ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 529 ชดเชย
บทที่ 529 ชดเชย
แสงสีทองเปล่งประกายออกมาจากชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงแบฝ่ามือออก ปล่อยให้แสงสีทองตกลงบนฝ่ามือของตนเอง นั่นคือเหรียญทองแดงที่มีจารึกพุทธมนต์
เดิมทีเขาคิดว่าอาจเป็นเพราะนิกายมหายานที่ทำให้ภิกษุถ่าหลิงกล่าวเช่นนี้ออกมา แต่เมื่อสวี่ชีอันเห็นพระเครื่องชิ้นนั้นอย่างชัดเจน ท่าทางของเขาก็แปลกประหลาดไปในทันที
ของสิ่งนี้เป็นของที่อ๋องสยบแดนเหนือได้มาจากร่างของรองแม่ทัพฉู่เซียงหลงตอนที่กำจัดเขาในตอนนั้น
ในเวลานั้น สวี่ชีอันเพียงแค่ทำการตรวจสอบคร่าวๆ ก่อนจะโยนมันเข้าไปในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีโดยไม่ได้คิดอะไร
“นี่คือ…” เขาจ้องไปที่ฝ่ามือของภิกษุเฒ่า และถามหยั่งเชิง
“นี่คือพระเครื่องที่แสดงถึงตัวตนของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ เห็นเครื่องรางนี้ ก็เหมือนได้พบกับพระโพธิสัตว์” ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงยิ้มเล็กน้อย
พระเครื่องที่แสดงถึงตัวตนของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้…สวี่ชีอันตกตะลึง คลื่นทะเลแห่งความคิดกลายเป็นกระแสอันปั่นป่วน ทำไมพระเครื่องของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ถึงไปอยู่บนร่างของฉู่เซียงหลงได้?
ทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? ข้าฆ่าเซียงหลงไปแล้ว นี่จะเป็นการกระตุ้นความแค้นของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หรือไม่?
“เจ้ามีพระเครื่องของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นเจ้าของเจดีย์พุทธะ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ภิกษุเฒ่าก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ประสกอยู่ที่ใด เคยพบกับพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้เมื่อใด?”
“…”
สวี่ชีอันไม่สามารถตอบโต้ได้ชั่วขณะ แต่ในใจกลับกล่าวว่า พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ประทับอยู่ที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาไม่ใช่รึ แล้วข้าจะเคยพบเขาได้อย่างไร
เดี๋ยวนะ! ฉู่เซียงหลงก็ไม่เคยไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาอย่างแน่นอน แล้วเขาได้รับพระเครื่องของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มาได้อย่างไร?
ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองของเขา สวี่ชีอันส่ายศีรษะ พลางกล่าวอย่างกำกวมว่า “ข้าไม่เคยพบพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มาก่อน”
ภิกษุเฒ่าถ่าหลิงกล่าวอธิบายว่า “พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หายสาบสูญไปโดยไร้ซึ่งข่าวคราวมาสามร้อยหกสิบปีแล้ว แม้แต่พระโพธิสัตว์หลิวหลีก็ยังหาพระองค์ไม่พบ”
หายสาบสูญไปสามร้อยหกสิบปี…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีใครสามารถเปิดโปงตัวตนในฐานะผู้สืบทอดปลอมของข้าได้
เขาแสร้งทำเป็นงงงวย “ข้าจำได้แล้ว พระเครื่องชิ้นนี้เป็นของที่ภิกษุธุดงค์รูปหนึ่งมอบให้ข้าเพื่อตอบแทนสำหรับอาหาร แต่ แต่ข้าไม่เคยคิดว่ามันจะล้ำค่าเช่นนี้ นอกจากนี้ ทำไมจู่ๆ พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ถึงได้หายสาบสูญไปเล่า สำนักพุทธก็หาไม่พบรึ?”
คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงแต่อธิบายที่มาของเครื่องรางเท่านั้น แต่ยังเน้นแสดง ‘ความบริสุทธิ์’ ของตนเองอย่างชัดแจ้ง และยังถือโอกาสสอบถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงในการหายสาบสูญของพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้อีกด้วย
“ผิดแล้ว!” ภิกษุเฒ่ากล่าว
ผิดแล้ว? หรือว่าพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้เป็นผู้หญิง? สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปอย่างมาก
ภิกษุเฒ่ามองสวี่ชีอันอย่างพิจารณา และกล่าวด้วยความลังเลว่า “พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มอบพระเครื่องนี้ให้แก่เจ้ามิใช่เพื่อตอบแทนอาหาร เมื่อเจ้าได้รับพระเครื่องนี้ ย่อมหมายถึงเจ้ามีกรรมกับพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องดี แต่ข้าเห็นว่าประสกมีกรรมรัดตัวอยู่ เพิ่มกรรมอีกสักข้อก็คงไม่ถึงกับแน่นมาก คาดว่าพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ก็คงเห็นจุดนี้ในตัวเจ้า”
‘ถุย’ ภิกษุเฒ่า ดูเหมือนท่านกำลังพูดว่า ประสก เจ้าดูเหมือนแม่ทัพอาวุโสบนเวทีที่มีธงเสียบอยู่ทั่วร่างอย่างไรอย่างนั้น
สวี่ชีอันฝืนยิ้ม “ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น…จริงสิ บังอาจถามไต้ซือ หากเมื่อครู่ข้าเลือกที่จะปล่อยเสินซู ท่านจะรับปากจริงรึ?”
ภิกษุเฒ่าพยักหน้า กล่าวว่า “การปลดผนึกเป็นเวลาแห่งความตายของพวกเจ้า รอให้เสินซูกลืนกินแก่นโลหิตของพวกเจ้า ข้าจะวางกับดักมัน จากนั้นก็รอให้พระโพธิสัตว์แห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตามาจัดการ”
ขิงเก่าย่อมร้อนกว่าขิงใหม่สินะ…สวี่ชีอันมองแขนที่ขาดของเสินซูอีกครั้ง และถามว่า “เจ้าของมือข้างนี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่?”
ภิกษุเฒ่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือ แขนเสื้อคลุมขนาดใหญ่ตวัดไปบนท้องฟ้า ปรากฏเป็นม้วนภาพที่มีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้
ในม้วนภาพ ปรากฏพระพุทธเจ้าร่างทองกำลังนั่งตัวตรงตระหง่าน เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาที่แฝงไปด้วยความสง่างาม
ด้านซ้ายและด้านขวาของพระพุทธเจ้ามีพระโพธิสัตว์เก้าองค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธรรมทั้งเก้า และพระอรหันต์สิบแปดรูป
นี่คือฉากที่ปรากฏในชั้นแรกของเจดีย์พุทธะ
เสินซูซ่อนอยู่ในพระโพธิสัตว์รึ? สวี่ชีอันเกิดความสงสัยในใจ จู่ๆ ก็เห็นฉากภาพลอยสูงขึ้น เข้าไปในส่วนลึกของหมอกซึ่งไม่สามารถมองเห็นยอดเจดีย์ได้
เหนือเศียรพระโพธิสัตว์แห่งสำนักพุทธ ลึกลงไปในหมอกหนาทึบ คือร่างธรรมแห่งความมืดขนาดยักษ์ เขามีแขนสิบสองคู่ วงแหวนไฟลุกโชนอยู่ด้านหลังศีรษะ และมีตราเปลวไฟสีดำจารึกอยู่ที่หน้าผาก
เขาแสดงใบหน้าอันดุร้าย แยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความกระหาย พลางจ้องพระพุทธเจ้าลงมาจากด้านบนตาเขม็ง พระโพธิสัตว์และพระอรหันต์เป็นเหมือนเหยื่อที่อร่อยที่สุด
ภาพรวมทั้งหมดปรากฏลำดับชั้นอย่างชัดเจน รัศมีของพุทธศาสนาที่ชั้นล่างสุดเต็มเปี่ยมไปด้วยความโอ่อ่าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ในขณะที่ชั้นบนเป็นเหมือนแดนนรกที่มืดมนน่าสะพรึงกลัว ซึ่งกระทบอย่างรุนแรงต่อการมองเห็น
จู่ๆ หัวใจของสวี่ชีอันก็เต้นแรงและกระชั้นถี่ขึ้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังได้ยินเสียง ‘ตุบ ตุบ’
เห็นเพียงแวบเดียว เขาก็จำร่างธรรมแห่งความมืดได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือเสินซู
