ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 535 คดีฆาตกรรม (1)
บทที่ 535 คดีฆาตกรรม (1)
น้ำฝนไหลลงมาตามมุมชายคา กลายเป็นม่านน้ำขาดห้วงเป็นพักๆ ถูกลมหนาวพัดผ่านให้หยาดฝนสาดกระเซ็นเข้ามา
เซียงโจวตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในช่วงฤดูหนาวอากาศทั้งแห้งและหนาวเย็น แต่เมื่อฝนตกอากาศจะเย็นชื้น อาจเย็นยะเยือกจนเข้ากระดูก
ทุกคนนั่งล้อมรอบกองไฟซึ่งมีฟืนเพียงพอ ให้เปลวไฟช่วยขับไล่ความเหน็บหนาวในคืนฝนตก
“แม่นางตระกูลไฉเป็นคนเรียกชุมนุมมือสังหารมารอย่างนั้นหรือ?”
หลี่หลิงซู่แสดงสีหน้าประหลาดใจ จึงซักถาม “ชุมนุมมือสังหารมาร สังหารใคร? เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลไฉอย่างนั้นหรือ?”
สวี่ชีอันกำลังนั่งเขี่ยกองไฟเล่น เข้าใจในทันทีว่าทำไมนิกายสวรรค์ถึงตามจับเทพบุตรเทพธิดากลับนิกาย
ในสายตานิกายสวรรค์ วีรกรรมอันกล้าหาญไม่เกรงกลัวใครของหลี่เมี่ยวเจินอาจไม่ใช่เรื่องผิด ความผิดที่แท้จริงอยู่ที่นางรักความยุติธรรมจนเกินไป เป็นผลให้ไม่อาจหลุดพ้น ‘ห้วงความรู้สึก’
เช่นเดียวกันกับหลี่หลิงซู่ ความผิดของเขาไม่ใช่การที่เขาเที่ยวนอนกับสตรีไปทั่ว หากเทพบุตรไร้ความรู้สึก นิกายสวรรค์ก็อาจเพิกเฉยต่อเรื่องที่เขาก่อไว้
เขาผิดที่รู้สึกกับหญิงสาวทุกคนที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วย
พอได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลไฉ เจ้าเด็กนี่จึงนั่งไม่ติด
“พี่ชายเองก็มาจากจางโจวมิใช่หรือ?” เฝิงซิ่วถามด้วยความประหลาดใจ
เซียงโจวเป็นเมืองที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของจางโจว แม้แต่นางเองก็ไม่ใช่คนจางโจวโดยตรง นี่แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘ชุมนุมมือสังหารมาร’ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เซียงโจว แต่ทุกคนในจางโจวย่อมรู้ดีอย่างนั้นหรือ?
สวี่ชีอันตั้งข้อสันนิษฐานที่สอดคล้องกัน ไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินหลี่หลิงซู่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“จุดหมายปลายทางของเราคือยงโจว เราเพิ่งผ่านเซียงโจวมา จึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่มากนัก”
เฝิงซิ่วพยักหน้าฉับพลัน เหลือบมองใบหน้าที่หล่อเหลาของหลี่หลิงซู่อย่างใจเย็นอยู่หลายครั้ง แล้วพูดว่า
“สกุลไฉเกิดเรื่องใหญ่เมื่อครึ่งเดือนก่อน ประมุขตระกูลไฉเจี้ยนหยวนถูกฆาตกรรมในจวน ฆาตกรคือไฉเสียนลูกชายบุญธรรม หลังจากเจ้านี่ฆ่าพ่อบุญธรรมผู้มีบุญคุณล้นเหลือ เขาก็ฆ่าคนในจวนต่ออีกหลายสิบคนอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังฆ่าไปตลอดทาง ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย”
“ไฉเสียน…”
หลี่หลิงซู่พึมพำชื่อนี้ราวกับว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้า
