ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 545 ไร้เบาะแส
บทที่ 545 ไร้เบาะแส
แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างมุ้งลวดกระทบละอองฝุ่นลอยละล่อง
ท่ามกลางความเงียบงันรอบข้าง สวี่ชีอันยืนนิ่งอยู่กลางบ้าน ผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากเริ่มยุบลงไปแล้ว เขาก็เริ่มตรวจสอบที่เกิดเหตุ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เครื่องเรือนเช่นโต๊ะ เก้าอี้ยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หลอดเลือดแดงข้างลำคอของชายผู้นั้นถูกปาดด้วยของมีคม ขมับด้านซ้ายยุบลง
สิ้นใจทันที
สาเหตุการตายของสองแม่ลูกคือถูกแทงด้วยอาวุธมีคม แม่ถูกแทงทะลุหัวใจ แต่ลูกสาวถูกแทงเข้าที่อกขวา หลังจากที่สวี่ชีอันสัมผัสศีรษะของนาง ก็พบว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงคือถูกทุบเข้าที่กะโหลก
จากนั้นเขาก็พลิกร่างของทั้งสามคน เลิกเสื้อผ้าฝ้ายขึ้น เพื่อดูรอยเขียวช้ำหลังเสียชีวิต
“เวลาตายไม่เกินสี่ชั่วยาม ถูกฆ่าช่วงเช้า…ไม่ ไม่ใช่ เมื่อคืนอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณสององศา ถ้าถูกฆ่าเมื่อคืน เวลาตายจริงๆ ก็ต้องเร็วกว่านั้น”
อุณหภูมิต่ำช่วยรักษา ‘สภาพความสด’ จึงส่งผลกระทบต่อการหาเวลาเสียชีวิต
“ถึงจะไม่มีร่องรอยการต่อสู้ในบ้านก็ไม่ได้แปลว่าเป็นฝีมือของคนใกล้ตัว เพราะการทำร้ายชาวบ้านธรรมดานั้นช่างง่ายดาย สามารถสังหารได้ในพริบตา”
แต่ถ้าไม่มีเหตุจูงใจ ใครมันจะอยากฆ่าครอบครัวผู้บริสุทธิ์เช่นนี้
สวี่ชีอันนั่งลงข้างโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ จนเกิดเสียงตึกๆ ฟีโรโมนในสมองของเขากำลังเดือดพล่าน…
“นอกจากข้ากับไฉเสียน มีใครรู้จักที่นี่อีกบ้าง ถ้าไม่มีคนอื่น ฆาตกรก็ต้องเป็นเขาไม่ก็ข้า ถ้ามีคนรู้จักที่นี่จริง เหตุใดต้องรอจนกระทั่งข้าส่งจดหมายแล้วถึงค่อยลงมือ ฆ่าปิดปากหรือ
“เป้าหมายไม่ใช่ตัวไฉเสียน แต่เป็นการกีดกันไม่ให้ไฉเสียนไปร่วมงานชุมนุมมือสังหารมาร…แต่มันจะมีความหมายอะไร แทนที่จะมาซุ่มโจมตีคนที่นี่ สู้สังหารไฉเสียนไปเลยไม่ดีกว่าหรือ
“ดังนั้น คนที่ฆ่าปิดปากก็คือไฉเสียนงั้นสิ? ก็ไม่ใช่เหมือนกัน แรงจูงใจไม่มีน้ำหนัก”
ดวงตาของสวี่ชีอันก็เบิกกว้างขึ้นทันใด คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมาได้
วันที่ข้ากลายร่างเป็นแมวสะกดรอยตามไฉเสียน ขณะเดียวกันข้าก็ถูกสะกดรอยตามด้วย…
“ไฉเสียนไม่มีทางรู้ตัวว่าข้าสะกดรอยตาม เพราะมนุษย์ศพไม่มีความสามารถในการป้องกันการสะกดรอยตามได้ แต่ในขณะเดียวกันข้าก็ไม่มีความสามารถที่ว่าเช่นกัน เพราะตอนนั้นข้าเป็นแค่แมวตัวหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเอง ถ้าหากคืนวันนั้น มีคนตามรอยข้ามาเงียบๆ…”
สวี่ชีอันลุกพรวดออกไปจากห้องทันที หันหลังกลับปิดประตูสนิท แล้วควบแม่ม้าน้อยวิ่งห้อตะบึงออกไป
…
จวนสกุลไฉ
