ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 548 เหยื่อล่อ
บทที่ 548 เหยื่อล่อ
“ผู้อาวุโสสวี?”
เมื่อเทพบุตรเห็นแมวสีส้มเข้ามาในห้องก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแย้มแจ่มใสแล้วเอ่ยเสียงเบา “ผู้อาวุโสมาได้อย่างไร มิใช่บอกว่าช่วงหลายวันนี้บอกว่าจะไม่เห็นหน้าหรอกหรือ”
แมวสีส้มเอ่ยภาษามนุษย์ออกมาว่า “บอกว่าเจ้าอย่ามาเจอข้า ไม่ได้บอกว่าข้าจะไม่มาเจอเจ้า”
ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็บ่นออกมา “เจ้าจำข้าได้ยังไงกัน”
“ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสมิใช่บอกหรือว่าจะใช้ซินกู่ควบคุมแมวให้เข้ามาในจวนสกุลไฉเพื่อพบกับไฉเสียน?” หลี่หลิงซู่ยิ้ม
จากนั้นเทพบุตรก็เห็นแมวส้มตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นแล้วตกอยู่ในภวังค์ความคิด
‘ข้าพูดอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ’ สีหน้าของหลี่หลิงซู่งุนงง
สมควรตาย ข้าเสพติดความเป็นนักบวชเต๋าจินเหลียนมาโดยไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ?! ไม่ ไม่ใช่ เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะแมวสามารถปีนหลังคาข้ามกำแพงไปมาได้ราวกับสายลม ส่วนสุนัขแอบเข้ามาในจวนสกุลไฉไม่ได้อยู่แล้ว…
แม้ว่าจะเข้ามาได้ก็อาจจะถูกภิกษุฆ่าไปทำหม้อไฟสุนัขไปแล้ว…สวี่ชีอันพึมพำอยู่ในใจอย่างสับสน
หลี่หลิงซู่มีคำถามมากมายที่อยากจะถามออกมา แต่เมื่อเห็นจู่ๆ ก็เห็นผู้อาวุโสที่สูงส่งคาดเดาไม่ได้เริ่มคิดใคร่ครวญถึงชีวิตขึ้นมา เขาก็ไม่อยากจะรบกวน จึงได้แต่นั่งรอตาใส
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็กลับมามีสติแล้วเอ่ยต่อ “รินชาสักถ้วยซิ ข้ารู้สึกคอแห้ง”
คนที่คอแห้งน่ะไม่ใช่เขา แต่เป็นแมว ทว่าความรู้สึกกระหายก็ยังถูกส่งกลับมาให้สวี่ชีอันที่อยู่ในร่างของมันเหมือนกัน
หลี่หลิงซู่รีบรินชาจนเต็มหนึ่งถ้วยทันที
สัญชาตญาณแมวพุ่งเข้ามาแล้วกระโดดขึ้นโต๊ะ มันไม่ได้รีบร้อนชิมรสน้ำชาทันที แต่เหลือบมองไปยังที่นอนที่ยับยุ่ง
ประสาทรับกลิ่นของแมวมีมากกว่ามนุษย์หลายสิบเท่า ดังนั้นมันจึงได้กลิ่นหอมหวานอย่างง่ายดาย
สวี่ชีอันพยายามฝืนกลั้นผลข้างเคียงของฉิงกู่อย่างยากเย็นแล้วร้อง ‘อา’ ออกมา “ชีวิตดูมีความสุขดีนี่”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลี่หลิงซู่ขมขื่นและบึ้งตึง
“ผู้อาวุโส ท่านจะนำฉิงกู่มาออกไปได้เมื่อไหร่หรือ ตอนนี้ทุกครั้งที่ข้าเห็นซิ่งเอ๋อร์ก็จะควบคุมความหุนหันของตัวเองไม่อยู่เลย ในหัวคิดแต่เรื่องของนาง แค่นางตวัดนิ้วร้องเรียก ข้าก็อยากจะพุ่งเข้าใส่อย่างควบคุมไม่ไหว”
เขาพูดพลางใช้มือกดช่วงเอวของตนเอาไว้ด้วย
อวดเบ่งอีกแล้ว…สวี่ชีอันทำหน้าไร้อารมณ์แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“รอให้เรื่องจบลงแล้วข้าจะถอนกู่ออกให้เจ้า หากถอนเอาตอนนี้จะเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น แล้วทำให้ไฉซิ่งเอ๋อร์รู้ตัวได้”
‘มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นสินะ!’ หลี่หลิงซู่ถอนหายใจแล้วคิดจะหาเวลาว่างไปหลอมยาสักหม้อเพื่อเสริมกำลัง ต่อมาเขาก็นึกถึงห้องใต้ดินแล้วเอ่ยว่า
“เมื่อครู่มีคนมาบอกซิ่งเอ๋อร์ว่าห้องใต้ดินมีคนบุกรุกเข้าไป ศพของไฉเจี้ยนหยวนถูกชำแหละแล้ว”
พูดพลางเขาก็กดเสียงต่ำ “ผู้อาวุโส ฝีมือท่านหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้า
‘ที่แท้ก็เป็นเขาจริงๆ ด้วย’…หลี่หลิงซู่ที่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดก็รีบเอ่ยถามต่อทันที “แล้วได้อะไรหรือไม่?”
“มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าไฉเสียนจะเป็นบุตรนอกสมรสของไฉเจี้ยนหยวน” สวี่ชีอันบอก
จากนั้นเขาก็เห็นสีหน้าของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตาเบิกกว้าง ทั้งตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ
หลังจากนั้นหลี่หลิงซู่ก็เอ่ยเสียงเบา “แน่ใจหรือ?”
“ไฉเสียนมีหกนิ้ว ไฉเจี้ยนหยวนก็มีหกนิ้วเช่นกัน อาจจะเป็นที่กรรมพันธุ์ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเกิดเรื่องบังเอิญเช่นนี้หรอก”
หลี่หลิงซู่เงียบงันไปพักใหญ่ “มิน่าไฉเจี้ยนหยวนถึงอยากจะให้ไฉหลานแต่งให้กับตระกูลหวงฝู่ เขาไม่อาจยอมรับให้ไฉหลานแต่งงานกับไฉเสียนได้”
จากนั้นก็พลันมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที “ไฉเสียนไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง!”
เรื่องนี้เดาได้ง่ายมาก ถ้าหากรู้ว่าตนคือบุตรนอกสมรส ก็จะไม่มีทางรักไฉหลานแน่นอน
“ไม่ เรื่องนี้เขาอาจจะรู้ก็ได้ ดังนั้นจึงโกรธจนสังหารไฉเจี้ยนหยวนเพื่อฝังความลับที่ตนเป็นบุตรนอกสมรสไป จากนั้นก็ครอบครองไฉหลานไว้แต่เพียงผู้เดียว” หลี่หลิงซู่ราวคิดขึ้นมาได้
จะออกหมัดก็ต้องรู้กฎ จะวิเคราะห์คดีก็ต้องมีตรรกะเป็นเหตุเป็นผลด้วยสิ…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจแล้วยิ้มเยาะ
“เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไฉเสียนรู้ตัวตนของตัวเอง และแน่ใจได้อย่างไรว่าไฉเสียนรู้ว่าในจวนสกุลไฉ มีแค่ไฉเจี้ยนหยวนคนเดียวที่รู้ว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสล่ะ? แม้ว่าเรื่องนิ้วเท้าหกนิ้วจะเป็นความลับ แต่คนที่ใกล้ชิดและพวกผู้อาวุโสส่วนใหญ่ก็รู้ทั้งนั้น”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่แข็งทื่อ “ก็ใช่”
แมวส้มจิบน้ำชาไปสองสามคำแล้วเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ก่อนที่ไฉเจี้ยนหยวนจะตายก็มีร่องรอยถูกพิษ ดังนั้นเขาจึงถูกสังหารอยู่ในห้องหนังสือ และคนที่วางยาพิษส่วนใหญ่มักจะเป็นคนใกล้ตัว”
“ผู้อาวุโสสงสัยว่าจะเป็น…”
สวี่ชีอันตอบรับสายตาเอ่ยถามจากหลี่หลิงซู่แล้วพยักหน้า
“ใช่ ข้าสงสัยว่าจะเป็นไฉซิ่งเอ๋อร์ พิษชนิดนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะปรุงขึ้นมาได้ นอกเสียจากเป็นปรมาจารย์ตู๋กู่ที่ลงมือเสียเอง ไฉซิ่งเอ๋อร์เคยไปซินเจียงตอนใต้มาแล้วมิใช่หรือ ทั้งยังได้รับฉิงกู่มาอีกด้วย”
สีหน้าของหลี่หลิงซู่ย่ำแย่มาก
เขาคิดว่าตัวเองยังรู้จักเลือกผู้หญิงอยู่นะ บรรดาคนสนิทที่เคยมีวาสนาต่อกันล้วนมีบุคลิกและอุปนิสัยเฉพาะตนทั้งนั้น อีกทั้งใบหน้ารูปร่างก็ต้องโดดเด่นอย่างยิ่งยวด
