ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 534 ค่ำคืนฝนพรำบนเขารกร้าง
บทที่ 534 ค่ำคืนฝนพรำบนเขารกร้าง
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยช้าๆ “ช่วงนี้หลังจากทบทวนดูแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าความแตกต่างระหว่างข้ากับสวี่ชีอันอยู่ที่ใด”
“อยู่ที่ใดหรือ”
จงหลีราวกับเป็นลูกคู่
หยางเชียนฮ่วนไม่ตอบคำถามแต่เอ่ยถามกลับ “ศิษย์น้องจงยังจำได้หรือไม่ว่าสวี่ชีอันเป็นที่รักใคร่ของประชาชนตั้งแต่เมื่อใด”
จงหลีเอียงหน้า เส้นผมย้อยตามไป เผยให้เห็นดวงตาสว่างเจิดจ้าคู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะเอ่ยเสียงนุ่มละมุน “ไขคดีใหญ่ติดต่อกันได้ในช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก?”
ในตอนนั้นจงหลียังเป็นแค่คนน่าสงสารที่ถูก ‘สยบ’ อยู่ใต้อาคาร นางยังไม่รู้จักสวี่ชีอัน แต่ต่อมาก็เริ่มรู้เรื่องอดีตต่างๆ ของสวี่ชีอันอย่างช้าๆ
“มิใช่ ถึงแม้ช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนักเขาจะโดดเด่นจนเป็นที่จับตามอง แต่ชื่อเสียงของเขาก็แค่แพร่หลายอยู่ในแวดวงราชการ ชาวบ้านท้องตลาดเคยได้ยินชื่อเขามาบ้างเล็กน้อย แต่มิอาจพูดได้ว่าเป็นที่รักใคร่”
หยางเชียนฮ่วนพูดจาฉะฉานด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“สิ่งที่ทำให้ชาวเมืองหลวงจดจำเขาได้ก็คือการประลองกับสำนักพุทธและการปฏิบัติการในอวิ๋นโจว ต่อจากนั้นก็ได้สังหารกั๋วกงที่ไช่ซื่อโข่ว ชื่อเสียงจึงพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด แต่ไม่ว่าจะเรื่องเหล่านี้ก็ดี หรือตำนานด่านอวี้หยางที่ตามมาหลังจากนั้นก็ช่าง หรือรวมไปถึงความสำเร็จในการสังหารจักรพรรดิ ความจริงแล้วแกนหลักของมันคืออย่างเดียวกัน”
ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเปิดเผยความจริงที่อยู่เบื้องหลัง
“เพราะว่าเขาสร้างปรากฏการณ์ ‘เพื่อชาติและประชาชน’ ให้กับตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ชาวเมืองก็ย่อมที่จะรักใคร่เขา เขาสังหารหยวนจิ่งก็เท่ากับเขาสังหารทรราชคนหนึ่ง แต่ถ้าหากเขาสังหารหย่งซิ่ง เขาก็จะกลายเป็นกบฏ”
จงหลีได้ยินแล้วก็รู้สึกตื้นตัน ศิษย์พี่หยางนับว่าเข้าใจเสียที
หยางเชียนฮ่วนเอ่ยต่อ “ดังนั้น ข้าต้องเริ่มทำประโยชน์ให้กับประชาชน และทำให้ประชาชนทุกคนในเมืองหลวงรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณข้าให้ได้”
“เช่นนั้นศิษย์พี่หยางจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ” จงหลีเอ่ยเสียงอ่อน
“ข้ามีแผนว่าจะเปิดร้านค้าหลายแห่งในเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือประชาชนเมืองหลวงโดยไม่มีค่าตอบแทน เมื่อนานเข้า ข้าก็จะอยู่เหนือกว่าสวี่ชีอันและกลายเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของชาวเมืองหลวง” หยางเชียนฮ่วนพูดเสียงดังฟังชัด
