ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 526 ชิงตัดหน้า
บทที่ 526 ชิงตัดหน้า
“ไม่มีปัญหา!”
ภิกษุจิ้งซินกล่าว หลังจากแยกแยะแล้ว
ตงฟางหว่านหรงถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มองไปที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอิน เขากำลังชูวชิระแล้วแทงลงตรงหน้าอกของชายชุดดำอย่างโหดเหี้ยม
แม้ว่าตงฟางหว่านหรงจะไม่ชอบการเข่นฆ่า แต่สำหรับศัตรูที่เกือบฆ่าน้องสาวของตัวเองแล้ว ไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้น
‘แกร๊ง!’
ท่ามกลางเสียงแหลมแสบแก้วหู ง่ามมือของฉานซือเหิงอินฉีกออก วชิระในมือก็หลุดมือร่วงหล่นพื้น
เวลานี้ สองพี่น้องตงฟาง ภิกษุจิ้งซิน และคนอื่นๆ ต่างกระเถิบเข้ามาใกล้ด้วยความงุนงง
“จอมยุทธ์?”
ตงฟางหว่านชิงพูดด้วยความประหลาดใจ
นางไม่คาดคิดว่าชายลึกลับชุดดำที่สามารถกลืนกินพลังวิญญาณคนนี้จะเป็นจอมยุทธ์
วิธีการของจอมยุทธ์แปลกประหลาดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“คนคนนี้เป็นจอมยุทธ์จริงๆ!”
พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินขมวดคิ้วเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ ก็เป็นการยากที่จะฆ่าฝ่ายตรงข้าม
สำหรับฉานซือที่ไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านพลังต่อสู้ จอมยุทธ์ขั้นสี่เพียงคนเดียวก็เป็นศัตรูที่ ‘แข็งแกร่ง’ พอสมควร ถึงแม้จะไม่ทำอะไรเลย การคิดจะฆ่าพวกเขาก็ยากมากทีเดียว
“ค้นตัวเขา ดูซิว่าเป็นใครมาจากไหน”
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนพูด
พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินก็กำลังคิดเช่นเดียวกัน จึงได้ยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของสวี่ชีอัน ในขณะนั้นเอง สีหน้าของจอมยุทธ์ภิกษุก็ดุร้ายขึ้นมาทันที ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัว เขาก็เอาหัวกระแทกน่าหลันเทียนลู่
‘วืด!’
จอมยุทธ์ภิกษุรูปนั้นกระแทกเข้ากับอากาศที่มองไม่เห็นล้มลง ซึ่งกลับหัวบินออกไป
อากาศกึ่งโปร่งใสราวกับคลื่น รู้สึกเหมือนมีคนกำลังโจมตีสิ่งปิดผนึก น่าหลันเทียนลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขนตาสั่น ใกล้จะตื่นแล้ว
“เจ้าทำอะไร?”
ใบหน้าของตงฟางหว่านหรงถอดสี
จอมยุทธ์ภิกษุกระอักเลือด เส้นเลือดดำที่หน้าผากปูดโปน แต่เขากลับไม่สนใจตงฟางหว่านหรง แต่ชี้ไปที่พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอิน แล้วพูดเสียงเฉียบขาดว่า
“ห้ามเจ้าทำร้ายเขา ห้ามเจ้าทำร้ายเขา ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ห้ามเจ้าทำร้ายเขาอย่างเด็ดขาด”
พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินดึงมือกลับ สีหน้าไม่น่ามอง “เกิดอะไรขึ้น อิ้นหมิง เจ้าเป็นบ้าอะไร”
จอมยุทธ์ภิกษุด่าทอครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่สวี่ชีอันที่เต็มไปด้วยความรักและความเมตตา แล้วพึมพำว่า “ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าถูกทำร้าย ไม่มีวันเด็ดขาด”
“เขาถูกควบคุมแล้ว เจ้าลาหัวล้านจอมทึ่ม เจ้าทำอะไรของเจ้า” ตงฟางว่านหรงจ้องหน้าจิ้งซินอย่างดุร้าย ฝ่ายหลังสีหน้าเต็มไปด้วยความฉงน พูดว่า
“เขารู้สึกตัวดี ไม่ได้โดนฤทธิ์ของกู่…เจ้าแห่งวัสสานน่าหลันใกล้จะตื่นแล้ว มีวิธีไหนที่จะทำให้เขาหลับต่อได้หรือไม่”
ตงฟางหว่านหรงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าใครที่สามารถทำให้เจ้าแห่งวัสสานขั้นสองหลับได้กันล่ะ เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้ารีบไปที่ชั้นสาม สื่อสารกับถ่าหลิง ข้าจะคอยต้านทานชาวเหลยโจวกลุ่มนี้ไว้เอง”
“อมิตตาพุทธ คงทำได้เพียงเท่านี้”
จิ้งซินถอยกลับอย่างรวดเร็ว วิ่งไปที่ปลายทาง
‘สวบ!’
พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินแทงชาวยุทธ์แห่งเหลยโจวตายอีกคนหนึ่ง แล้วพูดเสียงดังว่า “ถือโอกาสตอนที่เขายังไม่ตื่น รีบแก้ปัญหาเสีย”
เขาไม่ได้วุ่นวายกับชายชุดดำอีก แต่เลือกที่จะฆ่าชาวยุทธ์ก่อน
เหล่าศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่ จอมยุทธ์ภิกษุของสำนักพุทธต่างทยอยลงมือ คร่าชีวิตชาวเหลยโจว
ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ก็มีคนเสียชีวิตไปสิบกว่าคน
น่าหลันเทียนลู่ลืมตาขึ้นช้าๆ
ความฝันพังทลายไปอย่างสิ้นเชิง ชาวเหลยโจวที่ตกอยู่ในความฝันตื่นขึ้นทันที หลังจากนั้นก็เห็นภิกษุของสำนักพุทธและศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่กำลังคร่าชีวิตของฝ่ายตัวเอง
“บ้าเอ๊ย ลาหัวโล้นสำนักพุทธผู้ไม่มีจริยธรรมในการต่อสู้”
“โชคดีที่ข้าตื่นเร็ว ไม่เช่นนั้นคงตายไปเป็นผีไม่รู้ตัว”
“พี่น้องทั้งหลาย จัดการพวกมันซะ”
การสู้รบพัลวันระเบิดขึ้นทันที ความสามารถโดยรวมของภิกษุแห่งวัดซานฮัวและศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่นั้นเหนือกว่าชาวยุทธ์ แต่ในบรรดาชาวยุทธ์นั้นไม่ขาดจอมยุทธ์ขั้นห้าสลายแรง กระดูกเหล็กผิวทองแดงนั้นมีมากยิ่งกว่า ทั้งสองฝ่ายต้างต่อสู้กันไปมา
‘ขวับ!’
ชาวยุทธ์คนหนึ่งแกว่งดาบเล่มใหญ่ ตัดแขนของจอมยุทธ์ภิกษุจนขาด ขณะที่กำลังจะฟันซ้ำ พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินก็พูดเสียงเคร่งขรึมว่า
“วางดาบลง!”
