ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 549 พบพาน
บทที่ 549 พบพาน
“ไต้ซือ?”
เฉินเอ่อร์ลดเสียงลงและเอ่ยถามเป็นการลองเชิง
เมื่อเห็นจิ้งหยวนเงี่ยหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวโดยรอบอย่างจริงจัง ทุกคนในพรรคก็เกิดอาการหวั่นวิตกขึ้น กระชับดาบในมือแน่น และมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
พวกเขาลาดตระเวนไปตามท้องถนนยามค่ำคืนเพื่อต่อสู้กับใครกัน
หากไม่ใช่ปีศาจที่สังหารผู้คนได้โดยที่ตาไม่กะพริบ ไฉเสียน
ในยามที่ไม่พบความผิดปกติ ทุกคนต่างก็หัวเราะหยอกเล่นกัน แต่ทันทีที่ลมพัดใบหญ้าไหว สมาชิกระดับล่างของกลุ่มลาดตระเวนยุทธภพก็พากันอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมาทันที
เพราะสุดท้ายแล้วไฉเสียนก็อยู่ในขั้นห้าสลายแรง ถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเซียงโจว ว่ากันว่าเขายังสามารถจัดการกับศพเหล็กสี่ตัวได้อีกด้วย
“อยู่ในแม่น้ำ”
จิ้งหยวนลืมตาขึ้น และเอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม
ในแม่น้ำ? เฉินเอ่อร์รู้สึกเย็นวาบในหัวใจ ชั่วขณะต่อมา เขาก็ได้ยินเสียง ‘พรวด’ ดังมาจากด้านนอกโรงสุรา ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ
สมาชิกในพรรคเองก็ได้ยินเสียงดังกล่าว ดวงตาหลายสิบคู่หันไปมองทางประตูใหญ่ของโรงสุราที่ปิดสนิทโดยพร้อมเพรียงกัน ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม
มีเสียงดังมาจากผิวน้ำอีกสองสามครั้ง มีบางสิ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘โครม’ ดังมาจากบานประตูใหญ่ของโรงสุรา ราวกับถูกผลักออกด้วยแรงมหาศาล
เงาร่างพุ่งทะยานเข้ามาในโรงสุรา เขาสวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ร่างกายส่งกลิ่นเหม็นสาบ เส้นผมที่เหมือนหญ้าฟางเปียกโชกด้วยน้ำในแม่น้ำ ลู่ไปกับใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดฝาด ดวงตาขุ่นมัว ไร้ชีวิตชีวา
ด้านหลังของเขา คือ ‘พรรคพวก’ ที่ตามมาเป็นพรวน พวกเขาจ้องมองผู้คนในโรงสุราด้วยสายตาเฉยเมยไม่แยแส
ประเมินด้วยสายตาคร่าวๆ อย่างน้อยน่าจะมีประมาณยี่สิบกว่าคน
หากชาวบ้านธรรมดาหรือชาวยุทธ์ระดับล่างได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองนี้ พวกเขาคงจะหวาดกลัวจนตัวสั่นไปทั้งตัว
โชคดีที่คนในเซียงโจวคุ้นเคยกับมนุษย์ศพเป็นอย่างดี เคยเห็นผ่านตาได้ยินผ่านหูมาบ้าง อีกทั้งพวกเขาไม่ใช่พวกที่หวาดกลัวต่อผีสางเทวดาแต่อย่างใด สำหรับพวกเขาแล้วมนุษย์ศพไม่ต่างอะไรจากหมาป่าบนภูเขา
“สหายทุกท่าน จงเตรียมพร้อมให้ดี!”
เฉินเอ่อร์ตะโกนลั่น คว้าตาข่ายจากในตะกร้าข้างเท้าของตนขึ้นมา และเหวี่ยงออกไปคลุมทับมนุษย์ศพ
ทันใดนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยกดาบขึ้นฟังฉับเข้าที่ลำคอของมนุษย์ศพที่บุกทะลวงประตูโรงสุราอย่างรุนแรง
‘กึก!’
