ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 530 ตัวตนที่แท้จริงของสวีเชียน
บทที่ 530 ตัวตนที่แท้จริงของสวีเชียน
ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “ของล้ำค่าจะแบ่งกับพวกเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าจะปราณมังกรหรือเจดีย์พุทธะต่างก็เป็นเลิศไม่เป็นรองใคร จุดนี้พวกเจ้าคงเข้าใจได้”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ในใจทุกคนก็หนักอึ้ง ซุกซ่อนความผิดหวังไว้ไม่อยู่
สวี่ชีอันสีหน้ายังคงเป็นปกติ แล้วกล่าวเสริม “ทว่าข้าชดเชยให้พวกเจ้าอย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้ท่านทั้งหลายมาเสียเที่ยว”
เส้นทางบนยอดเขาอันคดเคี้ยว
มีค่าชดเชย…ชาวยุทธภพเหลยโจวต่างสบประสานสายตา แสดงความปลื้มปีติออกมา
ในกรณีที่สมบัติล้ำค่ามีเพียง ‘หนึ่งเดียว’ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้รับไป ส่วนคนที่เหลือก็จะได้รับของชดเชย นี่เป็นวิธีที่น่าเชื่อถือและถูกยอมรับมากที่สุด
“ชดเชยด้วยอะไร” มีคนถาม
“จะต้องทำให้พวกเจ้าพอใจแน่นอน!” สวี่ชีอันเอ่ย
หลังจากได้รับความเห็นพ้องจากทุกคน สวี่ชีอันก็ส่งทุกคนไปชั้นที่สอง จากนั้นเรียกไปทีละคนเหมือนกับหัวหน้ามอบเงินรางวัลให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
คนแรกที่เข้าไปเป็นชายหนุ่มชุดดำที่ผอมกะหร่อง เขาคาดกระบี่สั้นไว้บนเอว สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ถุงใต้ตาบวมเป่ง
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “เจ้าอยากได้อะไร”
เขาคารวะพร้อมเอ่ย “ข้าน้อยจ้าวผาน ชำนาญการใช้พิษ พอจะเข้าใจความสามารถของตู๋กู่อยู่บ้าง เมื่อกลางวันยามอยู่ที่วัดซานฮัวได้เห็นท่านใช้พิษที่รุนแรง จึงอยากขอพิษจากท่าน ยิ่งแรงเท่าไรก็ยิ่งดี”
คำขอนี้ไม่ยาก…สวี่ชีอันหยิบขวดลายครามออกมา ปลายนิ้วบีบพิษสีดำคล้ำออกมาและเทเข้าไปในขวด
“รับไป!”
เขาปิดฝาและโยนพิษให้ผู้ใช้พิษที่ชื่อว่าจ้าวผาน
เป๊าะ! จ้าวผานอดทนรอไม่ไหวดึงจุกไม้ก๊อกออก สูดกลิ่นด้วยสีหน้าระริกระรี้ “ดี พิษช่างรุนแรงดีนัก…”
เอ่ยจบสีหน้าก็เริ่มดำคล้ำ ร่างกายอ่อนแรงและล้มลงกับพื้น