ภายใต้คำสั่ง ดาบในมือของจอมยุทธ์คนนั้นก็ร่วงลงกับพื้นดัง”แกร๊ง”
ภิกษุสองรูปต่อสู้กัน ภิกษุรูปหนึ่งช่วยคนไว้ และอีกรูปแกว่งดาบในมือ ฟันคอชาวยุทธ์คนนั้นขาด
ฉานซือจับคู่กับจอมยุทธ์ภิกษุ เป็นการรวมกันของเทพชัดๆ…สวี่ชีอันมองไปรอบๆ สนามรบอย่างใจเย็น ก็พบว่าทางเดินนั้นไม่กว้างไม่แคบ แต่มันไม่สามารถรองรับผู้คนจำนวนมากในการสู้รบกันได้
จิ้งหยวนกำลังต่อสู้กับหลี่เส่าอวิ๋น
ส่วนตงฟางหว่านชิงนั้นได้ปราบเจ้าสำนักดาบคู่ถังหยวนอู่
ตงฟางหว่านหรงเรียกวิญญาณวีรบุรุษผู้กล้าออกมา ใช้ร่างกายของจอมยุทธ์ผนวกกับวิธีการของพ่อมด ปราบผู้บัญชาการหยวนอี้
ฝ่ายเหลยโจวนี้ได้เปรียบทางด้านคนเยอะและกำลังแข็งแกร่ง แต่พลังต่อสู้ของสำนักพุทธแข็งแกร่งเกินไป แล้วยังมีตำหนักมังกรตงไห่ของสองพี่น้องตงฟางอีก…จะรอช้าต่อไปอีกไม่ได้ มิฉะนั้นแม้จะชนะ แต่จิ้งซินก็ได้ครอบครองเจดีย์พุทธะไปแล้ว แพ้หรือชนะจะยังมีความหมายอะไร
“หลี่เส่าอวิ๋นและคนอื่นๆ ก็เข้าใจในจุดนี้เช่นกัน แต่กลับจนปัญญา…”
เงาของสวี่ชีอันหายไป กระโดดอยู่ในเงามืดของผู้คน
ขณะที่เดินผ่านตงฟางหว่านชิง นางสามารถสัมผัสได้ จึงจ้องมองที่เงาของตัวเอง แล้วกรีดร้องว่า
“ท่านพี่ เขานี่เอง คนที่นำตัวคุณชายหลี่ไปก็คือเขา”
ในที่สุดก็ได้รับการยืนยัน
เมื่อตงฟางหว่านหรงได้ยินดังนั้น ใบหน้างามราวกับปกคลุมด้วยน้ำแข็ง เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ตะโกนว่า
“ไต้ซือเหิงอิน จับตัวเขากลับไป”
พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินพนมมือ จับเงามืดที่กระโดดด้วยความเร็วสูง และพึมพำว่า “กลับตัวกลับใจย่อมมีทางรอด!”
สวี่ชีอันรู้สึกเพียงในก้นบึ้งของหัวใจเกิดการต่อต้านอย่างหนัก ต่อต้านการก้าวไปข้างหน้า และกระทำในสิ่งที่สอดคล้องกันตามสัญชาตญาณ…ถอยหลัง!
เขาไม่ได้ฝืนใจตัวเอง ถอยหลังอย่างเด็ดเดี่ยว ถอยกลับเข้าไปในแนวรบที่มีการเข่นฆ่ากันอย่างดุเดือด ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงไปยังพี่น้องสองสาว
“ข้าได้ฆ่าคนแซ่หลี่ไปแล้ว ถ้ามีความสามารถ ก็มาฆ่าข้าสิ”
พี่น้องสองสาวกัดฟันอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่ได้ละทิ้งคู่ต่อสู้เพื่อไล่ฆ่าสวี่ชีอันตามอารมณ์ แสดงให้เห็นถึงความใจเย็นมากพอ
คุณชายหลี่สมัครใจไปกับเขาเอง จากประสบการณ์ของคุณชายหลี่ หากอีกฝ่ายไม่น่าไว้ใจ เขาจะไม่มีวันเสี่ยงอันตรายเป็นอันขาด
วิธีการยั่วยุไม่ได้ผล…สวี่ชีอันรู้สึกผิดหวังในทันที
“เจ้าควบคุมจอมยุทธ์ภิกษุตั้งแต่เมื่อไหร่” ตงฟางว่านหรงส่งเสียงถามอย่างไม่พอใจ
“อ้อ ตอนที่เจ้าไม่เห็น” สวี่ชีอันตอบ
ตอนที่เขาวางยาพิษในร่างของจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคน ได้ฝังตัวอ่อนของฉิงกู่เข้าไปด้วย หลังจากที่จอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนกลับไปถึงแนวรบของภิกษุวัดซานฮัวแล้ว ตัวอ่อนของกู่เหล่านี้ก็จะแอบบุกเข้าไปในร่างกายของจอมยุทธ์ภิกษุที่อยู่ใกล้ๆ อย่างลับๆ สาเหตุที่เลือกจอมยุทธ์ภิกษุ ก็เพราะฉานซือมีใจคอหนักแน่น ฉิงกู่ในขั้นนี้ไม่แน่ว่าจะสามารถบังคับควบคุมได้