หลี่หลิงซู่ยกถ้วยชาร้อนด้วยมือสองข้างและจิบเครื่องดื่มรสหวานเข้าไป
ในถ้วยชาสีขาวประณีตในมือ มีผลเก๋ากี่แช่อยู่เต็มถ้วย ทำให้น้ำชาที่เหลือเล็กน้อยในถ้วยออกรสหวานเป็นพิเศษ
เฮ้อ ชีวิตแต่ละวันนี้หนอ…หลี่หลิงซู่ถอนหายใจออกมา
ก่อนที่ลัทธิเต๋าจะก้าวสู่ระดับเหนือมนุษย์ การพัฒนาทางร่างกายนั้นมีข้อจำกัดอยู่มาก ไม่เหมือนสายจอมยุทธ์ที่ร่างกายเปลี่ยนแปลงได้เช่นนั้น
ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา สองพี่น้องตงฟางตั้งใจสูบพลังวิญญาณของเขาจนทำให้เขาอยู่ในสภาพร่อแร่ตลอดเวลา
เดิมทีคิดว่าถ้าทิ้งสองพี่น้องตงฟางมาได้ จะฟื้นฟูพลัง สะสมพลังวิญญาณได้อย่างเต็มที่ แต่ใครจะไปคิดว่าด้วยเหตุผลหลายๆ ประการทำให้ต้องหันไปซบอกสาวงามรายอื่นแทน
จากเหวินเหรินเชี่ยนโหรวถึงไฉซิ่งเอ๋อร์ พวกนางล้วนเป็นฟืนแห้งใกล้ไฟ
“บางทีข้าน่าจะลองฝึกสายจอมยุทธ์ ถึงแม้จะมีกฎห้ามสูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนฝึกขั้นหลอมปราณ แต่นั่นก็จำกัดแค่คนที่ไม่พื้นฐาน คนที่สูญเสียความบริสุทธิ์ไปตั้งแต่แรกหลอมปราณไม่ได้ หากข้าฟื้นฟูตบะกลับมาได้ การฝึกหลอมปราณอย่างหนักด้วยระดับเต๋าขั้นสี่ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร
“แต่อย่างไรเสียข้าก็ต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ขั้นหลอมจิต มิฉะนั้น หากปราศจากการทรมานตนแล้วไซร้ ข้าก็ไม่มีวันไปถึงขั้นห้าสลายแรง เดี๋ยวสิ ข้าไม่ได้ฝึกฝนสายจอมยุทธ์เพื่อพลังต่อสู้ แค่ขั้นหลอมปราณก็พอแล้ว…”
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เห็นร่างของคนผู้หนึ่งยืนขึ้นมาจากเงาของโต๊ะชา
ปรากฏว่าเป็นสวีเชียนที่มีสีหน้าราบเรียบ
“ท่านผู้อาวุโส?”
หลี่หลิงซู่ตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าสวีเชียนจะมาหาด้วยตัวเอง ไม่กลัวว่าจะถูกภิกษุของสำนักพุทธพวกนั้นจับได้บ้างหรือ
เพียงแค่เอ่ยปากทักทาย เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่าทางของสวีเชียนผิดปกติไป
ความสามารถในการ ‘สังเกตสิ่งรอบตัว’ ของนิกายสวรรค์ ทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอันเล็กน้อยของคนหรือสิ่งของที่คลุกคลีมานานได้ทันที
เป็นความสามารถจำเป็นของขั้น ‘สวรรค์และมนุษย์รวมเป็นหนึ่ง’
แม้ว่าหลี่หลิงซู่ไม่ได้ถือว่ารู้จักสวีเชียนเป็นอย่างดี แต่ก็ใช้เวลาด้วยกันมากพอสมควร
สวีเชียนที่ผ่านมาเป็นดั่งแอ่งน้ำลึกล้ำสุดหยั่งถึง ทว่าสวีเชียนในตอนนี้กลับเป็นเหมือนคลื่นน้ำปั่นป่วนใต้ผิวน้ำเรียบสงบ
สวี่ชีอันพยักหน้าและกล่าว “เมื่อคืนไฉซิ่งเอ๋อร์อยู่ที่ใด”
‘บนเตียงข้า’ หลี่หลิงซู่กล่าว “อยู่กับข้าตลอด”
สวี่ชีอันถามย้ำ “เจ้าแน่ใจหรือ”
อาจจะอาศัยช่วงที่เจ้าหลับ แอบไปทำเรื่องน่าละอายก็ได้
หลี่หลิงซู่ขมดวคิ้ว “เมื่อคืนกว่าเราสองคนจะเสร็จกิจก็ปาเข้าไปยามจื่อสองเค่อแล้ว อีกอย่างผนึกของข้าแตกออกส่วนหนึ่งทำให้นอนหลับไม่สนิท หากคนที่นอนข้างๆ ลุกออกไป ไม่มีทางที่ข้าจะไม่รู้”
