพิสูจน์กันและกันได้ ข้าเป็นคนนอกเพียงคนเดียว ย่อมถูกมัดตัวได้ง่ายมาก…
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น จิตใจกระสับกระส่ายอย่างมาก
หากเปิดเผยตัวตนที่นี่ ไม่เพียงแต่แผนร้ายทั้งหมดจะล้มเหลว ตนเองก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วย
แน่นอนว่าโลกเต็มไปด้วยความไม่เที่ยง และชีวิตก็มีแต่ความประหลาดใจไปทุกหนทุกแห่ง ก่อนที่แผนของเขาจะเริ่มต้นขึ้นก็ถูกแดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่บีบบังคับให้เผยร่างที่แท้จริงเสียแล้ว
เวลานี้เอง หลิวอวิ๋นแห่งลัทธิดาบคู่กล่าวเสียงเบาว่า “นี่คือแดนแห่งความฝันของข้า”
เหิงอินฉานซือมองนางอย่างพิจารณา และกล่าวด้วยความสงสัยว่า “เจ้า?”
ถังหยวนอู่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองลูกศิษย์ทันทีด้วยสีหน้าซับซ้อน และกล่าวว่า “อืม ตอนนั้นอวิ๋นเอ๋อร์ก็อยู่ที่เมืองหลวง และได้เห็นกระบวนการของพิธีต้าวฮวดทั้งหมด”
เสียงหัวเราะกำกวมและเสียงโห่ร้องดังขึ้นรอบด้าน
ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่เคยลืมกระบวนการในพิธีต้าวฮวดแห่งสำนักพุทธของฆ้องเงินสวี่ และยังฝันถึงบ่อยๆ นี่แสดงให้เห็นอะไร?
แสดงให้เห็นว่าเป็นอารมณ์รักของหญิงสาว
ชาวยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มกำกวมว่า “ก็จริง พวกเราคิดมากไปเอง ฆ้องเงินสวี่ได้รับชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาจากความตายของอวิ๋นโจว หรือกบฏด่านอวี้หยาง สนามรบใดๆ ก็ไม่อันตรายไปกว่าพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธแล้ว”
“หากฆ้องเงินสวี่อยู่ที่นี่ สิ่งที่ฝันถึงย่อมไม่ใช่พิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ”
คำพูดนี้สมเหตุสมผลมาก ทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็คิดเช่นเดียวกัน
ตงฟางหว่านหรงพยักหน้าเงียบๆ หญิงสาวในวัยอารมณ์รัก หลังจากได้เห็นพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ จึงเกิดความชื่นชอบฆ้องเงินสวี่ นี่เป็นเรื่องปกติมาก
ในฐานะผู้หญิงเหมือนกันและที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา หากนางไม่มีคนที่ชอบอยู่ในใจแล้ว ก็อาจถูกผู้ชายอย่างฆ้องเงินสวี่ทำให้หวั่นไหวได้เช่นกัน
พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินหันไปมองจิ้งซิน เมื่อเห็นเขาพยักหน้า ก็ทำให้คลายความสงสัยลง
สวี่ชีอันอดที่จะมองสาวน้อยแห่งเหลยโจวอย่างหลิวอวิ๋นไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสาวน้อยที่ชื่นชมตนเองที่นี่ แต่อย่างไรก็…ไม่น่าแปลกใจสักหน่อย
ต้าฟ่งในตอนนี้ ผู้หญิงที่ชื่นชมฆ้องเงินสวี่มีไม่มากแล้ว
เวลานี้เอง ก็มีแดนแห่งความฝันปรากฏขึ้นอีกครั้ง เปลวเทียนสีแดงลุกโชน ผ้าม่านจมต่ำ ไม่รู้ว่าเป็นคืนที่ร้อนแรงในห้องหอของใคร
เหล่าชาวยุทธ์หัวเราะขึ้นมา บ้างก็ผิวปาก และหยอกล้อ ฉากเบื้องหน้ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หลี่เส่าอวิ๋นชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไอ้พวกนี้ลืมไปแล้วรึว่าตนเองเข้ามาทำอะไรในเจดีย์พุทธะ?
สวี่ชีอันบ่นพึมพำในใจ เขาที่ให้ความสนใจกับภิกษุสำนักพุทธและสองพี่น้องตงฟางมาโดยตลอด ในที่สุดก็เห็นตงฟางหว่านหรงเดินถอยหลังไปทีละก้าว ทีละก้าว หลังจากเว้นได้ระยะหนึ่ง นางก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ตงฟางหว่านชิงและภิกษุสำนักพุทธตามไปทันที
แย่แล้ว! ทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว ก็มีร่างจำนวนมากติดตามไปในทันที แบ่งเป็นสวี่ชีอัน ถังหยวนอู่ หลี่เส่าอวิ๋นและหยวนอี้
“ตามพวกเขาไป!” หยวนอี้ตะโกน
เหล่าชาวยุทธ์องอาจรู้สึกตัวช้าเล็กน้อย แต่เวลานี้ก็ทยอยตื่นตัวกันขึ้นมา และรีบตามไปทันทีโดยไม่คำนึงถึงแดนแห่งความฝันอีกต่อไป
ตงฟางหว่านหรงหยุดฝีเท้าชั่วขณะ นางหันกลับไปมองสวี่ชีอันและคนอื่นๆ พลางพ่นลมหายใจออกมา
ทันใดนั้น ก็มีหมอกปริศนาลงมาบดบังแสงอาทิตย์ ราวกับอยู่ท่ามกลางชั้นหมอกหนาในตอนเช้าตรู่
“หายไปแล้ว!”