สวี่ชีอันเพิ่มฟืนอีกดุ้นหนึ่งพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ตามที่แม่นางว่ามา ไฉเสียนผู้นี้ยังอยู่ในจางโจว ยังไม่ได้ออกไปไหนใช่หรือไม่”
‘ชายผู้นี้ฉลาดนัก…’ เฝิงซิ่วประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวเสียงเบาว่า “ท่านพูดถูก หลังจากไฉเสียนฆ่าคน แทนที่จะหนีจากจางโจว เขากลับอ้างว่าตนถูกกล่าวหา มีคนใส่ร้ายป้ายสี ขู่ว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้เพื่อทวงคืนความบริสุทธิ์ให้ตัวเอง
“แต่ต่อมา มีคดีฆ่าคนตายเกิดขึ้นบ่อยๆ ในทุกพื้นที่ของจางโจว โดยเฉพาะในเซียงโจวร้ายแรงที่สุด มีคนเห็นเขาฆ่าแล้วอำพรางศพ แต่ก่อนพวกที่ถูกฆ่าล้วนเป็นชาวยุทธภพ ในภายหลังแม้แต่คนธรรมดาๆ ก็ถูกเขาเข่นฆ่าเช่นกัน ทางการเซียงโจวจึงเริ่มเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้
“แม่นางตระกูลไฉจึงถือโอกาสจัด ‘ชุมนุมมือสังหารมาร’ เรียกร้องให้ชาวยุทธภพท้องถิ่นจากทั่วทุกสารทิศของจางโจวไปเซียงโจว เพื่อร่วมมือกับทางการเข้าปราบปรามไฉเสียน”
หวังจวิ้นในชุดสีดำพูดเสียงเย็น “ปีศาจชั่วร้ายนอกรีต เที่ยวทำร้ายคนไปทั่ว ทุกคนสมควรจับเขาไปลงทัณฑ์”
บัณฑิตหลี่ว์เว่ยยังคงนิ่งเงียบไม่พูดจา ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ทุกคน
สวี่ชีอันหยิบถุงน้ำขึ้นดื่มหนึ่งอึก ก่อนเทน้ำลงในชามของจิ้งจอกขาวตัวน้อย มันแลบลิ้นสีชมพูออกมาเลียอย่างเงียบๆ
จิ้งจอกขาวตัวน้อยสงวนท่าทีอย่างสง่างาม สีขนของมันสะดุดตา สะอาดสะอ้าน แถมยังตัวเล็กน่ารัก ดึงดูดใจสาวๆ เป็นที่สุด
เฝิงซิ่วจ้องมองมันแล้วพูดด้วยความตื่นเต้น “จิ้งจอกน้อยแสนสวย ข้าขอกอดหน่อยได้หรือไม่?”
จิ้งจอกสีขาวตัวน้อยเงยหน้าขึ้น คล้ายกำลังจะพูดว่า ‘ไม่มีทาง!’
มู่หนานจือรีบอุ้มมันขึ้นก่อน ถือโอกาสตรงนี้ปิดปากมัน แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไม่ได้!”
เฝิงซิ่วดูผิดหวัง
เมื่อหวังจวิ้นในชุดดำเห็นหญิงสาวโดนปฏิเสธก็ตะคอกว่า “ก็แค่จิ้งจอกตัวเดียว ไม่ใช่ของหายาก ศิษย์น้องเฝิง รอฝนหยุดตกพรุ่งนี้ ข้าจะขึ้นเขาไปจับมันมาให้เจ้าสักตัว”
เฝิงซิ่วส่ายหัว “ช่างเถอะ ไม่ต้องลำบาก”
นางแค่คิดว่าจิ้งจอกขาวตัวเล็กน่ารัก อยากกอดมันเสียหน่อย แต่ถ้านางเลี้ยงจิ้งจอกตัวนั้นไว้ข้างกายจริงๆ คงไม่มีสมาธิหรือมีเวลาสนใจมันขนาดนั้น
ในขณะที่พูด นางก็เหลือบมองหลี่หลิงซู่อีกครั้ง จึงสบสายตากับอีกฝ่ายด้วยความบังเอิญ แล้วชายรูปงามผู้นี้ก็ขยิบตาให้ตน
เฝิงซิ่วหันหนีไปทางอื่นทันที หัวใจดวงน้อยเริ่มอยู่ไม่สุข ใบหน้าร้อนวูบวาบ
‘เฮ้อ เสน่ห์ของข้านี่เหลือร้ายจริงๆ…’ หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ ราวกับตนเองเป็นผู้สูงส่งและเย็นชาเกินเอื้อมถึง
หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงทางจิตของสวีเชียน “เจ้าเคยคบหากับแม่นางสกุลไฉรึ”
‘เจ้ารู้ได้อย่างไร…’ หลี่หลิงซู่อ้าปากค้าง เกือบโพล่งถามออกมา
