ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 532 ฝากข้อความผ่านหนังสือปฐพี
บทที่ 532 ฝากข้อความผ่านหนังสือปฐพี
‘ที่แท้หมายเลขเจ็ดเป็นเทพบุตรของนิกายสวรรค์จริงๆ ด้วย คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบเขาที่นี่…’ ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นเป็นประกาย รู้สึกสนใจหมายเลขเจ็ดซึ่งไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลี่เมี่ยวเจินแฝงตัวไปปราบโจรที่อวิ๋นโจว สมาชิกพรรคฟ้าดินก็รู้แล้วว่าหมายเลขเจ็ดกับนางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น คงจะไม่มอบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้หลี่เมี่ยวเจินเก็บรักษาในขณะที่ตกอยู่ในอันตรายเพราะถูกคนตามฆ่า ประกอบกับนิกายสวรรค์มีระบบเทพบุตรและเทพธิดา จึงคาดเดาได้ไม่ยากว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าหมายเลขเจ็ดคนนั้นจะเป็นเทพบุตรของนิกายสวรรค์ เป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของหลี่เมี่ยวเจิน
แต่ตัวหลี่เมี่ยวเจินเองก็ปิดบังเรื่องนี้อย่างมิดชิด ไม่มีการพูดถึงอย่างเด็ดขาด ดังนั้นการคาดเดาก็เป็นเพียงการคาดเดา ไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นจริง
เวลานี้ได้ยินหลี่เมี่ยวเจินพูดเช่นนี้ ฉู่หยวนเจิ่นจึงมั่นใจจริงๆ ว่าหมายเลขเจ็ดก็คือเทพบุตรของนิกายสวรรค์
‘เฮ้อ ในที่สุดก็ได้พบกับเทพบุตรของนิกายสวรรค์ที่ปกติแล้ว…’ ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำในใจ
เขาเกือบจะหมดความอดทนกับหลี่เมี่ยวเจินแล้ว ลำพังแค่การกำจัดคนพาลเพราะพบเห็นความไม่เป็นธรรมก็ยังพอทน แต่ยังชอบผดุงความยุติธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน การท่องยุทธภพต้องอาศัยอะไร? ไม่ใช่เงินหรือ?
พวกเขาทั้งสามอยู่ในช่วงเวลาที่น่าสังเวชที่สุด แม้แต่โรงเตี๊ยมก็อยู่ไม่ไหว
สำหรับเรื่องนี้ คำอธิบายของหลี่เมี่ยวเจินคือ สำหรับพวกเราแล้ว นอนกลางแจ้งหรือนอนโรงเตี๊ยมจะแตกต่างกันอย่างไร?
ฉู่หยวนเจิ่นไม่มีอะไรจะโต้แย้ง
อย่างไรสวี่ชีอันก็ยังดีกว่า หากท่องยุทธภพไปกับเขา จะต้องกินอยู่อย่างสุขสบาย ได้ชิมอาหารอร่อยของท้องถิ่นทุกร้าน ชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามท้องถิ่นทุกแห่ง ตกกลางคืนยังได้ไปดื่มเหล้าดอกไม้ที่หอนางโลมหรือสำนักสังคีต
“ไปกันเถิด!“
หลี่เมี่ยวเจินนำหน้าเข้าไปในโรงเตี๊ยมก่อน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอาหาร ในห้องโถงจึงมีลูกค้าอยู่เพียงไม่กี่คน
นางเดินตรงไปที่โต๊ะจ่ายเงิน สอบถามเจ้าของโรงเตี๊ยมว่า “มีคนหนุ่มหน้าตาดีมากๆ มาเข้าพักที่โรงเตี๊ยมหรือไม่?”
หลี่เมี่ยวเจินเชื่อมั่นในตัวเอง ด้วยหน้าตาของคนเลวนั้น เพียงแค่เจ้าของร้านเห็น จะต้องจำได้อย่างแน่นอน
เจ้าของร้านคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกลังเลเล็กน้อย “หน้าตาดีมากๆ นี่ดีแค่ไหน?”