“ศิษย์พี่หยางร้ายกาจยิ่ง ถึงขั้นคิดวิธีการดีๆ เช่นนี้ได้ด้วย” จงหลีดีใจแทนเขา
เมื่อได้รับการยอมรับและคำชื่นชมจากศิษย์น้องจง หยางเชียนฮ่วนก็จากไปอย่างพึงพอใจ
…
สายลมพัดโหม กอหญ้าเอนไหว
ที่เส้นขอบฟ้าไกลลิบมีเมฆทะมึนหนาทึบก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วตามแรงพัดของลมกรรโชก คณะเดินทางเดินอยู่บนเส้นทางเล็กๆ บนภูเขารกร้าง มู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้าถูกห่อด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างแน่นหนา
นางขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปเอ่ยกับสวี่ชีอัน “ข้าหนาว”
ฤดูหนาวของวันนี้หนาวเย็นเป็นพิเศษ เพิ่งเข้าสู่เหมันต์ได้ไม่นาน หลังคาก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งเสียแล้ว
สวี่ชีอันพยักหน้า เขาวางมือบนท้องของแม่ม้าน้อยแล้วโคจรพลังปราณเข้าไป ปัจจุบันเขาสามารถปรับพลังปราณให้เป็นหลอมจิตและใช้พลังปราณได้ไม่น้อยเลย เทียบแล้วก็เท่ากับขั้นหลอมปราณระดับแปด
แม่ม้าน้อยสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ส่งมาจากนายท่านก็ร้องขึ้นมาอย่างดีใจ มันหันหน้ามาแล้วเลียใบหน้าของสวี่ชีอัน
“เจ้าคนแซ่สวี!”
มู่หนานจือโมโหจนกัดฟันกรอด หรือว่านางยังเทียบม้าตัวหนึ่งไม่ได้
“สำหรับเจ้าแล้ว ความหนาวเย็นก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลยนะ การท่องอยู่ในยุทธภพนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก”
ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่สวี่ชีอันก็ยังกุมเท้าน้อยๆ ของนางเอาไว้แล้วแผ่พลังปราณส่งไปให้
หลี่หลิงซู่มองปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่พลางคิดว่า ‘ภรรยาไม่สวยพอ ดังนั้นสวีเชียนจึงเพิกเฉยไม่สนใจ’
เมื่อนึกถึงสาวงามทั้งหลายของตน แต่ละคนล้วนเป็นคนงามล้ำเลิศ เทพบุตรก็รู้สึกเหนือกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็คาดเดาว่า ‘เป็นเพราะสวีเชียนหน้าตาไม่ค่อยดี หรือว่าเขาเข้ากับสตรีไม่ค่อยเก่งกันแน่นะ?’
‘ไม่อย่างนั้น ด้วยพลังฝึกตนของเขา จะมีสาวงามที่ไหนที่เขาไม่ได้อีกล่ะ’
‘แต่ถึงแม้ฮูหยินสวีจะหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีบุคลิกโดดเด่นมาก ยิ่งคลุกคลีอยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งรู้สึกว่านางแตกต่างจากหญิงสาวทั่วไป นี่น่าจะเป็นเหตุผลที่สวีเชียนแต่งกับนางสินะ…’
หลี่หลิงซู่แอบคิดอยู่ในใจ