การกระทำแสนโง่เขลาของเจ้าต่างอะไรกับการเลียกริชพิษ…สวี่ชีอันก่นด่าอยู่ในใจ แล้วรีบร้อนช่วยชีวิต กู้ชีวิตเจ้าโง่คนหนึ่งขึ้นมา
“ขอบพระคุณที่ช่วยชีวิตขอรับ”
สีหน้าของจ้าวผานซีดขาวลง กำขวดลายครามไว้ในมือแน่น ราวกับเป็นของล้ำค่าที่สุด
“พิษนี้ร้ายแรง ใช้ในที่โล่งจะดีที่สุด อย่าเปิดขวดในห้องที่ปิดมิดชิด นอกจากนี้ข้าจะให้หญ้าพิษกับเจ้าเพิ่ม”
สวี่ชีอันเปิดถุงผ้าออก หยิบ ‘ไม้กระถาง’ ให้เขา
นี่เป็นหญ้าเขียวเป็นมันขลับ คล้ายกับดอกกล้วยไม้ ท่ามกลางความเขียวขจีประดับด้วยผลสีแดงเข้มไม่กี่ลูก
“แม่ม่ายเขียวหรือ นี่คือแม่ม่ายเขียวงั้นหรือ”
จ้าวผานมองสำรวจดอกกล้วยไม้ ทันใดนั้นก็ตระหนกระคนดีใจขึ้นมา “นี่คือแม่ม่ายเขียวกลายพันธุ์…”
แม่ม่ายเป็นสีเขียวได้ด้วยหรือ ชายที่ตั้งชื่อช่างแปลกแหวกแนวเสียจริง…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ปลูกเองกับมือ”
อันที่จริงเขาเก็บหญ้าพิษมาจากในภูเขา มอบให้มู่หนานจือเพาะเลี้ยง ผลสุดท้ายก็กลายพันธุ์ไป พิษรุนแรงกว่าพันธุ์เดิมไม่รู้ตั้งกี่เท่า
พิษที่มีประเภทและประสิทธิภาพแตกต่างกัน สำหรับตู๋กู่แน่นอนว่ายิ่งมากก็ยิ่งดี
ตัวอย่างเช่นพิษที่สวี่ชีอันใช้อย่างช่ำชองในตอนนี้เป็นพิษของศพโบราณพันปี หากอยากทำให้มันเปลี่ยนจากสีดำคล้ำเป็นไร้สีไร้กลิ่นก็ต้องเอาไปเจือจางระดับหนึ่งเสียก่อน
ทว่าหากได้รับพิษประหลาดที่ไร้สีไร้กลิ่นมาได้ ช่องว่างที่จะเล่นอุบายก็จะมีมากขึ้น
เพาะหญ้าพิษกลายพันธุ์ออกมากับมือ…ในใจจ้าวผานรู้ว่าได้พบกับยอดฝีมือผู้ใช้พิษแล้ว
“จงจำไว้ว่าห้ามบอกใครเรื่องของที่ได้รับ”
จ้าวผานลงตึกไปอย่างคึกคัก
ไม่นานนักคนที่สองก็ขึ้นตึกมา จอมยุทธ์ตามมาตรฐานทั่วไป ร่างกายกำยำ กล้ามเนื้อเป็นมัด ในมือถือขวานด้ามใหญ่
“เจ้าอยากได้อะไร” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
“ข้าอยากกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่” ชายร่างกำยำเอ่ยเสียงทุ้มดัง
“ขั้นเจ็ดหลอมวิญญาณ”
ทำไมเจ้าไม่บอกว่าตนอยากเป็นเทพยุทธ์เลยล่ะ คนแบบนี้ไล่กลับไปง่าย…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ยี่สิบตำลึงเงิน”
ชายร่างกำยำนิ่ง
“ห้าสิบตำลึงเงิน”
ชายร่างกำยำยังคงไม่พูดอยู่ดี
“แปดสิบตำลึงเงิน”
ชายร่างกำยำคารวะพร้อมเอ่ย “ขอบพระคุณขอรับ!”
