ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 546 ชันสูตรศพ
บทที่ 546 ชันสูตรศพ
“ถูกเฝ้าจับตามองหรือ”
สวี่ชีอันตื่นตระหนก รีบเดินไปที่หน้าต่างแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนสายตากลับมา “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองถูกเฝ้าจับตามองอยู่”
เขาไม่รู้สึกเหมือนตัวเองถูกสอดแนมตรงไหน ถึงแม้การบ่มเพาะพลังยุทธ์ขั้นสามของเขาจะถูกผนึกไว้ แต่เทพเจ้ากู่ในร่างย่อมอ่อนไหวต่อปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นพิเศษ
“หลังจากที่เจ้าจากไป จู่ๆ นางก็บอกว่ามีคนกำลังจับตาดูพวกเรา”
มู่หนานจือรู้สึกกลัวเล็กน้อย “แต่ข้ามองออกไปนอกหน้าต่างเป็นเวลานาน กลับไม่เห็นว่ามีใครกำลังเฝ้าจับตาดูพวกเราอยู่เลย เพราะแบบนี้ข้าถึงอดกลัวไม่ได้”
สวี่ชีอันมองไปที่จิ้งจอกขาวตัวน้อยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ามีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วยหรือ”
จิ้งจอกขาวตัวน้อยส่ายหัวและพูดอย่างนุ่มนวลว่า “พรสวรรค์ของข้าคือการลอบเร้นและความเร็ว”
สวี่ชีอันถามต่อ “เจ้าคงไม่ได้ตาฝาดไปเองหรอกกระมัง”
สุนัขจิ้งจอกขาวตัวน้อยยังคงส่ายหัวอย่างแรง “สัญชาตญาณของข้าไม่เคยพลาด”
“เข้าใจแล้ว”
สวี่ชีอันกล่าวต่อว่า “เจ้าสองคนไปอยู่ในเจดีย์พุทธะชั่วคราวก่อน ข้าพบเรื่องแปลกๆ ระหว่างการสอบสวนเมื่อไม่นานมานี้”
เขาเรียกหาเสี่ยวเอ้อ สั่งให้จัดเตรียมอาหารแห้ง น้ำสะอาด และสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน จากนั้นก็อัญเชิญเจดีย์พุทธะออกมา แล้วส่งมู่หนานจื่อและจิ้งจอกขาวตัวน้อยเข้าไปข้างใน
หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมการทั้งหมดนี้ สวี่ชีอันไม่ได้กลับออกไปทันที เขาเดินไปที่โต๊ะ กางกระดาษออกมาวาง และเริ่มทำการทบทวนคดีของตระกูลไฉตามวิสัยปกติของตน
แม้ว่าตัวเขาจะเคยให้ความสนใจและเคยทำการวิเคราะห์คดีนี้มาก่อนแล้ว ทว่าสวี่ชีอันในตอนนั้นมัวแต่ให้ความสำคัญกับการยึดครองชีพจรมังกร การตรวจสอบรายละเอียดข้อเท็จจริงของคดีนี้จึงมีเวลาจำกัด
จนกระทั่งวันนี้ หลังจากได้เห็นการเสียชีวิตของครอบครัวสามคนแล้ว สวี่ชีอันจึงตัดสินใจละทิ้งความต้องการครอบครองชีพจรมังกรไว้ก่อน แล้วอุทิศตัวให้กับการตามล่าฆาตกรชั่วช้าผู้นี้ และจัดการกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังคดีนี้ให้เรียบร้อย
“ติดตามสะกดรอยข้า เข่นฆ่าผู้คนข่มขวัญ จับตาดูมู่หนานจือ ได้เลย เรามาเล่นสนุกกันเถอะ”
เขามีประสบการณ์โชกโชนในการสืบสวนคดีอาชญากรรม รวมถึงความรู้ด้านจิตวิทยาอาชญากร ดังนั้นการวิเคราะห์ปัญหาของเขาจึงแม่นยำและละเอียดอ่อนกว่าคนฉลาดทั้งหลายในยุคนี้
“ต้นตอของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือเหตุฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในจวนสกุลไฉเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ผู้ตายคือไฉเจี้ยนหยวน ผู้ต้องสงสัยคือไฉเสียน บุตรบุญธรรมของผู้ตาย มีพยานคือไฉซิ่งเอ๋อร์ รวมถึงทุกคนในตระกูลไฉ มูลเหตุจูงใจในการฆาตกรรม เพราะความรัก!”
