ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 538 ผู้ชายสารเลวที่ตนเองเลี้ยงไว้
บทที่ 538 ผู้ชายสารเลวที่ตนเองเลี้ยงไว้
ขาทั้งสี่ข้างของแมวมีเนื้อหนารองไว้ วิ่งไปบนพื้นเรียบ ไร้การส่งเสียง
แม้ยอดฝีมือที่หูตาไวจะตั้งใจฟัง ก็ไม่สามารถได้ยินการเคลื่อนไหวของแมวสีส้มที่กำลังวิ่งได้
แน่นอนว่า ถึงแม้จะได้ยิน แต่ก็ไม่มีใครสนใจแมวป่าตัวหนึ่ง
สวี่ชีอันพักอยู่ที่จวนสกุลไฉได้เพียงครึ่งวัน สำหรับที่อยู่ของไฉซิ่งเอ๋อร์ ก็ทราบเพียงแค่ทิศทางคร่าวๆ เท่านั้น
แมวส้มวิ่งๆ เดินๆ อยู่ในลานอย่าง ‘ไร้จุดหมาย’ ไม่นาน ในที่สุดก็มาถึงห้องนอนของไฉซิ่งเอ๋อร์ นั่นก็คือเรือนสี่ประสานขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ภายในเรือนปีกตะวันตกและตะวันออกมีแสงเทียนริบหรี่อยู่
เแมวส้มเดินใต้ชายคาอย่างช้าๆ จนมาถึงข้างประตู จึงเงี่ยหูฟัง
“คุณชายหลี่ เจ้าบอกความจริงกับข้ามา ที่เจ้ากลับมาเซียงโจว เป็นเพราะข้าจริงๆ หรือ?”
แสงเทียนที่ส่องสว่างภายในห้อง เสียงที่เย็นยะเยือกแต่ไพเราะของไฉซิ่งเอ๋อร์ ลอดออกมาจากซอกประตู
“แน่นอน!”
หลี่หลิงซู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและลึกซึ้ง “ข้าเคยบอกแล้ว หากมีคนที่ห่วงใยจะจากไปไหนไม่ได้ไกล แม้จะอยู่สุดขอบฟ้าสิ้นมหาสมุทร ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งจะต้องกลับมาหาคนที่รัก”
“เช่นนั้นเจ้าก็สัญญาสิ ว่าวันข้างหน้าจะไม่จากข้าไป”
“ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าก็ทราบว่าข้าเป็นหนุ่มเสเพลคนหนึ่ง…”
น้ำเสียงของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไป “แต่หากเจ้ายินดีจะเดินไปพร้อมกับข้า ข้าสัญญาว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนอย่างเด็ดขาด”
โกหก!
แมวส้มบ่นในใจ ผู้ชายสารเลวคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เห็นความสำคัญของอีกฝ่าย จึงตั้งใจขอให้นางละทิ้งตระกูลไฉและเดินทางไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวกับเขา
มันมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ด้านใน ความสูงของแมวก็ไม่เพียงพอจะปีนไปยังหน้าต่าง และไม่สามารถเจาะรูเพื่อแอบดูได้ อีกอย่าง แมวตัวหนึ่งแอบนอนดูอยู่ข้างหน้าต่าง ภาพนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
แม้แต่คนโง่ก็มองออกว่าไม่ปกติ
ดังนั้นแมวส้มจึงนอนอย่างสง่างามอยู่ตรงปากประตู เอียงหูและแอบฟังต่อไป
ไฉซิ่งเอ๋อร์ถอนหายใจ “คุณชายหลี่ ตระกูลไฉเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะไปกับท่านได้อย่างไร?”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนของหลี่หลิงซู่ดังขึ้น “ข้าสามารถรอเจ้าอยู่ที่นี่ได้ รอให้เรื่องของตระกูลไฉจัดการได้แล้ว พวกเราค่อยออกท่องยุทธภพด้วยกัน”