จอมยุทธ์ภิกษุนั้นไม่เหมือนกัน จอมยุทธ์ภิกษุก่อนขั้นหลอมวิญญาณ ไม่ค่อยแตกต่างจากจอมยุทธ์มากนัก ไม่สามารถต้านทานการกัดกร่อนของฉิงกู่ได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึง ‘ตกหลุมรัก’ เขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ภายในเจดีย์ จอมยุทธ์ภิกษุที่มีฉิงกู่อยู่ในร่างกายเช่นเดียวกันยังมีอีกหลายรูป
เดิมทีกลยุทธ์การเหวี่ยงแหนั้น ตั้งใจจะใช้เป็นไม้ตายในการแย่งชิงปราณมังกร คาดไม่ถึงว่าเมื่อเข้าสู่ชั้นที่สอง ก็ถูกรวบเข้าสู่ภาพในความฝันทันที กลยุทธ์ลับนี้จึงต้องนำมาใช้ตอนนี้
ฉิงกู่แตกต่างจากซินกู่และตู๋กู่ การกัดกร่อนของมันจะไร้เสียงไร้วี่แวว และยากที่จะแยกแยะด้วยวิธีการธรรมดา
ผู้ที่ได้รับพิษจากฉิงกู่ จะถือเอาร่างที่กู่ตัวแม่อาศัยอยู่เป็นความรักชั่วชีวิต โดยไม่แบ่งแยกเพศชายหรือหญิง
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมออกไปได้ สวี่ชีอันจึงเลือกใช้กลยุทธ์ที่สอง เปิดถุงผ้าของจีเชียน หยิบปืนไฟกระบอกแล้วกระบอกเล่า หน้าไม้ และลูกธนูเป็นมัดๆ โยนให้บรรดาชาวยุทธ์ที่อยู่รอบๆ ตัว แล้วพูดเสียงดังว่า
“อย่าเข้าใกล้ฉานซือ จะได้รับผลกระทบจากศีล ใช้ปืนไฟและหน้าไม้ โจมตีจากระยะไกล”
ชาวยุทธ์ทุกคนต่างดีใจเป็นอย่างยิ่ง
‘ปัง ปัง!’
‘สวบ สวบ!’
เสียงปืนไฟและเสียงหน้าไม้ดังผสมผสานกัน ลูกเหล็กลูกแล้วลูกเล่า ลูกธนูดอกแล้วดอกเล่าแผดเสียงก้องออกไป ห่ากระสุนและลูกธนูปกคลุมภิกษุของสำนักพุทธ
ภิกษุของสำนักพุทธมีจำนวนไม่มาก ถูกกำลังทำลายของอาวุธปราบปราม เสียชีวิตทันทีหกถึงเจ็ดคน
พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและประณามว่า “เจ้าเป็นคนของราชสำนัก? มิน่าเล่า มิน่าเล่าจึงเป็นศัตรูกับสำนักพุทธของพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากวัดซานฮัว”
ขณะที่พูด เขาก็ถอดจีวร แล้วสะบัดมือออก
จีวรขยายตัวออก กลายเป็นม่านผืนใหญ่ สกัดลูกธนูและลูกกระสุนไว้
นี่คืออาวุธเวทมนตร์ป้องกันตัวชิ้นหนึ่งของวัดซานฮัว ซึ่งสามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธ์ขั้นสี่ ทำให้ฉานซือผู้ซึ่งไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิดมีความสามารถในการป้องกันตัวมากพอ
‘แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง…’กระสุนและลูกธนูถูกสกัดไว้ทั้งหมด
ภิกษุเหิงอินพูดอย่างเย็นชา “รอให้จิ้งซินเข้าควบคุมเจดีย์พุทธะได้แล้ว พวกเจ้าอย่าคิดที่จะออกไปแม้แต่คนเดียว วัดซานฮัวตั้งหลักแหล่งในเหลยโจวมาหลายร้อยปีแล้ว จะไม่มีวันใจอ่อนในการกำจัดมารอย่างเด็ดขาด…”
ทันใดนั้น ภิกษุเหิงอินก็ได้ยินเสียงเหล็กที่หนักอึ้งตกลงพื้น จากนั้นก็เป็นเสียงร้องเรียกด้วยความหวาดกลัวของชาวยุทธ์ “ปืนใหญ่?”
