ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 543 เป้าหมายที่ชัดเจน
บทที่ 543 เป้าหมายที่ชัดเจน
ลูกหลานตระกูลไฉที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ปากประตูหลีกทางให้ผู้มาใหม่ หลี่หลิงซู่ผลักประตูกั้นห้องออก เผยให้เห็นทัศนียภาพภายในปรากฏสู่สายตา
ภายในห้องเล็กแห่งหนึ่งมีซากศพนอนเรียงรายเป็นสองแถว พวกเขาเหล่านั้นเคยสวมผ้าคลุมที่ศีรษะ แต่ตอนนี้กลับถูกถอดออกโยนทิ้งไว้บนพื้น
คนที่อยู่ท่ามกลางแถวซากศพคือไฉซิ่งเอ๋อร์และผู้อาวุโสของตระกูลสามคน คนหนึ่งผมบางตา คนหนึ่งรูปร่างกำยำและอีกคนหนึ่งแขนด้วน
‘คนพวกนี้คือศพเหล็ก?’ หลี่หลิงซู่ย้ายสายตาไปที่ภรรยาแสนสวยในชุดสีฟ้าอ่อน
อีกฝ่ายก็มองมาที่เขาเช่นกัน ดวงตาใสราวสระน้ำในฤดูสารทแสนอ่อนโยนฉายแววขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ้ามาที่นี่ทำไม”
“ได้ยินมาว่ามีคนบุกรุกห้องใต้ดินเมื่อคืนวานนี้ ข้าเลยมาดู”
หลี่หลิงซู่เพิกเฉยสายตาพินิจจากผู้อาวุโสของตระกูลทั้งสาม เดินไปหาไฉซิ่งเอ๋อร์พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีสิ่งใดสูญหายใช่หรือไม่”
ไฉซิ่งเอ๋อร์ส่ายหัวน้อยๆ หันไปหาผู้อาวุโสทั้งสามของตระกูลก่อนเอ่ย “หัวขโมยคงลักลอบเข้าจวนสกุลไฉในกลางดึก การที่เข้ามาได้โดยรอดเร้นสายตายามหรือคนในตระกูลที่เฝ้าห้องใต้ดิน แสดงให้เห็นว่าเขารู้จักสภาพแวดล้อมและการป้องกันของจวนสกุลไฉเป็นอย่างดี”
ผู้อาวุโสตระกูลผมบางครุ่นคิด “ซิ่งเอ๋อร์คิดว่าไฉเสียนเป็นคนทำอย่างนั้นหรือ?”
“จะเป็นใครนอกจากเขา?” ไฉซิ่งเอ๋อร์ถามกลับด้วยรอยยิ้มหยัน
ผู้อาวุโสตระกูลร่างกำยำพึมพำกับตัวเอง “การที่ซากศพทั้งหมดถูกถอดหมวกออกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กำลังตามหาใครอยู่สินะ…เขาต้องการตามหาใครกัน?”
ผู้อาวุโตระกูลแขนด้วนกล่าวเสียงราบเรียบ “เสี่ยวหลานหายหน้าไปหลายวัน ไม่แน่เขาอาจคิดว่าเสี่ยวหลานตายไปแล้วและกลายเป็นเพียงซากศพก็ได้? เจ้าเด็กนี่มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”
จังหวะที่ไฉซิ่งเอ๋อร์กำลังจะพูดขึ้น หางตาของนางพลันเหลือบไปเห็นหลี่หลิงซู่ที่กำลังยืนพินิจไตร่ตรองอยู่หน้าศพเงียบๆ
อวัยวะบนใบหน้าของร่างศพนั้นเกลี้ยงเกลา อีกฝ่ายอายุราวๆ สามสิบปี ดูเหมือนว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่คงเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว
“สามีของข้าเอง”
ไฉซิ่งเอ๋อร์เอ่ยเสียงเรียบ
หลี่หลิงซู่ขานเพียง ‘อืม’ ตอบรับ ก่อนยกมือขึ้นจับไหล่ของร่างศพชายเพื่อให้แน่ใจว่านี่เป็นศพเหล็ก
“ท่านลุงทั้งสาม…”
ไฉซิ่งเอ๋อร์มองไปยังชายชราทั้งสามคน
เหล่าผู้อาวุโสตระกูลพยักหน้าเล็กน้อย พลางปลีกตัวออกไปจากห้อง
เมื่อประตูไม้ปิดลง ไฉซิ่งเอ๋อร์ก็เดินไปที่ด้านข้างของหลี่หลิงซู่ ยืนเทียบข้างเขาที่มองดูร่างศพชายแน่นิ่งแล้วพูดขึ้นเสียงเบา
“ข้าไม่ค่อยได้เล่าเรื่องของเขาให้เจ้าฟังเลย”
“ข้าไม่อยากรู้”
หลี่หลิงซู่หันหลังเดินจากไป
“คุณชายหลี่…”
ไฉซิ่งเอ๋อร์คว้าเขาไว้ มือเล็กๆ ของนางเย็นเฉียบ ทั้งน้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นกังวลเล็กน้อย เอ่ย “มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดนะ”