พูดมาถึงตรงนี้ หลี่หลิงซู่ก็นวดคลึงเอวที่ปวดโดยไม่รู้ตัว
ยามจื่อสองเค่อ เจ้ามันอึดขนาดนั้นเชียวหรือ สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ ไม่พูดไร้สาระ “อีกสองเค่อไปเจอกันที่นอกเมืองทิศเหนือ”
เขากลายร่างเป็นเงาและหายไปจากห้อง
“ลึกลับดีแท้…”
หลี่หลิงซู่กุลีกุจอออกไปจากห้องทันที แล้วไปขอม้าตัวหนึ่งจากผู้ดูแลจวนไฉ ขี่ไปตามเส้นทางสายหลัก มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองทิศเหนือ
ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ ทั้งสองก็พบกันนอกประตูเมืองทิศเหนือ หลี่หลิงซู่สังเกตเห็นว่าสวีเชียนเปลี่ยนท่าทีไปอีกแล้ว
สวี่ชีอันพยักหน้าน้อยๆ ไม่มีคำอธิบายใดๆ แตะท้องของแม่ม้าน้อยเบาๆ แล้วห้อตะบึงออกไป
“ย่า!”
หลี่หลิงซู่สะบัดแซ่ตามไปทันที
เมื่อเข้าใกล้หมู่บ้าน สวี่ชีอันก็ชะลอความเร็วของม้าลง โยนเสื้อคลุมและหมวกให้กับอีกฝ่าย
“ใส่เสีย ในหมู่บ้านเกิดเหตุฆาตกรรม เจ้าไปเรียกวิญญาณมาไต่ถามว่าใครเป็นฆาตกร”
เมื่อหลี่หลิงซู่เปลี่ยนเสื้อแล้ว สวี่ชีอันก็พลิกตัวลงจากม้า ดีดนิ้วสองสามครั้ง แม่ม้าน้อยและหลี่หลิงซู่ก็เดินเข้าไปซ่อนตัวในป่าละเมาะข้างทางอย่างว่าง่าย
‘แหม กู่สัตว์ร้ายนี่ช่างมีประโยชน์จริงๆ’ หลี่หลิวสู่ครุ่นคิดอย่างริษยา
ซินกู่เรียกอีกอย่างว่า ‘กู่เดรัจฉาน’ ‘กู่สัตว์ร้าย’ เนื่องจากปรมาจารย์ซินกู่ใช้ในการควบคุมแมลงพิษและสัตว์ร้าย
ทั้งสองเข้าไปยังหมู่บ้านพร้อมกัน ทันทีใกล้ถึงที่หมาย สวี่ชีอันก็พบว่านอกบ้านหลังเล็กมีผู้คนมุงดูรายล้อม พร้อมกับเสียงร่ำไห้ดังมาจากข้างในบ้าน
ชาวบ้านที่อยู่ทั้งในบ้านและนอกบ้านต่างส่งเสียงกระซิบกระซาบ
สวี่ชีอันได้ยินเพียงคำพูดเลือนรางไม่กี่คำ
“ครอบครัวของหวางเหล่าซื่อเคยทำร้ายใครด้วยหรือ”
“ใครจะไปรู้เล่า แม้แต่เด็กน้อยก็ไม่เว้น ฆาตกรช่างใจทรามหยาบช้าจริงๆ”
“เฮ้อ หรือจะเป็นฝีมือของไฉเสียน ต้องเป็นเขาแน่ ได้ยินไอ้วิปริตนี่สังหารพ่อเลี้ยงของตนได้ลงคอ”
“ไอหยา แบบนี้พวกเราจะไม่ตกอยู่ในอันตรายหรือ”
เขาและหลี่หลิงซู่ผลักชาวบ้านออก แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
ร่างของสมาชิกครอบครัวสามคนวางอยู่บนไม้กระดานเรียบง่ายกลางบ้าน คลุมทับด้วยผ้าขาวสกปรก ด้านข้างมีชายชราผมหงอกขาวผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าร่ำไห้เสียงดังลั่น
คู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังยุ่งมือเป็นระวิงอยู่ในบ้าน พวกเขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา ใบหน้ามืดหม่น ดูท่าทางเคยชินกับการทำงานใช้แรงงาน
“พวกเจ้าเป็นใคร”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันและหลี่หลิงซู่เข้ามา สองสามีภรรยาหนุ่มสาวก็รู้สึกระแวง โดยเฉพาะหลี่หลิงซู่ที่สวมเสื้อและหมวกคลุม
“คนของทางการ”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ใครให้พวกเจ้าเคลื่อนย้ายศพตามใจชอบ หากทำลายเบาะแสที่ฆาตกรหลงเหลือไว้จะทำอย่างไร”