ตอนที่สังหารอ๋องสยบแดนเหนือที่ฉู่โจว เสินซูใช้พลังของยาโลหิตเพื่อแสดงวิธีลับ และร่างธรรมนี้ก็ปรากฏออกมา
ภาพนี้กำลังสื่อถึงอะไร? เสินซูกินสำนักพุทธเป็น ‘อาหาร’? เสินซูเป็นศัตรูของทั้งสำนักพุทธ? เขาสามารถคุกคามถึงพระโพธิสัตว์ พระอรหันต์ และแม้กระทั่งพระพุทธเจ้างั้นรึ? เขาอยู่ในส่วนลึกของหมอกหนาและจ้องสำนักพุทธตาเป็นมัน? การคาดเดาปรากฏขึ้นในจิตใจอย่างต่อเนื่อง ประสบการณ์สะเทือนขวัญทำให้จิตใจของเขากระสับกระส่ายอย่างยิ่ง
ภิกษุเฒ่าโบกมือ ลบล้างภาพที่ปรากฏ ก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน “เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันอ้าปากพะงาบด้วยความอยากถาม แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถถามออกไปได้
ถ่าหลิงจารึก ‘อักษรว่าน (卍)’ ลงบนเครื่องราง และมอบให้สวี่ชีอันพร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อครอบครองเครื่องราง จะสามารถควบคุมเจดีย์พุทธะได้เบื้องต้น ประสกสามารถเลือกที่จะขี่เจดีย์ไปจากเหลยโจวได้ แต่อย่าใช้เจดีย์ทำร้ายลูกศิษย์สำนักพุทธ”
ข้าสามารถขี่เจดีย์พุทธะได้งั้นรึ? สวี่ชีอันกำลังจะขอบคุณ แต่จู่ๆ ก็ได้ยินคำถามของหลี่เส่าอวิ๋นดังมาจากด้านหลัง “เหม่ออะไรอยู่รึ?”
เขาตื่นขึ้นอย่างฉับพลันราวกับเพิ่งตื่นจากความฝันอันยิ่งใหญ่ ในมือไม่มีสร้อยข้อเท้าอีกต่อไป แขนซ้ายของเสินซูก็ไม่คืนสู่สภาพเดิม หากไม่ใช่เพราะถือเครื่องรางอยู่ในมือ เขาก็คงสงสัยว่าการที่อยู่ด้วยกันต่อหน้านี้เป็นความฝันทั้งหมด
สวี่ชีอันหันไปมองภิกษุเฒ่าถ่าหลิงโดยไม่รู้ตัว เขายังคงนั่งขัดสมาธิ ประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันอย่างนิ่งสงบราวกับรูปปั้น
“ไม่ต้องมองเขา เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นับประสาอะไรกับช่วยพวกเรา”
หลี่เส่าอวิ๋นมองตามสายตาเขาไปยังภิกษุเฒ่า “เมื่อครู่ข้าขอร้องเขาแล้ว หวังว่าเขาจะส่งพวกเราออกไปได้ แต่ก็ถูกปฏิเสธ นอกจากนี้ ภิกษุรูปนี้ยังเก่งเรื่องการคำนวณคำพูดอีกด้วย”
เก่งเรื่องการคำนวณคำพูดงั้นรึ? ภิกษุทุกรูปในโลกนี้ต้องศึกษาวิชาหลักด้วยรึ…สวี่ชีอันหยอกล้อในใจ เขาเก็บเครื่องรางลงไปอย่างเงียบๆ และกล่าวว่า “เจ้าจะพูดอะไร?”
หลี่เส่าอวิ๋นกลอกตา พลางกล่าวว่า “ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ซุนเสวียนจีก็ยังไม่สามารถแก้ไขศัตรูด้านนอกได้ หากรอจนถึงพรุ่งนี้เช้า แล้วพวกเรายังไม่สามารถออกไปได้ก็จะถูกขังตายอยู่ในเจดีย์ ทุกคนร้อนใจอย่างมาก เจ้ามีวิธีหรือไม่?”
สวี่ชีอันมองออกไปนอกหน้าต่างเจดีย์ทันที ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม พระอาทิตย์ตกดินจนลับขอบฟ้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ข้างนอกเงียบสงัด บางครั้งก็ได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้นสองสามนัด ทำให้รู้ว่าสงครามยังไม่หยุดลง
เหล่าจอมยุทธ์เหลยโจวที่อยู่ในเจดีย์ เริ่มเปลี่ยนจากท่าทางสงบนิ่งในตอนกลางวันเป็นกระสับกระส่ายด้วยความร้อนใจมากขึ้น
เพราะพวกเขาตระหนักได้ว่า ซุนเสวียนจีดูเหมือนจะไม่สามารถช่วยพวกเขาออกไปจากการจับกุมของยอดฝีมือขั้นสามทั้งสองคนได้ ประกอบกับเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ ทุกคนกำลังจมสู่ ‘ความพ่ายแพ้’ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“กระสุนปืนใหญ่ของโหรขั้นสามถูกใช้หมดแล้ว”
“เอะอะก็ถล่มยิงด้วยปืนใหญ่ ตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ รู้แต่การยิงปืนใหญ่ใส่ภิกษุ ไม่มีวิธีอื่นแล้วรึ?”
