ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 540 ผู้ต้องสงสัย
บทที่ 540 ผู้ต้องสงสัย
ไฉเสียนไม่ได้ตอบในทันที เล่นสำบัดสำนวนว่า
“พ่อแม่เสียชีวิตตั้งแต่ข้ายังเด็ก ไม่มีที่พึ่ง เป็นขอทานหาเลี้ยงชีพอยู่ในเซียงโจว ต่อมาพ่อบุญธรรมรับข้าไปเลี้ยงดู เขาดีต่อข้ามาก กระทั่งให้ความสำคัญมากกว่าลูกชายตัวเองเสียอีก ดังนั้น พี่น้องทั้งสามคนจึงต่างรังเกียจรังงอนข้า เกลียดชังข้า”
“มีเพียงเสี่ยวหลานคนเดียวที่จริงใจต่อข้า ไม่เคยดูถูกข้าเนื่องจากอดีตของข้า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ไฉเสียนก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ราวกับย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ในวันที่อากาศร้อนระอุ ขอทานที่สกปรกและเหม็นไปทั้งตัวถูกนำตัวกลับไปที่จวนสกุลไฉ เด็กสาวที่ซ่อนอยู่หลังฉากกั้นยื่นศีรษะออกมา แอบพินิจพิเคราะห์อยู่เงียบๆ ทั้งสองสบตากัน เขาก้มหน้าลงด้วยรู้สึกดูถูกตัวเอง
รอยยิ้มของเด็กสาวนั้นสดใสงดงาม
ขณะที่ฟังไฉเสียนเล่าเรื่องราวในอดีต สวี่ชีอันก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง นึกถึงเว่ยเยวียน
ในตอนนั้นซ่างกวนฮองเฮาก็เหมือนกับแสงที่สุกสกาว ส่องสว่างเข้ามาในชีวิตที่ทุกข์โศกในวัยเยาว์ของเว่ยเยวียน
“วันนั้น หลังอาหารเย็น คนรับใช้ในจวนถ่ายทอดคำพูดว่า พ่อบุญธรรมต้องการพบข้า ข้ารู้ว่าเป็นเพราะเรื่องของเสี่ยวหลาน ก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องการแต่งงานของเสี่ยวหลานทำให้พวกเราโต้แย้งกันหลายครั้ง
“ข้ารักเสี่ยวหลาน ต้องการให้พ่อบุญธรรมยกนางให้แต่งงานกับข้า แต่พ่อบุญธรรมกลับรู้สึกว่า ข้าเป็นคนจวนสกุลไฉ ถูกกำหนดมาให้รับใช้จวนสกุลไฉ หากเสี่ยวหลานแต่งงานกับข้า ก็เพียงทำให้ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่การแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลหวงฝู่จะเป็นประโยชน์กับวงศ์ตระกูลมากยิ่งกว่า”
แมวส้มหัวเราะ ‘คิกคิก’ แล้วพูดว่า “ถูกต้องแล้ว”
แววตาของไฉเสียนหม่นหมองเล็กน้อย พูดต่อไปว่า
“หลังจากไล่คนรับใช้กลับไปแล้ว ข้าก็ไปพบพ่อบุญธรรม ระหว่างทางรู้สึกได้ว่าในห้องพ่อบุญธรรมมีการเคลื่อนไหวต่อสู้ จึงรีบไปดู…ข้าช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนไปถึง พ่อบุญธรรมถูกคนฆ่าตายในห้องแล้ว ส่วนฆาตกรนั้นไม่มีร่องรอย ข้าทั้งเสียใจและโกรธแค้นเป็นอย่างยิ่ง ในเวลานี้เอง ท่านอาก็ได้พาคนในตระกูลมาถึง