ทันทีที่เขายิงคำถามใส่ชายหนุ่ม อีกฝ่ายก็ตะลึงงัน คิดว่าตนเองทำครั้งใหญ่หลวงลงไปเสียแล้ว
หลี่หลิงซู่ถือโอกาสนี้เดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ และปิดประตู
ไม่ทันเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้ตอบโต้ สวี่ชีอันสอบถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง “พวกเจ้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับครอบครัวนี้”
ชายหนุ่มหันกลับไปมองเหยื่อผู้ชาย ด้วยความโศกเศร้าบนใบหน้าหมองคล้ำ
“เขาเป็นพี่ชายของข้า พ่อข้าเป็นอาของเขา เมื่อช่วงเที่ยงวันเพื่อนบ้านเห็นคนแปลกหน้าเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็รีบหนีออกไป จึงมาตรวจดู แต่ตะโกนเรียกอยู่นานก็ไม่มีคนตอบ พอเข้ามาก็เห็นว่าทุกคนถูกสังหารไปแล้ว…”
ขณะที่เขาพูด ดวงตาของเขาก็แดงก่ำขึ้นมา
สวี่ชีอันเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม “ไปเรียกเพื่อนบ้านผู้นั้นมาซิ”
ชายหนุ่มก้าวข้ามธรณีประตู กวาดสายตามองฝูงชนที่คลาคล่ำหน้าบ้าน และเอ่ยขึ้นด้วยภาษาถิ่น
“ใต้เท้าท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถาม พวกเจ้าเข้ามาสิ”
เขาชี้ไปยังเพื่อนบ้านหลายคน
ไม่นาน หญิงชราสองนางที่เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงก็เข้ามาในบ้าน
แม่เฒ่าทั้งสองมีท่าทีหวาดกลัว แต่ไม่อาจสลัดทิ้งนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นของตนได้ จึงเหลือบมองศพทั้งสามร่างบนไม้กระดานบ่อยครั้ง
“มีคนแปลกหน้าเข้ามาที่นี่บ้างหรือไม่”
คำถามของสวี่ชีอัน ได้คำตอบกลับมาว่า “มีคนแปลกหน้ามาที่นี่เมื่อตอนเที่ยงวันเจ้าค่ะ”
“มีคนท่าทางแปลกๆ เข้ามาที่นี่ตอนเช้าหรือไม่”
สองแม่เฒ่ามองหน้ากัน แล้วส่ายหัว
คนหนึ่งบอกว่าไม่ทันสังเกต อีกคนบอกว่าไม่เห็น
ในหมู่บ้านเล็กๆ แม้ว่าคนจะไม่มาก แต่มีข้อดีตรงที่หากมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านก็จะเป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการฆาตกรรมจะเกิดขึ้นในช่วงกลางคืนมากกว่า…เขาครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ ทันใดนั้นหลี่หลิงซู่ก็เดินออกมาจากในบ้านและส่ายหน้าให้กับเขา
“ดวงวิญญาณแตกสลายไปแล้ว” หลี่หลิงซู่ส่งกระแสจิต
ใบหน้าของสวี่ชีอันมืดมนลงทันที แล้วพยักหน้าช้าๆ
ทั้งสองไม่รั้งรอ รีบออกไปจากหมู่บ้านทันที
ระหว่างทางกลับ หลี่หลิงซู่ก็กระซิบถาม “เกิดอะไรขึ้น”
“วันนั้นข้าสะกดรอยตามไฉเสียนจนมาถึงที่นี่ ไฉเสียนกบดานอยู่กับครอบครัวนี้”
สวี่ชีอันนั่งบนหลังแม่ม้าน้อย ทอดสายตามองออกไปไกลและกล่าว
“วันนั้นพวกเราตกลงจะใช้ที่นี่เป็นสถานที่ติดต่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร ข้าวางแผนจะใช้โอกาสให้กระตุ้นให้เขาเผชิญหน้ากับไฉซิ่งเอ๋อร์ในงานชุมนุมมือสังหารมาร เพื่อระบุตำแหน่งของเขา อืม ข้าใช้ซินกู่ควบคุมแมวตัวหนึ่งให้สะกดรอยตามเขาไป ทันทีที่ตัวข้าไปถึง เขาก็หายไปเสียแล้ว”