ภายในห้องเงียบอยู่พักหนึ่ง ไฉซิ่งเอ๋อร์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“คุณชายหลี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยินดีท่องยุทธภพไปกับเจ้า เพียงแค่โลกใบนี้มีสถานที่ซึ่งสามารถสุขสงบสบายใจได้ เช่นนั้นจะพาตัวเองลำบากไปทำไมกัน แม้ตระกูลไฉจะประสบกับหายนะใหญ่เช่นนี้ แต่สำหรับพวกเราแล้ว ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
น้ำเสียงของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ของข้ามีบุตรชายเพียงแค่สามคน บุตรคนโตเสียตั้งแต่วัยเยาว์ บุตรคนรองธรรมดาไม่มีความสามารถ บุตรคนเล็กเสียคน รู้จักแต่การดื่มด่ำกับความสุข บัดนี้ไฉเสียนคนเนรคุณทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ ฐานะผู้นำตระกูลไฉ วันข้างหน้ามีเพียงข้าแล้ว”
ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณชายหลี่ ข้อบกพร่องเพียงข้อเดียวของข้า คือไม่มีทายาท เจ้าอยู่ที่เซียงโจวดีหรือไม่ บุตรชายในอนาคตของพวกเราจะได้กลายเป็นผู้นำตระกูลไฉคนต่อไป”
หลี่หลิงซู่ไม่ได้ตอบกลับ นิ่งเงียบเป็นเวลานาน พลางกล่าวอย่างช้าๆ
“ซิ่งเอ๋อร์ เจ้าบอกข้ามา เรื่องของไฉเสียน ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าจริงหรือ?”
“เจ้าไม่เชื่อข้า?” ไฉซิ่งเอ๋อร์เปลี่ยนน้ำเสียง
“ตัวข้าเชื่อเจ้า เพียงแต่คดีนี้ค่อนข้างแปลก และตอนนั้นข้าไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย…”
หลี่หลิงซู่กล่าวยังไม่ทันจบ ก็ถูกไฉซิ่งเอ๋อร์ขัดจังหวะ พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเหนื่อยแล้ว”
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ กล่าวขึ้นทันที “เจ้าพักผ่อนเถอะ ข้าขอตัวกลับห้องก่อน”
ไม่กี่วินาทีต่อมา แมวส้มที่อยู่ด้านนอกก็ได้ยินเสียงล้มกับพื้นดัง ‘ตุบ’ ราวกับมีคนหกล้ม ทันใดนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยประหลาดใจและตะลึงงันของเทพบุตรก็ดังลอดขึ้นมา
แมวส้มสวี่ชีอันหัวใจกระตุกวูบ เมื่อรู้ว่าเขาโดนพิษแล้ว
เหตุใดไฉซิ่งเอ๋อร์ต้องวางยาพิษเทพบุตร? ร่างกายของข้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม ไม่สามารถเรียกคนให้มาช่วยได้ จริงสิ ไปหาสำนักพุทธและภิกษุ ขับเสือเพื่อไปฆ่าหมาป่า…
ขณะที่สมองว่างเปล่า เขาก็ได้ยินไฉซิ่งเอ๋อร์ถอนหายใจแผ่วเบา
“คุณชายหลี่ เจ้าเปลี่ยนไป หากเป็นเจ้าเมื่อก่อนคงกอดข้าไว้แน่นและปลอบโยนข้าโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด แต่ตอนนี้เจ้าคิดแต่จะจากไป เจ้าลืมสัญญาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลายในตอนแรกแล้วหรือ เจ้าลืมว่าเพื่อทำให้ข้ามีความสุขจึงบุกเข้าไปในหุบเขาเชียนเจวี๋ย โดยไม่คำนึงถึงอันตรายต่อชีวิตแล้วหรือ?
“อะไรกันที่ทำให้เจ้าเปลี่ยนใจ?”