หลังจากพลังปราณแผ่ซ่านไปสองสามรอบ ทั่วร่างของมู่หนานจือก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ถึงขั้นรู้สึกง่วงงุนเฉื่อยชาขึ้นมาด้วย นางจึงพยายามบังคับให้ตัวเองคงสติเอาไว้แล้ววางจิ้งจอกน้อยลงบนหลังม้า จากนั้นก็หยิบหนังสือ ‘บันทึกภูมิศาสตร์ต้าฟ่ง’ ออกมาจากในกระเป๋าสัมภาระ เมื่อเปิดอ่านไปพักหนึ่ง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลงไป
นางลอบกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “ในหนังสือบอกว่า เซียงโจวมีจุดเด่นอยู่สองประการคือ ผีพรายและพิธีขนศพ”
เขตแดนที่พวกเขาอยู่ในปัจจุบันก็คือเซียงโจวซึ่งเป็นเมืองภายใต้เขตอำนาจของจางโจว
เมื่อจิ้งจอกขาวตัวน้อยได้ยินก็ขดตัวอย่างหวาดกลัว แล้วพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนอย่างมู่หนานจือ
“อะ อะไรนะ มีผีพรายเยอะเลยหรือ…”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ปีศาจร้ายอย่างเจ้ายังจะมากลัวผีพรายอีกหรือ”
จิ้งจอกขาวขลาดกลัวอยู่พักหนึ่งแล้วก็เอ่ยเสียงเบาหวิว “ขะ ข้ากลัวผีนะ”
หลี่หลิงซู่เอ่ย “สายน้ำในเซียงโจวมีมากมาย เครือข่ายแม่น้ำก็กระจัดกระจายไปทั่วเหมือนดวงดาวและไหลตัดกันหลายสาย แต่ละปีจึงมีคนจมน้ำตายนับไม่ถ้วน ผีพรายก็ย่อมมากด้วยเช่นกัน ส่วนพิธีขนศพ พูดไปแล้วก็ยาว”
เมื่อเห็นสองคนหนึ่งจิ้งจอกมองมา หลี่หลิงซู่ก็เอ่ยอธิบาย
“เมื่อประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบปีก่อน จู่ๆ แถบตะวันตกของเซียงโจวก็มีคนประหลาดปรากฏตัวขึ้น วิธีการควบคุมซากศพก็มีฝีมือยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เขาใช้ศพเหล็กสิบสามตัวเอาชนะจนกลายเป็นผู้ที่ไร้คู่ต่อสู้แห่งเซียงโจว จากนั้นจึงเริ่มก่อตั้งสำนักขึ้นในเซียงโจว จนถึงตอนนี้ ในบรรดากลุ่มอิทธิพลมากมายในยุทธภพของเซียงโจว อย่างไรก็ต้องมีวิธีการควบคุมศพอยู่ด้วย ส่วนผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือตระกูลไฉ ซึ่งธุรกิจหลักของตระกูลไฉก็คือการทำพิธีขนศพนี่แหละ โดยจะรับหน้าที่นำพาผู้ตายส่งกลับสู่ภูมิลำเนา ไม่ว่าศพใดที่ตระกูลไฉรับมาล้วนแต่ไม่เน่าเหม็นทั้งสิ้น”
สวี่ชีอันจูงเชือกม้าแล้วเอ่ยถาม “นี่คือวิธีการควบคุมศพของสำนักพ่อมดหรือว่าเป็นวิธีการของเผ่าซือกู่กันล่ะ”
หลี่หลิงซู่ยิ้ม
“วิธีการของเผ่าซือกู่ คนประหลาดผู้นั้นมาจากเซียงโจว แต่ยามเยาว์วัยเกิดเหตุฆ่าล้างทั้งตระกูล ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่ตาย แต่ก็ถูกศัตรูนำไปขายเป็นทาสที่ซินเจียงตอนใต้และได้เรียนรู้วิธีการควบคุมศพที่ไม่ธรรมดามาจากเผ่าพันธุ์กู่ หลังจากศึกษาเองจนสำเร็จก็หลบหนีออกมาจากซินเจียงตอนใต้แล้วกลับมาแก้แค้นที่เซียงโจว พร้อมกับก่อตั้งสำนักขึ้นมา คนผู้นี้มีนามว่าไฉซือหมิง เป็นบรรพบุรุษของตระกูลไฉนั่นเอง แต่วิธีการควบคุมศพของเขายังมีข้อบกพร่องอยู่ เพราะฝึกได้ถึงแค่ขั้นห้าเท่านั้น