“นางและคนในตระกูลไม่พูดพร่ำทำเพลงต่างประณามว่าข้าเป็นคนฆ่าพ่อบุญธรรม และต้องการสะสางพรรค ข้าพยายามอธิบายทุกอย่าง พวกเขาก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่มีใครเชื่อข้าสักคน ด้วยความจนใจ ข้าจึงจำต้องเรียกศพเหล็กมา เข่นฆ่ากันตลอดทางออกมาจากจวนสกุลไฉ
“แม้ข้าจะไม่ได้เป็นคนฆ่าพ่อบุญธรรม แต่ในคืนนั้น มือทั้งสองข้างของข้ากลับเปื้อนเลือดของลูกหลานตระกูลไฉไปไม่น้อยจริงๆ หลังจากหนีออกจากเมืองเซียงโจวแล้ว ข้าก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ คนในครอบครัวนั้นเคยได้รับบุญคุณจากข้า ยอมเชื่อข้าตลอดมา ไม่ได้ตัดสินว่าข้าเป็นฆาตกรเพราะคำโจษจันของคนภายนอก”
แมวส้มพูดตัดบทว่า “เจ้าเป็นคนลักพาตัวเสี่ยวหลานไปใช่หรือไม่”
ไฉเสียนส่ายหน้า “หลังเกิดเรื่อง ข้าเป็นห่วงเสี่ยวหลาน เคยแอบกลับไปที่จวนสกุลไฉอย่างลับๆ แต่หานางไม่เจอ เมื่อบังคับถามคนรับใช้ในจวนสกุลไฉแล้ว จึงรู้ว่านางหายตัวไปตั้งแต่คืนที่พ่อบุญธรรมเสียชีวิตแล้ว ข้าสงสัยว่านางจะตกที่นั่งลำบาก”
แมวส้มคิดอะไรขึ้นมาได้ “คืนนี้ที่เจ้าแอบเข้าไปในห้องเก็บศพใต้ดิน เพื่อตามหาเสี่ยวหลาน?”
ไฉเสียนพยักหน้า ในดวงตามีแววดีใจ “ข้าหานางไม่เจอ”
แมวส้มถามอีกครั้งว่า “ในเขตจางโจว คนร้ายที่ก่อคดีฆาตกรรมฆ่าคนหลอมศพไปทั่วคือใคร?”
“ข้าไม่รู้”
ไฉเสียนหน้าเขียว ในน้ำเสียงและอารมณ์เต็มไปด้วยความแค้น
“มีคนปลอมตัวเป็นข้าฆ่าคนไปทั่ว ก่อคดีฆาตกรรม เพราะต้องการบีบให้ข้าอับจนหนทาง ไม่มีโอกาสได้กลับตัวอีก โดยเริ่มลงมือกับชาวยุทธ์ ต่อมาก็เป็นพรรคเล็กๆ จนถึงตอนนี้แม้กระทั่งชาวบ้านทั่วไปก็ไม่เว้น
“การชุมนุมมือสังหารมารครั้งนี้ ก็คือผลลัพธ์ที่พวกมันต้องการ”
แมวส้มถามหยั่งเชิงว่า “ทำไมเจ้าจึงไม่หนีไปเล่า?”
ไฉเสียนถามกลับว่า “ทำไมข้าต้องหนี พ่อบุญธรรมตายโดยไม่รู้สาเหตุ เสี่ยวหลานไม่รู้อยู่ที่ไหน ฆาตกรที่ใส่ความข้ายังตามตัวไม่พบ ยังคงก่อกรรมทำชั่วไปทั่ว ทำไมข้าต้องหนี?”
พี่ชาย นิสัยของเจ้ารุนแรงไปหน่อย…ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็นึกขึ้นมาได้ หากฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังและรู้นิสัยของไฉเสียนดี ถ้าเช่นนั้นจุดประสงค์ที่ทำทั้งหมดนี้ ก็เพื่อบีบให้เขาอยู่ต่อวางแผนได้ดีทีเดียว!