ไม่ แม่นาง เขาไม่ได้เปลี่ยนใจ เขาเพียงแค่ไตพร่อง…สวี่ชีอันแสดงความคิดเห็น เพื่อตอบคำถามของไฉซิ่งเอ๋อร์อยู่ในใจ
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลี่หลิงซู่สงบลง น้ำเสียงดูคงที่ เพียงแต่มีความจนใจอยู่เล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าเทพบุตรไม่ถึงกับตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก สวี่ชีอันจึงตั้งใจจะรอดูอีกสักพัก ถึงอย่างไรผลที่ตามมาของการดึงดูดภิกษุแดนประจิมนั้นยิ่งใหญ่นัก เพราะอาจจะเปิดเผยตัวตนของหลี่หลิงซู่ และการเปิดเผยตัวตนของเขา ที่สำคัญคือ ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่าเทพอารักษ์ตู้หนานอยู่ที่ใด
ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวเสียงนุ่ม “แน่นอนว่าข้าอยากให้กำเนิดบุตรกับเจ้า สวรรค์ส่งมอบเจ้ามาให้ข้าในเวลานี้ และวางแผนได้อย่างเหมาะสม ข้าชื่นชอบยิ่งนัก”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าต้องใช้พิษ?”
“เพราะว่าก่อนอื่น ข้าจะถามเจ้าสามคำถาม หากเจ้าโกหก หรือไม่ตอบ ข้าก็จะตัดรากชีวิตของเจ้าเสีย”
ระหว่างที่กล่าว สวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงกรรไกรงับเข้าออก รวมทั้งเสียงที่สั่นคลอนของหลี่หลิงซู่ “คำถามอะไร?”
พระเจ้า นี่มันหึงโหดชัดๆ…แมวส้มสวี่ชีอันแยกเขี้ยว หุบขาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเมื่อก้มดูจึงพบว่าร่างแมวตัวนี้เป็นแค่แม่แมวตัวน้อยเท่านั้น
จากนั้นเขาก็รอดูต่อไป
“เจ้าเคยรักข้าบ้างหรือไม่?” ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวเสียงนุ่ม
“แน่นอน หัวใจของข้าที่มีต่อเจ้า ฟ้าดินเป็นพยาน หากมีความเท็จแม้เพียงครึ่งเดียว ขออย่าให้ข้าได้เกิดใหม่” หลี่หลิงซู่กล่าวเสียงดัง
“แม้ข้าจะหลงใหลซิ่งเอ๋อร์ แต่เจ้าจะทราบได้อย่างไรว่าข้ากล่าวความจริง?” หลี่หลิงซู่ฝืนยิ้ม
“คุณชายหลี่ เจ้าไม่ต้องหยั่งเชิง บอกความจริงกับเจ้าแล้วกัน เมื่อครู่ข้าใส่ซินกู่ลงไปในสุราที่เจ้าเพิ่งดื่ม วันนั้นเจ้าไปไม่กล่าวลา ข้าเสียใจอย่างที่สุด จึงไปที่ซินเจียงตอนใต้ และขอซินกู่จากฝ่ายซินกู่ด้วยตนเอง
“หากเจ้ารักข้าจริง ซินกู่ก็จะไม่แว้งกัด แต่หากผลกลับกัน จะทำให้เจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป นอกจากนี้ มารดากู่อยู่ในตัวของข้า คำถามที่ข้าถาม เจ้าไม่สามารถโกหกได้ทั้งนั้น”
‘ข้า เวลาตกฟากของข้าไม่เป็นมิตรกันกับซินกู่หรือนี่…’ หลี่หลิงซู่หน้าซีดเผือด
ไฉซิ่งเอ๋อร์กล่าวอย่างราบเรียบ “คำถามที่สอง เจ้าเคยรักหญิงอื่นหรือไม่?”
โอ้โฮ! เทพบุตรรักษาความลับไว้ไม่อยู่แล้ว…หน้าแมวของสวี่ชีอันไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มได้
ถึงอย่างไรเพียงแค่เทพบุตรไม่ตกอยู่ในอันตราย ปัญหาอื่นๆ ก็ไม่ใหญ่เท่าใดนัก สำหรับผู้ชายสารเลวคนหนึ่ง ไก่บินไปไข่ก็ตก ถือเป็นวิธีลงโทษที่ดีที่สุดแล้ว
หลี่หลิงซู่ไม่ได้ตอบนาง
ไฉซิ่งเอ๋อร์หรี่ตา นั่งยองอยู่ข้างๆ เขา กล่าวเสียงแผ่ว “คุณชายหลี่ เหตุใดจึงไม่ตอบข้า?”