เขาเล่าข้ามว่าเหตุใดต้องตามหาตัวไฉเสียน
แม้ว่าหลี่หลิงซู่จะสงสัยอยู่บ้างแต่ก็ไม่ซักไซ้ เขากล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม “แต่วันนี้ไฉเสียนยังไม่ปรากฏตัวที่งานชุมนุมมือสังหารมารเลย”
“นั่นสิ!”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อยืนยัน แต่กลับมาพบว่าพวกเขาถูกฆ่าตายเสียได้”
“ฟู่…” หลี่หลิงซู่พ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“จุดประสงค์ที่สังหารพวกเขา ก็เพื่อไม่ให้ไฉเสียนเข้าร่วมงานชุมนุมมือสังหารมารหรือ เช่นนี้ก็มีปัญหาอยู่ แสดงว่าเมื่อคืนฆาตกรต้องรู้ว่าไฉเสียนจะมาที่นี่ ไม่อย่างนั้น ถ้าไฉเสียนไม่ได้รับจดหมายของเจ้า เขาก็ไม่น่าจะโผล่มาได้ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าปิดปากพวกเขา”
คำพูดดังกล่าวสะกิดใจสวี่ชีอัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “บางทีอาจจะไม่ได้ทำเพื่อป้องกันไม่ให้จดหมายดังกล่าวไปถึงมือของไฉเสียน แต่ทำเพื่อขู่ให้ไฉเสียนหนีไป”
“หมายความว่าอย่างไร” หลี่หลิงซู่ถาม
“ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้จักไฉเสียนดีนัก แต่รู้ว่าคนผู้นี้นิสัยใจคอสุดโต่ง เขาอยู่ที่เสียงโจวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน และตามหาฆาตกรตัวจริง ต่อให้ไม่มีจดหมายของข้า ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาอาศัยโอกาสในงานชุมนุมมือสังหารมารแก้แค้นให้ตนเองอยู่ดี”
สวี่ชีอันวิเคราะห์
“จดหมายอาจเป็นสิ่งรับประกันความปลอดภัยพิเศษจากข้า แต่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด เพราะข้าเองยังไม่แน่ใจว่าเมื่อคืนไฉเสียนจะมาที่นี่หรือไม่ แต่เหตุใดผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ถึงมั่นใจนักหนาว่าไฉเสียนจะมา”
ข้อสันนิษฐานในการฆ่าปิดปากคือ ไฉเสียนได้รับจดหมาย และจะต้องไปขัดขวางงานชุมนุมมือสังหารมารในวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน
แต่สวี่ชีอันไม่อาจมั่นใจว่าไฉเสียนมาที่หมู่บ้านเมื่อคืนนี้จริงๆ ถ้าหากเขาไม่มาก็ไม่เห็นจดหมาย แรงจูงใจในการฆ่าปิดปากก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ครอบครัวทั้งสามคนต่างถูกสังหารไปหมด แสดงว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังรู้ว่าเมื่อวานนี้ไฉเสียนต้องมาที่นี่
หลี่หลิงซู่เข้าใจทันที
“จดหมายไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งสำคัญคือฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังรู้ว่าเมื่อวานไฉเสียนต้องมาที่นี่เป็นแน่ เขาสังหารครอบครัวทั้งสามคนนี้ล่วงหน้า เพื่อให้ไฉเสียนหวาดกลัว และคิดว่าบุคคลลึกลับที่ตนพบเจอเมื่อตอนนั้น ซึ่งก็คือท่าน ผู้อาวุโส คือผู้ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมต่ำช้า