ไม่รอให้หลี่หลิงซู่ได้พูดอะไร นางพลันอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ในปีนั้นพี่ใหญ่และเขาได้ออกไปทำธุระ ระหว่างทางเจอศัตรูหวนกลับมาแก้แค้น ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบไม่รอดชีวิต เพื่อที่จะได้มีชีวิตรอด พี่ใหญ่จึงเปลี่ยนให้เขากลายเป็นศพเหล็ก เขาถึงรอดและพาพรรคพวกหนีกลับมาได้”
“พอรู้เรื่องนี้เข้าข้าก็ทะเลาะกับพี่ใหญ่แล้วออกจากบ้านมาพักใจ ไม่นานก็พบกับเจ้า ใช่ว่าข้าไม่คลายรักเขา ถึงทำให้เขากลายเป็นศพเหล็กและเก็บเขาไว้เคียงข้างหรอกนะ”
หลี่หลิงซู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พูดขึ้นว่า “ข้าเชื่อเจ้า”
…
“อดีตสามีของไฉซิ่งเอ๋อร์ตายด้วยน้ำมือของไฉเจี้ยนหยวนและถูกทำให้เป็นศพเหล็กงั้นหรือ…”
ภายในโรงเตี๊ยม หลังจากฟัง ‘รายงาน’ ของหลี่หลิงซู่ สวี่ชีอันคล้ายสัมผัสได้ถึงฉากละครน้ำเน่าของครอบครัว
แม้ในเวลานั้นอดีตสามีของนางจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบไม่รอดชีวิต เมื่อแก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ การถูกฆ่าจึงเป็นเพียงจุดจบเดียว แต่สุดท้ายเขาก็ตายด้วยน้ำมือของไฉเจี้ยนหยวน ทั้งยังถูกทำให้กลายเป็นศพเหล็ก
อืม สามารถกลายเป็นศพเหล็กได้ในทันที แสดงให้เห็นว่าอดีตสามีของไฉซิ่งเอ๋อร์อย่างน้อยๆ ก็คงเป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงระดับหก ไฉเจี้ยนหยวนเปลี่ยนเขาให้เป็นศพเหล็ก ลึกๆ แล้วสกุลไฉต่างก็ก่นด่าอยู่ในใจ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฆ่าคนคนหนึ่งแล้วฟื้นคืนชีพด้วยพลังเลือดที่เต็มสูบในรูปแบบอื่นเลย…
“ไปสืบเสาะเรื่องของอดีตสามีของนางจากผู้อาวุโสตระกูลไฉมา”
“แค่นี้?” หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้ว
“อืม!”
สวี่ชีอันจิบชาพลางพยักหน้า
หลี่หลิงซู่นิ่งไปสองสามวินาที จากนั้นก็พูดอย่างจนหนทาง “หากนางเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังจริง เจ้าจะทำอย่างไร?”
สวี่ชีอันมองไปที่เขา “ฆ่าพี่ชาย ก่อคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง โทษถึงประหารชีวิต!”
ใบหน้าของหลี่หลิงซู่บึ้งตึงเล็กน้อย เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเข้ม
“ข้าจะยกเลิกการตบะของนาง แล้วพานางกลับไปยังนิกายสวรรค์ สั่งห้ามไม่ให้นางลงจากภูเขาตลอดชีวิต หากศิษย์พี่คิดจะฆ่านางคงต้องลองข้ามศพข้าไปก่อน”
เขาประสานมือที่อก หันหลังเดินจากไป
“จุ๊จุ๊ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ผู้นี้น่าสนใจทีเดียว”
มู่หนานจือยิ้มเอ่ย “เพื่อเป้าหมายแล้ว ปราชญ์ย่อมไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ การที่ยั่วเย้าผู้หญิงมากมายขนาดนั้น เป้าหมายสูงสุดก็ไม่ใช่เพื่อลืมพวกนางหรอกหรือ นี่ดูเหมือนเขาชมชอบผู้หญิงไปเสียทุกคน”
ดังนั้นนิกายสวรรค์จึงต้องการชะล้างสิ่งเลวทราม เทพบุตรกำลังเดินบนเส้นทางที่ผิด…สวี่ชีอันกล่าวในใจ
ใต้โต๊ะมู่หนานจือเตะเขาเบาๆ พลางพูดเสริม “ฆ้องเงินสวี่ยอดนักรัก หากเจ้าเป็นหลี่หลิงซู่ มีคนสนิทที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรง เจ้าจะทำอย่างไร?”