อย่างที่สองในด้านอุปนิสัย ก็ต้องห้ามมีความคิดชั่วร้ายจิตใจดำมืด ไม่อย่างนั้นปรัชญาสามทัศน์คงขัดกัน ไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ได้อยู่แล้ว
แม้แต่สองพี่น้องตงฟางก็ไม่ใช่พวกกระหายโลหิต ถึงจะบอกว่ามีความขัดแย้งกับสวีเชียนที่เหลยโจวหลายต่อหลายครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดยืนที่แตกต่างกัน จึงยากจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้
ในความคิดของเขา ไฉซิ่งเอ๋อร์มีเล่ห์เหลี่ยม มีความทะเยอทะยาน และมีฝีไม้ลายมือ บุคลิกของนางเหมือนดอกติงเซียงที่ผูกอยู่กับความโศกเศร้า ทั้งน่ารักน่าสงสาร ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ เลยจริงๆ
แต่ไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่มีทางเป็นคนที่ศีลธรรมตกต่ำแน่นอน
ทว่าช่วงนี้เมื่อสืบคดีลึกลงไป เขาก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นทีละน้อยๆ
“ที่ข้ามามิใช่เพื่อจะมาคุยเล่นกับเจ้าหรอกนะ”
แมวส้มยกอุ้งเท้าตบโต๊ะ ขัดจังหวะความคิดที่ฟุ้งซ่านของหลี่หลิงซู่
“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว”
หลี่หลิงซู่เอ่ยเสียงเบา
“เหตุใดไฉเจี้ยนหยวนจึงต้องปกปิดตัวตนของไฉเสียน เจ้าเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่”
หลี่หลิงซู่นิ่งไป ผ่านไปพักหนึ่งก็เข้าใจในความหมายของสวีเชียน ในตระกูลที่เป็นผู้ทรงอิทธิพล บุตรนอกสมรสมิใช่เรื่องที่น่าอับอายจนต้องเก็บซ่อน
เช่นนั้นเหตุใดไฉเสียนถึงถูกเลี้ยงดูอยู่นอกจวนสกุลไฉในฐานะของลูกบุญธรรมเล่าไอรีนโนเวล
หลี่หลิงซู่เอ่ยอย่างครุ่นคิด “ถ้าหากเหตุผลไม่ได้อยู่ที่ไฉเจี้ยนหยวน เช่นนั้นปัญหาก็อยู่ที่ตัวของไฉเสียน ภูมิหลังของเขามีความลับอะไรกัน”
แมวส้มหัวเราะแผ่วเบา “ก่อนที่คำตอบจะถูกเปิดเผย ไม่ว่าข้อสงสัยใดๆ ก็ล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่จำไว้ว่าจะต้องมีหลักฐานด้วย ข้าจำได้ว่าเทพเจ้าหยินของลัทธิเต๋าทำหน้าที่เป็นเทพประจำเมืองในสมัยโบราณ โดยจะเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของผู้คนโดยเฉพาะ”
หลี่หลิงซู่ตอบรับ ‘อืม’
“ในสมัยโบราณ มีกฎอยู่สองชุด ชุดหนึ่งคือกฎของฝั่งหยาง อีกชุดคือกฎเหตุต้นผลกรรมของฝั่งหยิน ลัทธิเต๋านั้นใช้กฎหยิน แต่ต่อมากฎหยินชุดนี้ก็เริ่มเสื่อมถอยจนกระทั่งเลิกใช้ไปในที่สุด ใช่แล้ว ข้าเคยอ่านประวัติศาสตร์ช่วงนี้ในตำราโบราณของนิกายสวรรค์ แต่ไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันอย่างละเอียด ผู้อาวุโสเห็นว่าอย่างไรหรือ?”