ต่อมาตระกูลไฉพัฒนามาสู่สายวิทยายุทธ์ คนในตระกูลจึงฝึกทั้งยุทธ์และกู่สองอย่าง หัวหน้าตระกูลไฉในสมัยนั้นก็อยู่ขั้นห้า แต่ในประวัติตระกูลก็เคยมีหัวหน้าตระกูลที่อยู่ขั้นสี่ด้วยเช่นกัน”
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างประหลาดใจ “แต่ก่อนเจ้าเคยมาท่องเที่ยวที่เซียงโจวหรือ”
“ไม่เคย”
“แล้วเจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”
“เพราะแม่นางคนหนึ่งของข้ารู้จักกับคนในตระกูลไฉดีอย่างไรเล่า” หลี่หลิงซู่เผยรอยยิ้มของผู้ชนะออกมา
ชิ! พอเผลอก็ได้โอกาสอวดเบ่งอีกแล้ว…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ เขาพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“พรุ่งนี้ก็ไปถึงเมืองเซียงโจวแล้ว ข้าจะได้ไปเยี่ยมเยียนตระกูลไฉพอดีเลย”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไป เขาแอบแตะที่เอวเงียบๆ
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น เมฆดำทะมึนตั้งเค้าลงมา เมื่อเห็นว่าฝนห่าใหญ่ก็ใกล้จะตกลงมาแล้ว ทั้งคณะก็เร่งฝีเท้าแล้วเดินมาพักหนึ่ง มู่หนานจือที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็ชี้ไปยังที่ไกลๆ แล้วเอ่ยอย่างดีใจออกมา
“ตรงนั้นมีวัดร้างอยู่”
จิ้งจอกขาวน้อยตอบรับอย่างดีอกดีใจ “มีวัดร้างอยู่ด้วยล่ะ”
วัดร้างตั้งอยู่ข้างทาง เมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็นวัดเทพภูเขา มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ คิดว่าในสมัยก่อนคงจะมีเคยช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์อยู่เป็นแน่
ประตูวัดผุพัง มันแง้มออกครึ่งหนึ่งราวกับว่าแค่ผลักก็ล้มลงได้แล้ว
สวี่ชีอันประคองมู่หนานจือลงจากม้า จากนั้นทั้งสามก็เดินเข้าไปในวัด เมื่อข้ามธรณีประตูเข้ามาก็เห็นลานที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งและส่งกลิ่นเหม็นเน่าจางๆ
รูปปั้นเทพภูเขาที่ประดิษฐานอยู่ในวัดล้มลงมาและเต็มไปด้วยรอยร้าว ทั้งยังมีใยแมงมุมพันอยู่เต็มไปหมด สวี่ชีอันกวาดตามองพักหนึ่ง คะเนด้วยสายตาว่าวัดแห่งนี้คงร้างมาได้อย่างน้อยสิบปีแล้ว
ในวัดมีเถ้าถ่านมากมาย ดูเหมือนว่าแต่ก่อนคงถูกผู้คนที่มาพักแรมอยู่ที่นี่จุดกองไฟเสร็จก็ทิ้งเอาไว้
“ว้าย!”
จู่ๆ มู่หนานจือก็ร้องลั่นออกมาแล้วชี้ไปที่มุมผนังที่อยู่ทางใต้แล้วเอ่ยตะกุกตะกักว่า “ละ โลงศพ…”
ที่มุมกำแพงทิศใต้มีโลงศพไม้ดำโลงหนึ่งตั้งอยู่ สีของมันดำซีดราวกับอยู่มานานแล้ว
วัดที่ถูกทิ้งร้าง โลงศพเก่าๆ ยามอาทิตย์ตกดินที่ใกล้เข้ามา เมฆทะมึนตั้งเค้า ลมพายุพัดโหม แปลกพิกลไปเสียหมด
มู่หนานจือขลาดกลัว ผ่านไปพักหนึ่งก็ยังกลัวไม่หวาดไม่ไหว
ไป๋จีที่เห็นๆ อยู่ว่าตัวเองเป็นปีศาจจิ้งจอกก็ราวกับได้รับอิทธิพลไปด้วย มันคลานเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของมู่หนานจือ สิ่งมีชีวิตเพศเมียสองตัวแบ่งปันความอบอุ่นให้กันและกัน