“พลังต่อสู้ของโหรไม่สามารถเชื่อมั่นได้อย่างที่คิดไว้จริงๆ หากฆ้องเงินสวี่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาพุทธระดับเพชรก็กลับชาติมาเกิดแล้ว”
“ใช่ ฆ้องเงินสวี่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาเป็นจอมยุทธ์”
บรรยากาศแห่งความวิตกกังวลกำลังคุกรุ่นและหมักหมมท่ามกลางฝูงชน หลายคนรู้สึกเสียใจที่ติดตามผู้อื่นมาทำชั่วที่วัดซานหัว
เวลานี้เอง หยวนอี้ ถังหยวนอู่และหลิวอวิ๋นก็เดินเข้ามา ผู้บัญชาการถามว่า “ท่านมีวิธีรับมืออย่างไร?”
เขามาหาสวี่ชีอันเพื่อปรึกษาหารือ หากไม่ได้จริงๆ ก็สามารถพิจารณานำปราณมังกรส่งคืนสำนักพุทธ และยังมีซุนเสวียนจีออกหน้าไกล่เกลี่ย ก็อาจจะช่วยชีวิตพวกเขาได้
ในขณะที่กำลังพิจารณาว่าจะกล่าวอย่างไร หยวนอี้ก็ได้ยินสวีเชียนกล่าวว่า “ข้าจะพาพวกเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
อะไรกัน?!
หลิวอวิ๋นและคนอื่นๆ กำลังสงสัยว่าตนเองหูฝาดไปหรือไม่ วินาทีต่อมา ก็หันไปมองสวีเชียนด้วยความประหลาดใจและดีใจอีกครั้ง
คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ให้ดี…สวี่ชีอันหยอกล้อเล็กน้อย เขาถ่ายทอดพลังปราณลงไปในเครื่องราง แยกจิตวิญญาณและความคิดให้ดื่มด่ำอยู่ในเครื่องราง เขารู้สึกได้ทันทีว่าร่างของตนเองได้เชื่อมสัมพันธ์กับเจดีย์พุทธะอย่างมั่นคงแล้ว
การเชื่อมสัมพันธ์นี้อยู่ในระดับต่ำกว่าดาบไท่ผิง แต่อยู่ในระดับเดียวกับชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
หมายความว่า ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นเจ้าของเจดีย์พุทธะ แต่ก็ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง
คำอธิบายโดยใช้ภาพ ดาบไท่ผิงเป็นบุตรชายของเขา ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและเจดีย์พุทธะเป็นพ่อเลี้ยงของเขา
ด้วยสถานะของหนังสือปฐพีและเจดีย์พุทธะ ย่อมต้องเป็นเหมือนพ่อเลี้ยงของเขาจริงๆ
สวี่ชีอันถือเครื่องรางไว้แน่น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำว่า “ขึ้นไป!”
…
ด้านนอกเจดีย์พุทธะ สองพี่น้องตงฟางและพระสงฆ์ของวัดซานฮัว กำลังนั่งสมาธิเป็นกลุ่มๆ ละสองถึงสามคน
เมื่อเทียบกับแรงกระสุนที่รุนแรงในตอนกลางวัน การโจมตีด้วยปืนใหญ่เป็นครั้งคราวในตอนนี้ ไม่พอที่จะสร้างภัยคุกคามต่อพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่กล้าออกจากบริเวณใกล้เคียงเจดีย์พุทธะ เนื่องจากทุกคนเดาว่าซุนเสวียนจีในเวลานี้จะต้องกำลังโกรธแค้นสุดชีวิตเนื่องจากไร้ความสามารถอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะระบายความโกรธใส่พวกเขา สังหารหมู่พวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้น วัดซานฮัวส่วนใหญ่ยังถูกทำลายด้วยกระสุนปืนใหญ่ ห้องโถงหลักพังทลาย เกิดหลุมลูกระเบิดนับไม่ถ้วน เต็มไปด้วยรอยแผลอยู่ทุกหนทุกแห่ง
เจ้าอาวาสวัดซานฮัวผานหลงสวดพระนามของพระพุทธเจ้า และกล่าวด้วยความทอดถอนใจว่า “หลังจากผ่านคืนนี้ไปแล้ว เจดีย์พุทธะก็จะปิดประตู ทำให้กลุ่มขโมยเหล่านั้นตายอยู่ในเจดีย์พุทธะ ถือว่าเป็นคำอธิบายให้แก่เหิงอินและสหายทุกคนที่ตายไป”
เหล่าภิกษุวัดซานฮัวทั้งดีใจทั้งเสียดาย
ตงฟางหว่านหรงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่ผู้บัญชาการหยวนอี้ตายอยู่ในเจดีย์ ราชสำนักต้าฟ่งย่อมต้องสอบถาม สำนักพุทธก็ต้องเตรียมพร้อมรับความโกรธของราชสำนักให้ดี”
“ประสกหญิงไม่จำเป็นต้องปลุกปั่น”
ภิกษุจิ้งหยวนกล่าวเสียงเบาว่า “ต้าฟ่งอ่อนแอมานานแล้ว ตั้งแต่การตรวจสอบข้าราชสำนักจนถึงตอนนี้ การตายของอ๋องสยบแดนเหนือ จักรพรรดิ และเว่ยเยวียนตามลำดับ ชายหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างสวี่ชีอันก็ถูกละทิ้งไปแล้ว ราชสำนักต้าฟ่งจะมีความกล้าจากที่ใดมาถามหาความ?”