บุคคลเก่าแก่อย่างสวีเชียนย่อมต้องรู้ความลับที่หลายคนไม่รู้แน่นอน
แมวส้มนิ่งคิดไปพักหนึ่งก็รวบรวมความลับที่เขาได้จากศพโบราณแล้วเอ่ยออกมาว่า
“ในยุคโบราณ มีเพียงกฎการฝึกตนสองสาย หนึ่งคือวิทยายุทธ์ ส่วนอีกสายคือ ‘เต๋า’ ของลัทธิเต๋า ระบบวิชาเต๋านั้นสมบูรณ์แบบกว่าระบบของจอมยุทธ์ และมีมานานกว่าด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือ ใต้หล้าในยุคโบราณนั้นเป็นของวิชาเต๋า นั่นคือสภาพแวดล้อมที่มีกฎหยินดำรงอยู่ ทั้งยังเหนือกว่าอีกด้วย แต่วิทยายุทธก็เริ่มรุ่งเรืองขึ้นมา คนจากซินเจียงตอนใต้เริ่มคิดค้นวิชากู่ พระพุทธเจ้าประกาศศาสนา เทพแห่งพ่อมดถือกำเนิด…วิชาเต๋ายากจะครองใต้หล้าไว้ได้อีกครั้ง กฎแห่งหยินก็ย่อมเลือนหายไปตามธรรมชาติ”
ส่วนลัทธิขงจื๊อและโหรนั้นเพิ่งจะปรากฏขึ้นมาในยุคใหม่ ปราชญ์ขงจื๊อคือบุคคลเมื่อสองพันกว่าปีก่อน ส่วนโหรมีอายุหกร้อยปีเหมือนกับอาณาจักร
‘ในยุคโบราณมีเพียงวิทยายุทธและวิชาเต๋าเท่านั้น…เช่นนี้ก็เข้าใจถึงการปรากฏขึ้นของวิชาหยินแล้ว ต่อมาเมื่อสายการฝึกตนต่างๆ พากันโผล่ขึ้นมา ลัทธิเต๋าจึงมิใช่ผู้ที่มีสิทธิ์ขาดอีกต่อไป’…สวีเชียนช่างเป็นบุคคลเก่าแก่เสียจริง เขารู้เรื่องความลับมากมายนัก
หลี่หลิงซู่ทอดถอนใจ “สมัยนั้นลัทธิเต๋าของพวกเรารุ่งโรจน์ไร้ใดเทียม แต่วันนี้กลับอ่อนแอจนแตกแขนงมาเป็นลัทธิเต๋าสามนิกาย”
เขาพูดไปพลางชำเลืองมองสวีเชียนไปด้วย เพราะคิดอยากจะล้วงความลับอื่นๆ ออกมาอีก
สวี่ชีอันหันไปเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่สนใจเขา “กลับเข้าเรื่องเดิม วิชาสู่ฝันของลัทธิเต๋าสามารถเข้าไปไต่ถามในความฝันได้เหมือนกับเมิ่งอู พ่อมดแห่งฝันหรือไม่”
หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วครุ่นคิด
“ไม่อาจควบคุมแดนฝันได้สมบูรณ์เหมือนอย่างเมิ่งอู เมื่อเทพเจ้าหยินเข้าสู่ฝันเกี่ยววิญญาณ จะสามารถใช้กับคนธรรมดาหรือคนอ่อนแอที่มีระดับขั้นต่ำกว่าตนเป็นอย่างมากได้เท่านั้น หากจะให้สอบถามในฝัน ถ้าอีกฝ่ายเป็นปุถุชนก็พอจะทำได้ แต่ถ้าหากผู้อาวุโสอยากให้ข้าเข้าไปสอบถามซิ่งเอ๋อร์ อย่าว่าแต่พลังฝึกตนของข้ายังไม่ถูกปลดผนึก เพราะต่อให้ข้ามีพลังสมบูรณ์พูนพร้อมก็คงจะทำไม่ได้ ซิ่งเอ๋อร์เป็นขั้นห้าสลายแรง ผู้ที่ลงมือได้มีแต่เมิ่งอูขั้นสี่”
แมวส้มส่ายหน้าเงียบๆ
“ไม่ใช่นาง แต่เป็นบรรดาบุตรของไฉเจี้ยนหยวน เจ้าเลือกสอบถามผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็พอ ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของไฉเสียน สมัยเด็กๆ ไฉเสียนถูกพากลับจวนสกุลไฉแล้วเติบโตมาด้วยกันกับบุตรธิดาของไฉเจี้ยนหยวน ไม่มีใครรู้จักไฉเสียนได้ดีไปกว่าพวกเขาอีกแล้ว”
หลี่หลิงซู่พยักหน้าแสดงท่าทางว่าไม่มีปัญหา จากนั้นก็เอ่ยขึ้นราวกับนึกอะไรได้
“จริงสิผู้อาวุโส เมื่อคืนก่อนข้าพบว่าซิ่งเอ๋อร์ออกไปข้างนอกยามดึกดื่นอยู่ตั้งนานสองนาน สักประมาณสองเค่อถึงจะกลับมา ข้าถอดจิตติดตามนางไปและพบว่านางไปยังส่วนลึกของเรือนทางใต้ สัญชาตญาณจอมยุทธ์อ่อนไหวมาก ข้าจึงไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก ดังนั้นจึงไม่รู้ว่านางไปยังส่วนใดของเรือนทางใต้”
แมวส้มแตะใบหน้าแมวๆ ของตัวเองแล้วเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา “ชั่วยามใด?”