…
ล่วงเลยไปหนึ่งชั่วยาม สวี่ชีอันนวดขมับ ในที่สุดก็จัดการชดเชยภาระอันมิชอบทั้งหมด คำขอของทุกคนต่างกันออกไป บางคนก็ขอพิษ บางคนก็ขอยาอายุวัฒนะ บางคนก็ขอคำชี้แนะจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นต้น
เขามิอาจเติมเต็มคำขอของทุกคนได้ ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีคิดเป็นเงินตำลึงหรือมอบให้เป็นอาวุธปืน
มีบางคำขอที่แปลกเป็นพิเศษ คนหนึ่งบอกว่าตนเลิกกับว่าที่ภรรยาที่บ้านเกิดจึงออกมาหาประสบการณ์ สามปีให้หลังอยากกลับไปตบหน้า จึงไม่ต้องการเงิน อยากได้ของล้ำค่าที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด
อีกคนหนึ่งบอกว่าลูกสาวยากจนต้องอาศัยในคอกสุนัข ทว่าคนจนก็มีความทะเยอทะยาน ไม่ต้องการเงิน ทว่าเป็นของล้ำค่าที่ขึ้นสวรรค์ได้ในก้าวเดียว
สวี่ชีอันลูบใบมีดยาวสี่สิบเมตรของตนพร้อมเอ่ย พวกเจ้าไปคิดให้ดีก่อนค่อยมาว่ากัน
ท้ายที่สุดยังคงใช้วิธีแลกเป็นเงินอยู่ดี
ความสามารถของเงินเป็นสัจธรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปลงตลอดกาล…หนึ่งชั่วยามอันสั้นก็จ่ายไปถึงสามพันกว่าตำลึงเงิน รู้อย่างนี้ให้ศิษย์พี่รองปิดกั้นข้าก็พอแล้ว จริงสิ เมื่อครู่ศิษย์พี่รองอยากจะพูดอะไรกัน
สวี่ชีอันในใจคิดไปเรื่อย แล้วเรียกถังหยวนอู่ หลี่เส่าอวิ๋น หยวนอี้ และหลิวอวิ๋นมา
สายตากวาดมองคนทั้งสี่ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าอยากได้อะไร”
“แน่นอนว่าต้องเป็นยาโลหิต พวกเราต่างมาเพื่อยาโลหิต”
หลี่เส่าอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ไม่ หากพูดให้ถูกก็เพื่อจุดพลิกผันพิเศษ” หยวนอี้พูดแก้
ทว่าความเป็นจริงที่นี่ไม่มียาโลหิตที่ว่า พวกเขาถูกหลี่เมี่ยวเจินหลอกแล้ว
ของที่ไม่มีแน่นอนว่าจะให้สวี่ชีอันดันทุรังเอาออกมาไม่ได้
“เอาอย่างนี้ดีกว่า” ถังหยวนอู่ลังเลใจก่อนจะเอ่ย “สำหรับข้าเงินทองหรืออาวุธเวทมนตร์มีให้เห็นทั่วไป ท่านประสบการณ์ท่วมท้น มิสู้ตอบคำถามข้าหนึ่งข้อเป็นค่าชดเชยล่ะ”
ถังหยวนอู่ในฐานะชาวพื้นเมืองของเหลยโจว รู้อิทธิฤทธิ์ของเจดีย์พุทธะอย่างลึกซึ้ง คนผู้นี้มีนามว่าสวีเชียน ควบคุมเจดีย์พุทธะได้ หากอาศัยเพียงสิ่งนี้เกรงว่าตัวตนของเขาคงจะไม่ง่าย
จะประเมินคนผู้นี้ด้วยพลังต่อสู้เพียงอย่างเดียวไม่ได้
สวี่ชีอันพยักหน้า “ย่อมได้”
สายตาของถังหยวนอู่ลุกเป็นไฟทันที แล้วเอ่ยถาม “จะกลั่นยาโลหิตได้อย่างไร”