สวี่ชีอันขบคิดอย่างจริงจัง พูดว่า “หากคนสนิทชื่อมู่หนานจือทำผิดครั้งใหญ่หลวงเข้า ข้าก็คงจะต้องทำตามหน้าที่โดยไร้เมตตาล่ะนะ”
“เจ้าว่าไงนะ!”
มู่หนานจือโกรธมาก ทำท่าทีก้าวร้าวราวกับว่าต้องการฉีกร่างของสวี่ลีอันเป็นชิ้นๆ
แต่ครู่ต่อมา ความโกรธบนใบหน้าของนางพลันถูกแทนที่ด้วยความคับแค้นใจ พวงแก้มแดงเถือก เอ่ยประชด “พูดจาเหลวไหลสิ้นดี”
ใครเป็นคนสนิทของเจ้ากัน? ไอ้คนหน้าไม่อาย!
ตึงตึงตึง นางกระทืบลงที่หลังเท้าของเขาใต้โต๊ะ
เมื่อรอให้อีกฝ่ายระบายความโกรธจนพอใจแล้ว สวี่ชีอันก็พูดขึ้นว่า
“เมื่อครู่นี้ข้าเพียงขายผ้าเอาหน้ารอด มอบงานให้หลี่หลิงซู่ไปส่งๆ ก็เท่านั้น สำหรับพวกเราแล้ว การสืบสวนคดีไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร การได้ปราณมังกรต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ”
คดีนี้ไม่เร่งด่วน ถึงอย่างไรไฉเสียนก็ทำผิดมานานแล้ว เขาไม่สนใจช่วงเวลาอันน้อยนิดนี้หรอก แต่กลุ่มภิกษุจิ้งหยวนและจิ้งซินต่างก็อยู่ในเซียงโจวเช่นกัน มันก็เหมือนกับเตียงนอนที่มีเสือนอนอยู่
ภัยคุกคามนั้นใหญ่หลวงเกินไป
เขากับวิญญาณของเจดีย์พุทธะมีข้อตกลงร่วมกันสามข้อ ไม่อนุญาตให้ใช้มันกับพุทธสาวก แต่สามารถใช้ป้องกันตัวได้ เช่น สามารถถอยเข้าไปในเจดีย์พุทธะแล้วควบคุมมันเพื่อหลบหนีได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สวี่ชีอันสามารถปกป้องตัวเองให้ไร้พ่ายได้มากที่สุดก็จริง แต่เขาขาดพละกำลังที่แข็งแกร่ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากไฉเสียนได้พบกับจิ้งซินและคนอื่นๆ แบบตัวต่อตัว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปิดบังความจริงที่ว่าไฉเสียนเป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัย
ในเมื่อสำนักพุทธกล้ายกพลมาตอนกลางเพื่อรวบรวมปราณมังกร พวกเขาย่อมต้องมีวิธีระบุตัวผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเป็นแน่
ดังนั้นสิ่งที่เร่งด่วนจริงๆ จึงไม่ใช่คดี แต่เป็นการตามหาไฉเสียน
“จริงสิ การบ่มเพาะรากบัวเก้าสีเป็นอย่างไรบ้าง”
มู่หนานจือ ‘ฮัมเพลง’ เบาๆ อย่างภูมิใจ ผินหน้าไปด้านข้างพลางเชิดคางขึ้น “ภายในสามเดือนมันจะโตเต็มที่ และในอีกสามเดือนมันจะออกผลเป็นเมล็ดบัว”
สมแล้วที่เป็นร่างอวตารเทพดอกไม้ ความคืบหน้ารวดเร็วยิ่งยวด เรื่องเมล็ดบัวไม่ใช่จุดสำคัญ รากบัวต่างหาก ก่อนอื่นต้องตัดรากบัวไปให้เหล่าสหายกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์เสียก่อน เพื่อช่วยให้เขาทะลวงเข้าสู่ขั้นสอง…สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ กล่าวว่า
“อีกประมาณสองสามวัน ท่านราชครูอาจมาหาข้า พอดีมีเรื่องที่ต้องจัดการ อืม ข้าอาจจะต้องแยกกับเจ้าสักสองสามวันนะ”
เมื่อได้ยินมู่หนานจือก็หันขวับทันที ขมวดคิ้วมุ่น “อะไรนะ?”