หลี่หลิงซู่ตอบ “น่าจะประมาณยามจื่อ (23:00-1:00)”
อ่า เจ้ามันผู้ชายสารเลวจอมอึด ทำกิจกรรมจนดึกดื่นขั้นนี้เลยหรือ ถ้าเจ้าไม่อึดแล้วใครจะอึด…สวี่ชีอันก้มหน้าแมวลงเล็กน้อย
“ข้ารู้แล้ว”
จากประสบการณ์การพูดคุยเรื่องชีวิตในยามดึกดื่นกับนางคณิกาในสำนักสังคีต ทุกครั้งที่คุยกันเสร็จ พวกนางคณิกาก็จะเหงื่อโชกและเหนื่อยล้าจนผล็อยหลับไปทันที
ค่ำมืดดึกดื่นไฉซิ่งเอ๋อร์กลับไม่หลับไม่นอนแต่ออกจากห้องไป แบบนี้ผิดปกติ
ตอนเย็นไปเรียกรวมตัวพวกนกกระรอกงูแมลงของจวนสกุลไฉมาถามสักหน่อยดีกว่า…สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจ
เขาเริ่มจะชอบเจ็ดยอดกู่ขึ้นมาแล้ว มีวิธีการมากมาย พลังแข็งแกร่ง พลิกแพลงได้หลากหลาย ใช้งานได้ดีเยี่ยม ทั้งยังมีสไตล์สุดๆ!
ไม่เหมือนกับจอมยุทธ์ เมื่อเจอปัญหาอะไรก็มีแต่ต้องพุ่งเข้าชนไปตรงๆ แบบนั้นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้
…
ยามดึก
เมืองซานสุ่ยคืออำเภอใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่ทางเหนือหกสิบลี้ของเซียงโจว ประชากรในเมืองมีกว่าแปดพันคน ด้านหลังของเมืองซานสุ่ยติดกับภูเขาสูง ในภูเขามีสมุนไพรหลายชนิด ดังนั้นชาวบ้านในเมืองส่วนใหญ่จึงเก็บของป่าและสมุนไพรเลี้ยงชีพ
ร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองมีชื่อว่า ‘พรรคโอสถ’ หัวหน้าเป็นยอดฝีมือขั้นหลอมวิญญาณ พอจะเป็นหน้าเป็นตาได้บ้าง
ในช่วงชุมนุมมือสังหารมาร พรรคโอสถก็เข้าร่วมด้วย พวกเขาตอบรับเสียงเรียกร้องจากทางการและกลุ่มที่ทรงอิทธิพลต่างๆ อย่างกระตือรือร้น และส่งสมาชิกของพรรคไปสามสิบคนเพื่อเข้าร่วมกับทหารอาสาและออกลาดตระเวนยามค่ำคืน
นอกจากทหารอาสาของทางการและสมาชิกของพรรคโอสถแล้ว หน่วยลาดตระเวนยังมีภิกษุจากสำนักพุทธอยู่รูปหนึ่งด้วย
นั่นก็คือจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนที่ได้สร้างสีสันอย่างมากให้กับชุมนุมมือสังหารมารในวันนั้น
ในหน่วยลาดตระเวนมีอยู่ทั้งหมดหกสิบคน แบ่งเป็นกลุ่มละสิบคน ในมือถือคบเพลิงและลาดตระเวนไปตามแต่ละแห่งในเมือง
เฉินเอ่อร์คือผู้จัดการตัวเล็กๆ จากพรรคโอสถที่ต้องคุมคนสิบคน ในพรรคโอสถ ผู้จัดการนั้นอยู่ขั้นกลางๆ และเป็นตำแหน่งที่เหนื่อยที่สุดด้วย โดยจะทำหน้าที่จัดการสารพันปัญหาจุกจิกโดยเฉพาะ
