ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 542 ส่วนลึกของห้องใต้ดิน
บทที่ 542 ส่วนลึกของห้องใต้ดิน
“พวกเราบ่าวข้ารับใช้จะไปรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ”
สาวใช้ตัวน้อยก้มหน้าส่ายศีรษะ รู้ว่าสิ่งใดควรพูดหรือสิ่งใดไม่ควรเอ่ยเป็นอย่างดี
หลี่หลิงซู่ลุกขึ้นยืนออกห่างจากเตียง แล้วเดินมายังข้างโต๊ะ พร้อมกับยันมือทั้งบนโต๊ะ เอนตัวไปเบื้องหน้าด้วยท่วงท่ารุกล้ำอีกฝ่าย พลางมองสาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ต่ำกว่า ก่อนจะยกยิ้มมุมปากเอ่ยว่า “สาวน้อยที่ทำตัวเชื่อฟัง ถึงจะดูน่ารัก”
ใบหน้าตู้เจวียนแดงระเรื่อทันใด นางก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาหลี่หลิงซู่ แล้วเอ่ยเสียงค่อยว่า “กะ…ก็รู้มาบ้างนิดหน่อย นายท่านเจ้าคะ ท่านต้องรับปากว่าจะไม่แพร่งพรายออกไป มิเช่นนั้นบ่าวได้เดือดร้อนเป็นแน่”
‘ด้วยนัยน์ตาคู่ที่ประกายประหนึ่งแฝงดวงดาวเอาไว้ อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลา และบุคลิกที่ไม่ธรรมดา…หญิงสาวคนใดก็ล้วนลุ่มหลง แล้วยังจะมีใครสามารถต้านทานเสน่ห์ของข้าได้เล่า!’
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจราวกับอยู่ที่สูงจนหนาวกาย
“เจ้าวางใจได้ ข้าจะไม่เอาออกไปแพร่งพรายที่ไหน” เขายิ้มเล็กน้อยพร้อมพูดรับปาก
“ความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่กับนายท่านย่อมดีมากอยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ดูเหมือนว่าคุณหนูใหญ่จะไม่ยอมแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ และขอร้องต่อนายท่านบ่อยครั้ง ซ้ำยังอดอาหารเป็นเวลาหลายวันด้วยเจ้าค่ะ”
‘ไฉหลานไม่ยินยอมแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ ถึงกับเคยอดอาหาร เพื่อแสดงการต่อต้าน…’ หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้ว พลางคิดในใจว่าเหตุใดซิ่งเอ๋อร์ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขาสักนิดเลย
“แล้ว…แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูใหญ่กับไฉเสียนล่ะ?” หลี่หลิงซู่กระซิบถาม
“สนิทสนมกันดั่งพี่น้องเลยเจ้าค่ะ” ตู้เจวียนตอบ
“ระหว่างพวกเขามีหรือเปล่า เอ่อ มีความสัมพันธ์สิเน่หาระหว่างชายหญิงหรือไม่?” หลี่หลิงซู่พูดหยั่งเชิง
“ระ…เรื่องนี้บ่าวจะรู้ได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ…” ตู้เจวียนตอบอย่างยากลำบาก
จากนั้นเขาก็ถามความสัมพันธ์ของคนที่มีความสำคัญในตระกูลไฉอีกสองสามคน แต่เมื่อถามความสัมพันธ์ระหว่างไฉซิ่งเอ๋อร์กับไฉเจี้ยนหยวน ตู้เจวียนก็ตอบว่า “ท่านอาหญิงกับผู้นำตระกูลขัดแย้งกันมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงซู่หรี่ตา ระงับอารมณ์แล้วพูด “เอ๋? เล่าให้ฟังรายละเอียดหน่อยสิ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