ใบมีดติดอยู่ที่ลำคอ ไม่สามารถตัดหัวให้ขาดสะบั้นได้ไอรีนโนเวล
มนุษย์ศพแม้จะไม่คงกระพันเท่าศพเหล็กที่มีดดาบฟังแทงไม่เข้า แต่เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่พวกเขาเป็นถึงมือดีในยุทธภพ กอปรได้รับการหล่อเลี้ยงจากแก่นโลหิต ทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งกว่าระดับหลอมจิตทั่วไป
มนุษย์ศพอ้าปากที่มีแต่ฟันเหลืองเต็มปาก ส่งกลิ่นเหม็นเตะจมูก กัดเข้าที่ลำคอของเฉินเอ่อร์
‘เขา’ จู่โจมด้วยความเร็วเกินปกติ ราวกับยอดฝีมือขั้นหลอมปราณ ทำให้เฉินเอ่อร์ไม่อาจเคลื่อนไหวหลบเลี่ยงได้ ความสิ้นหวังท่วมท้นในใจ
‘ไต้ซือช่วยข้าด้วย…’ เฉินเอ่อร์กรีดร้องในใจ
จากนั้นสายตาของเขาก็พลันเห็นศีรษะของมนุษย์ศพหลุดขาดกระเด็นออกไป ร่างกายของมันแข็งทื่อก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น
จิ้งหยวนยกดาบในมือขึ้นสะบัดคราบของเหลวจากศพออกไป และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พังหน้าต่างหนีไปเสีย มนุษย์ศพพวกนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
ด้วยกลยุทธ์ควบคุมศพของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ทำให้การกำจัดนักรบชั้นล่างไร้ระดับกลุ่มนี้ง่ายดายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก
เฉินเอ่อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กล่าวเตือนโดยไม่เหลือท่าทางกล้าหาญอีกต่อไป “ไต้ซือ รีบใช้ไข่มุกประคำแจ้งเตือนพรรคพวกคนอื่นๆ เถิดขอรับ”
จิ้งหยวนไม่สนใจ แต่กลับพุ่งตัวเข้าใส่พวกมนุษย์ศพที่บุกเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง ยกดาบขึ้นฟาดฉับไปเรื่อยๆ บั่นคอมนุษย์ศพทั้งหลายทีละตัวๆ
เมื่อเห็นดังนี้ เฉินเอ่อร์และคนอื่นๆ ก็ไม่รีรอ รีบพุ่งตัวไปยังบานหน้าต่างสองด้านของโถงใหญ่ กระแทกหน้าต่างหนีไป
ไม่มีมนุษย์ศพตัวใดติดตามพวกเขามา พวกมันพุ่งเป้าไปยังจิ้งหยวน
‘ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ…’
ศีรษะมนุษย์หัวแล้วหัวเล่ากระเด็นกระดอนไปทั่ว มนุษย์ศพเมื่อเผชิญหน้ากับคมดาบของจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวน ช่างอ่อนแอเหลือเกิน
แต่เขาควบคุมพลังของตนเองและรักษาท่าทางของขั้นห้าต้นๆ ได้อย่างดีเยี่ยม
แต่อย่างไรเสียเพียงการสำแดงพลังต่อสู้ของขั้นสี่ระดับสูงสุดในคราวเดียว ก็ทำให้คู่ต่อสู้หวาดกลัวหนีไปได้แล้ว
‘เคร้ง!’
เขาเหวี่ยงดาบเข้าที่ลำคอของมนุษย์ศพตัวหนึ่ง และสูญเสียพละกำลังที่บุกทะลวงราวกับผ่าลำไม้ไผ่ไปในที่สุด ศีรษะของมนุษย์ศพตัวนั้นไม่ได้ขาดสะบั้น ประกายไฟปะทุขึ้นที่บริเวณลำคอก่อนจะดับวูบไปอย่างรวดเร็ว
ศพเหล็ก!
นี่คือศพเหล็ก
ศพเหล็กที่ถูกฟันเข้าที่ลำคอ ไม่สนใจคมดาบของจิ้งหยวน มันกางแขนโอบรัดตัวเขา และอ้าปากที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่างับเข้าที่ลำคอของจิ้งหยวน
‘เพล้ง!’