“ก็ ก็ธุระที่ต้องจัดการน่ะ…”
“หืม?”
ธุระที่ต้องจัดการไง ข้าไม่ได้พูดไปแล้วหรือ…สวี่ชีอันก้มศีรษะดื่มชา
มู่หนานจือชำเลืองมองเขาอย่างสงสัย บ่นพึมพำ “ทำตัวลึกลับ ธุระอะไรเจ้าก็ว่ามาปะไร นางเป็นคนเข้ากับคนยากก็จริง แต่ข้ากับนางก็มีความสัมพันธ์ที่ดี ดังนั้นย่อมเข้ากับพวกเจ้าได้อยู่แล้ว”
อา นี่องค์หญิง เรื่องแบบนี้รอให้ทุกคนคุ้นชินกันก่อนแล้วค่อยลองทำจะดีกว่านะ…สวี่ชีอันเอ่ยเฉไฉไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“ข้าจะออกไปข้างนอก”
สวี่ชีอันเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมผ้าฝ้ายธรรมดา ออกจากโรงเตี๊ยมไป
เขาตั้งใจที่จะให้ไฉเสียนเผชิญหน้ากับไฉซิ่งเอ๋อร์ที่ชุมนุมมือสังหารมาร ซึ่งไฉเสียนไม่มีทางปรากฏตัวในร่างจริงอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่เขามักใช้วิธีควบคุมซากศพ แต่การควบคุมซากศพนั้นก็มีระยะทางที่จำกัด
ด้วยขอบข่ายการรับรู้ปราณมังกรของสวี่ชีอันในตอนนี้ เพียงควบคุมเจดีย์พุทธะแล้วมองลงมาจากกลางอากาศ การค้นหาที่ซ่อนของไฉเสียนก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
…
ณ จวนสกุลไฉ
ภายในลานภิกษุสำนักพุทธกำลังพำนักกันอยู่ ไฉซิ่งเอ๋อร์จรดปากจิบชาก่อนจะวางถ้วยชาลง หันหน้ามาพูดว่า
“ไต้ซือจิ้งซิน ข้าหวังว่าชุมนุมมือสังหารมารในวันพรุ่งนี้ ท่านจะออกมาผดุงความยุติธรรมและเรียกร้องให้คนชอบธรรมร่วมมือกันกำจัดไฉเสียนคนเนรคุณ”
จางโจวถือเป็นหนึ่งในยุ้งฉางของต้าฟ่ง แม้ว่าจะมีสถานที่กันดารในบางแห่งอย่างเช่นเซียงโจว แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาก็ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
อย่างที่ทราบกันดีว่าสถานที่ที่ยิ่งอุดมสมบูรณ์ พลังการต่อสู้ของคนในท้องถิ่นก็จะยิ่งอ่อนแอลง ยิ่งภูเขาและแม่น้ำแร้นแค้นมากเท่าไร พวกอาชญากรก็จะปรากฏตัวได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ราชสำนักให้ความสำคัญกับแหล่งอาหารอย่างจางโจว ย่อมต้องมีการปราบปรามกองกำลังยุทธภพและระงับการตั้งกองกำลังยุทธภพกลุ่มใหญ่
เป็นเหตุให้วิทยายุทธของจางโจวไม่รุ่งเรืองมาตั้งแต่สมัยโบราณ เรียกได้ว่ายอดฝีมือระดับสี่นั้นหาได้ยากยิ่ง
“ข้าที่ได้แต่รอการทัศนาจรตอนกลาง เสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเซียงโจวเมื่อไม่กี่วันมานี้”
จิ้งซินพูดเสียงเนิบนาบ “น่าเสียดายที่ราชสำนักต้าฟ่งสั่งห้ามการเผยแผ่ศาสนาของสำนักพุทธ ภัยธรรมชาติและภัยมนุษย์จะยังคงเกิดแก่ต้าฟ่งต่อไป ประชาชนจะอยู่อย่างยากลำบาก ผู้ลี้ภัยจะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง”
ภิกษุสองรูปที่ยืนอยู่ข้างเขาต่างพนมมือ ท่องพระนามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเสียงผะแผ่ว บอกเป็นนัยว่าความจริงเป็นดังนั้น
หากก่อนหน้านี้ต้าฟ่งได้มีการสอนสั่งศาสนาพุทธในตอนกลาง โลกก็คงไม่แปรเปลี่ยนอย่างไร้สมดุลเช่นนี้
หลังจากคุยกันอีกสองสามคำ ไฉซิ่งเอ๋อร์ก็กล่าวลาไป
จิ้งหยวนกล่าวขึ้น “คดีนี้ค่อนข้างน่าสงสัย ทั้งการกระทำของไฉซิ่งเอ๋อร์นั้นก็ขัดแย้งกลับกลอก ศิษย์พี่ลองใช้คาถาเร้นถามสีกาไฉซิ่งเอ๋อร์ดูดีหรือไม่ขอรับ?”