จู่ๆ ไฉเสียนก็ถอนหายใจ “ระยะนี้ ข้าออกไปตามหาฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังตลอด ไปตามหาที่ที่เกิดคดีฆาตกรรมบ่อยๆ แต่ที่จับได้ล้วนเป็นพวกคนชั่วที่ใช้ชื่อของข้าในการปล้นชิงทรัพย์สิน หรือหลอมศพทั้งนั้น”
แมวส้มพูดว่า “ในใจของเจ้า ย่อมต้องมีผู้ต้องสงสัยอยู่แล้วใช่หรือไม่”
ไฉเสียนมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ข้าสงสัยว่าท่านอากำลังใส่ความข้า”
ใบหน้าของแมวส้มแสดงอารมณ์เหมือนมนุษย์ ทำเสียงจึ๊ก แล้วพูดว่า “ลองพูดมา”
คำตอบที่แมวส้ม ได้รับคือความเงียบในเวลาสั้นๆ ต่อมาไฉเสียนจึงถอนหายใจแล้วพูดว่า
“นอกจากท่านอาแล้ว ยังจะมีใครอีก? พี่ใหญ่ตายตั้งแต่อายุยังน้อย พี่รองและพี่สามก็ไม่ได้เรื่อง หากพ่อบุญธรรมตายไป คนที่สามารถคุกคามนางได้ก็มีเพียงเสี่ยวหลานและข้า เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้ผลหลายอย่างไม่ใช่หรือ?
“ก่อนคืนนี้ แม้ข้าจะสงสัยนางมาตลอด แต่ก็ไม่มั่นใจและไม่มีหลักฐาน ทว่าคืนนี้ ข้าแอบเข้าไปในจวนสกุลไฉ ได้ยินนางกำลังมีความสุขกับคนเสเพลบนเตียงกับหูตัวเอง
“ท่านอาเปลี่ยนไป เมื่อก่อนนางไม่เคยทำตัวเสเพลเช่นนี้อย่างเด็ดขาด ความทะยานอยากทำให้นางทำเรื่องผิดศีลธรรม”
อ้อ นี่มัน! ผู้ชายเสเพลคนนั้นเจ้าก็น่าจะรู้จัก เขาก็คือหลี่หลิงซู่ผู้ทรยศต่อความรักในตอนนั้นอย่างไรเล่า…แมวส้มแอบพึมพำในใจ
นอกจาก ‘คนเสเพล’ จุดนี้ที่ประเมินผิดพลาดแล้ว การตัดสินของไฉเสียน ส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับการคาดเดาของเขา
ในวิชาสืบสวนสอบสวนมีแนวคิดพื้นฐานอยู่ข้อหนึ่งคือ ในคดีอาญาคนไหนได้รับผลประโยชน์ คนนั้นก็คือผู้ต้องสงสัย
ในคดีของจวนสกุลไฉ ไฉซิ่งเอ๋อร์เรียกได้ว่าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นนางจึงมีแรงจูงใจในการก่อคดี แน่นอนว่า นี่ยังไม่ใช่การชี้ขาด ดังนั้นจึงเป็นเพียง ‘ผู้ต้องสงสัย’
แต่จากการเปลี่ยนแปลงของคดีในภายหลัง การก่อคดีฆาตกรรมหลายๆ ครั้งในเซียงโจว รวมทั้งจางโจวและที่อื่นๆ ไม่สอดคล้องกับรูปแบบการก่อคดีตามปกติ
ก่อนหน้านี้สวีชีอันก็ไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนถึงตอนนี้ที่ได้พบกับไฉเสียน และการหายตัวไปเช่นนี้ของเสี่ยวหลาน รวมถึงการใส่ร้ายในคดีฆาตกรรม ล้วนทำเพื่อรั้งไฉเสียนไว้?