สวี่ชีอันมองไปที่โลงศพแล้วหันกลับมามองที่หลี่หลิงซู่ “ออกไปเก็บฟืนข้างนอกมา คืนนี้เราจะพักกันในวัด”
หลี่หลิงซู่เพิ่งออกไปได้ไม่ทันไร ฝนก็ตกลงมาพร้อมลมกระโชกและเม็ดฝนกระหน่ำ
สวี่ชีอันหยิบเสื้อคลุมสองตัวออกมาจากถุงเก็บของแล้ววางไว้บนพื้นเพื่อให้มู่หนานจือนั่งทับ รออยู่พักหนึ่ง หลี่หลิงซู่ก็หอบฟืนกองใหญ่กลับมาแล้ว
จำนวนเยอะเพียงพอทีเดียว
กองไฟถูกก่อขึ้นมาในวัดอย่างรวดเร็วและขับไล่ความหนาวเย็นออกไป สวี่ชีอันตั้งหม้อขึ้นแล้วต้มเนื้อลงไป
ไม่นาน กลิ่นหอมของเนื้อต้มเข้มข้นก็อบอวล มู่หนานจือไม่กลัวอีกต่อไป นางถือชามกระเบื้องเอาไว้และมีความสุขอยู่กับน้ำแกงของตน
จิ้งจอกขาวน้อยก็ได้ไปหนึ่งชามเช่นกัน มันเลียปากอย่างเป็นสุข
ตอนนี้เอง หูของสวี่ชีอันก็ขยับและได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น
ที่ประตูวัด คนสามคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน เป็นชายสองและหญิงหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งในนั้นสวมเสื้อคลุมและกวานครอบผมแบบขงจื๊อ ที่หลังแบกกล่องหนังสือเอาไว้เหมือนจะเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง
ชายอีกคนมีดาบแขวนอยู่ที่เอว เขาสวมชุดจิ้นจวงสีดำ พินิจดูแล้วคงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์
ส่วนฝ่ายหญิงสาว หน้าตาของนางค่อนข้างดี นางสวมชุดรัดรูปอย่างเรียบร้อย ผมยาวถูกมวยขึ้นสูงอย่างผู้ชาย แม้ว่าลาดไหล่และลำคอจะไม่มีของประดับแม้แต่ชิ้นเดียว แต่กลับยิ่งทำให้นางดูเพรียวบางเข้าไปอีก
“หอมมาก!”
ชายหนุ่มที่พกดาบผู้นั้นเข้ามาในวัดแล้วก็จดจ้องอยู่ที่หม้อเหล็กทันที
บัณฑิตรวบมือคำนับแล้วเอ่ย “พี่ชายทั้งสอง พวกเรายากจะหาเส้นทาง ทั้งยังเจอกับลมหนาวฝนสาด มิทราบว่าทั้งสองสะดวกให้เราอยู่ด้วยหรือไม่”
หลี่หลิงซู่ยิ้มตาหยี “ตามสบายเถิด”
ชายสองหญิงหนึ่งเดินเข้ามาข้างๆ ทันที แล้วนั่งลงบนพื้นที่ที่อยู่ไม่ไกลจากโลงศพนัก
เพราะเดินทางอยู่กลางสายฝน ร่างกายของพวกเขาจึงเปียกปอน ชายที่สวมชุดจิ้นจวงปลดกระบี่ออกแล้วมองไปยังโลงศพเก่าๆ ที่อยู่ตรงมุมก่อนเอ่ยด้วยความสงสัย
“ในวัดกลับมีโลงศพอยู่ด้วย พอดีเลย สับมันมาทำเป็นฟืนเสียดีกว่า”
สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มพลันเปลี่ยนไป “ทำเช่นนั้นมิได้นะพี่หวัง มันไม่เป็นมงคล เราต้องเคารพผู้ตาย ห้ามไปรบกวนเขา”
มู่หนานจือได้ยินแล้วก็มือสั่น นางร้องบอกว่า “ใช่แล้ว เจ้าไปฟันโลงศพซี้ซั้วเดี๋ยวก็ได้ตายขึ้นมาหรอก”
ฟ้ามืดสนิทแล้ว หยาดฝนโปรยปรายลงมา ลมหนาวพัดเข้ามาในวัดร้างบนภูเขาจนเปลวไฟพลิ้วไสว เงาร่างมนุษย์ฉายบิดเบี้ยวอยู่บนกำแพง
ชายหนุ่มสวมชุดจิ้นจวงขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “เกี่ยวอะไรกับเจ้า!”