“หมายเหตุ ไฉหลานหายตัวไป”
สวี่ชีอันยังไม่หยุดเขียน เขาเขียนสรุปความคิดของตัวเองต่อไป
“แรงจูงใจไม่เพียงพอที่จะผลักดันให้ผู้ต้องสงสัยฆ่าบิดาหรือญาติของเขา อาจมีเหตุผลอื่น หรืออาจถูกใส่ร้ายป้ายสี อดีตสามีของไฉซิ่งเอ๋อร์เสียชีวิตเพราะไฉเจี้ยนหยวน นางจึงเก็บงำความแค้นไว้ ส่วนทายาทของไฉเจี้ยนหยวนมีความสามารถในระดับปานกลาง ไม่สามารถสืบทอดธุรกิจของครอบครัวได้ ดังนั้นไฉซิ่งเอ๋อร์จึงเป็นผู้รับผลประโยชน์รายใหญ่ที่สุด ซึ่งมีแรงจูงใจเพียงพอในการสังหาร”
หลังจากเขียนย่อหน้านี้ สวี่ชีอันก็สรุปต่อไปอีก
“ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ไฉเสียน ผู้ต้องสงสัยอันดับสอง ไฉซิ่งเอ๋อร์”
แม้ว่าจากการคาดเดาของเขา ไฉซิ่งเอ๋อร์จะดูน่าสงสัยมากกว่าไฉเสียน เพราะเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด แต่มีหลักฐานแน่ชัดในขณะนั้นว่าไฉเสียนเป็นฆาตกร การสืบสวนจึงยังไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นไฉเสียนจึงยังคงเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง
สวี่ชีอันหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ เขาถือถ้วยชาพลางครุ่นคิดต่อไปครู่หนึ่ง สิบวินาทีต่อมาก็เริ่มเขียนเนื้อหาส่วนที่สองของคดี
“หลังจากนั้นไฉเสียนได้ก่อคดีฆาตกรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเซียงโจวหรือแม้แต่จางโจว โดยพุ่งเป้าไปที่ผู้มีฐานการฝึกตนก่อน จากนั้นก็ลามมายังคนธรรมดาทั่วไป!”
“หมายเหตุ สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัยที่สังหารบิดาของตนเองเพราะความรัก”
กล่าวโดยสรุปแล้ว แรงจูงใจของไฉเสียนในการก่ออาชญากรรมนั้นขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังไม่สมเหตุสมผลกับการกระทำหลังจากนั้นของเขาในเรื่องของการก่อความไม่สงบในเซียงโจว
ไม่มีอะไรมากไปกว่าสามสถานการณ์ข้างต้น
“สรุป แรงจูงใจในการฆ่าของไฉเสียนพลิกกลับเป็นแรงจูงใจอื่นได้ หากไม่ได้สังหารเพื่อความรักก็ต้องมีสาเหตุอื่น ไฉเสียนถูกใส่ร้ายแน่ มีประเด็นอื่นซ่อนเร้นอยู่ในคดีนี้”
หลังจากแยกแยะคดีแล้ว สวี่ชีอันก็เขียนประเด็นที่น่าสงสัยสองข้อ
“ฆาตกรในหมู่บ้านเสี่ยวชุนเป็นฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่”
“จุดประสงค์ของคดีฆาตกรรมในเซียงโจวคืออะไร”
สวี่ชีอันวางพู่กันลงและทำการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
“หากผู้ที่อยู่เบื้องหลังเป็นมือสังหารเมื่อคืนนี้ เขา (หรือนาง) ก็ซุ่มโจมตีไฉเสียนและจัดการกับเขาได้อย่างเต็มที่ ทว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ทำเช่นนั้น หากคนผู้นั้นคือไฉซิ่งเอ๋อร์ ไฉเสียนก็ควรถูกกำจัดทิ้งไปแล้วมิใช่หรือ”
ตรงนี้เป็นอีกจุดที่มีข้อขัดแย้งชัดเจน
คดีนี้มีข้อขัดแย้งอยู่สามประการ หากไฉเสียนเป็นฆาตกรในคดีฆาตกรรมตระกูลไฉจริง เหตุสังหารหมู่ที่ตามมาก็ถือว่าขัดแย้งกันมาก
ข้อขัดแย้งนี้แสดงถึงความเป็นไปได้ที่ไฉซิ่งเอ๋อร์จะใส่ร้ายไฉเสียนเพื่อรับผลประโยชน์จำนวนมหาศาล