เจ้าน้องชาย ไม่สิ เจ้าพี่ชายความคิดของเจ้าช่างอันตรายนัก…สวี่ชีอันเอ่ย “โหรกับลัทธิเต๋าเข้าใจ ระบบอื่นไม่ค่อยแน่ชัดนัก ทว่าจอมยุทธ์ไม่เข้าใจแน่นอน”
ถังหยวนอู่มิอาจซุกซ่อนความผิดหวังได้
“จะให้ข้อมูลเจ้าเพิ่มเติม” สวี่ชีอันจ้องมองท่าทางผิดหวังของเจ้าสำนักดาบคู่ แล้วปรายตามองหลี่เส่าอวิ๋นกับหยวนอี้ ลังเลก่อนจะเอ่ยถาม
“การกลั่นยาโลหิตจำต้องสังหารหมู่ล้างบางเมือง จุดนี้พวกเจ้าคงจะรู้ใช่ไหม”
ทั้งสามพยักหน้า นัยน์ตาของหลิวอวิ๋นส่องเป็นประกาย “อ๋องสยบแดนเหนือฆ่าล้างบ้างทั้งเมืองฉู่โจวเพื่อกลั่นยาโลหิต ทว่าถูกยอดฝีมือลึกลับสังหาร ณ ที่แห่งนั้น”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องความกล้าหาญที่ทุกคนต่างชอบใจเรื่องนี้ หลิวอวิ๋นก็ฮึกเหิมเป็นพิเศษ
หากนางต้องรู้ว่าผู้ที่สังหารอ๋องสยบแดนเหนือก็คือสวี่ชีอัน ไม่รู้ว่าในใจจะรู้สึกอย่างไร
สวี่ชีอันเอ่ย “นับแต่โบราณกาลขั้นสามนั้นหายากและล้ำค่า ในแต่ละรุ่นก็อาจจะไม่มีขั้นสามถือกำเนิดเลย ส่วนขั้นสี่แม้จะน้อย ทว่าทุกมณฑลก็จะมีอยู่ไม่กี่คน เช่นเจี้ยนโจวถึงขั้นมีสิบกว่าคน จิ่วโจวอันไพศาลรวมเข้าด้วยกันก็คงมีมากประหนึ่งขนวัว ทว่าเพราะเหตุใดไม่ว่าจะต้าฟ่ง หรือว่าสำนักพ่อมด กระทั่งสำนักพุทธก็ตามต่างไม่เคยกลั่นยาโลหิตปริมาณมากเพื่อชุบเลี้ยงจอมยุทธ์ล่ะ กลั่นด้วยแก่นโลหิตของคนที่ยังมีชีวิต ประชาชนของตนจะตายไม่ได้ แต่ประเทศของศัตรูคงไม่มีปัญหาสินะ ท่านทั้งสามเคยคิดถึงเหตุผลบ้างหรือไม่”
หยวนอี้กับคนอื่นตกตะลึง เข้าใจความหมายที่สวี่ชีอันต้องการสื่อ
หลี่เส่าอวิ๋นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “ความหมายของเจ้าก็คือยาโลหิตมิอาจช่วยให้ขั้นสี่ก้าวสู่ขั้นสามได้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่ แล้วก็ไม่ใช่ ยาโลหิตช่วยให้จอมยุทธ์ขั้นสี่ก้าวสู่ขั้นสามได้จริงๆ ทางลัดสู่สวรรค์เป็นขั้นเป็นตอน ทว่าค่าตอบแทนที่สอดคล้องก็สาหัสเช่นเดียวกัน แทบจะไม่มีใครดูดรับยาโลหิตได้สำเร็จ ผลเพียงหนึ่งเดียวที่เฝ้ารอพวกเขาก็คือระเบิดร่างตาย”
สวี่ชีอันเอ่ย “หากเพียงกลืนยาโลหิตก็เลื่อนขั้นได้ ขั้นสามก็คงจะเดินกันเกลื่อนกลาดแล้ว”
หลิวอวิ๋นเอ่ยในทันที “ข้าได้ยินว่าฆ้องเงินสวี่ก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม ยามที่เห็นเขาที่เมืองหลวงในวันนั้น แม้แต่ขั้นสี่ก็ไม่น่าถึง แม้ว่ายุทธภพจะเล่าลือว่ายามที่เขาต้านกบฏนับสองหมื่นคนเพียงลำพังที่อวิ๋นโจวก็อยู่ขั้นสี่แล้ว ทว่าข้าไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ ข้าเคยสังเกตเขาอย่างใกล้ชิดมาก่อน”