ตู้เจวียนลังเลอยู่ครู่ ก่อนจะกล่าว “มันเป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อนเจ้าค่ะ ท่านอาเขยคนก่อนที่แซ่หลิว ซึ่งตระกูลหลิวและตระกูลไฉได้คบหากันมาหลายชั่วอายุคน ภายหลังตระกูลหลิวเกิดตกอับ ท่านอาเขยจึงแต่งเข้าจวนไฉ ต่อมา ท่านอาเขยกับผู้นำตระกูลเกิดอุบัติเหตุขณะออกไปข้างนอก แล้วไม่รอดกลับมาเจ้าค่ะ
“แต่ข้าได้ยินมาว่าการตายของท่านอาเขยเหมือนจะมีเงื่อนงำ ท่านอาหญิงเลยทะเลาะกับผู้นำตระกูลอย่างหนัก…”
นางชะงักสักพักหนึ่ง และไม่ได้เล่าต่อแต่อย่างใด
การพูดถึงจุดนี้ก็เป็นการล้ำเส้นมากแล้ว อีกทั้งรายละเอียดของเงื่อนงำที่ว่า นางผู้เป็นสาวใช้ก็ไม่รู้อย่างชัดเจนด้วย
‘สามีคนก่อนของซิ่งเอ๋อร์ตายไปอย่างน่าสงสัยหรือ? นี่มัน…ช่วงเวลาที่ข้าอยู่กับนางมา ทำไมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน…’ หลี่หลิงซู่ลอบขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นเองเขาพลันคิดได้ ทุกๆ คนย่อมไม่เอ่ยถึงเรื่องสามีคนเก่าต่อหน้าคนรักใหม่ของอาหญิงแห่งตระกูลไฉอย่างเขาอยู่แล้ว
“ขอบคุณแม่นางตู้เจวียนที่บอกนะ!”
หลี่หลิงซู่เผยรอยยิ้มอบอุ่นที่ประหนึ่งระบบปรับอากาศส่วนกลาง ทำให้สาวใช้พลันพวงแก้มอมชมพู และสดชื่นสบายไปทั่วร่างกายในเดือนสิบสองตามจันทรคติของฤดูเหมันต์
หลังจากส่งลาสาวใช้ผู้มีนามว่าตู้เจวียนคนนี้แล้ว หลี่หลิงซู่ก็กลับห้อง ล้มตัวนอนลงบนเตียง พยายามค้นหาความจริงท่ามกลางม่านหมอกหนาอันยุ่งเหยิง
‘ไฉหลานไม่ยอมแต่งงานกับตระกูลหวงฝู่ หากข้าเป็นไฉเสียน พาอีกฝ่ายหนีไปด้วยกันจะไม่ดีกว่าหรือ?…’
‘สามีคนก่อนของซิ่งเอ๋อร์ตายอย่างไรกันนะ? ดูเหมือนว่าไฉเจี้ยนหยวนมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย? ไม่เช่นนั้นทั้งสองคนจะทะเลาะกันใหญ่โตเพราะอะไร…นอกจากจะเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดแล้ว นางก็ยังมีแรงจูงใจอีกมากเลยทีเดียว’
หลี่หลิงซู่ถอนหายใจ ก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง ตัดสินใจไปโรงเตี้ยม เพื่อนำข่าวนี้ไปบอกกับสวีเชียน “อันที่จริง ข้าสืบต่อด้วยตัวคนเดียวก็ได้ ถึงแม้สวีเชียนจะมีฝีมือสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถไขคดีได้เสียหน่อย ตอนนี้เขาสวมชื่อเป็นใครอยู่นะ สวี่ชีอันหรือ?”
หลี่หลิงซู่พึมพำอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่เลิกล้มความคิดที่จะนำข่าวไปบอกตาแก่ผู้นั้น
…
ณ เมืองหลวง จวนสกุลสวี่
ระหว่างที่เตาถ่านภายในห้องโถงกำลังลุกเป็นไฟ ทางด้านอาสะใภ้ก็แกะเปลือกส้มในมือ พลางกล่าวว่า “อีกไม่กี่วันพวกเจ้าจะไปจวนสกุลหวางแล้ว ต้องเข้าใจมารยาทและการประพฤติตัวให้เรียบร้อย มิอาจทำให้ฮูหยินแห่งจวนสกุลหวางและบรรดาญาติหญิงดูแคลนได้ เข้าใจหรือไม่”
ขณะที่พูดนั้น นางก็เงยหน้าละสายตาจากส้ม มามองเด็กสาวข้างกายที่กำลังกระหายรอกินส้มอยู่
“แม่พูดถึงเจ้าอยู่นะ!”