ดังนั้นเรื่องนี้ยังต้องมีเงื่อนไขเบื้องต้น นั่นก็คือฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังรู้นิสัยของไฉเสียนดี คนที่ไม่คุ้นเคย ย่อมทำเช่นนี้ไม่ได้
“ขอบคุณที่บอกข้า เหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้าเข้าใจแล้ว หากเจ้าถูกคนใส่ความจริง ข้าจะลองสืบสวนให้กระจ่าง คืนความบริสุทธิ์ให้กับเจ้า
แต่เวลานี้ เจ้าต้องคืนปาณมังกรให้ข้าก่อน…เขาเพิ่งจะคิดเช่นนี้ ก็ได้ยินไฉเสียนพูดเสียงต่ำว่า
“ขอบคุณมาก เจ้าพูดกับข้ามากมายเช่นนี้ คงจะรอร่างเดิมมาใช่หรือไม่”
…ใบหน้าของแมวส้มบึ้งตึง แทบจะร้อง “เมี้ยว” ทำตัวน่ารักเพื่อให้ผ่านด่านนี้ไป
ไฉเสียนทอดถอนใจ “ขอโทษด้วย ข้าไม่ไว้ใจใครทั้งสิ้น หากเจ้าต้องการช่วยข้าจริงๆ ก็ย่อมได้ พวกเราถือเอาที่นี่เป็นสถานที่ติดต่อ มีอะไรคืบหน้า หรือมีธุระติดต่อกับข้า สามารถมอบจดหมายให้เอ้อร์ยาได้
‘เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าข้าจะเป็นคนดีหรือคนเลว ก็ไม่สามารถทำร้ายคนครอบครัวนี้ได้…’ แมวส้มพูดเสียงขรึม “ตกลง!” พูดจบ ไฉเสียนก็ดีดพลังปราณออกมา ซัดแมวส้มจนสลบไป
…
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อ ร่างเดิมของสวี่ชีอันก็รีบตามมา คล้ายผีในความมืด เงานั้นวูบวาบไปมา อยู่ในตรอกเล็กๆ
นอกจากแมวส้มที่สลบไสลไม่รู้สึกตัวแล้ว ในตรอกนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่เงาของคน
สวี่ชีอันกระโดดขึ้นไปบนหลังคาบ้านดินหลังหนึ่ง มองไปรอบๆ ไม่มีการสนองตอบต่อกลิ่นอายของปราณมังกร นี่แสดงว่าไฉเสียนอยู่ไกลจากที่นี่มากแล้ว
ระวังตัวมากเลยนะเนี่ย
เขาลอยตัวลงสู่พื้นอย่างเบาหวิว อุ้มแมวส้มขึ้นมา นวดหว่างคิ้ว แล้วเดินจากไปช้าๆ
ซินกู่ควบคุมสัตว์ แบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดหนึ่งเป็นแบบ ‘โน้มน้าว’ สามารถทำให้บรรดาสัตว์และแมลงรับใช้ตัวเอง อีกชนิดหนึ่งคือแบบ ‘ครอบงำ’ จิตเดิมจะฝังอยู่ในร่าง ใช้สัตว์เป็นตัวแทน
อธิบายง่ายๆ ‘โน้มน้าว’ เป็นวิธีแบบทั่วไป ส่วนการ ‘ครอบงำ’ เป็นการเจาะจงเท่านั้น อาจจะทำการโน้มน้าวสัตว์สองหรือสามตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและความอ่อนแอของจิตเดิม
เขาสามารถครอบงำให้แมวส้มวิ่งได้ไกลขนาดนี้ ล้วนอาศัยความทนทานของจิตเดิมขั้นสามทั้งสิ้น
นอกจากนี้ วิธีการควบคุมศพเดินได้ของซือกู่ ได้ผลดีเช่นเดียวกับการ ‘ครอบงำ’ ของซินกู่ แตกต่างกันที่ ซินกู่ต้องใช้แรงขับเคลื่อนจากจิตเดิมของตัวเอง ส่วนซือกู่นั้นจะฝังจื่อกู่ไว้ในศพ สิ้นเปลืองพลังงานไม่มาก
เขาวิ่งพร้อมกับกระโดดในเงามืด ในที่สุดก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยม
มู่หนานจือและสุนัขจิ้งจอกสีขาวหลับไปแล้ว ลำตัวท่อนบนของสุนัขจิ้งจอกสีขาวอยู่ใต้ผ้าห่ม ขาหลังสองข้างยื่นออกมานอกผ้าห่ม ขณะที่เงาของสวี่ชีอันกำลังกระโดดกลับห้อง ก็บังเอิญเห็นขาหลังสองข้างของมันถีบไปมาเหมือนชักกระตุก
สิบกว่าวินาทีผ่านไป ก็ถีบไปมาเหมือนชักกระตุกอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง สวี่ชีอันคาดว่ามันน่าจะขาดออกซิเจน จึงดึงหัวมันออกมาจากผ้าห่ม แล้วก็ดีขึ้นจริงๆ
…
วันรุ่งขึ้น!