เจ้ามาสังเกตข้าอย่างใกล้ชิดตั้งแต่เมื่อใด…สวี่ชีอันตกตะลึง
หลิวอวิ๋นเอ่ยต่อ “ฆ้องเงินสวี่ก้าวสู่เขตแดนพิเศษและกลายเป็นจอมยุทธ์ร่างอมตะขั้นสามภายในเวลาอันสั้นได้อย่างไร”
นัยน์ตาของหลี่เส่าอวิ๋น หยวนอี้ และถังหยวนอู่พลันประกายแสงหลากสีสัน
สวี่ชีอันส่ายหน้าเอ่ย “ข้าไม่ใช่ฆ้องเงินสวี่ผู้มากพรสวรรค์แห่งยุคที่จะรู้ว่าก้าวสู่เขตแดนพิเศษภายในเวลาอันสั้นได้อย่างไร ทว่าหากเขากลืนยาโลหิตเพื่อเลื่อนขั้น เช่นนั้น หลังจากนี้พันปีก็จะมีคนผู้นี้เพียงหนึ่งเดียว”
หลังจากนี้พันปีก็จะมีคนผู้นี้เพียงหนึ่งเดียว…อยากจะพิสูจน์ว่าฆ้องเงินสวี่เป็นคนแรกในรอบพันปีหรือไม่เสียจริง…หลิวอวิ๋นเม้มปาก “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่บอกกล่าว”
“ข้าได้ยินภิกษุของสำนักพุทธบอกว่าฆ้องเงินสวี่ไร้ประโยชน์แล้ว เป็นเรื่องจริงหรือไม่” หยวนอี้ถามคำถามที่ข้องอยู่ในใจมานานออกไป
เขาไม่ใช่จอมยุทธ์เพียงอย่างเดียว ในฐานะผู้บัญชาการของเมือง สวี่ชีอันไร้ประโยชน์หรือไม่ จุดนี้สำคัญสำหรับเขามาก
“คนผู้นี้พรสวรรค์น่าทึ่ง บทจะไร้ประโยชน์ก็ไร้ประโยชน์เลยหรือ” สวีเชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หยวนอี้พยักหน้าน้อยๆ พร้อมเอ่ย
“ข้าก็ไม่คิดว่าฆ้องเงินสวี่จะ ‘เสียชีวิตก่อนวัยอันควร’ ความสำเร็จในอนาคตของฆ้องเงินสวี่ต้องเหนือกว่าอ๋องสยบแดนเหนือแน่ ดินแดนประจิมทิศหลายปีมานี้คลื่นลมเงียบสงบ โฉมภายนอกประชาชนเข้าใจว่าเป็นอ๋องสยบแดนเหนือเทพสงครามรักษาการณ์ที่ด่านชายแดนผู้นี้ จึงปกป้องความสงบสุขของดินแดนต้าฟ่งได้ อันที่จริงผู้ที่สำนักพุทธหวาดกลัวคือเว่ยกง ตอนนี้เว่ยกงก็สละชีพ หากจะมีคนทำให้สำนักพุทธหวาดกลัวได้อีกในอนาคต คงมีเพียงแต่ฆ้องเงินสวี่เท่านั้น หากเขาพบเรื่องไม่คาดฝัน ต้าฟ่งก็คงไม่เหลือใครแล้วจริงๆ”
คิดว่าชื่อเสียงของข้าเกือบจะเทียบเคียงช่วงจุดสูงสุดของเว่ยกงได้เลย…สวี่ชีอันปลาบปลื้มเล็กน้อย ได้ลิ้มรสความหอมหวานของชื่อเสียงแล้ว
อันที่จริงพลังต่อสู้สูงสุดของต้าฟ่งไม่ได้อ่อนแอ ท่านโหราจารย์ขั้นหนึ่ง เว่ยเยวียนขั้นสอง คนหน้าไม่อายขั้นสอง เจินเต๋อขั้นสอง และลั่วอวี้เหิงขั้นสอง อ๋องสยบแดนเหนือขั้นสาม และซุนเสวียนจีขั้นสาม
นี่ยังไม่นับเฒ่าชราของกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ในยุทธภพ ผู้นำเต๋านิกายปฐพีผู้เสื่อมทราม และนิกายสวรรค์ผู้ด้านชา