เมื่อเจอกับปัญหาที่แก้ไม่ได้หรือไม่อาจตัดสินใจก็จะรายงานต่อไปยังตำแหน่งขั้นสูงของพรรค
“ไต้ซือ โชคดีที่เรามีท่านมาเข้าร่วมด้วย พวกพี่น้องทั้งหลายจึงเบาใจลงไปมาก ความกล้าตอนลาดตระเวนยามค่ำคืนจึงสูงขึ้นด้วย”
เฉินเอ่อร์ที่ถือคบเพลิงหันหน้าไปมองจอมยุทธ์ภิกษุที่อยู่ข้างๆ
จอมยุทธ์ภิกษุจากดินแดนประจิมทิศที่มีใบหน้าคมชัดและดวงตาเว้าลึกเอ่ยเสียงเรียบ “ก็แค่ยามกลางคืนหนีง่ายกว่าเท่านั้น”
เฉินเอ่อร์ฟังแล้วไม่เข้าใจ เมื่อเอ่ยถามต่อ จอมยุทธ์ภิกษุหนุ่มก็ปิดปากไม่กล่าวต่อและไม่สนใจเขาอีก
‘หนีง่ายกว่า? หมายความว่าอะไร ภิกษุจากดินแดนประจิมทิศมีนิสัยแปลกประหลาดเสียจริง’…เฉินเอ่อร์บ่นอยู่ในใจแล้วหัวเราะแห้งๆ ให้
“เช่นนี้นี่เอง เช่นนี้นี่เอง”
จิ้งหยวนประนมมือแล้วก้าวเดินอย่างมั่นคงตรงไปข้างหน้า
ทางเหนือของเมืองมีแม่น้ำเล็กๆ อยู่สายหนึ่งที่ไหลผ่านครึ่งหนึ่งของเมือง ริมแม่น้ำมีบ้านเรือนอยู่หลายหลัง ลมหนาวพัดโชยเข้ามา หลังจากลาดตระเวนไปสองเค่อ หน่วยนี้ก็ได้ข้ามผ่านสะพานหินมายังโรงสุราที่อยู่ริมแม่น้ำ
ที่นี่คือสถานที่ผลิตของพรรคโอสถ มีหม้อที่กำลังต้มอยู่เพื่ออุ่นเหล้าข้าวหมักและถูกใช้เป็นสถานที่พักเท้าของหน่วยลาดตระเวนโดยเฉพาะ
ในหน่วยล้วนเป็นมือดีที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ แต่นอกจากผู้จัดการเฉินเอ่อร์ที่เป็นขั้นหลอมจิตแล้ว คนอื่นๆ ล้วนไม่มีระดับขั้น ดังนั้นจึงต้องใช้โรงสุราเป็นที่พักผ่อนเพื่อดื่มสุราอุ่นร่างกาย ไม่อย่างนั้นก็อาจจะต้องลมหนาวได้ง่ายๆ
“อากาศผีสางนัก ต้นเหมันต์ก็หนาวขนาดนี้เสียแล้ว”
เฉินเอ่อร์พร่ำบ่นไปพลางเดินเข้าไปในโรงสุรา เขาจิบสุรายาลงไปสองสามอึกแล้วหันหน้าไปเอ่ยเรียก “พี่น้องทั้งหลาย เข้ามาดื่มสุราก่อน หลังจากนี้อีกครึ่งก้านธูปพวกเราค่อยลาดตระเวนต่อ”
เหล่าสมาชิกพากันหาที่นั่ง พวกเขาดื่มน้ำลงไปอึกใหญ่และดื่มสุรายาที่มีเฉพาะในเมืองซานสุ่ย พร้อมกับก่นด่าอากาศผีสางเช่นนี้ไปด้วย
เฉินเอ่อร์ไม่ลืมเข้าไปประจบสอพลอ “ไต้ซือ นี่คือสุรายาที่เป็นสูตรลับประจำเมืองซานสุ่ยของพวกเราเลยนะ ท่านดื่มรองท้องสักหน่อยสิ”
จิ้งหยวนพยักหน้าแล้วดื่มสุรารับประทานเนื้อลงไปเงียบๆ ในฐานะที่เป็นจอมยุทธ์ภิกษุ เมื่อทานอาหารจะขาดเนื้อไปได้อย่างไร
