ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 550 เผชิญหน้า
บทที่ 550 เผชิญหน้า
ไฉเสียน…จิ้งซินดวงตาเป็นประกายและกล่าวด้วยความสงบ “เหตุใดโยมถึงอยู่ที่นี่?”
ไฉเสียนขมวดคิ้วถามกลับ “แล้วเหตุใดไต้ซือถึงมาอยู่ที่นี่”
จิ้งซินเก็บบาตรทอง พลางจับตามองชายในชุดดำที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่จั้ง
“อาตมาและศิษย์น้องจิ้งหยวนล่องูออกจากถ้ำ ใช้พลังเทพวชิระแห่งสำนักพุทธชักนำคนที่ก่อปัญหาอยู่เบื้องหลังให้แสดงตัวออกมา อาตมาไล่ตามไปตลอดทั้งทางจนกระทั่งมาถึงภูเขานี้ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอโยม”
เมื่อกล่าวดังนั้น ภิกษุผู้สง่างามก็พนมมือด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา “อมิตตาพุทธ โยมไฉ จงวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะด้วยเถิด”
ไฉเสียนกล่าวเสียงทุ้ม “ที่แท้ไต้ซือก็โง่เหมือนคนอื่นๆ ที่ตัดสินว่าข้าเป็นฆาตกร”
สีหน้าของจิ้งซินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงพนมมือกล่าวว่า “หากโยมไม่ใช่ฆาตกร แล้วเหตุใดจึงปรากฏตัวที่นี่เล่า”
ไฉเสียนตอบกลับ “หลังจากพ่อบุญธรรมสิ้นชีพ ข้าก็เข้าไปมีส่วนร่วมกับแผนสมรู้ร่วมคิดของใครบางคน มีคนจงใจใส่ร้ายข้า เสี่ยวหลานก็หายตัวไปเพราะเหตุนี้เช่นกัน เพื่อตามหานาง ข้าจึงต้องสืบหาฆาตกรที่อยู่เบื้องหลัง แต่ข้าก็ทำได้เพียงสืบอย่างลับๆ มาโดยตลอด และวันนี้ข้าก็บังเอิญพบกับไต้ซือในระหว่างทางไปสืบคดี”
ในขณะนั้นเขาก็เล่าสิ่งที่ตนเองเผชิญกับจิ้งซินโดยละเอียด
ใบหน้าของไฉเสียนเต็มไปด้วยความซื่อตรง ในขณะพูดก็สบตากับจิ้งซินอย่างแน่วแน่โดยไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย
จิ้งซินจ้องเขาตาไม่กะพริบ เมื่อเขาพูดจบ ภิกษุท่านนี้ก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นานและกล่าวว่า “อันที่จริงมีวิธีที่ง่ายกว่าในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของโยม”
ดวงตาของไฉเสียนเป็นประกาย เขาถามทันทีว่า “เชิญไต้ซือพูดเถิด”
จิ้งซินกล่าวช้าๆ ว่า “อาตมาสามารถนำศีลที่ตนเองถือปฏิบัติมาสร้างแรงกดดันในร่างของโยมไฉ ภิกษุผู้ออกบวชไม่กล่าวมุสา เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีทางกล่าวเท็จได้ ถึงเวลานั้น เมื่อถามแล้วก็จะรู้ทันที”
ไฉเสียนครุ่นคิด พลางพยักหน้า “วิธีนี้ยอดเยี่ยมมาก หากข้าไม่ใช่ฆาตกร หวังว่าไต้ซือจะเป็นพยานให้ข้าได้ ก่อนหน้านี้ข้าก็บังเอิญพบคนที่เต็มใจจะเชื่อข้า แต่คิดไม่ถึงว่า…”
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชัง “คิดไม่ถึงว่านั่นจะเป็นคนเลวหน้าซื่อใจคดที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ถึงสามชีวิต”
จิ้งซินได้ยินเช่นนั้นก็ถามว่า “ก่อนหน้าอาตมายังมีใครเคยพบโยมด้วยรึ ใครกัน?”
