ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 535-2 คดีฆาตกรรม (2)
บทที่ 535 คดีฆาตกรรม (2)
ขณะนี้ ร่างในโลงศพกระโดดออกมาจากโลงศพเบาๆ ท่ากระโดดของเขาแปลกประหลาด เพราะกระโดดตัวตรงๆ เหมือนไม่ได้งอเข่า
แสงไฟตกกระทบให้เห็นลักษณะของชายผู้นั้น ดวงตาเหลือกขาวโพลน เนื้อสีดำแกมน้ำเงินเต็มไปด้วยบาดแผล เส้นผมร่วงบาง สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งส่งกลิ่นเหม็นโชยมา
นี่มันใช่คนที่ไหน ศพชัดๆ และเป็นศพที่ขยับได้ด้วย
รูม่านตาของมู่หนานจือขยายกว้าง สีหน้าแข็งทื่อ ไม่กี่วินาทีต่อมา นางก็กรีดร้องสุดเสียง
“กรี๊ดดด…”
จิ้งจอกขาวตัวน้อยเปล่งเสียงกรีดร้องเยี่ยงเด็กสาวเช่นกัน พลางผุดลุกขึ้นกอดแข้งสวี่ชีอันแน่นด้วยอุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้าง ตัวสั่นเทา
เสียงกรีดร้องดูเหมือนจะกระตุ้นมัน มันจึงส่งเสียงคำรามสยดสยองออกมา ก่อนดีดขาสองข้างพุ่งเข้าหาทุกคน
บัณฑิตหลี่ว์เว่ยกรีดร้องและหนีไปที่มุมห้องด้วยความตกใจ
“ศพเลือด!”
ชายชุดดำหวังจวิ้นคำราม กระบี่ยาวตั้งตรง เตรียมผ่าครึ่งศพเลือดออกเป็นสองซีก
“ศพเลือดเป็นสิ่งชั่วร้ายมีชีวิตอยู่โดยการกินเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิต เหนือศพเลือดคือศพเหล็ก ความแข็งแกร่งของศพเหล็กนั้นเทียบเท่ากับระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงของขั้นหก ตอนนั้นบรรพบุรุษของตระกูลไฉอาศัยศพเหล็กสิบสามตน เอาชนะคู่ต่อสู้ไร้เทียมทานแห่งเซียงโจวได้” หลี่หลิงซู่อธิบายผ่านกระแสจิต
ศพเลือดประกบมือหนีบคมดาบ หวังจวิ้นรวบรวมแรงดึงกลับอยู่หลายครั้ง แต่ก็ดึงไม่ออก พลังศพเลือดมากเกินกว่าที่เขาคิดไว้
เฝิงซิ่วร้องคำราม วิ่งออกไปสองก้าว กระโดดถีบหน้าอกศพเลือดจนส่งเสียงดัง ตุ้บ! ฝุ่นผงฟุ้งกระจายไปทั่ว
ร่างศพเลือดงอตัวเหมือนกุ้ง แต่สองเท้ายังคงหยั่งรากอย่างมั่นคง ไม่ขยับเคลื่อนแม้แต่น้อย
เสี้ยววินาทีต่อมา มันยืดตัวตรงก่อนจะเป่าลมใส่เฝิงซิ่ว แล้วเหวี่ยงแขนหมุนกวาดหวังจิ้นต่อ
สองหนุ่มสาวกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน
หวังจวิ้นถูกศพเลือดฟาดเข้าช่วงไหล่จนแขนหัก ถึงกระนั้นเขาก็ยังอดทนต่อความเจ็บปวด โคจรปราณเพื่อบรรเทาพร้อมกับหยิบกระบี่ขึ้นมาเตรียมต่อสู้ ทว่าจู่ๆ ขากลับอ่อนแรงลง จุดตันเถียนราวกับถูกบิด
“อ๊ากกก…”
อีกด้านหนึ่ง เฝิงซิ่วดูเหมือนจะเจอสถานการณ์คล้ายกัน ใบหน้านางซีดเซียว เริ่มหมดเรี่ยวแรง
‘ถูกพิษ…’ ในใจหวังจวิ้นสั่นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด
“พี่หวัง แม่นางเฝิง สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือจากสำนักเลื่องชื่อ ถูกเนื้อเยื่ออ่อนของข้าแพร่กระจายไปทั่ว ตอนนี้ถึงได้ออกอาการ”
ณ มุมห้องบัณฑิตหลี่ว์เว่ย เดินออกจากเงามืดด้วยรอยยิ้ม สาวเท้าเดินเข้ามาใกล้กองไฟ
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาไม่อ่อนโยนเหมือนก่อนหน้าอีกต่อไป ภายใต้แสงไฟสะท้อนกลับกลายเป็นดุร้าย
“เจ้าเองหรือ!?”