แต่คดีฆาตกรรมเมื่อคืนนี้ที่หมู่บ้านเสี่ยวชุนกลับขัดแย้งกับข้อสันนิษฐานที่ว่า ‘ไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นฆาตกรผู้อยู่เบื้องหลัง’
ช่วงแรกของคดีฆาตกรรมตระกูลไฉ มีการระบุตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นไฉเสียน
ช่วงที่สองของคดี เกิดเหตุฆาตกรรมบ่อยครั้งในเซียงโจว มีการระบุตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นไฉซิ่งเอ๋อร์
ช่วงที่สามของคดี การสังหารหมู่ครอบครัวในหมู่บ้านเสี่ยวชุน ช่วยลบเลือนข้อสันนิษฐานว่าไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทำให้คดียิ่งซับซ้อนชวนให้สับสนยิ่งขึ้น
“ไฉหลานอยู่ที่ไหน ไฉหลานหายไปไหน สมมติว่าไฉซิ่งเอ๋อร์เป็นผู้บงการเบื้องหลัง แต่ไฉหลานเป็นคนลงมือสังหารครอบครัวในหมู่บ้านเสี่ยวชุน ถ้าอย่างนั้นข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีความจำเป็นต้องหาอะไรมาหักล้างด้วย แต่ไฉหลานทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร ข้าจะคาดเดาแบบนั้นก็ไม่ได้ ไฉหลานไม่เคยปรากฏตัวออกมาตั้งแต่แรก ไม่มีเบาะแสใดที่เกี่ยวข้องกับนาง การตั้งสมมติฐานเช่นนี้รังแต่จะนำไปสู่ทางตัน”
หลังจากวิเคราะห์ประเด็นนี้แล้ว สวี่ชีอันรู้สึกคลุมเครือว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นี่คือสัญชาตญาณของนักสืบเก่า
สวี่ชีอันเอนหลังพิงพนักเก้าอี้และหลับตา กระบวนการนี้กินเวลานานกว่าสิบนาที เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็มีคำตอบในใจแล้ว
ความสับสน!
ใช่แล้ว ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของคดีตระกูลไฉคือความสับสนและความขัดแย้งในทุกส่วน แต่สิ่งที่ทำให้เขาตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติก็คือแรงจูงใจ!
“ความขัดแย้งทั้งหมดมีแรงจูงใจที่ไม่สมเหตุสมผล แรงจูงใจของไฉเสียนในการฆ่าไฉเจี้ยนหยวนนั้นไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แรงจูงใจการสังหารหมู่ในหมู่บ้านเสี่ยวชุนยิ่งไร้เหตุผล และแรงจูงใจในการฆ่าคนจำนวนมากเพียงเพื่อใส่ร้ายไฉเสียนนั้นก็ไม่มีเหตุผลเช่นกัน รู้สึกเหมือนยิงแมลงวันด้วยปืนใหญ่[1] หากไฉเสียนเป็นทายาทที่หลงผิด จงใจสังหารบิดาของตัวเองเพื่อไฉหลาน ตราบใดที่เขาซ่อนตัวไฉหลานโดยจับนางไว้เป็นตัวประกัน เขาก็ไม่มีทางไปจากเซียงโจว เพราะฉะนั้นจะต้องมีอีกเรื่องที่ซ่อนอยู่ในคดีนี้ ซึ่งไม่ง่ายอย่างที่ปรากฏให้เห็นกันแต่เพียงผิวเผิน ย้อนรอยกลับไปยังจุดเริ่มต้นจากตระกูลไฉ…”
สวี่ชีอันจุดไฟเผากระดาษด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย กระทั่งมันกลายเป็นขี้เถ้า แล้วโยนมันลงไปในกระถางล้างพู่กัน ก่อนจะเดินออกจากโรงเตี๊ยม
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา เจ้าของโรงเตี๊ยมนั่งอยู่หลังโต๊ะดีดลูกคิดและจัดเรียงสมุดบัญชี
เสียงท่องพระนามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าอันอ่อนโยนดังขึ้นที่ข้างหู
“อมิตตาพุทธ!”