ไฉเสียนส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้จักเขา ตอนนั้นเขาสิงอยู่ในร่างแมวส้มตัวหนึ่งและอ้างว่าเป็นคนท่องยุทธภพที่เดินทางผ่านเซียงโจว เขาคิดว่าคดีของตระกูลไฉเต็มไปด้วยข้อสงสัย และฆาตกรเป็นคนอื่น ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและบุคคลนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ ข้าจึงใช้ครอบครัวเกษตรกรครอบครัวหนึ่งเป็นจุดติดต่อกันเพื่อส่งข่าว แต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งวัน ครอบครัวนั้นกลับถูกฆ่าตายทั้งสามคน นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าข้าเคยซ่อนตัวอยู่ที่นั่น”
คนต่างเมืองที่ผ่านมายังสถานที่นี้ สิงอยู่ในร่างของแมวส้ม…จิ้งซินครุ่นคิดครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ ก็แสดงสีหน้าบางอย่างออกมากะทันหันโดยไม่ได้ถามอะไรอีก “โยมไฉ อย่าพูดปด”
ทันทีที่กล่าวจบ ไฉเสียนก็รู้สึกแสบแก้วหูจนหูเริ่มอื้อ พลังอันมหาศาลที่มองไม่เห็นกำลังสร้างแรงกดดันอยู่ในร่างกายของเขา ทำให้เขาเชื่อด้วยใจจริงว่าการพูดปดเป็นความผิดที่ไม่สามารถอภัยได้
หากคนไม่พูดความจริง ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์
จิ้งซินถามว่า “เจ้าเป็นคนฆ่าไฉเจี้ยนหยวนใช่หรือไม่?”
ไฉเสียนส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้เป็นคนฆ่า”
จิ้งซินพยักหน้าช้าๆ ไม่เกิดอะไรขึ้นกับคำตอบเช่นนี้ จากนั้นเขาก็ถามต่อว่า “ผู้ที่ควบคุมศพให้จู่โจมเมืองซานสุ่ยเมื่อสักครู่ คือเจ้าใช่หรือไม่”
ไฉเสียนยังคงส่ายศีรษะและกล่าวอย่างซื่อสัตย์ “ไม่ใช่ข้า”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ ในที่สุดจิ้งซินก็ขมวดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยความสับสน เขาฉวยโอกาสตอนที่วรยุทธ์ทรงศีลยังอยู่ด้วยการถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนฆ่าไฉเจี้ยนหยวน ใครเป็นคนโจมตีเมืองซานสุ่ย”
ไฉเสียนตอบตามความจริง “ข้าสงสัยว่าเป็นท่านอาไฉซิ่งเอ๋อร์ ส่วนคนที่โจมตีเมืองซานสุ่ยคือผู้สมรู้ร่วมคิดของนาง นั่นก็คือบุคคลเบื้องหลังที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน”
ยังมีเวลาอีกชั่วครู่สำหรับวิชา ‘ทรงศีล’ แต่จิ้งซินกลับไม่ถามอะไรอีก เขาหลุบตาลงครุ่นคิดเป็นเวลานาน ก่อนจะกล่าวว่า “โยมไฉ พื้นฐานของสำนักพุทธคือความเมตตากรุณา ในเมื่อได้พบกับเจ้าในคืนนี้ เช่นนั้นก็รีบขจัดความยุ่งเหยิงและแก้ปัญหาเรื่องนี้เถอะ”
ไฉเสียนถามอย่างระมัดระวัง “ไต้ซือวางแผนจะทำอย่างไร”
ไฉเสียนถอยหลังไปทีละก้าวพร้อมกับส่ายศีรษะ “ไต้ซือ ข้าทนรับการทดสอบของวิชาทรงศีลด้วยมโนธรรมที่ชัดเจนและไร้ซึ่งความละอาย แต่ท่านจะพิสูจน์ตัวเองอย่างไร”