อาสะใภ้เอ่ยอย่างหงุดหงิด “วันๆ รู้แต่เรื่องกิน กิน กิน ไม่ช้าก็เร็วแม่จะส่งเจ้าเรียนศิลปะที่สำนักโหราจารย์เสีย”
วันนี้นางสวมเสื้อนวมสั้นปักลายเมฆา ซึ่งเข้าคู่กับกระโปรงยาวจับจีบสีเข้ม ทั้งยังปักปิ่นหยกกับปิ่นระย้าทองคำในมวยผมอย่างประณีต ดูสง่างามและเปี่ยมเสน่ห์ หากมองในแวบแรก ก็ดูเหมือนเด็กหญิงสูงศักดิ์จากตระกูลร่ำรวยมากเลยทีเดียว
แน่นอนว่า คนที่คุ้นเคยอย่างอาสะใภ้ล้วนรู้ดีว่านางนั้นสวยแต่รูป จูบไม่หอม
“ดีเลยๆ ถ้างั้นก็สามารถเล่นกับพี่ไฉ่เวยได้สินะ”
สวี่หลิงอินที่มวยผมทรงเด็กน้อยเอ่ยด้วยความดีใจ
สิ่งที่นางอยากจะพูดจริงๆ ก็คือ พี่ไฉ่เวยที่มีเงินมากมาย ย่อมซื้อของกินอร่อยๆ ได้ต่างหาก
ทว่าตอนนี้นางมิใช่สวี่หลิงอินคนก่อนอีกแล้ว ตอนนี้ ตอนนี้เป็น…
“ท่านแม่ ตอนนี้ข้าอายุเท่าไรแล้ว” สวี่หลิงอินถามเสียงดัง
อาสะใภ้ไม่ตอบคำถามนาง กลับหันหน้าพูดไปกับสวี่หลิงเยวี่ยว่า “แต่อย่าให้โดนรังแกได้นะ เข้าใจหรือไม่ ดูเหมือนว่าเหล่าฮูหยินที่อยู่ในตระกูลร่ำรวยทรงอิทธิพลอย่างจวนสกุลหวางนั้นไม่น่าเป็นมิตรด้วยเลยสักคน อารมณ์ของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ หากโดนคนกลั่นแกล้งเข้า มิอาจร้องไห้โวยวายได้นะ
“หากโดนรังแกก็ไปหาซือมู่ซะ และรู้ขอบเขตด้วยว่าสิ่งใดตัวเองควรพูดหรือไม่ควรทำ เข้าใจหรือไม่ จริงสิ บรรดาบุตรชายทั้งบุตรสาวของคุณชายใหญ่และคุณชายรองแห่งจวนสกุลหวาง ก็อายุไล่เลี่ยกับสวี่หลิงอินนี่และ ซึ่งเป็นช่วงอายุเด็กที่น่าปวดหัวที่สุดแล้ว บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร…อย่าให้หลิงอินทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลล่ะ”
สวี่หลิงเยวี่ยตอบ ‘อือ’ ก่อนจะเอ่ยว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะท่านแม่”
เนื่องจากสวี่เอ้อร์หลางและคุณหนูแห่งจวนสกุลหวางจะหมั้นหมายกัน ระหว่างที่ทั้งสองตระกูลต้องดำเนินประเพณีเหล่านี้นั้น อาสะใภ้ผู้ซึ่งเป็นนายหญิงประจำตระกูล ย่อมไม่อาจปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอย่างง่ายดาย เพราะมันไม่เหมาะสมกับสถานะของนาง
ดังนั้นการติดต่อระหว่างญาติฝ่ายหญิง จึงมอบหน้าที่ให้สองสาวพี่น้องอย่างสวี่หลิงเยวี่ยและสวี่หลิงอินไป