หลี่เส่าอวิ๋นหมุนตัวมองรอบด้าน ด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งตกใจ
แย่แล้ว ปล่อยให้พวกเขา ‘หนี’ ไปจนได้…สวี่ชีอันกระสับกระส่ายเล็กน้อยและพ่นลมหายใจด้วยความงุ่นง่าน
“เจ้าสำนัก!”
หลิวอวิ๋นหนีออกมาจากหมอกหนาอย่างรวดเร็ว
“ผู้หญิงเมื่อครู่คือแม่มดขั้นสูง นางก็สามารถควบคุมแดนแห่งความฝัน…” ถังหยวนอู่ตัดสินชี้ขาดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากนั้นก็พยักหน้าให้หลิวอวิ๋น
หลี่เส่าอวิ๋นกล่าวด้วยความร้อนใจ “เช่นนั้นตอนนี้ควรทำอย่างไร? พวกเราจะออกไปจากแดนแห่งความฝันได้อย่างไร?”
หยวนอี้ส่ายศีรษะช้าๆ “หากเป็นแดนแห่งความฝันของพ่อมดธรรมดาทั่วไป ด้วยระดับความแข็งแกร่งแห่งจิตเดิมของพวกเรา ย่อมหลุดพ้นได้โดยง่าย แต่แดนแห่งความฝันของเจ้าแห่งวัสสานขั้นสอง ถึงแม้จะไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เรา เกรงว่าก็ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราจะออกไปได้”
ถังหยวนอู่กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “นอกจากนี้ ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่มดขั้นสูง ที่นี่คือแดนแห่งความฝัน หากนางต้องการจะไป พวกเราก็รั้งไว้ไม่ได้ พวกเราเสียเปรียบตั้งแต่แรกแล้ว”
สวี่ชีอันได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวเสียงแผ่วว่า “นี่ก็เป็นเหตุผลที่เทพอารักษ์ตู้หนานยอมให้เราเข้ามา สำนักพุทธและสำนักพ่อมดคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือพวกเขา”
ความสนใจของยอดฝีมือขั้นสี่หลายคนถูกดึงดูดมาที่เขาทันที หยวนอี้พยักหน้าช้าๆ
สวี่ชีอันกล่าวต่อไปว่า “ต่อให้เป็นแม่มดแห่งความฝันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลุดพ้นจากแดนแห่งความฝันของเจ้าแห่งวัสสาน มิเช่นนั้น นางจะพูดเรื่องไร้สาระกับเราเสียยืดยาวเช่นนั้นทำไม? สู้ออกจากแดนแห่งความฝันโดยตรงและปีนขึ้นสู่ชั้นสามก็เรียบร้อยแล้ว ข้าเดาว่า ตอนนี้นางยังคงอยู่ในแดนแห่งความฝันอย่างแน่นอน”
“แต่หมอกหนาเช่นนี้ จะหานางเจอได้อย่างไร?” หลี่เส่าอวิ๋นขมวดคิ้วกล่าว
พวกจอมยุทธ์หยาบคายนี่ใช้สมองไม่เป็นรึ…สวี่ชีอันกล่าวว่า “นางเพิ่งลงมือกระทำ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้กระจ่างแจ้งถึงสองเรื่อง ประการแรก นางเลือกที่จะพ่นหมอกหนามาบดบังสายตาพวกเรา แทนที่จะเผชิญหน้ากับพวกเรา นี่แสดงให้เห็นว่าพลังแดนแห่งความฝันที่นางสามารถหยิบยืมได้มีจำกัด ไม่สามารถจัดการกับยอดฝีมือขั้นสี่จำนวนมากเช่นนี้ในเวลาเดียวกัน หรือมีศีลบัญญัติไว้ในแดนแห่งความฝัน จึงไม่สามารถลงมือกระทำกับคนในขณะที่อยู่ในเจดีย์ได้ ประการที่สอง ที่นี่คือแดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่ นางอยากออกไปจากแดนแห่งความฝัน ก็น่าจะต้องได้รับการยินยอมจากน่าหลันเทียนลู่ นางไม่ได้ไปจากแดนแห่งความฝันในทันที แต่เลือกที่จะอยู่ดูความฝัน ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด มีความเป็นไปได้มากที่นางจะพบวิธีการสื่อสารกับน่าหลันเทียนลู่ ในขณะที่เฝ้าดูความฝันเหล่านั้น”
ผู้บัญชาการหยวนอี้ครุ่นคิดและกล่าวว่า “ดังนั้น ตอนนี้นางก็กำลังไปหาน่าหลันเทียนลู่รึ?”