เขาไม่เชื่อใครทั้งนั้น โดยเฉพาะหลังจากประสบกับเรื่องที่ครอบครัวของเอ้อร์ยาถูกฆ่าตาย ความเชื่อใจสุดท้ายของเขาที่มีต่อคนแปลกหน้าเหล่านี้ได้หมดลงแล้ว
“หากไต้ซืออยากชำระบาปให้ข้าจริงๆ ข้าก็สามารถควบคุมมนุษย์ศพให้ติดตามท่านไปได้ ท่านรวบรวมวีรบุรุษนักสู้ของเซียงโจวทุกแขนงและฝ่ายราชการเพื่อเปิดชุมนุมมือสังหารมารอีกครั้ง ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจนต่อหน้าสาธารณชน ถึงเวลานั้นไต้ซือก็สามารถเป็นพยานให้ข้าได้ พรุ่งนี้ข้าจะควบคุมศพไปที่ด้านนอกจวนตระกูลไฉ หากไต้ซือมีใจที่จะกระทำจริงๆ พรุ่งนี้พวกเราจะใช้ศพเป็นตัวเชื่อมต่อ”
กล่าวจบแล้ว ไฉเสียนก็ตั้งใจจากไปโดยการถอยกลับเข้าไปในป่า
“หวนกลับขึ้นฝั่ง!” เวลานี้เอง เสียงทุ้มที่ดังลอยมาจากด้านหลัง พลังมหาศาลที่มองไม่เห็นสร้างแรงกดดันในร่างของไฉเสียนอีกครั้ง ทำให้เขาหันกลับมาตามสัญชาตญาณและกลับไปที่ริมลำธารบนภูเขา
จิ้งซินดึงเชือกที่ทอด้วยด้ายสีทองออกมาจากแขนเสื้อและมัดไฉเสียนไว้ในฉับพลัน
ไม่เพียงเท่านั้น ไฉเสียนยังพบว่าพลังปราณในตันเถียนดุจดังน้ำนิ่ง ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง
ความแตกต่างทางด้านลำดับขั้นระหว่างคนทั้งสอง สำหรับจิ้งซินแล้ว การจับไฉเสียนเป็นเรื่องง่ายดายมาก
…
ด้านนอกเมืองซานสุ่ย เปลวไฟลุกโชนในค่ำคืนอันมืดมิด
ภิกษุจิ้งหยวนถือคบไฟและยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างถนน จีวรของเขาช่างบางเบาและมันก็แนบกับร่างกายของเขาท่ามกลางสายลมอันเยือกเย็น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อและรูปร่างที่แข็งแกร่ง
ใบหูของจิ้งหยวนเคลื่อนไหวเล็กน้อย เขามองไปยังฉากด้านหน้าที่เป็นราตรีอันมืดมิด
หลังจากนั้นไม่นานก็มีร่างสองร่างเดินออกมาจากความมืด เค้าโครงของพวกเขาค่อยๆ ชัดเจนขึ้น รัศมีแสงสีส้มเข้มส่องให้เห็นรูปลักษณ์ของพวกเขา
เป็นจิ้งซินที่สวมเครื่องนุ่งห่มแบบเดียวกัน และไฉเสียนที่ถูกมัดด้วยเชือกสีทอง
“บุคคลนี้คือไฉเสียน” จิ้งซินกล่าว
จิ้งหยวนถอนหายใจ ‘ฟู่’ จากนั้นก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเคร่งขรึม “ในที่สุดก็จับเขาได้แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง”
จิ้งซินส่ายศีรษะด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “คนที่ฆ่าไฉเจี้ยนหยวนไม่ใช่เขา คนที่ควบคุมศพให้จู่โจมเมืองเมื่อครู่ก็ไม่ใช่เขา”
จิ้งหยวนเบิกตาเล็กน้อยราวกับประหลาดใจมาก “เป็นไปได้อย่างไร”
จิ้งซินพยักหน้าก่อน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที “แต่การคาดเดาของเราไม่ผิด”
เขาหันไปมองไฉเสียน