ฟันสีเหลืองหลุดกระจาย ราวกับ ‘เขา’ กัดใส่ทองคำ
ร่างของจิ้งหยวนส่องแสงสีทองเรืองรอง ราวกับประติมากรรมที่หล่อด้วยทองคำ ทันทีที่ศพเหล็กรัดตัวเขา จิ้งหยวนก็สำแดงพลังเทพวชิระออกมา
จิ้งหยวนยังไม่ทันหลุดพ้นจากวงแขนของศพเหล็ก ก็มีมนุษย์ศพอีกสามตัวก็พุ่งเข้าใส่ พวกมันกระแทก ‘พรรคพวก’ ตัวอื่นที่ขวางทาง ตัวหนึ่งรัดคอจิ้งหยวนจากด้านหลัง ตัวหนึ่งเกาะขาเขาแน่น อีกตัวหนึ่งยึดแขนไว้มั่น
ร่างแข็งแกร่งตรึงร่างของชายผู้นี้แน่นิ่ง
ทันใดนั้น สัญชาตญาณนักรบของจิ้งหยวนก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เขารู้สึกได้ถึงอันตราย
บนคานเหนือศีรษะ ปรากฏเงาร่างหนึ่งในชุดสีดำสนิท สวมหมวกคลุมกระโจนลงมา พร้อมกับสว่านเหล็กที่อาบด้วยพลังปราณในมือ พุ่งเข้าใส่กระหม่อมของจิ้งหยวน
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังปรากฏตัวขึ้นแล้ว
จิ้งหยวนสีหน้าเรียบเฉย จีวรสะบัดพลิ้ว เขาไม่ปกปิดความแข็งแกร่งของตนอีกต่อไป พลังปราณอันรุนแรงระเบิดออกจากร่างกายราวกับดินปืน
‘ตู้ม!’
ศพเหล็กสี่ร่างระเบิดเป็นจุณทันที
จิ้งหยวนยกมือขึ้นจับข้อมือของชายชุดดำ จากนั้นสะบัดหัวไหล่ เหวี่ยงชายผู้นั้นกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง
ท่ามกลางเสียงกระทบดังสนั่นเลื่อนลั่น พื้นแข็งถูกกระแทกเกิดเป็นรอยร้าว
จิ้งหยวนกำหมัดต่อยเข้าที่ช่องท้องของคนชุดดำ ทำลายเกราะกระดูกเหล็กผิวทองแดงของอีกฝ่ายจนสิ้นซาก
ในตอนนี้เอง เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าแข็งทื่อ เพราะเขาไม่พบชีพจรจากข้อมือของฝ่ายตรงข้าม
จิ้งหยวนกระชากหมวกคลุมของฝ่ายตรงข้ามออก ด้านในยังมีผ้าปิดหน้าอยู่ แต่ไม่จำเป็นต้องดึงผ้าปิดหน้าออก จิ้งหยวนก็เห็นแล้วว่าดวงตาของคู่ต่อสู้นั้นขุ่นมัว ว่างเปล่า
“มีพลังปราณ แต่ไม่มีชีพจรหรือเสียงเต้นของหัวใจ…นี่เป็นหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าศพเหล็ก…ติดกับเสียแล้ว!”
จิ้งหยวนมีปฏิกิริยาตอบสนองทันควัน
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้ออกโรงเอง แต่ใช้ราชาศพปลอมเป็น ‘คนเป็น’ มาลอบโจมตีเขา หากเมื่อครู่เขาบาดเจ็บจากการจู่โจมเมื่อครู่ หมายความว่าระดับตบะที่แท้จริงของตนคือขั้นห้า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็จะปรากฏตัวขึ้น และร่วมมือกับมนุษย์ศพสังหารเขาอย่างแน่นอน
ตรงกันข้าม นี่แสดงว่าเขาสามารถปกปิดพลังที่แท้จริงเอาไว้ได้
“แข็งแกร่งจนน่าประหลาดใจจริงๆ…”
จิ้งหยวนเดินออกมาจากโรงสุรา จ้องมองผืนฟ้าในยามราตรีอันกว้างใหญ่
เขาไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ดูมั่นอกมั่นใจเสียเต็มประดา
…
ภายในห้องนอนแสนอบอุ่น ท่ามกลางเปลวเทียนที่ลุกโชน หลี่หลิงซู่สวมเสื้อคลุม นั่งอยู่ที่โต๊ะพลางเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรสหลังเสร็จกิจ
เมื่อครู่เขาเพิ่งจะมอบความสุขสมให้แก่ภรรยาสาวจนอิ่มเอม ถือโอกาสในช่วงที่ไฉซิ่งเอ๋อร์ยังติดตรึงอยู่กับรสสัมผัสที่อ้อยอิ่ง หลี่หลิงซู่อ้างว่าตนหิว และออกไปเรียกสาวใช้ให้ช่วยอุ่นเหล้าและอาหารให้