เฝิงซิ่วผงะ คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเลยเถิดถึงขนาดนี้
“เจ้านั่นเองที่เลี้ยงศพเลือดไว้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าถึงไม่ให้ข้าเจาะโลงศพ เพราะเจ้ายังไม่มีโอกาสวางยาพิษนั่นเอง?”
หวังจวิ้นปักปลายกระบี่ลงพื้น พยายามยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคงด้วยใบหน้าถอดสี
หลี่ว์เว่ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ศพเลือดตนนี้ของข้ายังไม่สมบูรณ์ แม้จะฆ่าพวกเจ้าทั้งสองจะทำได้อย่างง่ายดาย แต่หากพวกเจ้าคิดหนี มันก็ตามไม่ทันหรอก”
“เหตุใดเจ้าต้องทำเช่นนี้”
ฐานการฝึกตนของเฝิงซิ่วไม่สูงเท่าหวังจวิ้น จึงไม่อาจยืนอยู่ได้อีกต่อไป
ขณะที่หลี่ว์เว่ยกำลังจะตอบกลับ จู่ๆ ก็ได้ยินชายชุดน้ำเงินซึ่งนั่งขัดสมาธิโดยไม่ขยับเขยื้อนอยู่ข้างกองไฟเอ่ยขึ้นว่า
“แน่นอน ที่ต้องสังเวยศพเลือดก็เพื่อเลื่อนขั้น”
หลี่ว์เว่ยมองเขาหลายครั้ง กระทั่งแน่ใจว่าเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่มีพิษภัย จึงยิ้มตาหยีแล้วตอบกลับว่า “ถูกต้อง”
สวี่ชีอันพูดต่อ “เช่นนั้น เจ้าจึงแสร้งทำเป็นบัณฑิต เที่ยวหลอกลวงผู้คนที่สัญจรผ่านมา? สังเกตจากกองขี้เถ้าในกองไฟก่อนหน้านี้ เดาว่าเจ้าคงทำร้ายคนมาไม่น้อยเลยสินะ”
สีหน้าของเฝิงซิ่วและหวังจวิ้นบิดเบี้ยวเหยเกชั่วครู่ พวกเขาทั้งสองเป็นผู้สัญจรที่ถูกหลอกสินะ
ใบหน้าหลี่ว์เว่ยยังคงแต้มด้วยรอยยิ้ม มองชายในชุดสีน้ำเงินอีกครั้ง
“ถนนสายนี้พรากชีวิตผู้คนอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดทางการถึงไม่สนใจ?” หลี่หลิงซู่ที่กำลังเขี่ยกองไฟถามขึ้น
“ปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต ตรงที่ไฉเสียนผู้นั้นฆ่าแล้วอำพรางศพจนกลายเป็นข่าวแพร่สะพัดเป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งเมือง พวกพเนจรอย่างเราๆ แค่เจริญรอยตามเขาเพื่ออาศัยบารมี สุดท้ายเพียงโยนความผิดกลับไปที่เขาก็สิ้นเรื่อง”
แววตาหลี่ว์เว่ยมืดมน ดูเหมือนว่าเขาไม่อยากเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระอีกต่อไป กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าขอฟันคนธรรมดาๆ เช่นพวกเจ้าเพื่อสังเวยก่อนก็แล้วกัน”
ว่าแล้วก็ควบคุมศพเลือดให้เดินไปทางหลี่หลิงซู่
‘เหตุใดข้าต้องเป็นคนแรกที่จะตายด้วย หรือว่าเป็นเพราะข้าหล่อเหลาจนเกินไป?’ หลี่หลิงซู่โกรธเล็กน้อย
“เลือดเนื้อของคนธรรมดานั้นมีประโยชน์เพียงเล็กน้อย แต่หากสั่งสมจากวันเป็นเดือนก็จะทวีคูณขึ้น ข้าเห็นว่าพวกเจ้าร่างกายแข็งแรง พลังงานและเลือดย่อมแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป”
ขณะที่หลี่ว์เว่ยกำลังพูด ศพเลือดก็พุ่งไปอยู่ตรงหน้าหลี่หลิงซู่แล้ว มันอ้าปากเหม็นๆ เตรียมกัดเทพบุตรอย่างบ้าคลั่ง
หลี่หลิงซู่สั่นหัวแล้วเบี่ยงตัวหลบ ยืดตัวขึ้นถอดปิ่นหยกกลัดผมออก แล้วเขวี้ยงออกไปเบาๆ
ปิ่นหยกพุ่งไปปักกลางหน้าผากของศพเลือด ก่อนที่หนอนกู่น่าเกลียดตัวสีดำจะเจาะออกมาจากปลายปิ่น ครั้นดูดซับพลังชีวิตแล้ว จึงเลี้ยวกลับมาสู่มือหลี่หลิงซู่
ศพเลือดเซไปข้างหน้าสองก้าว แล้วล้มลงกับพื้นโดยไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ
“อะไรกัน!”