หลิวอวิ๋นกล่าวกระซิบว่า “ไม่ใช่ว่านางออกจากแดนแห่งความฝันไปแล้วรึ”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะ “หากนางออกไปจากแดนแห่งความฝันแล้ว เมื่อครู่นางคงไม่ใช้หมอกหนามาครอบงำพวกเรา แต่เลือกที่จะหายตัวไปเลย แต่เจ้าก็พูดถูก ตอนนี้นางออกจากแดนแห่งความฝันได้ทุกเมื่อ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จอมยุทธ์ขั้นสี่ทั้งสองท่านก็ขมวดคิ้วแน่น
“ไม่ต้องกังวล เรายังมีโอกาส หากนางไปหาน่าหลันเทียนลู่ เช่นนั้นจะไปหาที่ใด?”
ดวงตาของหยวนอี้เป็นประกายขึ้นมา “แดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่!”
หลี่เส่าอวิ๋นกล่าวด้วยความสงสัย “แต่ที่นี่ก็เป็นแดนแห่งความฝันไม่ใช่รึ”
“ไม่!”
สวี่ชีอันส่ายศีรษะช้าๆ “ที่นี่คือแดนแห่งความฝันของพวกเราทุกคนที่เกี่ยวโยงกัน ไม่ใช่แค่แดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่คนเดียว”
หลี่เส่าอวิ๋นมองเขาอย่างพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย เจ้าสายตาเฉียบแหลมมาก น่าทึ่งยิ่งนัก”
ฆ้องเงินสวี่คืออัจฉริยะในการไขคดีของต้าฟ่ง…สวี่ชีอันแสดงรอยยิ้มที่ไม่แยแสนัก และรักษาบุคลิกอันสงบสุขุมไว้
…
อีกด้านหนึ่ง ตงฟางหว่านหรงนำทางภิกษุสำนักพุทธ และลูกศิษย์ตำหนักมังกรตงไห่เดินอยู่ในหมอกหนาทึบ นางย่างก้าวอย่างมั่นคงโดยไม่สับสนแม้แต่น้อย ราวกับสายตาของนางสามารถมองทะลุผ่านหมอกได้
“ประสกตงฟาง ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปที่ใด” จิ้งซินฉานซือประสานสองมือเข้าด้วยกัน ทั้งเดินตามไปพลาง และกล่าวไปพลาง
ตงฟางหว่านหรงกล่าวโดยไม่หันกลับไปมอง “แน่นอนว่ากำลังไปหาจิตสำนึกของท่านอาจารย์ข้า”
“เขาอยู่ที่ใด?” พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินถาม
“สถานที่แห่งความหมกมุ่นอันลึกที่สุด” ตงฟางหว่านหรงหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาถูกเว่ยเยวียนตัดศีรษะ”
ภิกษุทุกรูปตกตะลึง จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนกล่าวด้วยความงุนงง “เหตุใดเมื่อสักครู่เจ้าไม่สื่อสารกับเขาเล่า”
ตงฟางหว่านหรงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนั้นมีเพียงความฝันของท่านอาจารย์ข้าเพียงผู้เดียว ทุกคนต่างก็เฝ้าดูจากด้านข้าง แล้วข้าจะสื่อสารได้อย่างไร? ข้าตั้งใจรอจนกระทั่งแดนแห่งความฝันของทุกคนเกี่ยวโยงกับแดนแห่งความฝันของท่านอาจารย์”
“แดนแห่งความฝันของทุกคนเกี่ยวโยงเข้าด้วยกัน ราวกับเขาวงกตที่แบ่งแยกทุกคน หากไปพบท่านอาจารย์เวลานี้ ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็น”
…
สวี่ชีอัน หลี่เส่าอวิ๋น หยวนอี้ ถังหยวนอู่ และหลิวอวิ๋นเดินอยู่ท่ามกลางหมอกทึบ เดินไปได้ครู่หนึ่ง ก็มีภาพปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้า เปลวเทียนสีแดงลุกโชน ทุกที่เต็มไปด้วยสีแดงแห่งความสุขสมหวัง
เป็นแดนแห่งความฝันเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันพัฒนาไปถึงขั้นเข้าสู่ห้องหอแล้ว
ช่างพิลึกนัก แดนแห่งความฝันของน่าหลันเทียนลู่ถูกพบ กระทั่งได้มาประสบกับแดนแห่งความฝันอันไร้สาระเหล่านี้…สวี่ชีอันอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ เดิมทีเขาคิดจะเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่บทสนทนาของคู่รักหน้าใหม่บนเตียงนั่น ทำให้พวกเขาชะลอฝีเท้าลง
……………………………………………………