อย่างที่ใครๆ ก็ทราบกันดีว่าทันทีที่เสร็จกิจ ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความหิวตามมา ดังนั้นไฉซิ่งเอ๋อร์จึงไม่สงสัยอันใด
นางนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างเกียจคร้านและผล็อยหลับไป
หลี่หลิงซู่จิบเหล้าเพียงไม่กี่อึก ทานอาหารเพียงไม่กี่คำ ก็แสร้งทำเป็นเมามาย ยกมือขึ้นเท้าทางและผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น
เทพเจ้าหยินตนหนึ่งจากไปอย่างเชื่องช้า ผ่านคานบ้านไปยังลานแห่งหนึ่งในจวนอย่างนวยนาด
ที่นี่คือลานบ้านของลูกชายคนรองของไฉเจี้ยนหยวน ไฉเจี้ยนหยวนมีลูกชายทั้งหมดสามคน ลูกชายคนโตเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกชายคนรองไร้พรสวรรค์ในด้านการฝึกวรยุทธ์ จึงมาช่วยเหลือครอบครัวดูแลกิจการ
ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือ ไฉจ้งได้ยินเสียงคนเรียกตนเองจึงลืมตาขึ้น เห็นเงาดำร่างหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ หันหลังให้กับตน
“ใครอยู่ตรงนั้น”
ไฉจ้งตะโกนถาม
“จ้งเอ้อร์ นี่พ่อเอง!”
เงาร่างนั้นหันกลับมา เป็นหน้าของไฉเจี้ยนหยวน
“ท่านพ่อ?!”
ไฉจ้งกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน
เขาพยายามผลักร่างของหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างๆ พลางตะโกนเรียกทหารยาม ทว่าไร้เสียงตอบรับ
“นี่เป็นความฝันของเจ้า”
ไฉเจี้ยนหยวนเอ่ยอธิบาย
“ความฝันหรือ”
ไฉจ้งถามซ้ำด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ลองตบหน้าตัวเองหนึ่งครั้ง แต่ไม่เจ็บอย่างที่คาด จึงเชื่อว่าตนเองกำลังฝันอยู่จริงๆ
เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมา แล้วพึมพำเบาๆ “เหตุใดท่านพ่อต้องมาบอกด้วยว่าเป็นความฝันของข้า…”
“จ้งเอ้อร์ พ่อใจดีกับไฉเสียนมาหลายปี เจ้าเคยคิดว่าพ่อลำเอียงบ้างหรือไม่”
‘ไฉเจี้ยนหยวน’ เอ่ยถาม
ไฉจ้งตอบด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “ตระกูลไฉยึดถือวรยุทธ์เป็นที่ตั้ง ข้ามันไร้พรสวรรค์ ทำได้เพียงช่วยเหลือดูแลกิจการของตระกูล ทำมาค้าขาย ท่านพ่อจะมองข้ามข้าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
‘ไฉเจี้ยนหยวน’ พยักหน้า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดพ่อถึงได้เอ็นดูไฉเสียนนักหนา”
ไฉจ้งตอบตามที่เห็นสมควร “แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะไฉเสียนมีพรสวรรค์สูงส่ง คุณสมบัติเป็นเลิศ เมื่อตอนนั้นใครๆ ในตระกูลต่างก็พูดว่าท่านมีสายตาเฉียบแหลม ที่พาอัจฉริยะกลับมายังตระกูล”
พูดจบก็มีสีหน้าโกรธแค้นขึ้นมา “ใครเลยจะคิดว่าจะล่อหมาป่าเข้าบ้าน นำหายนะมาสู่ตระกูล”
ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ทราบความจริงที่ว่าไฉเสียนเป็นบุตรนอกสมรสของไฉเจี้ยนหยวน…‘ไฉเจี้ยนหยวน’ ถอนหายใจเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“พ่อเองก็ไม่คิดว่าเรื่องมันจะมาถึงขั้นนี้ ถ้ารู้ตั้งแต่ต้น วันนั้นก็คงไม่พาเขากลับมา น่าเสียดายที่ผ่านไปหลายปี แต่กลับไม่มีใครรู้เลยหรือว่าเขาเป็นคนจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า?”