เช้าตรู่ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ผู้หล่อเหลามีเสน่ห์ที่ สวมชุดคลุมนวมยาวสีฟ้า เท้าสวมรองเท้าหุ้มข้อลายสีเงิน เกล้ามวยปักปิ่นหยกได้มาถึงโรงเตี๊ยม
เขาก้าวเข้ามาในห้องโถง กวาดสายตามอง แล้วเพ่งไปที่โต๊ะริมหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
ที่โต๊ะมีชายหญิงหน้าตาธรรมดานั่งอยู่ที่โต๊ะ บนโต๊ะมีสุนัขจิ้งจอกสีขาวหมอบกินข้าวต้มอยู่ มันเงยหน้าขึ้นมองสวี่ชีอัน แล้วก็ก้มหน้ากินข้าวต้มทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง
“เจ้ามองข้าทำไม” สวี่ชีอันถามด้วยความสงสัย
ตั้งแต่ตื่นมาเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ก็มองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด ในดวงตาที่เหมือนเม็ดกระดุมสีดำ มีแววความเป็นศัตรูสามส่วน แววเกรงกลัวสามส่วน แววน้อยใจสามส่วน แววน่าสงสารหนึ่งส่วน…อืม สรุปก็คือความรู้สึกซับซ้อนเช่นนี้
สุนัขจิ้งจอกพูดเสียงอ่อนว่า
“เมื่อวานข้าฝันว่าเจ้าแก้แค้นข้า จะเค้นข้าให้ตาย ข้าร้องขอชีวิตแล้ว แต่เจ้าก็ไม่ยอมปล่อยข้าไป”
มันแสดงสีหน้าน้อยใจ
ไม่ใช่เพราะท่านอนแย่ๆ ของเจ้า ทำให้หัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มจนขาดออกซิเจนหรอกหรือ…สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก ย้อนถามว่า
“ทำไมเจ้าจึงฝันเช่นนี้? พูดให้ถูกก็คือ ทำไมข้าจะต้องแก้แค้นเจ้า เป็นเพราะเมื่อคืนเจ้าทำความผิด จึงเกิดอาการกินปูนร้อนท้องต่างหาก”
สุนัขจิ้งจอกยังเด็กเกินไปจึงเถียงไม่ออก ได้แต่สะอึกสะอื้น
หลี่หลิงซู่รีบเดินเข้าไปใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วนั่งลงที่โต๊ะ นวดเอวไปพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า
“เจ้าตัวเล็กนี่ทำความผิดอะไรเมื่อคืนนี้?”
มู่หนานจือพูดอย่างเย็นชาว่า “มันจะทำความผิดอะไรได้? ไม่เหมือนผู้ชายบางคน เจ้าชู้ประตูดินก็แล้วไป ไม่แบ่งแยกคนหรือปีศาจก็แล้วไป บางครั้งนะ แม้แต่คนตายหรือคนเป็นก็ไม่เกี่ยงอีกด้วย”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่บึ้งตึงขึ้นมาทันที
“ฮูหยินพูดเช่นนี้…” หลี่หลิงซู่ยิ้มแหยๆ แล้วพูดว่า “ปีศาจก็มีปีศาจที่ดี ไม่ควรแบ่งความดีความชั่วจากเผ่าพันธุ์ อีกอย่าง คำว่าคนตายหรือคนเป็นก็ไม่เกี่ยงหมายความว่าอย่างไร?
งึมงำงึมงำ!