จิ้งหยวนเข้าใจความหมายของศิษย์พี่โดยทันทีและกล่าวด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดา “ไฉเสียนเป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัยจริงๆ รึ”
จิ้งซินพยักหน้ากล่าวว่า “และยังเป็นหนึ่งในเก้าของปราณมังกรที่สำคัญ”
พวกเขาไม่สามารถสูบเอาปราณมังกรได้ ต้องอาศัยความช่วยเหลือของอาวุธเวทมนตร์ ถึงจะสามารถเห็นปราณมังกรได้ แต่ถ้าอยากค้นหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยให้เจอก็มีกฎที่ต้องปฏิบัติตาม
ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยได้รับ ‘โชค’ ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การได้รับความบังเอิญหรือกระทำการใหญ่ไม่สามารถซุ่มเงียบได้ ในหมู่ของตัวแทนผู้คนก็คือฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งต้าฟ่ง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงมาที่เซียงโจว เมื่อได้ยินว่าไฉซิ่งเอ๋อร์จัดการชุมนุมมือสังหารมาร คดีของจวนตระกูลไฉก็อื้อฉาวจนเป็นที่โจษจันกันไปทั้งเมือง ศิษย์พี่น้องอย่างจิ้งซินและจิ้งหยวนจึงคาดเดาว่ามีความเป็นไปได้มากที่ไฉเสียนจะเป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัย
“หากเป็นเช่นนั้น ศิษย์พี่รีบส่งไฉเสียนเข้าร่มกาสาวพัสตร์ แล้วให้ท่านอาจารย์หรืออรหันต์ตู้ฉิงพาเขากลับแดนประจิมเถอะ”
จิ้งซินพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้าอีกครั้ง พลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เมื่อครู่ข้าลองแล้ว ความลุ่มหลงของบุคคลนี้ลึกเกินไป ยากที่จะกำจัดในทันที เว้นแต่จะช่วยเขาสืบคดีนี้ นอกจากนี้ ศิษย์น้องอย่าลืมว่า สวี่ชีอันก็อยู่ที่เซียงโจว ข้ากำลังจะหารือเรื่องนี้กับเจ้า”
สีหน้าของจิ้งหยวนเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
“ตอนนี้มีสองทางเลือกอยู่เบื้องหน้าเรา หนึ่ง พาไฉเสียนไปซ่อน อย่างมากก็สองวัน เพื่อให้ท่านอาจารย์อาตู้หนานมาถึงเซียงโจวได้ทัน ถึงเวลานั้นก็จะสามารถตัดสินสถานการณ์โดยรวมได้ และยังเป็นการขู่ให้สวี่ชีอันไปจากที่นี่ สอง พาไฉเสียนกลับจวนตระกูลไฉไปเผชิญหน้ากับไฉซิ่งเอ๋อร์เพื่อสืบสวนคดีนี้”
จิ้งหยวนเข้าใจได้ทันที “หลี่หลิงซู่ก็อยู่ที่จวนตระกูลไฉ เขาย่อมพยายามส่งข่าวให้สวี่ชีอันอย่างเต็มที่ เราสามารถใช้โอกาสนี้ล่อสวี่ชีอันออกมาได้”
อันที่จริงพวกเขาพบตัวตนของหลี่หลิงซู่นานแล้ว
จิ้งซินพยักหน้า พลางกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาชำนาญวิชากู่เหล่านั้นได้อย่างไร แต่มันก็ยุ่งยากจริงๆ พวกเราหาเขาไม่เจอ ทำได้เพียงใช้กลยุทธ์ดาบนั้นคืนสนองกับเขา”
ที่นี่ ศิษย์พี่น้องจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกหนึ่งตัวเลือก ว่าผู้ถูกปราณมังกรอาศัยหรือพุทธบุตรสำคัญกว่า?