“ข้าจำไม่เห็นได้ว่าเคยเล่า” เขาส่งเสียงตอบกลับทางจิต
“พอเจ้าได้ยินคดีฆาตกรรมของตระกูลไฉ เจ้าแค่ประหลาดใจแต่ไม่ได้แสดงความห่วงใย นั่นแสดงว่าเจ้ามั่นใจว่าไม่มีเรื่องร้ายๆ ขึ้นกับนางแน่ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงเดาว่าเจ้ารู้จักกันกับแม่นางตระกูลไฉ” สวี่ชีอันกล่าว
“ผู้อาวุโสมีสายตาเฉียบแหลม!” หลี่หลิงซู่ตอบกลับผ่านกระแสจิต
“เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับคดีนี้” สวี่ชีอันถามกลับ
หลี่หลิงซู่จมอยู่ในภวังค์ความทรงจำ รำพึงรำพันออกมา
“แต่ก่อนข้าเคยไปเที่ยวจางโจวกับศิษย์น้องเมี่ยวเจิน จึงได้รู้จักกับตระกูลไฉโดยบังเอิญ ในตอนนั้นตระกูลมีผู้นำเป็นหญิงสาว ด้วยท่าทีโศกเศร้าเหมือนดอกเซียงฮวาของนาง ทำให้ใครที่พบเห็นต่างก็พากันสงสาร
“ระบบการสัญจรทางน้ำของจางโจวพัฒนาแล้ว พวกเราจึงได้พบกันบนเรือสำราญ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีนั้นมีฝนตกพรำ นางสวมชุดคลุมยาวสีเขียวคราม ถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมัน ยืนมองฝนอยู่บนกราบเรือ
“ตอนนั้นนางเพิ่งสูญเสียสามีไปไม่นาน ค่อนข้างโศกเศร้า ข้าเลยชวนนางไปดื่มให้เมาเพื่อคลายกังวล ตอนแรกๆ นางไม่ได้สนใจข้านัก ซ้ำยังเย็นชากับข้า ภายหลังก็รู้สึกรำคาญ ถึงขั้นพูดจารุนแรง”
หม้าย แม่หม้าย? เจ้านี่ต่างจากโจโฉตรงไหน?! สวี่ชีอันช็อก
“ต่อมานางบอกว่า จางโจวมีหุบเขาเชียนเจวี๋ย ในหุบเขานั้นมีสัตว์ประหลาดอยู่คู่หนึ่ง ตัวผู้กับตัวเมียไม่เคยแยกจากกัน ใกล้รังของพวกมันมีดอกไม้ประหลาดที่เรียกว่า ‘ไป๋โส่ว’ ขึ้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หากได้ดอกไม้ชนิดนี้มา เชื่อว่าจะสามารถอยู่กับคนรักไปตลอดจนแก่เฒ่า หากข้าเด็ดเอาดอกไม้ชนิดนี้มาได้ นางถึงจะยอมร่ำสุรากับข้าต่อ”
ฟังถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็พยักหน้าช้าๆ “เจ้าจึงไปเด็ดดอกไม้นั้นมา แล้วได้ครอบครองหัวใจของสาวงามอย่างนั้นหรือ?”
เทพบุตรส่ายหัวแล้วกล่าวต่อ
“ในหุบเขาเชียนเจวี๋ยมีสัตว์ประหลาดคู่หนึ่งอยู่จริง พวกมันดุร้ายอย่างยิ่ง มีสายเลือดของเทพเจ้าปีศาจ อย่าว่าแต่ขั้นห้า ยอดฝีมือขั้นสี่เข้าไปแล้วยังไม่อาจรับมือ ทว่าไม่มีดอกไม้ดังกล่าวอยู่ใกล้รังของสัตว์ประหลาดคู่นั้น นางหลอกข้า แต่ข้าก็ยังไปต่อสู้กับสัตว์ร้ายคู่นั้น ถอดขนหางของพวกมันออกมาก้านหนึ่ง แล้วหนีออกมาตอนที่ยังไม่เจ็บหนัก ข้าตามหานาง มอบขนหางให้ แล้วจากไปหลังจากนั้น”
แค่นี้เองหรือ? ไม่เหมือนที่ข้าคิดไว้เลย…สวี่ชีอันขมวดคิ้วพลางส่งเสียงผ่านกระแสจิต “จากนั้นล่ะ?”
หลี่หลิงซู่ร้อง “เฮ้” สองครั้ง แล้วส่งเสียงตอบผ่านกระแสจิต
“นางไล่ตามมาถามข้าทั้งน้ำตา ถามว่าเหตุใดต้องทำถึงขั้นนี้ ทั้งๆ ที่ข้ารู้ว่าไม่มีดอกไม้ประหลาดอยู่ในหุบเขา รู้อยู่แก่ใจว่านางหลอกลวง แล้วไฉนต้องพาตนเองไปเสี่ยง?