เจ้าของเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นภิกษุที่มีลักษณะของชาวแดนประจิม สวมชุดภิกษุที่สะดวกแก่การเดินทาง ท่าทางนิ่งสงบและเก็บตัว
“ไต้ซือต้องการพักแรมหรือแวะพักขอรับ”
รอยยิ้มของเจ้าของปรากฏอยู่ทั่วใบหน้าของเขา
เขาดูแลกิจการโรงเตี๊ยมชั้นสูงแห่งนี้ในเซียงโจวมาเกือบทั้งชีวิต เห็นภิกษุน้อยจนนับนิ้วได้ในที่ราบกลาง ภิกษุในพุทธศาสนาเป็น ‘ของหายาก’
ภิกษุหนุ่มพนมมือ น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
“อาตมาอยากถามว่า หมู่นี้มีชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามาพักบ้างหรือไม่ ชายสวมเสื้อสีดำ หญิงหน้าตาธรรมดา ขี่ม้าศึก”
คำพูดของภิกษุราวกับมีพลังน่าเลื่อมใส ความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจเจ้าของ ราวกับภิกษุตรงหน้าเป็นญาติผู้ใหญ่ที่น่าเกรงขาม
“มีแขกเช่นนั้นอยู่ขอรับ”
เจ้าของบอกความจริง “หากท่านบอกว่าเป็นชายหญิงหน้าตาธรรมดาคู่หนึ่ง ข้าจะไม่เฉลียวใจ แต่หากบอกว่าม้าศึก เช่นนั้นก็รู้ว่าไต้ซือหมายถึงใคร แต่น่าเสียดายที่แขกคนนั้นเพิ่งจะคืนห้องและออกไปแล้ว”
จิ้งซินพยักหน้าและพูดว่า “ขอบคุณเถ้าแก่ที่แจ้งให้อาตมาทราบ”
…
กลางดึก ณ จวนสกุลไฉ
เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด ไร้สุ้มเสียง แสงคบเพลิงจากเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนทำให้เงาสะท้อนของพื้นที่สีเขียวบิดเบี้ยว ก่อนจะส่องเห็นเงามืดที่เคลื่อนไหวขณะหนึ่ง
แต่ในพริบตาต่อมามันก็หายไปอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วปรากฏตัวในความมืดที่ห่างไกลกว่าเดิม มุ่งไปทางจุดหมายต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาถึงลานเล็กที่เงียบสงบ
ไม่ได้เข้าไปในทันที เพราะบริเวณลานเล็กมีผู้คุ้มกันเพิ่มขึ้นมาก จอมยุทธ์ระดับหลอมวิญญาณก็อยู่ในนั้น
แต่เงาดำก็ไม่ได้ถอยกลับเพราะสาเหตุนี้ เขาอ้อมไปอีกทางหนึ่งและมายังด้านหลังลานเล็ก
แสงเทียนภายในห้องสว่างไสว กลิ่นเนื้ออันอบอวลโชยไปทั่วห้อง ชายฉกรรจ์สามคนนั่งล้อมโต๊ะกินซุปข้นโบราณ นั่นก็คือหม้อไฟ
ตั้งแต่ไฉเสียนบุกห้องใต้ดิน จวนสกุลไฉก็ได้เสริมการป้องกันที่นี่ให้แข็งแกร่งขึ้น
ไม่เพียงแต่เพิ่มกำลังคนด้านนอก ยังมียอดฝีมือ ‘ประจำการ’ ในห้องทั้งวันทั้งคืน
สวี่ชีอันอยู่นอกห้องที่คั่นกลางด้วยกำแพง จดจ่อกับปฏิกิริยา