“เจ้าเองก็สงสัยว่าเป็นนางด้วยหรือ?” จิ้งซินยิ้มอ่อน
“การสืบคดีสำหรับข้าแล้ว มิใช่เรื่องยุ่งยาก สวี่ชีอันผู้นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะยอดนักไขคดีของต้าฟ่งก็จริงอยู่ แต่สิ่งที่ใช้เป็นเพียงทักษะและผลงานที่แปลกใหม่เท่านั้น” จิ้งหยวนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
จิ้งซินพยักหน้าแล้วพูดว่า
“หากข้าสอบสวนสีกาไฉซิ่งเอ๋อร์ในตอนนี้ แล้วคนคนนั้นถูกนางฆ่าตายจะทำอย่างไร? หากจวนสกุลไฉทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง การกระทำของเราก็จะนับว่าตั้งตัวเป็นศัตรูจวนสกุลไฉ ถึงอยากจะใช้คาถาเร้นถามก็ต้องทำที่การชุมนุมมือสังหารมารในวันพรุ่งนี้
“อีกอย่างจนกว่าจะเจอตัวไฉเสียน ข้าจะไม่ทำเรื่องผลีผลามเด็ดขาด เจ้าเองก็ต้องระวังด้วย”
ดูเหมือนมีภิกษุหนุ่มไม่กี่รูปเท่านั้นที่ดูจะเข้าใจ ส่วนใหญ่ตกอยู่ในความสับสน ภิกษุจิ้งหยวนหัวเราะออกมา พลางขยายความแทนจิ้งซิน
“ที่ไฉซิ่งเอ๋อร์ได้พูดก่อนหน้านี้ว่าตบะของไฉเสียนนั้นการก้าวกระโดดอย่างอัศจรรย์ ซึ่งน่าทึ่งมากทีเดียว การที่ข้าเร้าให้ศิษย์พี่ใช้คาถาเร้นถามกับนาง แค่อยากรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดน่ะ
“หากสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ไฉเสียนก็อาจเป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัย แต่หากโกหก การแตกหักกันในวันนี้คงยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด พรุ่งนี้ต่างหากถึงจะเป็นโอกาสอันดี”
…
สวี่ชีอันไล่ตามความทรงจำของเขามาจนถึงหมู่บ้านเล็กๆ แล้วตามต่อไปยังครอบครัวหนึ่งที่ไฉเสียนซ่อนตัวอยู่เมื่อคืนนี้
ผู้ชายของบ้านออกไปทำงานแล้ว ในสวนมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังตากผ้า และเด็กหญิงอายุราวสิบขวบกำลังเก็บใบไม้
เมื่อพบกับผู้มาเยือนแปลกหน้า แม่และลูกสาวจึงรู้สึกประหม่าและระแวดระวังเล็กน้อย
หญิงสาวลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยภาษาสแลง “เอ็งมาหาไผ?”
สวี่ชีอันเอ่ยตอบ “แม่นางพูดภาษากลางได้หรือไม่?”
“ข้าพูดได้ เคยเรียนมาจากปราชญ์ในหมู่บ้าน”
สาวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงระคนโอ้อวด
นางสวมเสื้อนวมปุยฝ้ายตัวเก่าซึ่งผ่านการซ่อมมาหลายครั้ง อาจเนื่องมาจากภาวะขาดสารอาหาร สีหน้าจึงดูซีดเซียวเล็กน้อย
……………………………………….