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ
“ข้าเพียงแค่รู้สึกเสียใจ ตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก ทันทีที่ข้าเห็นเจ้า ข้าก็แอบสัญญาอยู่ในใจ ว่าเจ้าเป็นหญิงที่ข้าจะปกป้องและรักในอนาคต ข้ากระทำตามความตั้งใจจากหัวใจ กลับไม่ได้สืบหาเหตุผล
“ตอนนี้ข้าถึงรู้ว่า ที่แท้สิ่งที่เจ้าขาดคือความรู้สึกปลอดภัย ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงอยากปกป้องเจ้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดในตอนนั้น นึกถึงตอนนั้นที่ข้าไปโดยไม่ได้บอกลา มันคงกระทบจิตใจเจ้ามากกระมัง เฮ้อ ทุกอย่างต่างเป็นความผิดของข้าเอง นอกจากเจ้าแล้ว หญิงสาวที่ข้าเคยมองก็มีเพียงมารดาของข้า
“ซิ่งเอ๋อร์ ข้าดีใจมากที่ได้กลับมาในเวลานี้ และเผชิญหน้ากับความยากลำบากของตระกูลไฉไปพร้อมกับเจ้า”
นอกจากมารดาเล่า เจ้ากล่าวให้ชัดเจนเสีย พ่อหนุ่ม คำตอบที่กึ่งจริงกึ่งเท็จปะปนอยู่ในเรื่องราวความรักมากมาย คิดว่าเช่นนี้ก็จะสามารถปิดบังผู้อื่นได้งั้นรึ แมวส้มโกรธเกรี้ยว
‘เคร้ง!’
กรรไกรตกไปบนพื้น ตามด้วยเสียงร้องไห้ด้วยความดีใจของไฉซิ่งเอ๋อร์ “คุณชายหลี่ คุณชายหลี่…”
…
แมวส้มรออยู่ที่นอกประตูหนึ่งเค่อ เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวหายใจหอบและเสียงเตียงสั่น ก็ทราบแล้วว่าเทพบุตรเริ่มโดนบังคับทำให้เสร็จทั้งที่ไม่เต็มใจแล้ว เขาถึงจากไป
หญิงสาวที่หึงโหดนี่ไม่ดีเลย มิฉะนั้นวันนี้ของพี่เฉิงจะเป็นวันพรุ่งนี้ของเจ้ารึ…ความสงสัยของไฉซิ่งเอ๋อร์นั้นน่ากลัวมาก เมื่อพิจารณาตามแรงจูงใจแล้ว นางคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดจริงๆ ด้วย…
ขณะตามหาที่อยู่ของภิกษุสำนักพุทธไปด้วย คิดไปด้วย ไม่นาน เขาก็หาจวนที่เป็นที่อยู่ของเหล่าภิกษุเจอ
ภิกษุพักผ่อนเป็นเวลา ภายในจวนนอกจากห้องด้านตะวันตกที่ยังสว่างอยู่ ห้องอื่นๆ ต่างก็มืดหมดแล้ว
แมวส้มเดินเข้าไปในจวนอย่างไร้สุ้มเสียง กระทั่งได้กลิ่นหอมของเนื้อ
ประตูห้องปีกตะวันตกที่เปิดแง้มไว้ ภิกษุร่างกายกำยำหลายคนนั่งอยู่ข้างเตาไฟ บนเตามีหม้อใบใหญ่วางอยู่ มีไอน้ำพวยพุ่งขึ้นจากหม้อ และมีกลิ่นของเนื้อสัตว์โชยออกมา
จอมยุทธ์ภิกษุและฉานซือแตกต่างกัน จอมยุทธ์ภิกษุไม่ต้องรักษากฎเกณฑ์ตายตัว เมื่อเหล้าสุราผ่านลำไส้แล้ว ก็จะเก็บพระพุทธเจ้าไว้ในใจ
นอกจากนี้ จอมยุทธ์ภิกษุและจอมยุทธ์ทหารเหมือนกัน ต่างเดินในเส้นทางของการหลอมจิตและการแปรสภาพสิ่งต่างๆ โดยปราณ ปริมาณอาหารจึงค่อนข้างมาก
สวี่ชีอันเหลือบมองผ่านซอกประตู ไม่เห็นภิกษุจิ้งซินขั้นสี่และฉานซืออยู่ในห้อง ในใจค่อยสงบลงเล็กน้อย
“พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าเหตุใดอาจารย์ตู้หนานถึงออกไปกลางคัน?”