ทั้งสามคนด้านในเป็นจอมยุทธ์ที่อยู่เหนือระดับหลอมวิญญาณ การลอบโจมตีมีแต่จะทำให้พวกเขารับรู้ถึงตัวตนของข้าล่วงหน้า แล้วดึงดูดผู้คุ้มกันด้านนอกมา…หากเป็นข้าในอดีตอาจจะบุ่มบ่ามเข้าไปโดยพึ่งพาเพียงกำลัง แต่ข้าในตอนนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์ป่าเถื่อนอีกแล้ว
สิบวินาทีต่อมา หนูที่นอนหลับอยู่ในโพรงใต้ฐานลานก็ตื่นและลืมตาสีแดงเลือดขึ้น
นี่ไม่ใช่หนูธรรมดา ร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยพิษ สารพิษจะถูกพ่นออกมาทางลมหายใจของมัน ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดติดเชื้อ
…
ภายในห้อง
“เหตุใดไฉเสียนถึงกลับมา”
ชายร่างยักษ์กล่าว
“ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสของตระกูลบอกว่ามาตามหาเสี่ยวหลาน เจ้าบ้านี่เข้าใจว่าเสี่ยวหลานถูกฆ่าและซ่อนอยู่ในห้องใต้ดิน”
ชายฉกรรจ์อีกคนส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าเขาลักพาตัวเสี่ยวหลานไปหรอกหรือ”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดก็ได้ยินเสียงร้อง ‘จี๊ดๆ’ จึงมองไปตามเสียง เห็นหนูดำตัวอ้วนยืนอยู่ในเงามืดของมุมห้อง ดวงตาสีแดงคู่นั้นจ้องทั้งสามอย่างเงียบๆ
ในฐานะจอมยุทธ์ผู้มีสัมผัสไวต่อภยันตราย ในพริบตาที่ชายฉกรรจ์ทั้งสามเห็นหนูตัวนั้น สัญชาตญาณก็เริ่มเตือนภัย
พวกเขาคว้าอาวุธที่พิงโต๊ะอยู่ขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ ตะโกนเสียงดังแจ้งผู้คุ้มกันข้างนอก
ในพริบตาถัดมา ทั้งสามคนก็ฟุบลงบนโต๊ะอย่างอ่อนแรง แล้วหมดสติไป
ไม่กี่วินาทีต่อมาเงาร่างหนึ่งก็โผล่มาจากใต้โต๊ะ สวี่ชีอันมองไปรอบๆ พลางเงี่ยหูฟัง เมื่อมั่นใจว่าผู้คุ้มกันนอกลานไม่ได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวในนี้ เขาจึงหันหลังไปที่ทางเข้าห้องใต้ดิน แล้วเปิดฝาหินอันหนักอึ้งออก
พิษที่ทั้งสามคนในห้องโดนมีฤทธิ์อัมพาตรุนแรง ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ส่วนมากจะรู้สึกอ่อนแอและฟื้นตัวได้ในไม่กี่วัน
หลุมมืดปรากฏขึ้นหลังจากเปิดฝาหินออก สวี่ชีอันหยิบเทียนที่เตรียมไว้ออกมาจุด แล้วถือแสงสีส้มเข้าไปในห้องใต้ดินตามขั้นบันได
เขาเดินผ่านศพทีละแถวอย่างรวดเร็ว คิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่สงบใจและสุขสบายที่สุดในโลก
ทว่าการสืบสวนสำคัญ เขาจึงพยายามข่มใจไม่ตอบโต้และสนทนากับศพ แล้วตรงไปที่ห้องลับส่วนลึกของห้องใต้ดิน
มีธรรมเนียมในจวนสกุลไฉว่า หลังจากสมาชิกเสียชีวิต ศพจะถูกเผาหรืออุทิศร่างให้ตระกูลเพื่อทำให้กลายเป็นผีดิบ
ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ศพของคนในตระกูลถูกคนนอกขุดขึ้นมา