“ก็จริง หยวนอี้ยุยงให้ชาวยุทธ์องอาจแห่งเหลยโจวโจมตีวัดของข้า สำนักพุทธยังต้องถามหาความกับเขา” ภิกษุวัดซานฮัวกล่าวด้วยความไม่พอใจ
ลูกศิษย์ตำหนักมังกรตงไห่กล่าวต่อไปว่า “นอกจากท่านโหราจารย์ ต้าฟ่งก็ไม่มียอดฝีมือระดับสูงแล้ว”
กลุ่มลูกศิษย์ส่วนหนึ่งของสำนักพ่อมดระเบิดหัวเราะขึ้นมา
ในระยะไกลออกไป เทพอารักษ์ตู้หนานยืนอยู่นอกประตูเจดีย์อย่างสงบนิ่ง
ปรมาจารย์แห่งวิญญาณอีเอ๋อร์ปู้และซุนเสวียนจีผู้ควบคุมป้อมปืนยังคงเล่นเกม ‘แมวจับหนู’
เวลานี้เอง จู่ๆ เจดีย์พุทธะก็สั่นสะเทือนขึ้นมา รัศมีในการสั่นสะเทือนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ผิวกำแพงหลุดร่วงออกมาเป็นชิ้นๆ แผ่นกระเบื้องหล่นลงมาดัง ‘เพล้ง’ และแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปมองเจดีย์ด้วยความประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นในเจดีย์”
“เจดีย์พุทธะมีชีวิตแล้วรึ?”
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่น้อย และยังเกิดข้อถกเถียงมากมาย
เจ้าอาวาสผานหลงกล่าวพึมพำว่า “เจดีย์นี้ตั้งตระหง่านอยู่ในวัดมาห้าร้อยปี ไม่เคยมีการโยกย้ายตำแหน่งมาก่อน นี่มันอะไร เพราะอะไรกัน?”
ทุกคนต่างมองไปที่เทพอารักษ์ตู้หนานอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่กลับพบว่าระดับเพชรขั้นสามท่านนี้ที่เคยสงบนิ่งราวกับภูเขา ในที่สุดก็เกิดความประหลาดใจ ทึ่งและงุนงง
ลำแสงสีดำส่องลงมาที่ข้างเจดีย์ อีเอ๋อร์ปู้ที่สวมเสื้อคลุมของสำนักพ่อมดเงยหน้าขึ้นไปมอง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เทพอารักษ์ตู้หนานกล่าวด้วยความลังเล “พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้อาจอยู่ใกล้ๆ ถ่าหลิงจึงรับรู้ถึงเขา”
พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้?