“เนื่องจากความหวาดระแวง ทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปก่อกวนงานชุมนุมมือสังหารมาร แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของฆาตกรคืออะไร”
สวี่ชีอันไม่อาจให้คำตอบได้ จึงส่ายหน้า
“ยังขาดข้อมูลชิ้นสำคัญไปชิ้นหนึ่ง ในคดีนี้นอกจากไฉซิ่งเอ๋อร์และไฉเสียนแล้ว ยังมีบุคคลที่อยู่เบื้องหลังอีกหนึ่งคน เป็นเขาที่เที่ยวสังหารผู้คนไปทุกหนแห่ง หากระบุตัวตนของคนผู้นี้ได้ ความจริงก็จะถูกไขกระจ่าง”
หลี่หลิงซู่คิดถึงบุคคลหนึ่งขึ้นมา “หรือว่าจะเป็นไฉหลาน”
บุคคลผู้นี้ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน นางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในวันที่ไฉเจี้ยนหยวนสิ้นลม ไม่ปรากฏข่าวคราวอีกเลย
สวี่ชีอันถามกลับ “นางฝึกตบะหรือไม่”
“ตบะของไฉหลานจัดได้ว่าไม่เลว แต่น่าจะไม่ถึงขั้นสี่หรือแม้แต่ขั้นห้าด้วยซ้ำ แต่ข้าไม่แน่ใจว่านางมีพลังที่ซ่อนอยู่หรือไม่” ท่าทางของหลี่หลิงซู่ไม่แน่ใจนัก
สวี่ชีอันกล่าว “สองวันนี้ไม่ต้องมาหาข้านะ”
“เพราะอะไร”
“ข้าจะแอบสืบคดี หาฆาตกรตัวจริงแล้วฆ่ามันเสีย” สวี่ชีอันกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
…
จวนสกุลไฉ
ภิกษุรูปหนึ่งกลับมาถึงจวน เคาะประตูห้องของจิ้งซิน เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงผลักประตูเข้ามา และเห็นจิ้งซินกำลังเล่นหมากล้อมกับจิ้งหยวน
“ศิษย์พี่ทั้งสอง สีกาไฉซิ่งเอ๋อร์ให้ข้ามาส่งข่าวว่าเกิดคดีฆาตกรรมยกครัวขึ้นในหมู่บ้านเสี่ยวชุนทางทิศตะวันตกของเมืองเซียงโจวห่างออกไปสามสิบกว่าลี้ สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของชาวยุทธ์
“หลังจาก ‘หน่วยค้นหา’ สอบถามเรื่องราว ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นฝีมือของไฉเสียนจริงๆ ทว่าชาวบ้านในหมู่บ้านเล่าว่า วันนี้ตอนเที่ยงวันมีชายหนุ่มในชุดสีดำมายังหมู่บ้าน จากนั้นไม่นาน ก็มีคนนอกแต่งกายประหลาดเข้ามาในหมู่บ้านอีก โดยอ้างว่าเป็นคนของทางการ
“แต่ที่ทำการปกครองยืนยันแล้วว่า ทั้งสองคนนี้ไม่ได้เป็นคนของทางการแต่อย่างใด”
เขาอธิบายลักษณะการตายของครอบครัวสามคนอย่างละเอียด
จิ้งซินคลึงตัวหมากในมือ และวางลงเกิดเสียงดัง ‘แป๊ก’ และกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “รู้แล้ว”
ภิกษุรูปนั้นประนมมือและถอยกลับ
“บางทีอาจจะเป็นจอมยุทธ์พเนจรก็ได้” จิ้งหยวนกล่าว
เขาหมายถึงชายสองคนที่สมอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ทางการหลังเกิดเรื่อง
“ไม่เคยสูบกินแก่นโลหิต ไม่เคยรีดไถเงิน เช่นนั้นจะสังหารคนไปเพื่อการใด” จิ้งซินขมวดคิ้วครุ่นคิด
“บางทีอาจจะเป็นแรงอาฆาต บางทีอาจเป็นกลยุทธ์กวนน้ำจับปลา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้มาก หากต้องการจะจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ต้องจัดการถอนรากถอนโคนให้สิ้นซาก” จิ้งหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