หลี่เมี่ยวเจินหันกลับมา ชี้ไปที่ฉู่หยวนเจิ่น “หน้าตาดีกว่าเขา”
เมื่อเจ้าของร้านเห็นใบหน้าของฉู่หยวนเจิ่นก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็น คุณชายคนนี้ท่าทางสุภาพงดงาม โลกนี้หายาก จะมีคนที่หน้าตาดีกว่าเขาได้อย่างไร”
ฉู่หยวนเจิ่นเก็บดาบด้วยท่าทางพึงพอใจ
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว ส่ายหน้า พึมพำว่า “ระยะนี้มีนักพรตมาพักที่นี่หรือไม่?”
“มี”
“ใคร?”
สายตาของเจ้าของร้านมองผ่านไหล่ของหลี่เมี่ยวเจิน จ้องไปที่ด้านหลังของนาง แล้วพูดว่า “ก็อยู่ข้างหลังเจ้านั่นไง”
หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นคนสามคนที่อยู่ข้างหลัง ไม่รู้ว่าบุรุษรูปร่างลักษณะสง่างาม สวมเสื้อกันฝน ศีรษะสวมหมวกดอกบัว คิ้วตรงยาว ดวงตาสีครามอ่อนๆ ที่พบได้น้อยมาก ใบหน้างดงามราวแกะสลักปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“ท่านอาจารย์”
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกประหลาดใจ รีบเดินไปหาบุรุษรูปงาม แล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ลงเขามาทำไม เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่พบกันสองปี ศิษย์คิดถึงท่านเป็นอย่างยิ่ง พวกเราได้พบกันที่นี่ นับว่าเป็นพรหมลิขิตจริงๆ”
เทพธิดาปิงอี๋มองนางอย่างเฉยเมย “ข้าสะกดรอยตามเจ้ามาตลอดทาง จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินไปที่ไหน ก็มีชื่อเสียงเลื่องลือที่นั่น หาไม่ยาก”
ชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “แค่คำพูดที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ลงโทษให้เจ้านั่งหันหน้าเข้ากำแพงบำเพ็ญเพียรเป็นเวลาสามปีก็ไม่นับว่าเกินไป”
ถึงจากกันนานสิบปี ชาวนิกายสวรรค์พบหน้ากัน ก็ควรจะพยักหน้าแสดงความเคารพต่อกันอย่างสงบเสงี่ยม
…หลี่เมี่ยวเจินมีสีหน้าหวาดกลัว “ข้าก็กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ ก่อนเลื่อนสู่ขั้นสาม ศิษย์ยังไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องการตัดอารมณ์ความรู้สึก”
นางรีบแนะนำเพื่อนต่ออาจารย์ “ท่านนี้คือฉู่หยวนเจิ่นศิษย์เพียงในนามของนิกายมนุษย์ เดิมทีเป็นจอหงวนแห่งต้าฟ่ง ท่านนี้คือจอมยุทธ์ภิกษุเหิงหย่วนแห่งวัดมังกรเขียว
เทพธิดาปิงอี๋เหลือบมองพวกเขาด้วยแววตาไม่ยินดียินร้าย “กระบี่ อัฐิธาตุ”
ทั้งสี่คนนั่งลงที่โต๊ะ เทพธิดาปิงอี๋พูดอย่างเย็นชาว่า “ลงจากเขามาท่องเที่ยวสองปี เข้าใจเรื่องการตัดอารมณ์ความรู้สึกแล้ว?”
หลี่เมี่ยวเจินกลอกตาไปมา แล้วพูดว่า “เอ่อ เรื่องนี้…ศิษย์กำลังพยายามอยู่”
เทพธิดาปิงอี๋พูดอย่างเย็นชาว่า “ยื่นมือมา”
หลี่เมี่ยวเจินทำตามด้วยความงุนงง
แสงสีทองอ่อนส่องออกมาจากแขนเสื้อของเทพธิดาปิงอี๋ จับข้อมือทั้งสองข้างหลี่เมี่ยวเจินไว้แน่น
“เชือกมัดวิญญาณ?”