ปืนใหญ่? ภิกษุเหิงอินตกตะลึง ยังไม่ทันที่เขาจะรู้สึกตัว ก็ได้ยินเสียง ‘ตูม’ และในวินาทีต่อมา ก็มีอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับจีวร แล้วตรงกลางของจีวรก็ ‘นูน’ ไปข้างหลัง
เปลวเพลิงที่ลุกโชนระเบิดออก ค่อยๆ ลุกลามไปตามจีวร
‘ตูม!’
เสียงกระสุนนัดที่สองดังขึ้น จีวรไม่สามารถสกัดกั้นได้อีกต่อไป ขาดออกเป็นสองชิ้น
ฉานซือเหิงอินชะล่าใจ ไม่ทันหลบหลีก ถูกแรงระเบิดกระแทกเข้าที่หน้าอก เลือดพุ่งกระฉูด ใบหน้าแถบหนึ่งเปื้อนเลือด
ไม่มีจีวรปิดกั้น ศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่และภิกษุวัดซานฮัวเพิ่งจะเห็นสิ่งที่อยู่ในระยะไกล นั่นคือปืนใหญ่ ลำปืนหนาและหนักหล่อจากเหล็กชั้นดี ลำกล้องเรียวยาว ควันดำลอยออกมาจากปากกระบอกปืนเป็นสาย
ชายชุดดำยืนอยู่ด้านหลังปืนใหญ่ บรรจุกระสุนอย่างใจเย็น
‘ตูม!’
ปืนใหญ่กระบอกที่สามเปิดฉากยิง
ภิกษุจิ้งหยวนกระโดดขึ้น ปะทะเข้ากับกระสุนปืนใหญ่ ก่อนจะหายไปในเปลวเพลิงทันที
แต่ในช่วงเวลาต่อมา เขาก็ฝ่าเปลวเพลิงออกมา และกระโดดลงข้างๆ ฉานซือเหิงอิน แบกเขาขึ้นหลัง แล้วตะโกนว่า ”ถอย!”
ศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่และภิกษุของวัดซานฮัวล่าถอยไปที่สุดทางเดิน
ชาวยุทธ์ทุกคนไม่ได้ไล่ตาม ทุกคนมองไปทางสวี่ชีอันอย่างพร้อมเพรียง จากการกระทำที่ไม่มีจริยธรรมในการต่อสู้เมื่อครู่ ในมือยังคงถือปืนไฟและหน้าไม้ที่เขามอบให้ กลุ่มคนเหล่านี้ได้ยึดเขาเป็นหัวหน้าโดยปริยาย
“ตามไป!”