แต่อาสะใภ้ก็ยังไม่วางใจ พลางคิดว่าหญิงที่แสนวิเศษอย่างนางซึ่งรวบความสวยและความชาญฉลาดไว้ในตัวคนเดียว นอกจากกำเนิดเอ้อร์หลางที่ฉายแววอนาคตไกลแล้ว ก็ยังมีบุตรสาวอีกสองคนที่พอจะไปวัดไปวาได้
สวี่หลิงเยวี่ยที่อ่อนแอเกินไป พูดจานิ่มนวลไม่สู้คนราวกับเป็นที่รองรับอารมณ์คนอื่น ส่วนสวี่หลิงอินไม่ค่อยฉลาดนัก เป็นหญิงสาวโง่เขลาทึ่มทื่อคนหนึ่ง
อาสะใภ้จึงกลัวว่าเมื่อพวกนางไปจวนสกุลหวางแล้ว จะโดนคนจากจวนสกุลหวางรังแกเอาได้
อาสะใภ้มิได้กังวลเกินกว่าเหตุแต่อย่างใด เพราะตระกูลร่ำรวยทรงอิทธิพลอย่างจวนสกุลหวางนั้น ค่อนข้างถือตนเหนือกว่าผู้อื่นเป็นอย่างมาก การที่คุณหนูตระกูลหวางแต่งงานกับเอ้อร์หลาง ก็เป็นการลดตัวลงมาแต่งงานกับผู้มีสถานะต่ำกว่า แล้วเหล่าสตรีในตระกูลหวางจะให้เกียรติตระกูลสวี่เพียงใดกัน?
แม้จะพูดได้ว่าไม่ถึงขั้นแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างออกหน้า แต่ก็คงเป็นการโจมตีอย่างซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่น[1] คิดแล้วคงเป็นเช่นนั้นแน่
‘หากคนอ่อนแออย่างสวี่หลิงเยวี่ยเจอแบบนี้เข้าละก็…’
“เฮ้อ!” อาสะใภ้ถอนหายใจด้วยความผิดหวังที่เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า[2]
จากนั้นนางก็ไม่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเหล่านี้อีก ก่อนจะบ่นว่า “หยางเชียนฮ่วนคนนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็รู้จักกับพี่ใหญ่ของพวกเจ้ามานาน แม่เขียนจดหมายหาเขา เพื่ออยากให้สำนักโหราจารย์รับหลิงอินเข้าเป็นศิษย์ ไม่คิดเลยว่านานขนาดนี้แล้ว จะยังไม่ตอบกลับอีก”
ขณะที่สวี่หลิงเยวี่ยกำลังแกะเปลือกส้ม ก็กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ สำนักโหราจารย์ตอบกลับมาแล้วเจ้าค่ะ เมื่อวานข้ารับจดหมายมา แต่ลืมบอกกับท่าน”
แววตาอาสะใภ้พลันเปล่งประกาย เอ่ยอย่างทั้งตื่นตกใจและดีใจ “สำนักโหราจารย์ว่าอย่างไรบ้าง?”
สวี่หลิงเยวี่ยพูดเสียงเบา “ศิษย์พี่หยางบอกว่า หลิงอินมีพรสวรรค์เกินกว่าเขาจะสอนได้ เขาเลยจะแนะนำหลิงอินให้ท่านโหราจารย์ แต่ท่านโหราจารย์ไม่สนใจเขา กระทั่งแท่นแปดทิศยังไม่ให้เขาขึ้นด้วยซ้ำ”
‘ที่แท้ก็เพราะหลิงอินมีพรสวรรค์นี่เอง!’