น่าเสียดาย หากไม่เป็นคนทรยศก็เสียชีวิต หากไม่ด้านชาก็วิปลาส หากไม่คิดบำเพ็ญคู่ไปวันๆ ก็ถูกลูกศิษย์ทรมานจนความดันขึ้น
สงครามภายในดุเดือดเกินไป รากฐานสลายให้สิ้น
สุดท้ายสวี่ชีอันก็มองไปที่หลี่เส่าอวิ๋นพร้อมเอ่ย “เจ้าอยากถามอะไร”
หลี่เส่าอวิ๋นเอียงศีรษะ ครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ข้ายังคิดไม่เสร็จ”
ข้าคิดว่าเจ้าต้องการชุดแบบฝึกหัดคิดเลขสักเล่ม…สวี่ชีอันพึมพำในใจ เขาอยากจะพูดว่า ข้าจะใช้ร่างธรรมแห่งปัญญาเบิกปัญญาให้เจ้าเอง
ทว่าเมื่อพิจารณาถึงแม่ทัพเจิ้นฝู่ผู้หยาบคายนี้อาจจะแตกคอตรงนั้น ก็ข่มอารมณ์ร้อนเอาไว้
เมื่อเดินไปส่งหลี่เส่าอวิ๋นและคนอื่นๆ สวี่ชีอันก็ยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองไล่หลังเหล่าจอมยุทธ์แห่งเหลยโจวจากไปและหายไปในความมืด
เขาหันหลังกลับทันที แล้วมองไปที่ซุนเสวียนจี “ศิษย์พี่รอง ก่อนหน้านี้เจ้าจะพูดอะไรนะ”
เส้นเลือดบนหน้าผากเกลี้ยงเกลาของมู่หนานจือเด้งขึ้น “เขาบอกว่าเขาจะใช้วิชาความลับของสวรรค์อำพรางเจดีย์พุทธะแล้ว”
“เทพบุตรล่ะ”
“เทพบุตรเหลืออดกับเขา จึงหนีไปชั้นสองแล้ว บอกกลัวว่าตนจะทนไม่ไหวฉีกปากซุนเสวียนจีออกเป็นชิ้น”
…
รุ่งอรุณ
วัดซานฮัวที่กระจายด้วยซากกำแพงปรักหักพัง อุโบสถที่ถวายพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และตู้เอ้อร์กลายเป็นซากปรักหักพังท่ามกลางปืนใหญ่
โชคดีที่อารามที่เหล่าภิกษุพักอยู่นั้นถูกรักษาอย่างดี เทพอารักษ์ตู้หนานนั่งหลับตาอยู่บนเบาะสานในอาราม ด้านล่างของเขาทางซ้ายเป็นภิกษุที่พามาจากดินแดนประจิมทิศเช่นจิ้งซินและจิ้งหยวน
ทางขวาเป็นผานหลงเจ้าอาวาสวัดซานฮัว
อีเอ๋อร์ปู้จากสำนักพ่อมดพาสองคู่แฝดออกจากวัดซานฮัว
ตรงหน้าภิกษุทุกรูปต่างมีกระดาษหนึ่งแผ่น ซึ่งเขียนไว้ว่า
เจดีย์พุทธะถูกช่วงชิง ปราณมังกรถูกแย่งไป ศัตรูมีนามว่าสวีเชียน
ความแข็งแกร่งที่ปิดกั้นความลับของสวรรค์กับความลึกที่พัวพันกับเหตุต้นผลกรรมกลายเป็นส่วนเปรียบเทียบ เหตุต้นผลกรรมยิ่งลึกก็จะยิ่งปิดกั้นยาก
เจดีย์พุทธะตั้งตระหง่านอยู่ที่วัดซานฮัวมานับร้อยปี แขนที่ถูกตัดของเสินซูผนึกอยู่ในเจดีย์ ไม่ว่าจะภิกษุของวัดซานฮัวหรือกลุ่มภิกษุที่มาจากดินแดนประจิมทิศอรัญตาต่างก็มีความสัมพันธ์ของเหตุต้นผลกรรมอย่างลึกซึ้ง
เฉกเช่นกับการหายไปของตำหนักกระดิ่งทองนำความรู้สึกแตกแยกอย่างรุนแรงมาให้ขุนนางเมืองหลวง การหายไปของเจดีย์พุทธะอำพรางภิกษุของวัดซานฮัวในเวลาอันสั้น รวมถึงเทพอารักษ์ตู้หนานด้วย