หลี่เมี่ยวเจินตกใจเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะบานปลายเช่นนี้ จึงพูดอย่างงงงันว่า “อาจารย์ ท่านกำลังทำอะไร”
สีหน้าของเทพธิดาปิงอี๋เย็นชา น้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม “ได้รับบัญชาจากเทพสวรรค์ ให้จับหลี่เมี่ยวเจินกลับนิกาย ศึกษาตำราของนิกายสวรรค์ใหม่อีกครั้ง”
ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนมองหน้ากัน ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ
“เพราะอะไร?”
หลี่เมี่ยวเจินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เทพธิดาปิงอี๋สีหน้าเรียบเฉย “ศิษย์ของนิกายสวรรค์มีความทะยานอยากน้อย แม้มีการบำเพ็ญเพียรภาวนา แต่ก็ห้ามเกี่ยวข้องกับเหตุต้นผลกรรมมากเกินไป เทพสวรรค์เชื่อว่าเจ้าเหินห่างจากหลักธรรมของนิกายสวรรค์แล้ว จะต้องศึกษาตำราของนิกายสวรรค์ใหม่อีกครั้ง ตื่นรู้เมื่อไหร่ ก็จะปล่อยเจ้าออกมาเมื่อนั้น”
‘ศิษย์ของนิกายสวรรค์ลงจากเขามาบำเพ็ญเพียร ท่าทีที่ถูกต้องคือมองความสุขความทุกข์ในโลกมนุษย์อยู่ข้างๆ แต่หลี่เมี่ยวเจินไม่ใช่ หลี่เมี่ยวเจินนั้นมาเกลือกกลั้วในโคลนเลนโลกมนุษย์ด้วยความสนุกสนาน ข้าก็ว่าแล้ว หลี่เมี่ยวเจินเป็นนิกายสวรรค์ที่แปลกประหลาด บำเพ็ญด้านการตัดอารมณ์ความรู้สึกแท้ๆ แต่กลับชอบช่วยเหลือผู้ที่ถูกรังแก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถึงจุด…’ ในสมองของฉู่หยวนเจิ่นมีไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบาย
หลี่เมี่ยวเจินไม่ยอมแพ้ “ศิษย์ ศิษย์กำลังฝึกใจ”
เทพธิดาปิงอี๋พยักหน้า “กลับนิกายเซนไปอธิบายให้เทพสวรรค์ฟังแล้วกัน แต่ก่อนไป ข้าต้องช่วยศิษย์พี่เสวียนเฉิงจับกุมเทพบุตรก่อน”
‘ฮะ? เทพบุตร นิกายสวรรค์ต้องการจับกุมแม้กระทั่งเทพบุตร?’
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกข้องใจอยู่ในใจ อดหันไปมองเหิงหย่วนไม่ได้ พบว่าในแววตาของอีกฝ่ายก็มีความข้องใจเช่นกัน
เทพธิดาปิงอี๋ลุกขึ้นยืน จูงหลี่เมี่ยวเจินเดินออกไปทันที
“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ข้าไม่อยากกลับนิกาย ข้ายังมีเวลาบำเพ็ญเพียรอีกหนึ่งปี ท่านตัดสินได้อย่างไรว่าข้าไม่สามารถตัดอารมณ์ความรู้สึกได้ ท่านช่วยขอความเมตตานิกายสวรรค์แทนข้าด้วย…”
หลี่เมี่ยวเจินที่ถูกจูง เดินโซเซไปข้างหน้า เอ่ยปากขอร้องไม่หยุด
เหิงหย่วนรีบลุกขึ้น พูดเสียงเคร่งขรึมว่า “ผู้อาวุโส หลี่…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหลี่เมี่ยวเจินตะโกนให้หยุดพูด
จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินกระแสจิตว่า ‘อย่าพยายามขัดขวาง นางต้องฆ่าพวกเจ้าแน่ คนที่ตัดอารมณ์ความรู้สึกได้ จะไม่ฆ่าคนเพราะความรู้สึกหรือความดีความชั่ว ไม่ว่าคนดีหรือคนเลวในสายตาของพวกเขาล้วนไม่แตกต่างกัน แต่หากพวกเขารู้สึกว่าพวกเจ้าคอยขัดขวาง ก็จะฆ่าทิ้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และจะไม่ลังเลเพียงเพราะสถานะของเจ้า ห้ามขัดขวางนางโดยเด็ดขาด…แต่ก็อย่าทอดทิ้งข้า กลับไปนิกายสวรรค์ทีนี้ เกรงว่าชาตินี้คงออกมาไม่ได้แล้ว’
เหิงหย่วนส่งกระแสจิตถามกลับว่า ‘ถ้าเช่นนั้นควรทำอย่างไรดี?’