สวี่ชีอันออกคำสั่ง พวกเขาจึงวิ่งกรูตามไป
…
เจดีย์พุทธะชั้นที่สาม
จิ้งหยวนสองพี่น้องตงฟางนำหน้าขึ้นไปที่ชั้นบนสุด พวกเขามองไปรอบๆ อย่างใจเย็น โครงสร้างของชั้นนี้ปกติที่สุด เป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างสิบจ้าง ยาวสิบจ้าง
ปากบันไดอยู่กลางห้อง ทางด้านทิศเหนือมีร่างทองตั้งอยู่ร่างหนึ่ง ห่มจีวร หน้าตารางเลือน ด้านหลังศีรษะมีแสงอันเป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญา ผู้พบเห็นร่างทองนี้ สมองจะปลอดโปร่ง สติปัญญาจะสูงขึ้น
ทางด้านทิศใต้ก็มีร่างทองตั้งอยู่ร่างหนึ่ง ในอุ้งมือถือขวดหยก รูปร่างอ้วนเล็กน้อย เมื่อมองดูร่างทองนี้ จะเกิดภาพลวงตาว่าร่างกายจะเบาราวกับนกนางแอ่น โรคที่รักษายากจะหายขาด
ทางทิศตะวันออกตรงที่รองนั่งสานจากต้นกกสองชิ้น มีภิกษุสองรูปนั่งขัดสมาธิอยู่
ร่างของภิกษุรูปหนึ่งดูเหมือนจริงและเหมือนภาพลวงตา มีแสงสีทองจางๆ กระจายรอบๆ ทั้งผอมแห้งและชรา
ภิกษุอีกรูปหนึ่งหน้าตาคมคาย หล่อเหลาอ่อนเยาว์ เขาคือจิ้งซิน
สิ่งที่แปลกประหลาดและพิเศษที่สุดทางทิศตะวันตก คือแขนข้างหนึ่งมีโซ่สีทองยื่นออกมาจากกำแพงและพื้น พันแขนนั้นไว้
ผนัง เสา โดม พื้น ด้านทิศตะวันตกทั้งหมด แกะสลักลวดลายไว้เต็มไปหมด
การมาถึงของสองพี่น้องตงฟางและคนอื่นๆ ขัดจังหวะการสื่อสารระหว่างจิ้งซินและถ่าหลิง ฝ่ายแรกกวาดตามองทุกๆ คน เมื่อเห็นว่ามีภิกษุบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินมีเลือดอาบทั่วร่าง ถูกจิ้งหยวนแบกไว้ที่หลัง ก็ขมวดคิ้วทันที
จิ้งหยวนพูดด้วยเสียงทุ้มว่า “พวกเขามากันแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากบันได
จากนั้น ชาวยุทธ์ทั้งหลายซึ่งนำโดยหลี่เส่าอวิ๋นและนักรบขั้นสี่คนอื่นๆ ก็กรูกันขึ้นมา
พวกเขามองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้น มองหายาโลหิตและยาวิญญาณ แต่กลับต้องพบกับความผิดหวัง เพราะนอกจากรูปปั้นสีทอง ศัตรู และแขนแปลกประหลาดข้างหนึ่งแล้วก็ไม่มีอะไรเลย
“ผู้อาวุโสได้โปรดรักษาเพื่อนร่วมสำนักด้วย”
จิ้งซินฉานซือพนมมือ พูดขอร้อง
ภิกษุชราผอมแห้งพยักหน้าพร้อมยิ้ม “ได้!”