ดวงตาหลี่ว์เว่ยแทบหลุดออกจากเบ้า เขาลำบากตรากตรำสังเวยมันอยู่หลายปี หล่อเลี้ยงศพเลือดที่ทรงพลังยิ่งกว่าลมฟ้าอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะถูกอีกฝ่ายกำจัดได้อย่างง่ายดาย
ความตกตะลึง งุนงง และเหลือเชื่อเกิดขึ้นก่อนเป็นอย่างแรก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความกลัว ความวิตกกังวล จนหยดเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเขาพบกับยอดฝีมือตัวจริงเข้าแล้ว บางทีครู่ต่อไป เขาอาจจะกลายเป็นศพเหมือนกับศพเลือดตนนี้ก็เป็นได้
เฝิงซิ่วและหวังจวิ้นรอดพ้นจุดวิกฤติแล้ว พวกเขาทั้งประหลาดใจ ดีใจ และสับสน ทว่าในขณะที่หวังจวิ้นเต็มไปด้วยความดีใจเพราะเพิ่งรอดตายมาหมาดๆ แม่นางเฝิงแสนสวยกลับมองไปทางหลี่หลิงซู่ด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
แท้จริงแล้วเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ…
สวี่ชีอันกวักมือเรียกพลางหยิบปิ่นหยกขึ้นมา จ้องมองหนอนกู่บนปลายปิ่น ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ซือกู่เปลี่ยนไป ไม่หลงเหลือเค้าเดิม”
ขณะที่เขาพูด หลี่ว์เว่ยเปลี่ยนสีหน้าหลากหลายอารมณ์ ในที่สุดหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง จึงรีบหลบหนีออกจากวัดร้าง
‘ฟิ้ว!’
เสียงปิ่นหยกพุ่งแหวกอากาศออกไป แทงหน้าอกของบัณฑิตหลี่ว์เว่ย ทำให้เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมา จากนั้นเขาก็ล้มลงกับพื้น
เมื่อเห็นหลี่ว์เว่ยถูกสังหารอย่างง่ายดายราวกับคนไร้ประโยชน์ เฝิงซิ่วและหวังจวิ้นสูดลมหายใจลึก ระงับอารมณ์ซับซ้อนที่กำลังพลุ่งพล่านในใจ แล้วพูดด้วยความเคารพ
“ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองที่ช่วยชีวิต”
สวี่ชีอันโยนฟืนเข้าไปในกองไฟแล้วถอนหายใจ “เซียงโจวตกอยู่ในความยุ่งเหยิงขนาดนี้เลยหรือ?”
เฝิงซิ่วเม้มริมฝีปาก “ตอนที่ข้ายังอยู่ในสำนัก ได้ยินเพียงว่าไฉเสียนก่อความวุ่นวายในเซียงโจวและอำเภออื่นๆ จนเกิดความไม่สงบ ตอนนี้ดูเหมือนว่าการฆาตกรรมบางส่วนเกิดจากคนชั่วร้ายอย่างหลี่ว์เว่ย ที่ฉวยโอกาสในช่วงชุลมุนทำเรื่องชั่วช้า
“พี่หวังกับข้าหลงเชื่อคนผิด หากวันนี้ผู้อาวุโสทั้งสองไม่อยู่ในวัด เกรงว่าคงไม่มีชีวิตรอด”
นางขอบคุณหลี่หลิงซู่อีกครั้งที่ช่วยชีวิตนาง แต่ดวงตาทั้งสองข้างของนางจดจ่ออยู่ที่หลี่หลิงซู่เป็นส่วนใหญ่ คิดว่าชายรูปงามผู้นี้เป็นแกนนำหลักของขบวน
หลี่หลิงซู่พยักหน้าเล็กน้อย “จัดการศพเลือดให้เรียบร้อย แล้วพักผ่อนกันต่อเถิด ค่อยออกเดินทางต่อวันพรุ่งนี้”
มู่หนานจือเฝ้าดูหวังจวิ้นลากศพเลือดออกไป พลางหันมองสวี่ชีอันด้วยความกลัวจนตัวสั่น
“เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าในโลงศพมีผี?”