ภิกษุสำนักพุทธได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นตกใจ
ใช่แล้ว หากไม่ใช่เพราะรับรู้ถึงการอยู่ใกล้ๆ ของเจ้าของ ถ่าหลิงจะเคลื่อนไหวเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในเมื่อพระโพธิสัตว์มาถึงแล้ว เช่นนั้นพวกขโมยในเจดีย์ก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหลบหนี ซุนเสวียนจีที่น่ารำคาญนั่นก็ไม่ใช่ภัยคุกคามอีกต่อไป
การต่อสู้เพื่อช่วงชิงสมบัตินี้ นับว่าอันตรายแต่ก็ปลอดภัยแล้ว
“อมิตตาพุทธ ในเมื่อพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้มาถึงแล้ว เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ควรจบลงเสียที” เจ้าอาวาสผานหลงประสานมือเข้าด้วยกันราวกับโล่งใจ
สาวกตำหนักมังกรตงไห่รู้สึกอิจฉาชั่วขณะ สำนักพุทธแข็งแกร่งมาก มียอดฝีมือขั้นสูงมากมาย อัญเชิญให้พระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งมาก็มา ไม่แปลกที่ภิกษุสำนักพุทธจะมีแรงสนับสนุนที่แข็งแกร่งเช่นนี้
จิ้งซินและจิ้งหยวนมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ในฐานะที่เป็นภิกษุแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตา พวกเขาย่อมรู้เรื่องราวภายใน พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หายสาบสูญโดยไร้ซึ่งข่าวคราวมาสามร้อยหกสิบปีแล้ว
พูดให้มาก็มางั้นรึ?
บ้างก็งงงวย บ้างก็แปลกใจ บ้างก็อิจฉา อีเอ๋อร์ปู้ที่เงยหน้าขึ้นไปมองเจดีย์พุทธะตั้งแต่แรกกล่าวเสียงทุ้มว่า “มีคนอยู่บนยอดเจดีย์”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนยอดเจดีย์โดยจิตใต้สำนึกทันที
บุคคลในชุดดำยืนตระหง่านอยู่บนยอดเจดีย์ท่ามกลางท้องฟ้าสีสลัว เสื้อผ้าของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม และกำลังมองลงมาที่ทุกคนด้านล่างด้วยแววตาสงบนิ่ง
สีหน้าของสองพี่น้องตงฟางเปลี่ยนไปอย่างมาก “สวีเชียน!”
คนอื่นๆ จำตัวตนของบุคคลในชุดดำได้ทันที เป็นสวีเชียน ผู้เรียกซุนเสวียนจีมา และฆ่าภิกษุเหิงอิน
เขาออกมาจากเจดีย์ตั้งแต่เมื่อใด?
ในที่สุดสีหน้าของเทพอารักษ์ตู้หนานก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
“น้ำสีเขียว เขาสีคราม ความตั้งใจมั่นคงดุจภูผา ขอบคุณสำหรับของขวัญจากสำนักพุทธ ทุกคน ลาก่อน!”
บุคคลในชุดดำยกมือขึ้นมาประสานพร้อมโค้งคำนับ
ทันทีที่เสียงพูดจบลง เจดีย์พุทธะก็ระเบิดแสงสีทองพร่างพราว เจดีย์อันสูงตระหง่านลอยขึ้นเล็กน้อย พุ่งตรงสู่ท้องนภา
ร่างของบุคคลทั้งสองร่างไล่ตามเขาไปในเวลาเดียวกัน แบ่งเป็นเทพอารักษ์ตู้หนานที่มีแสงสีทองเจิดจ้าปกคลุมร่างและอีเอ๋อร์ปู้ที่กลายร่างเป็นลำแสงสีดำ
ระดับความเร็วของเทพอารักษ์ตู้หนานไม่เร็วเท่าเจดีย์พุทธะ เขาจึงถูกทิ้งไว้ด้านหลังในพริบตาเดียว ส่วนลำแสงสีดำอีเอ๋อร์ปู้ก็ไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิด แต่ระยะก็ค่อยๆ ไกลห่างขึ้นเรื่อยๆ
เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวและทรงอิทธิพลแตกซ่านออกมา ทำให้อีเอ๋อร์ปู้รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า อานุภาพหยุดชะงักราวกับถูกระงับไว้
เจดีย์พุทธะอาศัยช่องโหว่นี้ในการแปรสภาพเป็นลำแสงและหายไปในท้องฟ้าทันที
…
ตำหนักมังกรตงไห่และวัดซานฮัว ทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในวัดซานฮัวต่างก็ตกตะลึง
“ไม่ ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ฝ่าจี้…”
ภิกษุรูปหนึ่งกลืนน้ำลาย “เจดีย์พุทธะ ถูก ถูกคนขโมยไปแล้ว…”
เหล่าภิกษุสำนักพุทธต่างก็สับสน และไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแม้แต่น้อย เหตุใดสมบัติวิเศษของพระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งผู้สง่างามถึงได้ถูกขโมยไปได้โดยง่ายเช่นนี้?
ถ่าหลิงเล่า?