หลี่เมี่ยวเจินกัดฟันด้วยความแค้น ‘ไปหาสวีชีอัน แม้เจ้าหมอนั่นจะใช้การไม่ได้แล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีสถานะของขั้นสาม ยังไม่ตาย ยังมีโอกาส อาจารย์ยังต้องจับกุมตัวหลี่หลิงซู่ จึงยังไม่คุมตัวข้าส่งตัวข้ากลับนิกายในตอนนี้’
เทพธิดาปิงอี๋จูงหลี่เมี่ยวเจินออกไปจากโรงเตี๊ยม เรียกกระบี่บินมา ศิษย์อาจารย์ทั้งสองกระโดดขึ้นสันกระบี่ ขี่ไปตามลม
เห็นดังนั้น ฉู่หยวนเจิ่นก็รีบเรียกกระบี่เวทมนตร์ออกมา เหยียบขึ้นไปพร้อมกับเหิงหย่วน ตามหลังเทพธิดาปิงอี๋ไปห่างๆ
สายลมแรงปะทะใบหน้า พื้นปฐพีกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอยู่เบื้องล่าง แม่น้ำไหลคดเคี้ยวราวแถบเงิน ภูเขาเป็นแนวราวกับกองทราย
ฉู่หยวนเจิ่นส่งกระแสจิตว่า ‘ไต้ซือเหิงหย่วน เจ้ารีบติดต่อสวี่ชีอัน’
‘อามิตตาพุทธ อาตมากำลังติดต่ออยู่’ ไต้ซือเหิงหย่วนตอบ
…
จางโจว
สุสานตระกูลเจิ้ง
สวี่ชีอันผูกม้าไว้ที่ต้นไม้ข้างทาง ทิ้งมู่หนานจือ หลี่หลิงซู่และเหิงอินหุ่นกระบอกที่ถืองอบเดินไปข้างหน้าเพียงลำพัง
หลังออกจากเหลยโจว พวกเขาก็รีบกลับไปยังจางโจว เอาม้าไปคืนที่หัวหน้าสมาคมหยาง หลังจากนั้นก็ไปที่บ้านเกิดของเจิ้งซิ่งไหว เป็นอำเภอที่ค่อนข้างขัดสนในจางโจว
ตระกูลเจิ้งเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างมากในท้องที่ ก่อนที่เจิ้งซิ่งไหวจะมีเงินมีอำนาจนั้น ตระกูลเจิ้งไม่มีอะไรเลย
ต่อมาเจิ้งซิ่งไหวเป็นขุนนางใหญ่โตขึ้นทุกวัน สุดท้ายได้เป็นสมุหเทศาภิบาลแห่งฉู่โจว ตระกูลเจิ้งจึงพลอยได้ดีไปกับเขาด้วย กลายเป็นตระกูลใหญ่ในท้องที่ และยังได้สร้างสุสานอีกด้วย
สุสานของเจิ้งซิ่งไหว มองปราดเดียวก็เห็น หรูหราและโอ่อ่าที่สุด
ตามข้อสรุปคดีการสังหารหมู่ในฉู่โจว เจิ้งซิ่งไหวจะต้องได้รับการฝังศพอย่างสมเกียรติ ขุนนางปกครองอำเภอผิงคังเป็นคนหัวไว เขารีบให้คนสร้างวัดเฉิงหวง ยกให้เจิ้งซิ่งไหวเป็นเฉิงหวงเหยีย ทุกวันนี้มีควันธูปตลบอบอวล
“ใต้เท้าเจิ้ง ข้ามาเยี่ยมท่านแล้ว”
สวี่ชีอันวางของกิน เหล้าเหลืองหนึ่งกา ถ้วยสองใบไว้ที่หน้าสุสาน
เขาดื่มถ้วยหนึ่ง และรินที่บริเวณหน้าสุสานถ้วยหนึ่ง ระหว่างนั้นไม่ได้พูดอะไร เวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ
“นั่นเป็นสุสานของใคร”