ทว่าไม่นานนัก พวกเขาก็นึกถึงเจดีย์พุทธะขึ้นมาได้ ครั้นจึงนึกถึงทุกขั้นตอนของทั้งเรื่องราวขึ้นมา
จากนั้นก็ลืมไปอย่างรวดเร็ว วนเวียนเป็นเช่นนี้ ท้ายที่สุดเทพอารักษ์ตู้หนานที่ประสบการณ์ท่วมท้นก็ให้ใครสักคนเขียนข้อมูลที่เกี่ยวข้องลงบนกระดาษ จึงเห็นได้ตลอดเวลา
เช่นนี้ก็รับประกันได้ว่าความทรงจำจะไม่สับสน ทว่าก็พลาดโอกาสสืบหาที่ดีที่สุดไปเช่นกัน
การทำลายวิชาปิดกั้นความลับของสวรรค์จำต้องมีภิกษุวัดซานฮัวมากกว่าสามรูป จึงจะพบเจดีย์พุทธะอีกครั้ง
เจ้าอาวาสผานหลงเสนอขึ้น “อีเอ๋อร์ปู้ทำนายด้วยวิชาพยากรณ์ แต่มิอาจพยากรณ์ตำแหน่งของเจดีย์พุทธะออกมาได้ พวกเราเสียของล้ำค่าชิ้นนี้ไปอย่างสมบูรณ์”
เขาชะงักก่อนจะเอ่ยต่อ
“น้ำหนักการสืบสวนของพวกเราอยู่ที่สวีเชียนผู้นี้ ตามคำอธิบายของประสกเหวินเหรินที่สมาคมการค้าเหลยโจว คนผู้นี้ติดตามหลี่หลิงซู่ชายในฝันของนางมายังเหลยโจว ตัวตนแบบรูปธรรมนางก็ไม่รู้ ทว่าได้ยินประสกเอ่ยว่า หลี่หลิงซู่เคารพนับถือสวีเชียนผู้นี้ ถึงขั้นหวาดกลัวเล็กน้อย ตัวตนจริงของคนผู้นี้ไม่ง่ายเลย ต่อให้เป็นหลี่หลิงซู่ก็ยังไม่ประจักษ์ชัด รู้เพียงอีกฝ่ายเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปี ท่านโหราจารย์ยังเล่นหมากรุกแพ้เขา ผู้ที่เอาชนะท่านโหราจารย์ได้ ก็หมายความว่าเอาชนะบุตรแห่งสวรรค์ได้มิใช่หรือ นี่เป็นคำพูดจากปากของหลี่หลิงซู่”
หลังจากนั้นภิกษุของวัดซานฮัวก็ไต่ถามเหวินเหรินเชี่ยนโหรวสมาคมการค้าเหลยโจวด้วยตนเอง ประสกหญิงผู้นั้นก็ให้ความร่วมมือถามก็ตอบ หลังจากเจ้าอาวาสผานหลงตรวจสอบความจริงเท็จของเนื้อหาแล้ว ก็ไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ
ภิกษุสำนักพุทธตรงนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด จิ้งหยวนจอมยุทธ์ภิกษุเอ่ยอย่างเหลือเชื่อ “แต่พลังบำเพ็ญของเขามิอาจสู้ข้า ยังพึ่งพาวิชากู่แปลกประหลาดทั้งหมด”
เจ้าอาวาสผานหลงส่ายหน้า “นี่เป็นข้อสงสัยใหญ่ยิ่งจริงๆ นอกจากนี้สวีเชียนเป็นคนแพร่ข้อมูลออกไป จอมยุทธ์หญิงนกนางแอ่นเหินที่เรียกกันก็คือหลี่หลิงซู่ปลอมตัวมา”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย “หลี่หลิงซู่เป็นใครมาจากไหน”
เจ้าอาวาสผานหลงตอบ “คนผู้นี้เป็นเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ ศิษย์พี่ของหลี่เมี่ยวเจิน”
เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์เป็นชายในฝันของคุณหนูสมาคมการค้าเหลยโจวเหวินเหรินเชี่ยนโหรว ผู้ฝึกตนนิกายสวรรค์ไม่ควรหวั่นไหวไปตามอารมณ์มิใช่หรือ