เจ้าหมอนี่กินปูนร้อนท้องแล้ว เขารักใคร่กับปีศาจด้วยหรือ? สวี่ชีอันเคาะโต๊ะสองสามครั้งแล้วพูดว่า “เจ้ามีธุระอะไร?”
หลี่หลิงซู่รีบลดเสีบงต่ำทันที “ผู้อาวุโส ข้าเจอเรื่องยุ่งยากแล้ว”
ชะงักไปนิดหนึ่ง คล้ายกับอายไม่กล้าพูดออกมา เสียงจึงต่ำลงไปอีก “ข้าโดนพิษฉิงกู่อีกแล้ว ท่านเชี่ยวชาญทางด้านกู่ สามารถถอนพิษฉิงกู่ให้ข้าได้หรือไม่”
หาเรื่องผู้หญิงอ่อนแอขี้โรคให้น้อยๆ หน่อย…สวี่ชีอันพูดว่า “ไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นคนฝังกู่หรือ?”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่เศร้าโศกเล็กน้อย พยักหน้า
ในเวลานี้ เสี่ยวเอ้อเดินเข้ามาใกล้ โค้งตัวถามว่า “นายท่าน กินอะไรดีขอรับ”
หลี่หลิงซู่มองอาหารของมู่หนานจือและสวีเชียน คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า
“อาหารที่บำรุงไตและเพิ่มสมรรถภาพทางเพศที่มีในร้าน เอามาให้หมดเลย”
…เสี่ยวเอ้อมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ “ได้ขอรับ ได้ขอรับ” แล้วสายตาของเขามองไปที่สุนัขจิ้งจอกทันที เอ่ยชมอย่างเอาใจว่า
“ท่าทางมันมีชีวิตชีวามากเลย ไม่เหมือนแมวที่เจ้าของร้านเลี้ยง วันนี้ไม่มีชีวิตชีวาเลย ท่าทางจะป่วยแล้ว”
ไม่ใช่ เพียงแต่ร่างกายของมันถูกดูดพลังหมดแล้วต่างหาก…สวี่ชีอันคิดในใจ
เสี่ยวเอ้อพูดจบก็ถอยออกไป
มู่หนานจือพูดดย่างสาแก่ใจว่า
“ข้าว่าท่าทางเจ้าจะมีดวงในเรื่องความรัก ตอนแรกก็โดนพี่น้องตงฟางกักบริเวณ ต่อมาก็โดนไฉซิ่งเอ๋อร์ฝังฉิงกู่ จึ๊กจึ๊ก ต้องมีสักวันที่เจ้าจะต้องตายในมือของผู้หญิง”
‘เอ๊ะ น้อยมากที่สวีฮูหยินจะประชดประชันข้าเช่นนี้ เป็นเพราะหึงหรือเปล่า…เฮ้อ เสน่ห์อันน่าเบื่อของข้า ระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้…’ หลี่หลิงซู่ยิ้มตามมารยาท รักษาระยะห่างกับสวีฮูหยินที่หน้าตาธรรมดา
มู่หนานจือไม่รู้ความในใจของเทพบุตร ไม่เช่นนั้นคงถ่มน้ำลายเต็มหน้าเขา
“แต่ว่าในเมื่อเจ้าติดตามเขาแล้ว ก็สามารถขอคำแนะนำจากเขาได้ว่าจะจัดการความขัดแย้งระหว่างผู้หญิงได้อย่างไร เจ้าหมอนี่ก็เหมือนเจ้า มีหนี้รักท่วมตัว และผู้หญิงเหล่านั้นไม่ว่าฐานะ ตำแหน่ง หรือหน้าตา ล้วนดีกว่าคนรักของเจ้าทุกคน” มู่หนานจือเหน็บแนม
‘หนี้รักท่วมตัว? ฐานะ ตำแหน่ง หรือหน้าตาดีกว่าคนรู้ใจของข้า?’ เทพบุตรเหลือบตามองสวีเชียนแวบหนึ่งด้วยความไม่เชื่อ
ดูจากหน้าตาของสวีฮูหยิน เขาก็รู้ว่ารสนิยมของสวีเชียนเป็นอย่างไรแล้ว
เจ้าหมอนี่ต่อไปถ้าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมู่หนานจือ ไม่รู้จะคิดอย่างไร อืม ใกล้ถึงเวลานัดหมายกับราชครูแล้ว…สวี่ชีอันซดข้าวต้มคำหนึ่ง แล้วพูดเสียงขรึมว่า
“ระวังผู้หญิงอย่างไฉซิ่งเอ๋อร์ด้วย เมื่อคืนข้าพบไฉเสียนแล้ว”
“อะไรนะ?!”