เขาโบกมือเบาๆ ร่างทองที่ถือขวดหยกไว้ในอุ้งมือทางทิศใต้ สาดแสงสีทองละเอียด ปกคลุมทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นรวมถึงชาวยุทธ์ด้วย อาการบาดเจ็บของทุกคนก็หายเป็นปกติในทันที
เหิงอินฟื้นจากอาการมึนงง แล้วก็คลำแก้มตามจิตใต้สำนึก เมื่อพบว่าไม่มีรอยแผล ก็รู้สึกโล่งใจในทันที
“ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสได้โปรดลงมือลงโทษคนชั่วเหล่านี้ด้วยเถิด”
เหิงอินชี้ไปที่ชาวเหลยโจว แล้วพูดด้วยความขุ่นเคือง “คนชั่วเหล่านี้บุกโจมตีวัดซานฮัว สังหารศิษย์สำนักพุทธ โทษมหันต์ไม่อาจยกโทษได้ ผู้อาวุโสได้โปรดโปรดสัตว์คนชั่วเหล่านี้ด้วยเถิด”
ถ่าหลิงในร่างภิกษุชรายิ้มแล้วพูดว่า
“การเจริญสติ เป็นพระยูไลช่วยเหลือมนุษย์ การสังหารคน อาตมาทำไม่เป็น”
จิ้งซินถอนหายใจ แม้ว่าเขาจะได้รับมิตรภาพจากถ่าหลิง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ ไม่สามารถใช้พลังของ ถ่าหลิงเพื่อปราบปรามชาวยุทธ์แห่งเหลยโจวกลุ่มนี้ได้ และยิ่งไม่สามารถสั่งให้ถ่าหลิงฆ่าคนได้
จิ้งซินพนมมือแล้วพูดว่า “ประสกทุกคนก็เห็นแล้ว ในเจดีย์พุทธะไม่มียาโลหิตและยาวิญญาณอย่างที่ว่ากัน พวกเจ้าถูกหลอกกันหมดทุกคน”
สีหน้าของหลี่เส่าอวิ๋นและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปทันที
สวี่ชีอันพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่มีของล้ำค่า แล้วเหตุใดสำนักพุทธจึงทำตัวผิดปกติ? ถึงจะไม่ใช่ยาโลหิตและยาวิญญาณ ก็ต้องเป็นของล้ำค่าอย่างอื่น รีบส่งมาเร็วๆ”
“ถูกต้อง ยังไงก็ต้องมีของล้ำค่า”
“อย่าหวังจะหลอกพวกเราด้วยคำพูดไม่กี่คำ พวกโจรในคราบภิกษุส่งของล้ำค่ามา”
“หลบๆ ซ่อนๆ ของล้ำค่านั้นเป็นของที่บอกใครไม่ได้ใช่หรือไม่”
เหล่าผู้กล้าพากันประณามด้วยความโกรธเคือง
คนคนนี้อีกแล้ว! พระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินจ้องหน้าสวี่ชีอัน สายตามีแววอาฆาตมาดร้าย
แม้ว่าเหล่าชาวยุทธ์แห่งเหลยโจวจะพากันประณามไม่หยุด แต่ด้วยความเกรงกลัวภิกษุชรา จึงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
จู่ๆ หยวนอี้ก็ถามขึ้นว่า “มือที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากที่ใด”
ภิกษุชราตอบพร้อมรอยยิ้ม”ในสายตาของสำนักพุทธ นั่นคือสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด”
สิ่งที่ชั่วร้ายที่สุด?
สามารถทำให้ถ่าหลิงให้คำจำกัดความเช่นนี้ ทุกคนต่างพากันหนาวใจ
สวี่ชีอันจึงฉวยโอกาสถามว่า “ทำไมจึงมีมือข้างเดียว แล้วส่วนที่เหลือเล่า?”
เขาแสร้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น พยายามสืบส่วนที่เหลือของเสินซูจากภิกษุชรา
ภิกษุชรากลับส่ายหน้า “ไม่รู้”
ไม่รู้หรือบอกไม่ได้กันแน่? สวี่ชีอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
จิ้งซินฉานซือไม่ได้สนใจคนอื่นๆ จ้องมองไปที่ภิกษุชรา พนมมือแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสสามารถควบคุมปราณมังกร ทำให้ปราณมังกรเข้าสู่ร่างกายของข้าเพียงคนเดียว โดยไม่ตกอยู่ในมือของผู้อื่น?”
‘ปราณมังกร ปราณมังกรอะไร?’
ทุกคนต่างงุนงง อดที่จะก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวไม่ได้ โดยสัญชาตญาณ ต่างรู้สึกว่าปราณมังกรที่จิ้งซินพูดถึงนั้น ก็คือของล้ำค่าที่สำคัญที่สุดในเจดีย์พุทธะ
ภิกษุชรามองทุกคนอย่างช้าๆ แล้วพูดว่า “ห้ามเข้าใกล้!”