หลี่หลิงซู่ถือโอกาสไต่ถาม โดยหวังว่าจะสามารถสอดส่องฐานะที่แท้จริงของสวีเชียนจากเบาะแสเหล่านี้ได้
“เป็นคนที่น่าเคารพคนหนึ่ง” มู่หนานจือพูด
“คนที่น่าเคารพ?” หลี่หลิงซู่กลอกตา “ฮูหยิน เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
ด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหลของเขา ฮูหยินย่อมไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ไม่มีอารมณ์”
พระมเหสีเหลือกตา
‘เอ๊ะ วันนี้ฮูหยินอารมณ์ไม่ดี?’ หลี่หลิงซู่ฝืนหัวเราะออกมา
สวี่ชีอันดื่มชาหนึ่งกาจนหมดภายในเวลาไม่นาน เขามองไปที่ศิลาจารึกหน้าสุสาน ใช้นิ้วต่างพู่กัน เขียนตัวอักษรแถวหนึ่ง
“ชื่อเสียงและยศถาบรรดาศักดิ์เต็มหน้ากระดาษ สุดท้ายเป็นเพียงผงธุลี”
นี่คือความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่เจิ้งซิ่งไหวเห็นเมืองฉู่โจวกลายเป็นซากปรักหักพังกับตา ความมานะทุ่มเทครึ่งชีวิตถูกทำลายภายในเวลานิดเดียว
ปัญญาชนผู้มีชีวิตขรุขระ สุดท้ายต้องเสียชีวิตลงพร้อมคำพูดประโยคนี้
สวี่ชีอันโค้งคำนับศิลาจารึกหน้าสุสานสามครั้ง
เซ่นไหว้ใต้เท้าเจิ้งเสร็จแล้ว เขาคิดจะกลับไปร่วม ‘การชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์’ ที่ยงโจว ยังมีเวลาอีกยี่สิบวัน จึงถึงวันนัดหมาย
ระหว่างเหลยโจวและยงโจวมีจางโจวกั้นอยู่ เดินทางโดยไม่ต้องรีบร้อน ระหว่างทางอาศัยปฏิกิริยาของตัวเองที่มีต่อปราณมังกรและการรวบรวมผล บางทีอาจจะสามารถรับปราณมังกรได้หลายสาย
ในเวลานี้ ศีรษะของเขาเหมือนถูกคนตบอย่างแรง มีลางสังหรณ์ว่ามีคนกำลังต้องการ ‘คุยส่วนตัว’ กับเขา
สวี่ชีอันไม่ได้สนใจ แต่อีกฝ่ายตบไม่หยุด ดูเหมือนจะร้อนใจมาก
เขาหยิบเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาอย่างระมัดระวัง ซ่อนไว้ในแขนเสื้อ จิตเดิมเข้าไปอยู่ในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
โลกอันมืดมนในกระจก วงแสงแปดสายส่องแสงอ่อนสลัวๆ สายหนึ่งในนั้นเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง แสงทรงกลดเป็นคลื่น
“ไต้ซือเหิงหย่วน?”
จิตเดิมของสวี่ชีอันกลายเป็น ‘มือ’ เชื่อมต่อวงแสงที่เป็นตัวแทนของหมายเลขหก
“ใต้เท้าสวี่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันมีการตอบสนอง เหิงหย่วนรู้สึกโล่งใจ
“เกิดเรื่องอะไร?”