อาสะใภ้พลันใจชื้นขึ้นมาเยอะ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ก็รู้สึกว่าคงดีกว่าหากให้นางฝึกฝนกับลี่น่าไปก่อน
จนถึงวันนี้ อาสะใภ้ก็ละทิ้งความคิดที่จะจับนางฝึกฝนเป็นกุลสตรีตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนนี้ได้แต่ตั้งตารอคอยการแต่งงานของเอ้อร์หลางกับคุณหนูตระกูลหวาง และขอให้กำเนิดหลานสาวแก่นางสักคน
เพราะแต่ละคนที่นางเลี้ยงดูเองนั้นใช้ไม่ได้สักคน คงต้องรอให้เจ้าลูกชายเลี้ยงบุตรของตัวเองเท่านั้น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อาสะใภ้เผยสีหน้าปลื้มใจออกมาเล็กน้อย “ซือมู่มีความสามารถที่ไม่เลวเลย อีกทั้งยังเฉลียวฉลาด แม้จะเป็นสตรีแต่ก็มากความรู้ เอ้อร์หลางเองก็ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่ยังเด็ก บุตรของพวกเขาในอนาคตต้องเป็นอัจฉริยะแน่ๆ”
ขณะที่กำลังกล่าวนั้น นางก็ยกมือขึ้น เผยให้เห็นกำไลหยกคู่หนึ่งบนข้อมือเรียวเล็กขาวดุจหิมะนั่น
“กำไลวงนี้แม่ได้มาในตอนที่แต่งงานกับพ่อเจ้า เขาเป็นคนมอบให้แม่ และยังบอกว่าเป็นของสืบทอดจากท่านย่าของพวกเจ้า ทว่าท่านย่าได้จากไปก่อนนานแล้ว จึงไม่สามารถมอบสิ่งนี้ให้ลูกสะใภ้ด้วยมือตัวเอง เลยฝากฝังกำไลไว้กับเขา เมื่อถึงงานแต่งงานของเขาในอนาคต จะได้มอบให้กับลูกสะใภ้กับมือตัวเอง”
อาสะใภ้หวนนึกถึงยามวัยหนุ่มสาวของตน แล้วยิ้มเอ่ยว่า “หลังจากนี้ แม่ก็จะส่งต่อให้กับซือมู่ อืม ซึ่งจะให้เพียงหนึ่งวง ส่วนอีกวงเหลือไว้ให้ภรรยาของพี่ใหญ่”
“ว้าว สวยจังเจ้าค่ะ”
สวี่หลิงอินยื่นมือเล็กอันอวบอ้วนออกไป “ท่านแม่ ขอดูหน่อย ขอข้าดูหน่อย”
อาสะใภ้ยังคงเอาใจบุตรสาวเช่นเคย นางถอดกำไลออกแล้วยื่นให้ พร้อมกำชับว่า “ระวังหน่อยนะ อย่าทำมันแตกแล้วกัน”
ระหว่างพูดอยู่นั้น สวี่ผิงจื้อที่กำลังถือหมวกเหล็กและเสื้อเกราะและห้อยดาบยาวตรงเอว ก็เดินเข้ามายังห้องโถง
ตอนนี้สวี่ผิงจื้อเป็นนายกองผู้คุมทหารพันคนแห่งกองดาบ ทั้งตำแหน่งสูงขึ้นและมีอำนาจมากกว่าเดิม กลายเป็นขุนนางใหม่ในหมู่กองดาบทั้งห้าแห่งเมืองหลวง แม้จะพูดไม่ได้ว่ามียศถาบรรดาศักดิ์แล้ว แต่ขุนนางผู้มีคุณธรรมทั่วไปเมื่อเห็นเขาต่างก็ให้การเคารพนับถือทั้งนั้น
อาสะใภ้ได้กลิ่นบางสิ่ง แล้วมุ่นคิ้วกล่าว “ทำไมซื้อส้มเขียวมาอีกล่ะ? อันที่อยู่ในบ้านก็หวานแล้วนะ”
“ช่วงนี้ชอบกินเปรี้ยวน่ะ”
ตั้งแต่หลานชายกับบุตรชายไม่อยู่ สวี่ผิงจื้อก็ชอบโกหกหน้าตายอยู่เรื่อยๆ
ขณะนั้นเอง เขาก็เห็นกำไลอยู่ในมือของบุตรสาวอย่างสวี่หลิงอิน จึงตกตะลึงไปชั่วครู่ “ทำไมเจ้าถึงให้มรดกประจำตระกูลแก่นาง หากแตกหักขึ้นมาจะทำอย่างไร”
สวี่หลิงอินยกมือน้อยๆ อันอวบอ้วนขึ้น แล้วพูดด้วยท่าทางโอ้อวดว่า “ท่านพ่อ ท่านดูนี่สิ ดูสิว่าข้าเหมือนอะไร?”