จอมยุทธ์ภิกษุท่านหนึ่งที่ปากเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน กวาดตามองเพื่อนร่วมสำนัก
“ไม่ทราบ!”
จอมยุทธ์ภิกษุท่านอื่นๆ ส่ายหน้า
เทพอารักษ์ตู้หนานไม่อยู่? แมวส้มดีใจอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็คิดโดยสัญชาตญาณ มีเรื่องอะไรที่สำคัญไปกว่าการตามล่าเจดีย์พุทธะกลับมากัน ไม่รู้หรือว่าแขนข้างที่ขาดของเสินซูถูกขังอยู่ด้านใน
“ความจริงข้ารู้สึกว่าท่านอาจารย์จิ้งซินชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมากเกินไป พวกเราจะต้องรีบไปถึงยงโจว จะได้สามารถตามสืบข้อมูลโดยเร็วและซุ่มโจมตีคนผู้นั้น หากบีบเวลาไปเสียหน่อย ก็ถือเป็นการพลาดโอกาสไปแล้ว”
จอมยุทธ์ภิกษุที่กล่าวเมื่อครู่ส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรๆ คนคนนั้นไม่รู้ว่าพวกเราทราบตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว อีกอย่าง ครั้งนี้นอกจากเทพอารักษ์ตู้หนาน ยังมีพระอรหันต์ตู้ฉิงและเทพอารักษ์ตู้ฝาน คาดว่าจะนำกลุ่มเพื่อนสำนักไปช่วย แม้คนคนนั้นจะมีปีก ก็ไม่มีวันหนีไปไหนได้”
จอมยุทธ์ภิกษุท่านหนึ่งดื่มน้ำแกงเนื้อ พลางซดเสียงดังครั้งหนึ่ง
‘คนคนนั้น’ เป็นใคร พระอรหันต์ตู้ฉิงและเทพอารักษ์ตู้ฝานถึงเคลื่อนพลภิกษุสำนักพุทธพร้อมกัน…สวี่ชีอันรู้สึกโหวงๆ ในใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็คาดเดาได้ว่า สำนักพุทธกำลังพุ่งเป้ามาที่ข้า
ชวนให้นึกถึงเบาะแสที่ตนเองเปิดเผยเมื่ออยู่ที่เหลยโจว แม้สำนักพุทธจะคาดเดาตัวตนของเขาได้อย่างคาดไม่ถึง แต่กลับอยู่ในความสมเหตุสมผล
เคลื่อนพลพระอรหันต์หนึ่งท่าน และเทพอารักษ์สองท่านเชียวหรือ ฟู่ สำนักพุทธช่างให้ความสำคัญกับข้าเสียจริง ที่โชคดีก็คือ ท่านโหราจารย์ทำให้พระโพธิสัตว์หลิวหลีจากไปได้คนหนึ่ง มิฉะนั้น ตัวข้าคิดจะหนีก็ไร้ประโยชน์ พระโพธิสัตว์หญิงที่ควบคุมร่างธรรมของผู้บำเพ็ญ ความเร็วเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า แมวส้มทั้งชื่นชมและรู้สึกหนักอึ้ง
จอมยุทธ์ภิกษุอีกท่านหนึ่งกล่าวขึ้นอีกว่า “ข้ารู้สึกว่าท่านอาจารย์จิ้งซินมีแผนการของเขาเอง พวกเจ้าอย่าลืม ไม่กี่วันที่ผ่านมา หากไม่ใช่เพราะเขาแทรกแซงเข้าไปร่วมมือกับเรื่องของภัยพิบัติโจรภูเขาในชนบทและตัวเมือง พวกเราก็คงไม่พบกับหัวหน้าโจรที่ได้รับปราณมังกรท่านนั้น
“จริง บัดนี้เขาวางมีดเขียงลง กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี และยึดสำนักพุทธของพวกเราเป็นที่พึ่งแล้ว…ใครอยู่ตรงนั้น?”