“เพื่อนนักพรตหลี่เมี่ยวเจินถูกอาจารย์ของนางจับตัวไป”
‘???’ เกิดเครื่องหมายคำถามมากมายขึ้นในสมองของสวี่ชีอัน “ไต้ซือ เจ้าช่วยอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ชัดเจนหน่อย”
เหิงหย่วนเล่าว่า “หลังจากที่เจ้าออกจากเมืองหลวงแล้ว ข้า ประสกฉู่ และสหายนักบวชหลี่ได้ออกจากเมืองหลวงมาพร้อมกัน ตามหาร่องรอยของเจ้าไปพร้อมๆ กับช่วยเหลือผู้ที่ถูกรังแก แต่บ่ายวันนี้ เพื่อนนักพรตหลี่ได้เห็นสัญญาณติดต่อลับของนิกายสวรรค์ นั่นเป็นสัญญาณที่อาจารย์ของนางทิ้งไว้ ต่อมาสหายนักบวชหลี่ได้พบกับอาจารย์ คุยกันไปคุยกันมา จู่ๆ ผู้สูงส่งแห่งนิกายสวรรค์ท่านนั้นก็หยิบเชือกเวทมนตร์ออกมา ควบคุมตัวเพื่อนนักพรตหลี่ไว้”
“เพราะอะไร?”
สวี่ชีอันตกใจเป็นอย่างยิ่ง ระดับความประหลาดใจ ก็เหมือนกับได้ยินเพื่อนพูดว่า ‘ข้านัดเปิดห้องกับผู้หญิงคนหนึ่ง ปรากฏว่าตอนอาบน้ำ นางควักสิ่งที่ใหญ่กว่าของข้าออกมา’ เหลวไหลประมาณนี้
“ผู้สูงส่งแห่งนิกายสวรรค์ท่านนั้นบอกว่า สหายนักบวชหลี่เหินห่างจากหลักธรรมของนิกายสวรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้นางถลำตัวอยู่ในโลกมนุษย์ จึงต้องพานางกลับเพื่อศึกษาตำราของนิกายสวรรค์ใหม่อีกครั้ง แต่สหายนักบวชหลี่บอกว่า ถ้านางถูกนำตัวกลับนิกายสวรรค์ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ได้ลงจากเขาอีก จากกันครั้งนี้ อาจจะเป็นการจากกันชั่วนิรันดร์”
ข้าว่าแล้วว่าหลี่เมี่ยวเจินนั้นไม่เหมือนใคร เป็นถึงเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ กลับฝึกฝนจนเป็นจอมยุทธ์หญิง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องจบเห่…ใบหน้าของสวี่ชีอันกระตุก เกิดความคิดไหลตาม
“ดังนั้น นางจึงหวังว่าข้าจะช่วยนางได้ อืม เจ้ากับฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้ลงมือ แสดงว่าอาจารย์ของเมี่ยวเจินอย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพเจ้าหยางขั้นสาม ด้วยสภาพของข้าในตอนนี้ จะช่วยนางได้อย่างไร? อีกอย่าง ข้าไม่รู้แม้กระทั่งพวกเจ้าอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ”
เหิงหย่วนพูดว่า “ยังพอมีโอกาส ผู้สูงส่งแห่งนิกายสวรรค์ท่านนั้นบอกว่า ลงจากเขาครั้งนี้ ไม่เพียงต้องนำตัวสหายนักบวชหลี่กลับไป แต่ยังต้องนำตัวเทพบุตรกลับไปพร้อมกันด้วย ต่อจากนี้ นางจะต้องออกตามหาเทพบุตร สหายนักบวชหลี่บอกว่า เทพบุตรอยู่ในเขตอิทธิพลยุทธภพที่ชื่อว่าตำหนักมังกรตงไห่ในเขตตงไห่
“ใต้เท้าสวี่จะต้องพบกับเทพบุตรก่อน ก่อนที่คนของนิกายสวรรค์จะหาตัวเขาพบ เรื่องนี้สำคัญมาก จะต้องหาตัวเทพบุตรให้พบ อย่าให้เขาถูกจับตัวไปด้วย มิเช่นนั้นก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
บังเอิญเป็นอย่างยิ่ง ผู้ชายสวะคนนั้นอยู่กับข้าพอดี…สวีชีอันส่งกระแสจิตว่า “เจ้าช่วยบอกนางแทนข้าประโยคหนึ่ง”
เหิงหย่วนพูดว่า “ใต้เท้าสวี่เอ่ยมาได้เลย”
………………………………………….