“เหมือนอะไรหรือ?” สวี่ผิงจื้อถามกลับโดยไม่รู้ตัว
สวี่หลิงอินตอบด้วยน้ำเสียงคมชัด “เหมือนกับท่านแม่ของท่านอย่างไรล่ะ”
…สวี่ผิงจื้อมองนางสักพักหนึ่ง ก่อนจะวางหมวกเหล็กลงอย่างเงียบๆ และหยิบฝักดาบขึ้นมา
ทันใดนั้นเองเสียงร้องไห้ของสวี่หลิงอินก็ดังก้องไปทั่วจวนสวี่
…
จวนสกุลไฉ
หลังจากหลี่หลิงซู่ออกจากห้องแล้วก็ไปยังลานบ้าน เห็นเหล่าเด็กๆ ในจวนกำลังทำสีหน้าเอาจริงเอาจัง แต่ละคนต่างพกดาบ คอยคุ้มกันตามโถงทางเดิน ลานบ้าน และทางเข้าต่างๆ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?” เขาเข้าใกล้เด็กตระกูลไฉคนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม
“เมื่อคืนมีขโมยลอบเข้าไปในห้องใต้ดิน” เด็กแซ่ไฉคนนั้นกระซิบตอบ
‘ห้องใต้ดิน…’ หลี่หลิงซู่มึนงงทันใด จากนั้นก็ได้ยินเด็กอีกคนที่อยู่ข้างๆ พูดอธิบายว่า “ห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บศพน่ะ”
ในอาชีพสำรองของจวนไฉ มีอาชีพขนศพเช่นนี้อยู่ด้วย ซึ่งใช้ห้องใต้ดินเป็นที่เก็บศพ อีกอย่าง ศพเหล่านี้ก็ถูกใช้ในจุดประสงค์อื่น เช่นหลังจากเด็กๆ ตระกูลไฉผ่านพิธีสวมกวานแล้ว ก็จะสามารถนำศพหนึ่งร่างจากห้องใต้ดินไปเป็นหุ่นเชิดได้
ถ้าเด็กเป็นเชื้อสายฝั่งญาติจะสามารถรับได้แค่ศพธรรมดาเท่านั้น แต่หากเด็กเป็นเชื้อสายโดยตรงจะสามารถรับศพเลือดได้ ซึ่งศพเลือดจะเป็นผู้อาวุโสที่เสียสละร่าง โดยระดับพลังที่ต่ำสุดคือระดับหลอมจิต หากสามารถทำให้ศพเลือดกลายเป็นศพเหล็กได้ เช่นนั้นก็จะอยู่บนวิถีทางการควบคุมศพ และนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความชำนาญและความรู้อันลึกล้ำ
พละกำลังและการป้องกันของศพเหล็กนั้น เทียบได้กับจอมยุทธ์กระดูกเหล็กผิวทองแดงขั้นหก แต่การต่อสู้จะอ่อนด้อยกว่าเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ไม่มีพลังปราณและสามารถฝึกฝนได้ถึงขั้นหลอมวิญญาณ ซ้ำยังล่วงรู้ถึงอันตรายอีกด้วย
“สวีเชียนเคยพูดว่า เมื่อคืนไฉเสียนได้บุกเข้ามายังห้องใต้ดิน เพื่อมาหาร่างไฉหลาน…ไฉเสียนคงสงสัยว่าไฉหลานได้ตายไปแล้ว”
ความคิดของหลี่หลิงซู่พลันเปลี่ยนทันที ไม่ได้รีบร้อนไปหาสวีเชียนอีก เมื่อเขาถามที่ตั้งของห้องใต้ดินเสร็จ ก็หมุนตัวจากไป
หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็มาถึงเรือนชั้นใน ซึ่งเป็นเรือนที่แสนเงียบสงบ
ที่นี่ถูกรับมือโดยเด็กแห่งจวนไฉสิบกว่าคน ซึ่งกำลังขวางทางที่เขาจะเข้าไป
“คุณชายหลี่ ที่แห่งนี้คือเขตหวงห้าม ท่านเข้าไปไม่ได้”
หลี่หลิงซู่มุ่นคิ้ว กล่าวอย่างไม่ชอบใจ “กล้าขวางทางอาเขยด้วยรึ?”