พอดื่มลงไปสองสามคำเขาก็หลับตารวมสมาธิสัมผัสไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ
จิ้งหยวนลาดตระเวนอยู่ในเมืองซานสุ่ยมาสองคืนแล้ว สาเหตุที่เลือกที่นี่ก็เพราะด้านหลังอยู่ติดกับเทือกเขากว้างใหญ่ นอกเมืองยังมีแม่น้ำอยู่อีก
ช่างเหมาะกับการหลบหนีและอพยพ
แน่นอนว่าจิ้งหยวนไม่ได้จะหนี แต่เป็นผู้ร้ายพวกนั้นที่คิดจะหนีต่างหาก
‘คนผู้นี้ฝึกซากศพมาหลายวันแล้ว เกรงว่าคงจะมาถึงทางตัน ดังนั้นไม่มีทางปล่อยร่างระดับเพชรของเจ้าไปแน่นอน รออยู่อย่างสงบเถอะ เดี๋ยวคนผู้นั้นก็จะปรากฏขึ้นมาเอง’
นี่คือสิ่งที่จิ้งซินเคยพูด
จิ้งหยวนยอมรับการตัดสินใจของศิษย์พี่จิ้งซินและคิดว่านี่เป็นวิธีการที่รวดเร็วที่สุดที่จะสามารถดึงดูดคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาได้
ศพเดินได้ไม่มีเสียงหายใจ เสียงหัวใจเต้น และไม่มีทั้งจิตสังหารและจิตชั่วร้ายด้วย แต่ขอแค่ ‘พวกเขา’ เคลื่อนไหวอย่างใหญ่โตขึ้นมาก็จะมีเสียงการเคลื่อนที่ด้วย เช่น เสียงฝีเท้า…
เมื่อจิ้งหยวนไม่เห็นสิ่งผิดปกติจึงลืมตาขึ้น
“ฤดูหนาวปีนี้ยากจะทานทนนัก ไม่รู้ว่าจะทำคนแข็งตายไปกี่คน”
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งดื่มเหล้าพลางส่ายหน้าถอนหายใจ
“นี่ จางหนิวจื่อ เจ้าควรเป็นสุภาพชนที่คิดเพื่อชาติและประชาชนสิ ไม่อย่างนั้นก็บริจาคทรัพย์สินครอบครัวไปให้ทางการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเถอะ”
“บริจาคให้ทางการ? เช่นนั้นไปโปรยเงินบนถนนจะดีกว่ามั้ง อย่างน้อยพวกผู้คนก็ยังได้เงินได้ทองคนละนิดละหน่อย หากบริจาคให้ทางการ ชาวบ้านจะไม่ได้เงิน แต่พวกขุนนางราชการได้เลี้ยงอนุเพิ่มมาอีกคนเสียอย่างนั้น”
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์
“ใช่ๆ เช่นนั้นเจ้าก็บริจาคให้ข้าจะดีกว่า ข้ายังไม่ได้แต่งภรรยาเลย”
ผู้ที่เอ่ยคือชายหนุ่มร่างกายผอมโซหน้าตาเหมือนหนู
จางหนิวจื่อสบถด่าออกมาแล้วเอ่ย
“หลี่เอ้อร์ เจ้าแต่งภรรยาไม่ได้ แต่เจ้านอนกับพี่สะใภ้ได้ไง จิ๊ๆ ประหยัดเงินแต่งภรรยาได้ด้วยนะ แต่งภรรยาจะไปดีเหมือนพี่สะใภ้ที่ไหน พูดมาเลย ภรรยาน่ะอร่อยได้ไม่ถึงครึ่งของเกี๊ยว สนุกได้ไม่ถึงครึ่งของอะไรล่ะ?”