ถ่าหลิงหลับแล้วรึ?
จิ้งซินหันไปมองสองพี่น้องตงฟางด้วยสีหน้างุนงงและประหลาดใจ พลางกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “สวีเชียนนั่นเป็นใครรึ?”
‘เขาเป็นเพียงคนที่ไม่สามารถเอาชนะแม้กระทั่งหว่านชิงได้’…ตงฟางหว่านหรงได้แต่อ้าปาก แต่ก็ไร้คำพูด
นางไม่เชื่อการตัดสินของตนเองอีกต่อไป
ตงฟางหว่านชิงตอบแทนพี่สาวว่า “พวกเราพบบุคคลนี้ระหว่างทางมาเหลยโจว เขา…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าอันงดงามของตงฟางหว่านหรงก็มีความเลื่อนลอยปรากฏขึ้น ราวกับลืมสิ่งที่ตนเองอยากจะพูด
เวลานี้เอง ภิกษุวัดซานฮัวรูปหนึ่งก็ชี้ไปยังสถานที่ตั้งเดิมของเจดีย์พุทธะ พลางกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เอ๋ เหตุใดมีช่องว่างตรงนี้เล่า?”
เจ้าอาวาสผานหลงมองตามมือเขา และกล่าวว่า “นั่นคือ…”
จู่ๆ เขาก็ตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ จริงด้วย เหตุใดถึงได้เกิดช่องว่างตรงนี้?
…
ค่ำคืนอันมืดมืด ณ ชายแดนเหลยโจว
แสงสีทองสว่างวาบและตกลงในหุบเขาลูกหนึ่ง
ค่ำคืนอันมืดมิด ทั่วทั้งภูเขาและแม่น้ำเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงนกฮูกร้องเป็นระยะ
ซุนเสวียนจีพามู่หนานจือ หลี่หลิงซู่ เข้าไปในเจดีย์พุทธะและปีนขึ้นไปชั้นสามภายใต้การแนะนำของสวี่ชีอัน
มู่หนานจืออุ้มจิ้งจอกน้อยสีขาวไว้ในอ้อมแขน พลางกวาดสายตามองรอบๆ เห็นเหล่าชาวยุทธ์องอาจเบียดเสียดกันอยู่ที่ข้างหน้าต่างทั้งสองบาน สายตามองไปยังท้องฟ้าด้านนอกด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
“เจ้า เจ้าขโมยเจดีย์พุทธะงั้นรึ?” หลี่เส่าอวิ๋นจ้องชายชุดดำที่อยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทางราวกับเห็นผี “เจ้าทำได้อย่างไร”
เพราะภรรยาเป็นคนสอนข้า…สวี่ชีอันแอบเยาะเย้ยเขาอย่างเงียบๆ แต่กล่าวด้วยความสุขุมว่า “ไม่มีแรงสนับสนุนอันสมบูรณ์เข่นนี้ ข้าจะเข้าไปในเจดีย์พุทธะได้รึ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้บัญชาการหยวนอี้ก็แสดงสีหน้าชื่นชม “ท่านมีญาณทัศนะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ข้าประสบการณ์น้อยและโง่เขลา ถึงได้ไม่รู้ว่ามีบุคคลเช่นท่านก่อกำเนิดขึ้นมาในต้าฟ่งตั้งแต่เมื่อใด”
หลิวอวิ๋นหันไปมองทันที ดวงตาของนางเปล่งประกายระยิบระยับ
“อาจจะไม่ใช่คนของต้าฟ่ง” หลี่เส่าอวิ๋นกระซิบอยู่ข้างๆ
บุคคลนี้เชี่ยวชาญในด้านไสยศาสตร์ ถึงแม้ลักษณะทั่วไปของเขาจะเหมือนคนที่ราบกลาง แต่รูปลักษณ์ภายนอกเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ซุนเสวียนจีมองสวี่ชีอัน และกล่าวว่า “ข้า…”
จิ้งจอกน้อยไม่ค่อยชอบกลิ่นอายในเจดีย์พุทธะ มันจึงขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของมู่หนานจือ พลางยกอุ้งเท้าขึ้นมาเล็กน้อย และกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า
“เก่งมาก เก่งมาก สมแล้วที่เป็นผู้ชายของพี่เย่จี”
จุดประสงค์ของการมาเหลยโจวของเขาคือขโมยเจดีย์พุทธะงั้นรึ? นี่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อน…หลี่หลิงซู่ครุ่นคิดด้วยความสับสน
ซุนเสวียนจีมองสวี่ชีอัน และกล่าวว่า “ข้า…”
สีหน้าของมู่หนานจือเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางก้มศีรษะลง กล่าวว่า “พี่เย่จี?”