จากนั้นเขาก็ผลักฝูงชนออก และก้าวเข้าไปในเรือน
เด็กๆ แห่งจวนไฉต่างมองหน้ากันและกัน โดยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เมื่อลงบันไดไปจนถึงห้องใต้ดิน หลี่หลิงซู่ก็พลันปิดจมูกกะทันหัน “กลิ่นแย่มาก”
ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันเห็นศพเรียงรายอยู่แถวหนึ่ง ราวกับประติมากรรมที่ไร้การเคลื่อนไหว
“ตาแก่สวีเชียนนั่นจะต้องชอบที่นี่มากเป็นแน่” หลี่หลิงซู่พึมพำ
ถึงอย่างไรเขาก็เคยอยู่เผ่ากู่แห่งซินเจียงตอนใต้มาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว จึงรู้พฤติกรรมของปรมาจารย์ซือกู่ว่าเป็นเช่นไร
เมื่อหลี่หลิงซู่เคาะระหว่างหัวคิ้ว นัยน์ตาดำพลันสีจางลงทันที วิสัยทัศน์ก็แตกต่างออกไปจากเดิม ศพเหล่านี้มิใช่ซากศพเดินได้ที่บริสุทธิ์แท้จริง วิญญาณดินของพวกเขาถูกพันธนาการไว้ในกายเนื้อ
ราวกับตกอยู่ในน้ำนิ่งไร้การไหลเวียนและเงียบสงัด
แต่ตราบใดที่ใช้วิธีปลุกอันเหมาะสมกับพวกเขา พวกเขาก็อาจกลายเป็นนักรบผู้ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด และไม่หวาดหวั่นความตาย
ในเผ่ากู่แห่งซินเจียงตอนใต้ ไม่ว่าจะเป็นกู่สัตว์ร้ายของวิชาซินกู่ และการควบคุมศพของวิชาซือกู่ รวมถึงการใช้พิษไร้รูปของวิชาตู๋กู่ ก็เป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวมากที่สุดมาโดยตลอด
เขาก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ[3] ในที่สุดก็เห็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เด็กสองสามคนแห่งจวนไฉกำลังอารักขาอยู่หน้าประตูไม้บานหนึ่ง และประตูไม้บานนั้นถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง มีแสงเทียนลอดส่องผ่านออกมาจากข้างในนั้น
‘ยังมีห้องใต้ดินในห้องใต้ดินอีกหรือ? ข้างในนั้นเก็บอะไรไว้อยู่กันแน่?’ หลี่หลิงซู่ขยับเข้าไปใกล้ ก่อนจะพบการขัดขวางอีกครั้ง
“ใครอยู่ข้างนอกนั่น” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของไฉซิ่งเอ๋อร์ดังออกมาจากข้างในประตูไม้
“ข้าเอง” หลี่หลิงซู่ตอบ
ด้านในประตูเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นไฉซิ่งเอ๋อร์ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ให้เขาเข้ามา”
…………………………………….
[1] ซ่อนเข็มไว้ในปุยนุ่ม หมายถึงภายนอกทำตัวดี แต่ภายในแอบแฝงเจตนาชั่วร้ายอยู่
[2] ผิดหวังที่เหล็กไม่กลายเป็นเหล็กกล้า หมายถึงไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาไหนของคนที่ตนได้คาดหวัง
[3] 1 เค่อ เท่ากับประมาณ 15 นาที