ทันใดนั้นจอมยุทธ์ภิกษุก็กล่าวขึ้นมา
เวลานี้เอง ประตูใหญ่ที่แง้มไว้ก็เปิดออกอย่างสมบูรณ์ แมวส้มที่ดวงตาสีอำพันสว่างยืนอยู่ข้างธรณีประตู
“เมี้ยว…”
แมวส้มส่งเสียงเรียกด้วยเสียงเบา รูม่านตาสีอำพัน จ้องไปที่หม้ออย่างเงียบๆ
ที่แท้เป็นแมวที่ถูกกลิ่นเนื้อดึงดูดมา!
จอมยุทธ์ภิกษุที่เห็นมันแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน คีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางไว้ที่ธรณีประตู
บัดซบ เอาเนื้อไม่ติดมันมาไม่ได้หรือ…แมวส้มคาบเนื้อขึ้นมาอย่างไม่เต็มใจ ภายใต้การขับไล่ของเหล่าจอมยุทธ์ภิกษุ จึงรีบเผ่นหนี
เมื่อออกมาจากจวนแล้ว เดินไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นมันก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากความมืด เป็นบุรุษร่างกำยำที่มีใบหน้าไร้อารมณ์
เดิมแมวส้มคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนของจวนสกุลไฉ จึงไม่ได้สนใจ เมื่อเดินมาไกลแล้ว ทันใดนั้นแมวก็ตัวแข็งทื่อ สีหน้าของคนคนนี้ไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่หัวใจไม่เต้น ไม่หายใจ ราวกับซากศพที่เดินได้…
นี่คือซากศพร่างหนึ่ง!
แม้ตระกูลไฉจะโด่งดังด้านการควบคุมซากศพ แต่คงไม่มีใครคิดควบคุมซากศพให้เดินเพ่นพ่านตอนกลางดึกหรอกกระมัง…
ขณะเดียวกันในช่วงที่สมองโล่ง มันเห็นซากศพเดินเฉียดผ่านตนเอง เดินรอบลานว่างที่เหล่าภิกษุอาศัยอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปยังลาน
ตามเข้าไปดูเสียหน่อย…แมวส้มติดตามไปข้างหลังด้วยฝีเท้าแผ่วเบา ประมาณหนึ่งเค่อ ซากศพร่างนั่นก็หยุดอยู่ในลานเปลี่ยวที่ไหนสักแห่ง
‘เขา’ หยุดอยู่ที่นอกลานอยู่สักพัก จากนั้นก็เด้งตัวที่แข็งกระด้าง ข้ามกำแพงจวนที่สูงสองเมตรกว่า แล้วเข้าไปในลาน
“ใครกัน?!”