สวี่ชีอันส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้ แต่การที่มีโลงศพอยู่ในวัดร้างย่อมเป็นเรื่องแปลกอย่างแน่นอน ที่แห่งนี้มักจะมีคนมาพักค้างแรม โต๊ะทั้งหมดถูกเผาเป็นฟืน แต่โลงศพกลับไม่เสียหาย ข้อบกพร่องมากมายเช่นนี้ มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้ว”
กระทั่งต่อมา บัณฑิตผู้นั้นแอบโยนบุหรี่ลงในกองไฟ จึงไม่อาจปิดบังผู้เชี่ยวชาญด้านพิษอย่างเขาได้เลย
มู่หนานจือส่งเสียงหึ แล้วนอนลงกอดไป๋จี หันหลังให้สวี่ชีอัน ส่วนเว้าโค้งกับบั้นท้ายของนางนั้นน่าดึงดูดใจยิ่งนัก
“อึด อึดอัด ไม่ต้องมานอนกอดข้าเลย…”
จิ้งจอกขาวตัวน้อยพยายามดิ้นรน
สวี่ชีอันนอนลงข้างๆ พร้อมกอดเอวบางของมู่หนานจือไว้
ร่างอรชรแข็งทื่อไปชั่วขณะ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่ได้ขัดขืนหรือต่อว่าอะไร
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น
มู่หนานจือตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนนอนขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน เมื่อคืนนางรู้สึกหวาดกลัวมากจนเผลอขยับตัวอยู่ติดกับเขา เพียงเพื่อให้รู้สึกปลอดภัย
ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ เหมือนเด็กสาวที่ยังไม่เคยออกจากจวน แต่พยายามแสร้งเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็ตื่นขึ้น สวี่ชีอันต้มน้ำร้อน นึ่งหมั่นโถวเย็นๆ ให้ทุกคนคนละชามเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ใช้น้ำต้มสุกที่เหลือล้างหน้าแปรงฟัน
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเดินทางต่อไปด้วยกัน ระหว่างทางสวี่ชีอันถามขึ้น
“เซียงโจวมีของอร่อยอะไรบ้าง?”
หลี่หลิงซู่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เนื้อแดดเดียวก็ไม่เลว เข้าเมืองเมื่อไหร่ข้าจะพาผู้อาวุโสไปลิ้มลอง”
สวี่ชีอันมองไปทางมู่หนานจือ เห็นนางมีท่าทีกระตือรือร้น จึงยิ้มและพูดว่า “ดี”
เฝิงซิ่วและหวังจวิ้นเดินตามหลังไปอย่างระมัดระวัง พวกเขาไม่กล้าปริปากพูด ได้แต่มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ เมื่อได้ยินหลี่หลิงซู่พูดกับชายชุดน้ำเงินด้วยความเคารพ
เขาเรียกคนผู้นั้นว่าผู้อาวุโส อีกทั้งท่าทีของเขายังค่อนข้างอ่อนน้อม ดวงตากลมโตของเฝิงซิ่วเบิกกว้างเล็กน้อย หรือว่านางอาจเดาผิด ชายชุดน้ำเงินผู้นี้คือผู้นำหลักอย่างนั้นหรือ
ก่อนเที่ยง กลุ่มผู้สัญจรก็มาถึงเมืองเซียงโจว กำแพงเมืองสูงสามฉื่อ คนเดินเท้าเบาบาง เสื้อผ้าที่สวมใส่ธรรมดา ไม่ค่อยเห็นคนสวมเสื้อผ้าหรูหรา
เซียงโจวไม่ได้ร่ำรวย ไม่ถึงกับมั่งคั่งเท่าเหลยโจวซึ่งอยู่ติดชายแดน
หลังจากเข้ามาในเมือง เฝิงซิ่วและหวังจวิ้นก็อำลาแล้วแยกตัวไป
หลี่หลิงซู่เดินนำทาง โดยสวี่ชีอันจูงแม่ม้าน้อย เสียงกีบเท้ากระทบดัง “กับๆๆ…” อยู่ด้านหลัง หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็หยุดอยู่ด้านนอกจวนหลังโต
แผ่นโลหะ ‘จวนสกุลไฉ’ แขวนอยู่บนบานประตูสีแดง
คนดูแลที่ยังดูหนุ่มแน่นเข้ามาต้อนรับ ประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “พวกท่านมาจากสำนักไหนหรือ”
หลี่หลิงซู่ตอบกลับ “ไม่มีสำนัก”
“มีเทียบเชิญหรือไม่?”
“ไม่มี” หลี่หลิงซู่ส่ายศีรษะ
คนดูแลขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ได้ยินชายหนุ่มรูปงามเอ่ยขึ้นเสียก่อนว่า
“ข้ากับไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นสหายเก่ากัน หากเจ้าเข้าไปรายงาน จงบอกว่าหลี่หลิงซู่ขอพบ”
……………………………………….