ศีลของสำนักพุทธส่งผลกระทบต่อทุกคนแล้ว
จากนั้นก็ตอบจิ้งซินว่า “อาตมาสามารถนำทางปราณมังกรได้เท่านั้น”
เมื่อพระเถระชั้นผู้ใหญ่เหิงอินเห็นฉากนี้ ในที่สุดก็โล่งอก พูดอย่างเย็นชาๆ ว่า
“เจดีย์พุทธะเป็นของล้ำค่าของสำนักพุทธ ของล้ำค่าในเจดีย์ย่อมเป็นของล้ำค่าของสำนักพุทธเช่นกัน พวกเจ้าบุกเข้าไปในเจดีย์เพื่อชิงของล้ำค่า ช่างเหลวไหลแท้ๆ แม้วัดซานฮัวจะยินยอม แต่ถ่าหลิงก็คงไม่ยินยอม”
จอมยุทธ์ภิกษุและสองพี่น้องตงฟางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้กลัวว่าจิ้งซินจะไม่ได้รับอนุญาตจากถ่าหลิง จึงรู้สึกกังวลใจ ตอนนี้สถานการณ์สงบแล้ว ตราบใดที่ถ่าหลิงไม่ยินยอม ชาวยุทธ์แห่งเหลยโจวเหล่านี้ก็ไม่มีวันชิงปราณมังกรไปได้อย่างแน่นอน
เวลานี้ ชาวยุทธ์แห่งเหลยโจวต่างอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
อยากถอย ก็ไม่เต็มใจ
อยากบุกเข้าไป ก็ถูกยับยั้ง
สามารถทำให้วัดซานฮัวจริงจังเช่นนี้ ‘ปราณมังกร’ จะต้องเป็นของล้ำค่าอย่างยิ่ง
ภิกษุชรายกมือขึ้น คว้าไปที่ความว่างเปล่า
หัวมังกรลวงตาขนาดมหึมามุดออกมาจากผนัง มุดออกมาทีละน้อยตามท่าทางของภิกษุชรา รูปร่างใหญ่โตยากที่จะจินตนาการ
“นี่ นี่มัน…”
ทุกคนที่ได้เห็นปราณมังกรกับตา ในใจต่างเต็มไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า ปรารถนาที่จะได้รับ ครอบครองไว้เป็นของตัวเอง
จิ้งซินมองหัวมังกรด้วยความตื่นตะลึง เกิดความเฉลียวใจท่ามกลางความงุนงง หากตัวเองได้รับมัน นับจากนี้ไปก็จะก้าวสู่ตำแหน่งสูง ทุกอย่างจะราบรื่น การบรรลุพระอรหันต์ก็มีเพียงปัญหาเรื่องเวลาเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภายในจิตใจที่เงียบสงบก็เกิดคลื่นทะลักขึ้นมา ความโลภต่อปราณมังกรอย่างแรงกล้าก็เกิดขึ้น
ปลายนิ้วของภิกษุชราจิ้มไปที่หว่างคิ้วของจิ้งซินเบาๆ
ปราณมังการได้รับการนำทาง บิดร่างมหึมา กำลังจะมุดเข้าไปในร่างของจิ้งซิน
อีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันซึ่งสงบเสงี่ยมอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเฝ้ารอเวลานี้มานาน เคาะด้านหลังกระจกหยกเบาๆ และร่ายสัจคาถาที่ท่านโหราจารย์ถ่ายทอดให้
จากการดึงดูดโดยหนังสือปฐพี ปราณมังกรที่ภายในอ่อนแอ และโชคชะตาของชาติที่รัดตัว มังกรทองลวงตาขนาดมหึมาจู่ๆ ก็หยุดชะงักกะทันหัน หันศีรษะกลับมามองไปที่สวี่ชีอัน
จากนั้น มันก็ไม่สนใจการนำทางของภิกษุชรา มันบิดตัวพุ่งไปหาสวี่ชีอัน แล้วกระแทกเข้ากับหน้าอกของเขา
ซึ่งตรงกับตำแหน่งของเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีพอดี
สำเร็จแล้ว!
………………………………………….