เสียงของเทพบุตรสูงขึ้นทันที
มู่หนานจือหันมามอง
สวี่ชีอันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟังแบบย่อๆ แน่นอนว่า ได้เลี่ยงเรื่องบนเตียงของเทพบุตรกับไฉซิ่งเอ๋อร์ไป ไม่ใช่เพราะต้องการไว้หน้าผู้ชายสวะ แต่การทำเช่นนี้จะทำให้เห็นได้ว่า “สวีเชียน” ไม่มีลีลา
หลี่หลิงซู่นวดเอวไปพร้อมกับพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า
‘ข้ายังคงไม่เชื่อว่าซิ่งเอ๋อร์จะทำเรื่องเช่นนี้ แต่ก็เหมือนกับที่ผู้อาวุโสพูด นางน่าสงสัยที่สุดจริงๆ แต่สงสัยก็ส่วนสงสัย หาหลักฐานไม่ได้ ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่านางเป็นฆาตกรตัวจริงผู้อยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งที่ไฉเสียนพูด ก็เป็นเพียงแค่คำพูดฝ่ายเดียวมิใช่หรือ”
สวี่ชีอันทำเสียง “อืม” เคี้ยวหมั่นโถวที่ทั้งหอมทั้งนุ่ม แล้วพูดว่า
“ดังนั้นบุคคลสำคัญในเวลานี้คือไฉหลาน ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ก็ต้องตามตัวนางให้พบ อีกอย่างเจ้าลองไปที่จวนสกุลไฉ ถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น คำพูดของไฉซิ่งเอ๋อร์ คำพูดของไฉเสียน และคำพูดของลูกหลานตระกูลไฉ เปรียบเทียบกันทั้งสามฝ่าย ลองดูซิว่าจะสามารถหาร่องรอยได้หรือไม่”
พรุ่งนี้จะเป็นวันชุมนุมมือสังหารมารแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยดูความเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ก็แล้วกัน
ภิกษุสำนักพุทธที่จิ้งซินและจิ้งหยวนเป็นตัวแทนก็แทรกแซงเรื่องนี้ด้วย ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องการสืบสวนความจริงของคดีนี้ แต่เป็นการตามหาไฉเสียนให้พบ เพื่อดูดปราณมังกร
มิเช่นนั้น หากถูกจิ้งซินและจิ้งหยวนค้นพบว่าปราณมังกรอยู่ในตัวไฉเสียน จะต้องนำตัวเขาเข้าสำนักพุทธอย่างแน่นอน
ด้วยการบำเพ็ญของเขาในเวลานี้และฤทธิ์เดชที่เจดีย์พุทธะ จะรับมือภิกษุกลุ่มนี้ พูดได้เพียงว่าพอๆ กัน อีกฝ่ายทำอะไรเข้าไม่ได้ เขาก็ฆ่าอีกฝ่ายไม่ตาย
ปัจจัยสำคัญก็คือ บางที่จิ้งซินและจิ้งหยวนอาจจะมีวิธีติดต่อเทพอารักษ์ตู้หนาน ถ่วงเวลานานไป บางที่เขาอาจจะต้องเผชิญหน้ากับขั้นสาม หรือกระทั่งพระอรหันต์
“จริงสิ งานชุมนุมมือสังหารมารพรุ่งนี้ จัดที่บริเวณแม่น้ำเซียงนอกเมือง” หลี่หลิงซู่กล่าว
………………………………………