เสียงกรีดร้องภายในจวนดังลอดออกมา
ต่อมา ก็มีเสียงต่อสู้ ตามมาด้วยเสียงครวญคราง เสียงล้มลงไปกับพื้น และทุกอย่างก็สงบลง
แมวส้มรออยู่ข้างนอกอีกสักพัก จากนั้นพุ่งออกมาจากรู เดินอยู่บนกำแพงเหมือนเดินบนที่ราบ หลังจากนั้นก็ลงจากสันกำแพง และเดินเข้าไปในลานบ้าน
ทั้งหมดคือความสามารถของแมวส้มเอง ซินกู่สามารถควบคุมเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาต่ำ แต่มอบความสามารถให้ไม่ได้
ยังดีที่ข้าควบคุมเพียงแมวตัวหนึ่งเท่านั้น หากเป็นสุนัข ไม่แน่อาจจะเข้าไปอยู่ในท้องของกลุ่มภิกษุแล้ว…เขานึกตำหนิอยู่ในใจ ดวงตาสีอำพันสอดส่องไปทั่วลาน
มีร่างสองร่างล้ม นอนไม่ได้สติอยู่ในลาน
ประตูของห้องหลักเปิดแง้มออก ทั้งมืดมิด และน่าขนลุก
แมวสีส้มเดินผ่านคนสองคนที่หมดสติไปอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งเข้าไปในห้องมืด ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย บริเวณใกล้หน้าต่างมีหลุมดำยื่นลึกลงไปใต้ดิน
ฝาปิดหินถูกยกขึ้นสูง ปากหลุมนี้เพิ่งถูกคนเปิดออก
แมวส้มไม่มีความลังเลแต่อย่างใด ก้าวตามลงไปในหลุม
มีการสร้างขั้นบันไดที่ทางเข้าถ้ำซึ่งยื่นไปทางใต้ดิน แสงสว่างที่รำไรพุ่งขึ้นมา นั่นก็คือแสงที่แผ่กระจายของตะเกียงน้ำมัน
จากแสงที่รำไร แมวส้มเดินอยู่ตรงขั้นบันไดอย่างไร้สุ้มเสียง ไม่กี่นาทีต่อมา ก็มาถึงจุดสิ้นสุดของขั้นบันได
ลมหายใจที่เหม็นเน่าพุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า ตามมาด้วยกลิ่นที่ทำให้เคืองตา
แมวส้มเกือบล้มหมดสติ เพราะประสิทธิภาพการดมกลิ่นของแมวมากกว่ามนุษย์หลายสิบเท่า
กลิ่นช่างฉุนเกินไปแล้ว…แมวส้มเดินโซเซไปมา ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะฟื้นตัว
เป็นกลิ่นของซากศพ!
ห้องใต้ดินนี้มีแต่กลิ่นเหม็นของซากศพ
เขาพบว่าห้องใต้ดินมีขนาดใหญ่มาก ขยายไปทุกทิศ และยิ่งเหมือนกับเขาวงกตใต้ดินขนาดจิ๋วแห่งหนึ่ง
เดินอย่างเงียบๆ ไปสักพัก ทางเดินเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ทางเดินสองฝั่ง มีซากศพยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง มีทั้งชายหญิง เด็กและคนชรา มีทั้งสวมผ้าห่อศพ สวมกระโปรงยาว และสวมชุดขงจื๊อ
พวกเขาหลับตา ใบหน้าซีดเผือด แต่กลับเหมือนจะลืมตาขึ้นมาได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้ ที่พื้นมีผ้าคลุมศีรษะตกอยู่เต็มไปหมด สามารถจินตนาการได้ว่าผ้าคลุมศีรษะเหล่านี้เดิมทีคลุมอยู่บนศีรษะของซากศพ แต่ถูกคนดึงลงมา
…
ในโรงเตี๊ยม มู่หนานจือที่อ่านหนังสืออ่านเล่นจบแล้ว บิดขี้เกียจ เตรียมตัวมุดเข้าผ้าห่มเพื่อเข้านอน
แต่ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่กระชั้นกว่าปกติดังมาจากบนเตียงเล็กที่อยู่ใกล้กัน สวี่ชีอันนอนหันข้าง ปิดเปลือกตา หอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“เป็นอะไรไป?”
มู่หนานจือตกตะลึง รู้สึกเป็นห่วงเขามาก
สวี่ชีอันไม่ได้ลืมตา พลางตอบกลับเหมือนละเมอก็มิปาน “สะ สวรรค์บนดิน…”
……………………………………………