หลังจากงานชุมนุมมือสังหารมาร ทางการและกองกำลังขนาดใหญ่หลายแห่งในยุทธภพก็ค้นหากันในเมืองแบบบ้านต่อบ้าน ตามบัญชีสำมะโนครัว
นอกจากนี้ยังมี ‘หน่วยค้นหา’ ประจำการตามหมู่บ้านและเมืองต่างๆ
เพื่อจะเดินมาถึงก้าวนี้ ทางการเซียงโจวต้องลงทุนลงแรงไปมาก
“คืนนี้เจ้าต้องออกไปลาดตระเวน อย่าลืมสำแดงฤทธาด้วย” จิ้งซินกล่าว
“อืม” จิ้งหยวนส่งเสียงตอบรับ
จิ้งซินวางหมาก แล้วหยิบหนังสือโบราณออกมาจากย่าม พลิกหน้าหนังสือไปหยุดที่หน้าหนึ่ง
“เผ่าซือกู่แห่งซินเจียงตอนใต้มีเคล็ดวิชาลับในการใช้ศพเลี้ยงศพ ซึ่งเกิดจากการเคล็ดวิชาในการเลี้ยงกู่ โดยปล่อยให้มนุษย์ศพกัดกินกันเอง แก่งแย่งแก่นวิญญาณ ตัวที่ชนะเป็นตัวสุดท้ายจะกลายเป็นราชาแห่งศพ
“เหนือกว่าศพเหล็กคือศพบิน ศพบินไม่สามารถแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าของจอมยุทธ์ขั้นหลอมวิญญาณ ไม่สามารถควบคุมพลังได้อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับจอมยุทธ์ขั้นสลายแรง ไม่มี ‘จิต’ ของจอมยุทธ์ขั้นสี่ แต่ศพบินสามารถบินขึ้นไปในอากาศได้ในระยะเวลาสั้นๆ พลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าขั้นสี่ นับว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว
“เนื่องจากพวกเขาดูดซึมแก่นโลหิตเป็นปริมาณที่เพียงพอ ทำให้กลั่นยาโลหิตในร่างกายของตนได้ และมีความสามารถในการสร้างเลือดเนื้อถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ได้”
จิ้งซินกล่าวช้าๆ “หลังจากสังหารจอมยุทธ์ไปมากมาย ก็มีบางส่วนถูกช่วงชิงแก่นโลหิตไป บางส่วนศพหายไป ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเกรงว่าจะมีคนคิดอยากจะสร้างศพบินขึ้นมา เขาไม่มีทางปล่อยผู้ที่เคยฝึกพลังเทพวชิระอย่างเจ้าไปแน่นอน”
จิ้งหยวนกล่าวยิ้มๆ “โดยเฉพาะเมื่อข้าสำแดงตบะเกือบถึงขั้นห้าในงานชุมนุมมือสังหารมาร”
ในขณะที่พูด ก็มีภิกษุอีกรูปหนึ่งเดินเข้ามา แล้วส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้
“ศิษย์พี่จิ้งซิน ผู้ดูแลจวนสกุลไฉนำจดหมายมาให้ บอกว่าส่งมาจากคนข้างนอกจวน กำชับว่าต้องส่งให้ถึงมือท่านเท่านั้น”
จิ้งซินเปิดซองจดหมายออกด้วยความสงสัย
…
สวี่ชีอันกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วเคาะประตู
“ใครน่ะ”
เสียงระแวดระวังของมู่หนานจือดังขึ้นจากด้านหลังบานประตู
“ข้าเอง”
สวี่ชีอันรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของนางฟังดูแปลกไป จึงกล่าว “เปิดประตู เป็นอะไรไป”
‘แอ๊ด’
บานประตูถูกเปิดออก มู่หนานจือยินอยู่หน้าประตู สีหน้าดูเคร่งเครียด
สุนัขจิ้งจอกสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือนอนหมอบอยู่แทบเท้าของนาง เสียงเล็กๆ ของมันแสร้งทำเป็นจริงจังขึ้นมา
“มีคนเฝ้าจับตามองพวกเราอยู่ ถ้าเจ้ายังไม่กลับมา ท่านป้าจะกลัวจนมุดไปอยู่ใต้เตียงแล้วนะ”
…………………………………………….