ข้าจึงตอบกลับว่า ‘แม่นางคนงาม การตกหลุมรักเจ้าเป็นความเชื่อที่ไม่แปรเปลี่ยน ความฝันของข้าคือปรารถนาที่จะเดินเข้าไปในหัวใจของเจ้า ความรู้สึกในใจข้าจะไม่ผันผวนตามสายน้ำ ไม่ถูกภูเขาสูงฝังกลบ แม้จะเป็นเพียงเรื่องหยอกล้อ แต่ข้าก็ยินยอมที่จะใช้ทั้งชีวิตลิ้มลอง ยอดรักของข้า ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่ข้าไม่อาจเข้าไปอยู่ในหัวใจของเจ้าได้ เช่นนี้ ข้าจึงอยากออกไปให้ไกลจากที่นี่’
แล้วนางก็กระโจนเข้ามาในอ้อมกอดข้า…”
ยอดเยี่ยมไปเลย ข้าล่ะอยากถามจริงๆ ว่านิกายสวรรค์ยังรับลูกศิษย์อยู่หรือไม่ ข้าอยากเรียนสักสองสามปี…สวี่ชีอันส่งเสียงขัดจังหวะ
“พอแล้ว เข้าเรื่องเสียที”
หลี่หลิงซู่จำใจจบหัวข้อที่ยังพูดไม่หนำใจ แล้วสื่อสารทางจิตต่อ
“ข้าเคยเจอไฉเสียนไม่กี่ครั้ง เขาก็ดูเป็นคนใจบุญสุนทาน ไม่เหมือนพวกก่ออาชญากรรม เช่น เข่นฆ่าพ่อตัวเองและญาติสนิท อาจมีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น…”
เขาพูดจาอึกอัก
สวี่ชีอันผู้ซึ่งมากประสบการณ์เกี่ยวกับการสังหารหมู่พูดว่า “มีอะไรอยากพูดก็พูดมาเถิด”
“ข้าอยากไปเยี่ยมนางที่ตระกูลไฉ เพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี” หลี่หลิงซู่หยั่งเชิง
เขารู้สึกว่า ถึงแม้สวีเชียนจะเป็นคนอ่อนโยน แต่ก็เย็นชา ดูเหมือนไม่ใช่คนประเภทชอบยื่นจมูกเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ด้วยเหตุนี้จึงไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มคิดอย่างไร
สวี่ชีอันพยักหน้า “ห้ามเกินสามวัน”
‘นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมเห็นด้วย…’ หลี่หลิงซู่มีความสุขมาก
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ฝนตกโปรยปราย
ทุกคนนั่งขัดสมาธิ บ้างก็เหยียดกายนอนตะแคงพักผ่อนในคืนเหน็บหนาว
กองไฟเริ่มริบหรี่ลง แต่ถ่านสีแดงยังลุกเป็นไฟแผ่ความร้อนขจัดความหนาว
ในยามดึกสงัด แสงไฟสลัวๆ ทำให้เงาบิดเบี้ยว หัวมุมกำแพงทิศใต้ กระดานโลงศพเก่าค่อยๆ แง้มออกในความมืดอันเงียบงัน
มือสีน้ำเงินดำยื่นออกมาจากโลงศพ พร้อมกับเล็บสีดำจิกกดที่ขอบโลงศพ
‘ตึง!’
หลังจากเงียบสงัดอยู่หลายวินาที ฝาโลงศพก็กระเด็นเปิดออกแล้วตกลงบนพื้นอย่างแรง จนส่งเสียงดัง
ร่างหนึ่งดีดลุกขึ้นยืนในโลงศพ เข่าของเขาดูเหมือนจะงอไม่ได้
เสียงดังสนั่นทำให้ทุกคนที่ค้างแรมสะดุ้งตื่น ชายชุดดำหวังจวิ้น เฝิงซิ่วในชุดคล่องตัวตื่นเป็นคนแรกๆ พร้อมคว้าอาวุธไว้ข้างกายทันที
‘แกร๊ง!’
กระบี่ปลดออกจากฝักในเวลาเดียวกัน
มู่หนานจืออ่อนล้าจากการเดินทางไกลเป็นเวลาหลายวัน หลังจากถูกเสียงดังปลุกให้ตื่น นางก็ขยี้ตาแล้วลืมตามอง
เห็นเพียงหวังจวิ้นและเฝิงซิ่วถืออาวุธอยู่ด้านหลังทุกคน หันไปทางโลงศพทิศใต้ ตรงนั้นมีร่างหนึ่งยืนตัวตรงในโลงศพชวนให้สะพรึงกลัว เขาซ่อนตัวอยู่ในความมืด มองเห็นเพียงโครงร่างคร่าวๆ เท่านั้น
ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนเผชิญหน้ากัน
……………………………………….