ก่อนเริ่มปฏิบัติการ สวี่ชีอันได้รับข้อมูลจากหลี่หลิงซู่ว่า ไฉซิ่งเอ๋อร์ทำให้ร่างของไฉเจี้ยนหยวนกลายเป็นผีดิบ แล้วเก็บไว้ในห้องใต้ดิน
ข้อโต้แย้งของไฉซิ่งเอ๋อร์คือตระกูลไฉได้เผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จึงต้องการความแข็งแกร่งอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องความปลอดภัยของครอบครัว
เหตุผลนี้จึงได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากตระกูลไฉ
แต่สวี่ชีอันเชื่อว่ามีความเห็นแก่ตัว ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ อยู่ในนี้
แน่นอนว่าความคิดของไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่สำคัญ สวี่ชีอันลอบเข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อชันสูตรศพ
ศพให้ข้อมูลได้มากมาย ไม่ว่าจะลักษณะของบาดแผลหรือสภาพการบาดเจ็บ เป็นต้น ซึ่งจะบอกสวี่ชีอันได้ว่าเป็นคนก่ออาชญากรรมหรือไม่
ในไม่ช้าเขาก็มาถึงห้องลับที่อยู่ลึกเข้าไปในห้องใต้ดิน
ประตูห้องปิดสนิท
ฝ่ามือของสวี่ชีอันแนบกับกระบอกกุญแจและออกแรงฉับพลัน สิ้นเสียง ‘ปัง’ กระบอกกุญแจก็ถูกเป่ากระจาย ปล่อยฝุ่นคละคลุ้ง
ในห้องลับมีศพไม่มาก ซ้ายและขวามีด้านละสี่ร่าง สวมด้วยผ้าคลุมหัวและเสื้อสีเทาสีเดียวกัน รูปแบบเหมือนกัน
สังเกตจากหน้าอกที่นูนเล็กน้อยจะเห็นได้ว่ามีสามศพเป็นเพศหญิง
สวี่ชีอันถอดผ้าคลุมหัวของศพออก หลังจากผ่านการวินิจฉัยก็จำได้ว่าศพร่างที่สามทางด้านซ้ายคือไฉเจี้ยนหยวน
ที่น่าสนใจคือศพที่สามทางด้านขวาเป็นศพเพศชายที่มีองค์ประกอบหน้าเด่นชัด ตามคำบอกเล่าของหลี่หลิงซู่ ‘เขา’ ก็คืออดีตสามีของไฉซิ่งเอ๋อร์
“ให้ตายสิ ศพทั้งสองจ้องมองกันเอง ไฉซิ่งเอ๋อร์มีความแค้นกับไฉเจี้ยนหยวนจริงด้วย”
สวี่ชีอันไม่รีรอ เตะร่างของไฉเจี้ยนหยวนล้ม ถอดเสื้อสีเทาออก แล้วส่องเทียนสำรวจร่าง
ร่างของไฉเจี้ยนหยวนมีร่องรอยเย็บแผลที่หน้าอก แต่การแข็งตัวของศพกลับทำลายร่องรอยบาดแผลอื่น
สวี่ชีอันขยับเทียน แสงสีส้มเลื่อนลงมาจากหน้าอกและหยุดอยู่ที่หว่างขา เขาใช้เสื้อสีเทาคลุมมือและล้วงไปที่ไข่นก
“กำจัดจุดยุทธศาสตร์ที่หว่างขา!”
ตำแหน่งนี้เป็นจุดที่ค่อนข้างอ่อนแอสำหรับจอมยุทธ์กระดูกเหล็กผิวทองแดง
แสงเทียนเลื่อนต่ำลงมาส่องเท้าของไฉเจี้ยนหยวน
ท่ามกลางความสลัว รูม่านตาของสวี่ชีอันขยายตัวเล็กน้อย สายตาหยุดชะงัก
เท้าซ้ายของไฉเจี้ยนหยวนมีหกนิ้ว
………………………………………….
[1] ยิงแมลงวันด้วยปืนใหญ่ หมายถึง การทำบางสิ่งที่ไม่คุ้มค่า หรือทำอะไรเกินตัว