ไฉจ้งแค่นเสียงเอ่ย “ไฉเสียนนิสัยมุทะลุ เขาชอบเสี่ยวหลาน ท่านก็ไม่อนุญาตให้ทั้งคู่แต่งงานกัน”
หลังจากถามคำถามอื่นๆ อีกสองสามข้อ หลี่หลิงซู่ก็ออกจากความฝันของหลี่หลิงซู่ เคลื่อนตัวไปยังจวนของนายสามของตระกูลไฉ ไฉข่าย
ท้องฟ้ายามราตรีมืดลงแล้ว ทว่าในจวนของไฉข่ายยังคงสว่างไสว เขากำลังร่ำสุราหยอกเย้ากับนางบำเรอของตน เหล่านางบำเรอผู้ทรงเสน่ห์สวมอาภรณ์โปร่งบางในห้องที่แสนอบอุ่น ค่ำคืนวสันต์อันเร่าร้อนดำเนินไปภายในห้อง
ไฉข่ายเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่หน้าตาดี ตบะอยู่ในขั้นหลอมปราณ ต้องขอบคุณที่เขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดจากไฉเจี้ยนหยวนตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้เขาผ่านพ้นวันคืนอัน ‘ยากลำบากที่สุด’ ของจอมยุทธ์มาได้
ก้าวสู่ระดับหลอมจิตได้สำเร็จ
แต่แล้วเขาก็ค่อยๆ ทำตัวเหลวแหลก ติดผู้หญิงไปเสีย
“ดึกดื่นป่านนี้ยังไม่หลับไม่นอนอีก…”
หลี่หลิงซู่แอบก่นด่า แล้วรออยู่ด้านนอกอย่างอดทน
ในที่สุดเขาก็เห็นไฉข่ายประคองกอดนางบำเรอรูปงามสองคนซ้ายขวา ตามหลังมาอีกสองคน รวมทั้งหมดห้าคน เลิกม่านและขึ้นไปนอนบนเตียงใหญ่
จากนั้นก็มีเสียงครวญครางอย่างสุขสมของหญิงสาวดังลอดมาจากผ้าม่านก็กั้นเอาไว้
กิจกรรมประกอบจังหวะเป็นหมู่คณะดังกล่าวกินเวลานานกว่าครึ่งชั่วยาม หลี่หลิงซู่เฝ้าดูด้วยความรู้สึกริษยา
“ก็แค่ระดับหลอมปราณยังมักมากในกาม ได้เชยชมสาวงามมากมายถึงขนาดนี้…บางทีระบบจอมยุทธ์ก็น่าอิจฉาเสียจริง…”
หลังจากรออยู่สักพักหนึ่ง และแน่ใจแล้วว่าไฉข่ายหลับไปแล้วจริงๆ เขาก็ไม่เสียเวลารีบเข้าฝันทันที
…
ไฉข่ายได้ยินเสียงคนเรียกตนเองในขณะที่ยังสะลึมสะลือ จึงลืมตาขึ้นมา และพบว่าเบื้องหน้าของตนคือไฉเจี้ยนหยวน บิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านยังไม่ตายหรือ”
ไฉข่ายตบหน้าตนเองหนึ่งที เมื่อพบว่าไม่เจ็บ ก็รู้ตัวว่าที่แท้ตนเองกำลังหลับฝันอยู่
“ไอ้ลูกชั่ว!”
ไฉเจี้ยนหยวนตะโกนด่าเสียงดังลั่น “วันๆ เอาแต่ร่ำสุราเคล้านารี หากเจ้าเก่งกาจได้สักครึ่งของไฉเสียน ข้าคงจะตายตาหลับ”
ไฉข่ายที่ตอนแรกมีความสุขเนื่องจากฝันเห็นบิดาของตน สีหน้าพลันสลด พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ
“เก่งกาจเหมือนกับเขา แล้วสุดท้ายก็แว้งกลับมาฆ่าท่านอย่างนั้นน่ะหรือ”
‘ไฉเจี้ยนหยวน’ สะอึก สีหน้าพลันอ่อนโยนลง แล้วกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม
“พ่อเองก็ยังนึกเสียใจที่พาไฉเสียนกลับมาตั้งแต่แรก แต่เจ้าก็น่าจะรู้ว่าพ่อพาเขากลับมาด้วยเหตุใด”
ไฉข่ายได้ยินดังนั้น ความงุนงงก็ปรากฏผ่านสีหน้า
‘ไฉเจี้ยนหยวน’ ถามขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าไฉเสียนมีลักษณะพิเศษอันใดที่ผิดแปลกไปจากปกติ เช่นมีนิ้วเท้าหกนิ้ว?”