“สนุกได้ไม่ถึงครึ่งของพี่สะใภ้!” มีคนรับช่วงต่อไป
ทุกคนหัวเราะเสียงดัง โรงสุราคึกคักขึ้นมาทันที
พี่ใหญ่ของหลี่เอ้อร์นั้นก็เหมือนกับชาวเมืองส่วนใหญ่ เขาเก็บสมุนไพรเลี้ยงชีพ มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรและตกจากหน้าผา โชคดีที่ไม่ตาย แต่สองขากลับพิการใช้งานไม่ได้ วันทั้งวันได้แต่นอนอยู่บนเตียง
ในบ้านไม่มีผู้ชายที่ทำงานได้แล้ว คุณภาพชีวิตจึงตกต่ำอย่างรวดเร็ว พี่สะใภ้ของหลี่เอ้อร์ก็เป็นสตรีที่ค่อนข้างงดงาม
ไม่ถึงครึ่งปี นางก็มีสัมพันธ์กับหลี่เอ้อร์
เฉินเอ่อร์ฟังผู้ใต้บัญชาหัวเราะมีความสุขกัน หางตาก็ชำเลืองมองไปเห็นจิ้งหยวนวางแก้วเหล้าและหันหน้ามามอง
เฉินเอ่อร์ได้ยินเสียงของจอมยุทธ์ภิกษุดังขึ้นมา “ฤดูหนาวของเซียงโจวหนาวอย่างรุนแรงเช่นนี้ตลอดหรือ”
เฉินเอ่อร์รีบหันกลับมาเอ่ยตอบอย่างเคารพว่า
“มิใช่หรอกขอรับ หากฤดูหนาวของทุกปีเป็นเช่นนี้ ชาวบ้านของเซียงโจวจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไรล่ะ แต่ปีนี้หนาวกว่าเดิมเป็นพิเศษ นี่เพิ่งจะเข้าสู่ฤดูหนาว ลมกลางคืนก็หนาวจนเสียดกระดูกเสียแล้ว หากผ่านไปอีกครึ่งเดือน ใต้ชายคาคงจะมีแต่น้ำแข็งเกาะเป็นแน่”
พูดพลางเฉินเอ่อร์ก็ยกแก้วขึ้นดื่ม “ไม่รู้ว่าฤดูหนาวปีนี้จะทำให้คนแข็งตายไปกี่คน แต่มีฤดูหนาวใดบ้างที่จะไม่มีคนตาย โลกมันก็เป็นแบบนี้ แค่มีข้าวให้กินก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
“เฮ้อ เจ้าไฉเสียนนั่นควรรับมีดไปพันเล่มซะ ดันทำให้คนดีๆ อย่างเราต้องออกมาลาดตระเวนในคืนเยือกเย็นเช่นนี้ ข้าว่าเขาหนีไปนานแล้วล่ะ จะกล้าอยู่ที่เซียงโจวต่อได้ที่ไหน”
เฉินเอ่อร์เอ่ยพูดไม่หยุด เวลาครึ่งก้านธูปก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาคว้าดาบสั้นขึ้นมาแล้วตะโกนบอกว่า
“ไม่ต้องดื่มแล้วๆ ไสหัวลุกขึ้นมาแล้วไปออกลาดตระเวนเดี๋ยวนี้เลย”
“อ่า นี่ผ่านไปครึ่งก้านธูปแล้วหรือ ข้ารู้สึกเหมือนเพิ่งจะนั่งลงเอง”
“ดื่มอีกครึ่งก้านธูปเถอะ วันที่หนาวเย็นอย่างนี้เจ้าไฉเสียนนั่นอาจจะมีความสุขอยู่ในรังรักกับสตรีสักคนก็เป็นไป ไม่มีทางออกมาก่อเรื่องแน่”
เหล่าสมาชิกหน่วยลาดตระเวนบ่นกระปอดกระแปด
ตอนนี้เอง หูของจิ้งหยวนก็ขยับและได้ยินเสียงแผ่วเบาเป็นเสียงน้ำไหลที่ผิดปกติ
“เงียบ!”
จิ้งหยวนตะโกนบอก
เสียงโวยวายของทั้งโรงสุราพลันเงียบทันใด ไม่มีใครกล้าพูด ล้วนแต่มองไปที่เขาอย่างงุนงง
จิ้งหยวนไม่สนใจพวกเขา เขาหลับตาลงเพื่อขับเน้นประสาทสัมผัสรับฟังให้คมชัดยิ่งขึ้น
เสียงน้ำไหลดังเข้ามาในหู มันแตกต่างจากเสียงน้ำไหลยามปกติ เหมือนกับเสียงคลื่นใต้น้ำมากกว่า เป็นคลื่นใต้น้ำมหาศาลทีเดียว…
ไม่ ไม่ใช่คลื่นใต้น้ำ แต่มีอะไรบางอย่างว่ายไปตามแม่น้ำเล็กๆ นอกโรงสุราและกำลังมาทางนี้