ภิกษุทุกรูปนึกสงสัยในใจ
บัดนี้จิ้งซินเอ่ย “หลี่หลิงซู่ปลอมตัวเป็นหลี่เมี่ยวเจิน หากเป็นเช่นนี้ก็น่าจะถูกมองออกตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงไม่มีใครมองวิชาแปลงกายของเขาออกเลยล่ะ เว้นเสียแต่จะเป็นวิชาปลอมตัวที่หลอกตาผู้แข็งแกร่งขั้นสูงได้”
เจ้าอาวาสผานหลงพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สวีเชียนนั่นก็น่าจะปลอมตัวเช่นกัน”
ภิกษุจิ้งซินเริ่มเอ่ยถึงผลสืบสวนของตนขึ้นมาพร้อมเอ่ย
“ข้าเคยสอบถามประสกหญิงทางตะวันออกทั้งสองอย่างละเอียด สวีเชียนผู้นั้นเคยบังเอิญพบพวกนางระหว่าง ยังลักพาตัวหลี่หลิงซู่ชายในฝันของพวกนางไปอีก ยามพบคนผู้นี้คราแรกก็ปกติทั่วไป ทว่าฝีมือแปลกประหลาดคาดเดาไม่ได้ มิอาจป้องกัน นอกจากนี้ประสกหญิงทางตะวันออกยังเอ่ยถึงเรื่องหนึ่ง ยามที่อยู่ในห้วงฝัน พวกเราเคยปะทะกับเขามาก่อน ประสกหญิงทางตะวันออกพลาดท่าถูกจับได้ คนผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าจิตเดิมอ่อนแอ แต่กลับแข็งแกร่งเหนือจินตนาการ ชั่วขณะที่ได้ใจก็เคยบอกว่าจิตเดิมของตนอยู่ที่ขั้นสาม”
นี่ก็น่าคล้อยตามกับคำบอกเล่าของเหวินเหรินเชี่ยนโหรวแล้ว คนผู้นี้มีอีกตัวตนหนึ่ง และเป็นบุคคลที่เหนือธรรมดา
“ช้าก่อน!”
เจ้าอาวาสผานหลงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหลี่หลิงซู่เป็นชายในฝันของประสกหญิงทางตะวันออกทั้งสองหรือ”
จิ้งซินพยักหน้า
วินาทีนี้ในหัวของภิกษุทุกรูปต่างนึกสงสัยขึ้นอีกครั้ง ผู้ฝึกตนนิกายสวรรค์ไม่ควรหวั่นไหวไปตามอารมณ์มิใช่หรือ
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนราวกับนึกบางอย่างได้จึงเอ่ย
“ข้านึกออกแล้ว ยามอยู่ที่ชั้นสอง เหิงอินเคยคิดจะฆ่าคนผู้นี้ อาวุธเวทมนตร์กลับมิอาจทะลุผ่านเนื้อหนังของอีกฝ่ายได้ เขาอาจจะเป็นจอมยุทธ์ก็ได้”
ทุกคนหารือกันอยู่นาน ก็พอจะคาดเดาตัวตนของสวีเชียนได้
เทพอารักษ์ตู้หนานเบิกตากว้างพร้อมกับสรุป
“การปลอมตัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์ มีทั้งอาวุธเวทมนตร์และปืนใหญ่ มาเพื่อปราณมังกร จอมยุทธ์ ความจริงพลังบำเพ็ญกลับไม่ถึงขั้นสี่ ผู้ใดในต้าฟ่งจะคล้อยตามเงื่อนไขเหล่านี้”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ภิกษุที่มาจากดินแดนประจิมทิศเช่นจิ้งซินและจิ้งหยวนก็พลันหายใจกระชั้นขึ้นมา
…………………………………………………………..