ไฉข่ายตกตะลึง กล่าวพร้อมกับส่ายหน้า “เขามีนิ้วเท้าหกนิ้วหรือ”
ไฉเสียนกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความผิดปกติของนิ้วเท้าของตน ทว่าแม้แต่ ‘คู่หู’ ที่เที่ยวเล่นด้วยกันในวัยเด็กยังไม่ทราบเลยหรือ? อืม บางทีอาจจะมีสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่หูทั้งสองคนนี้ย่ำแย่ลงก็เป็นได้…หลี่หลิงซู่ถามอีกว่ารู้หรือไม่ว่า ‘พ่อ’ มีนิ้วเท้าหกนิ้ว
คำตอบที่ได้ยังคงเป็นคำว่าไม่ดังเดิม
อย่างไรก็ดีไฉข่ายนั้นมีเพียงความรู้สึกโกรธแค้นต่อไฉเสียน บอกว่าไฉเสียนเป็นลูกหมาพันทางที่เข้ามาแย่งความรักของไฉเจี้ยนหยวนไปจากตน ขโมยความดีความชอบไปจากพี่รองของตน ตอนเด็กๆ เวลาทะเลาะกันก็เกือบจะบีบคอเขาจนตายแล้ว เป็นต้น
“ข้าด่ามันว่าเป็นลูกอีตัวในหอคณิกา เป็นไอ้พันทาง มันก็บีบคอข้าเกือบตาย”
ไฉข่ายบอกเล่ามาเช่นนี้
อย่างที่สวีเชียนเคยกล่าว นิสัยของไฉเสียนออกจะสุดโต่งไปสักนิด…หลี่หลิงซู่เห็นว่าไม่มีเบาะแสสำคัญอันใด จึงยุติแผนการแต่เพียงเท่านี้
…
ในภูเขาหลังเมืองซานสุ่ย เงาคนร่างหนึ่งวิ่งฝ่าความมืดมิดไป บางครั้งก็กระโจน บางครั้งวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
เขาสวมเสื้อผ้าสีดำ พร้อมกับหมวกคลุม เมื่อกระโดดข้ามลำธารในหุบเขาแล้ว ก็หยุดนิ่งชั่วขณะ
ใต้แสงจันทร์เย็นสลัว มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งห่มจีวรสีน้ำตาล คาดถุงผ้าที่เอวยืนอยู่บนก้อนหินก้อนใหญ่ข้างลำธารกลางหุบเขา
สองมือประนมขึ้น ดวงตาสงบราบเรียบ เขามองร่างคนในชุดสีดำ และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อมิตตาพุทธ ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง”
“ภิกษุดินแดนประจิมทิศ?”
ชายหนุ่มในชุดสีดำถอดหมวกคลุมออก เผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา เขามีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางอ่อนโยนเก็บเนื้อเก็บตัว คิ้วขมวดเป็นปม
ทันทีที่คนผู้นี้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา แสงพุทธะในกระเป๋าผ้าของจิ้งซินก็ส่องแสงเรื่อ
จิ้งซินเปิดกระเป๋าผ้าออก หยิบบาตรทองคำออกมา บาตรทองคำนั้นเดือดพล่าน ส่องสว่างด้วยแสงพุทธะเรืองรอง
เขาหันบาตรทองคำไปทางคนในชุดสีดำ ปากบาตรเปล่งแสงทองสุกใส แต่ไม่สว่างจ้าสาดกระทบร่างของไฉเสียน
จิ้งซินพบว่าท่ามกลางแสงสีทอง มีเงาของมังกรเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ในกายไฉเสียน
เจ้าของร่างปราณมังกร…จิ้งซินยกบาตรทองคำขึ้น มองไปยังชายในชุดสีดำแน่นิ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ประสกมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
ชายในชุดสีดำขมวดคิ้วเล็กน้อย และตอบด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “ไฉเสียน”