ผู้ชายของพี่เย่จี?
จิ้งจอกน้อยตอบรับ “อืม” และกล่าวต่อไปว่า “พี่เย่จีคือพี่สามของข้า”
‘มิน่าล่ะ มิน่าล่ะ เขาถึงบอกว่าเป็นน้องสาวของสหายเก่า’…มู่หนานจือมองมันครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะโยนจิ้งจอกน้อยออกไป
‘ตุบ!’
จิ้งจอกน้อยตกลงบนพื้น มันมีขนาดแค่ท่อนแขนของผู้ใหญ่ รูปลักษณ์น่ารัก ขนาดกะทัดรัด น้ำตาไหลพรากออกจากดวงตาของจิ้งจอกน้อย มันมองมู่หนานจืออย่างไร้เดียงสา คิดไม่ออกว่าทำไมจู่ๆ ตนเองถึงถูกกระทำอย่างหยาบคายเช่นนี้
มู่หนานจือชายตามองสวี่ชีอันเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ แล้วอุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมาอีกครั้ง พลางลูบหัวมันเพื่อปลอบใจ
นางไม่ได้จงใจหาเรื่องจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งแต่อย่างใด
ซุนเสวียนจีมองสวี่ชีอัน และกล่าวว่า “ข้า…”
สวี่ชีอันกล่าวเสียงดังว่า “ทุกคน เรื่องจบลงแล้ว เพื่อป้องกันการถูกติดตาม ข้าจะรีบออกไปทันที ตอนนี้จะพาทุกคนออกไปจากเจดีย์แล้ว”
ชาวยุทธ์คนหนึ่งลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามหยั่งเชิงด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกว่า จะ จะแบ่งสมบัติให้เท่าๆ กัน”
ทันใดนั้น ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่สวี่ชีอันทันที
เหล่าจอมยุทธ์เหลยโจวไม่กล้าส่งเสียงดัง และยิ่งไม่กล้าบีบบังคับ จึงทำได้เพียงกลั้มลมหายใจมองเขา
เหล่าจอมยุทธ์พเนจรชอบการช่วงชิงสมบัติมากที่สุด ปัจจัยที่สำคัญคือ เพราะพวกเขาไม่มีกำลังสนับสนุน ไม่มีทรัพยากร จึงจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตในการไปต่อสู้ ไปช่วงชิงเพื่อให้ได้มา
เช่นเดียวกับเด็กยากจนที่ต้องการเงยหน้าอ้าปาก จึงต้องมุมานะต่อสู้ ขยันหมั่นเพียรชนิดทุ่มเททั้งกาย เพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาส
มีเพียงผู้มานะตรากตรำเท่านั้นที่จะรู้ถึงความขมขื่นนี้
ภิกษุอาวุโสที่กำลังนั่งทำสมาธิราวกับรูปปั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองสวี่ชีอันเช่นกัน
หยวนอี้ หลี่เส่าอวิ๋น ถังหยวนอู่ ยอดฝีมือระดับสี่เหล่านี้ไม่ได้พูดอะไร แต่ในแววตาของพวกเขาก็แฝงไปด้วยความปรารถนา
เหตุผลที่ไม่เปิดปากพูดเมื่อสักครู่ เพราะคิดว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อรองกับสวีเชียนอีกต่อไป
ชาวยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งว่าเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น แต่ลึกๆ ในใจก็ยังมีความหวังอันริบหรี่
แน่นอนว่า ต่อให้สวีเชียนจะออกอาการโมโหโดยไม่ไว้หน้า พวกเขาก็จะไม่พูดอะไร และจากไปทันที
ปราณมังกรเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแบ่งได้ เจดีย์พุทธะก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าสามารถเป็นเจ้าของได้ แต่เมื่อครู่ข้าพูดออกไปแล้วจริงๆ ว่าจะแบ่งสมบัติเท่ากัน…แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดส่งเดช แต่หนึ่งคำมั่นสัญญามีค่าเท่ากับทองพันชั่ง…นอกจากนี้ ข้าเป็นคนล่อลวงคนเหล่านี้เข้ามา และใช้ ‘แรงงาน’ พวกเขาฟรีๆ
จะชดเชยให้พวกเขาอย่างไรดี…สวี่ชีอันจมสู่ห้วงความคิด
………………………………………………
———————