เขาหันไปบ่นกับเพื่อนร่วมทาง “ในโลงศพจะมีศพอยู่หรือไม่ก็ยังไม่แน่หรอก”
ตอนนี้เอง หญิงสาวใบหน้างดงามก็พูดขึ้นมา
“ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีศพก็ไม่ใช่เรื่องดีทั้งนั้น พี่หวัง พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เลือดลมมีเต็มเปี่ยม ไม่กลัวความหนาวเย็นหรอก เพียงแต่พี่หลี่ว์…”
บัณฑิตโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ”
หญิงสาวส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกสวี่ชีอันแล้วรวบมือคำนับ “พี่ชายทั้งสอง ให้พวกเรานั่งผิงไฟด้วยได้หรือไม่”
“นั่งเถอะ!”
สวี่ชีอันรักษาท่าทางเย็นชาเอาไว้ ภายใต้สายตาจับจ้องของมู่หนานจือ เขาไม่ปล่อยให้ตนเผยรอยยิ้มของผู้ชายอบอุ่นออกมา
ดังนั้นทั้งสามคนจึงมานั่งลงอยู่ข้างกองไฟ สวี่ชีอันสังเกตเห็นว่าสายตาของพวกเขาจดจ้องอยู่ที่หม้อเหล็กและน้ำแกงเนื้อที่อยู่ข้างในนั้น
“หากไม่ถือ ก็สามารถใช้ชามที่พวกเรากินเสร็จแล้วได้นะ”
สวี่ชีอันไม่ได้เปิดเผยต่อหน้าพวกเขาว่าตนมีอาวุธเวทมนตร์ที่ใช้เก็บของได้
“ขอบคุณๆ”
บัณฑิตคำนับติดๆ กันอย่างยินดี
ชายในชุดจิ้นจวงที่อารมณ์ไม่ค่อยดีก็มีสีหน้าอ่อนลงเมื่อได้ยินดังนั้น
หญิงงามดื่มน้ำแกงเนื้อลงไปอึกใหญ่แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากก่อนเอ่ยว่า “ข้ามีนามว่าเฝิงซิ่ว เป็นศิษย์สำนักกระบี่เหมย”
นางมองไปยังชายหนุ่มในชุดจิ้นจวงแล้วเอ่ยแนะนำ “เขามีนามว่าหวังจวิ้น เป็นศิษย์สำนักสนเมฆา สำนักของพวกเราสองคนมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ส่วนพี่หลี่ว์ผู้นี้คือสหายที่พวกเราพบในภูเขาเจ้าค่ะ”
บัณฑิตรับช่วงต่อ เขาเอ่ยว่า “ข้าพเจ้ามีนามว่าหลี่ว์เว่ย เป็นคนจากอำเภอชิงซาน เพราะจักรพรรดิองค์ใหม่ครองราชย์และจะเปิดการสอบราชการในปีหน้า ดังนั้นจึงวางแผนจะไปเที่ยวชมที่เมืองหลวงดูขอรับ”
องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์แล้ว…สวี่ชีอันชะงักไป
สำหรับต้าฟ่ง นี่เป็นเรื่องดี
ข้อดีเดียวของการบำเพ็ญธรรมของหยวนจิ่งก็คือมีบุตรไม่มาก ไม่อย่างนั้นหากโอรสแย่งชิงบัลลังก์กัน ก็รังแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงเท่านั้น
หลี่หลิงซู่พูดแทรก “ทั้งสองคนมาท่องยุทธภพด้วยกันหรือ”
สายตาของเฝิงซิ่วหยุดอยู่บนใบหน้าของเขาพักหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “พวกเราตอบรับคำเรียกตัวจากท่านอาตระกูลไฉ แล้วมาที่เซียงโจวเพื่อเข้าร่วมชุมนุมมือสังหารมารเจ้าค่ะ”
………………………………………………