คำตอบนั้นถึงไม่พูดก็เป็นที่เข้าใจกัน
จิ้งหยวนกล่าวว่า “ใช้ไฉเสียนเป็นเหยื่อล่อก็เป็นวิธีที่คุ้มค่าที่จะลอง วิธีการของสวี่ชีอันแปลกประหลาด แต่กำลังการรบที่แท้จริงไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าขั้นสี่ พวกเราสามารถใช้โอกาสนี้ปราบเขาได้พอดี หากเขาไม่มา เราก็ไม่ได้เสียอะไร”
เมื่อการสนทนาสิ้นสุด จิ้งซินก็หันหน้าไปทางไฉเสียน พลางพนมมือกล่าวว่า “ประสกไฉ อาตมาจะพาเจ้ากลับจวนตระกูลไฉ ข้าสามารถใช้วรยุทธ์ ‘ทรงศีล’ ไปถามประสกไฉซิ่งเอ๋อร์ได้ ถึงเวลานั้น ความจริงก็จะปรากฏแล้ว”
ไฉเสียนถอนหายใจและหันกลับไปมองจิ้งซิน “ข้ายังมีทางเลือกอีกรึ คงทำได้เพียงทำตามที่ไต้ซือพูดกระมัง”
…
จวนตระกูลไฉ ในห้องใต้ดินที่ใช้เก็บผักบางแห่ง
เทพเจ้าหยินของหลี่หลิงซู่มาถึงที่หน้าประตูห้องใต้ดิน เห็นแมวส้มตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น
“ผู้อาวุโส?”
เขาตะโกนเสียงดัง แมวส้มไม่ตอบสนองเขา และมองไปด้านหลังประตู
หลี่หลิงซู่เข้าใจโดยสัญชาตญาณ เขาเดินผ่านประตูที่ลงกลอนไว้อย่างง่ายดาย เมื่อเข้าไปในห้องใต้ดิน ‘เห็น’ ร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิดไร้แสงสว่าง “ผู้อาวุโส ข้าถามไฉจ้งและไฉข่ายแล้ว”
หลี่หลิงซู่กล่าว
เขาถ่ายทอดบทสนทนาในแดนแห่งความฝันให้สวีเชียนฟังโดยละเอียด
นอกจากนิสัยที่รุนแรงของไฉเสียนแล้ว ก็ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์เลย…สวี่ชีอันพึมพำในใจ และกล่าวด้วยสีหน้าสงบว่า “ข้ารู้แล้ว”
หลี่หลิงซู่พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะกล่าวอำลาและจากไป
สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นท่ามกลางความมืดมิด เหตุผลที่เขาเลือกห้องเก็บผักใต้ดินนี้ก็เพราะตราบใดที่สถานที่นี้อยู่ไม่ไกลจากทางใต้ของจวนตระกูลไฉ ก็จะอยู่ในระยะที่เขาสามารถควบคุมซินกู่ได้
สัตว์ทั้งหมดในบริเวณนี้ตื่นขึ้นพร้อมกันอย่างไร้สุ้มเสียง
พวกมันไม่ได้มีเพียงแค่หนู งู สุนัข แมว แมลง…กองกำลังหลักในหมู่พวกมันคือแมลง หนูและงู พวกมันบ้างก็อาศัยอยู่ในช่องกำแพง บ้างก็อาศัยอยู่ลึกลงไปในพื้นดิน
พวกมันมีปริมาณมากที่สุดและซ่อนตัวอยู่มากที่สุดเช่นกัน
สำหรับแมวและสุนัข พวกมันทำได้เพียงเดินเตร่อยู่นอกบ้านเท่านั้น และสิ่งของที่สามารถค้นหาได้ก็มีจำกัด
งูบ้านตื่นขึ้นจากการจำศีลและเลื้อยอยู่ในมุมมืด หนูออกมาจากรูที่พื้นและปีนขึ้นไปที่คานของบ้าน แมลงก็ปรากฏตัวใน ‘ขบวน’ อันยิ่งใหญ่เช่นกัน
ช่วงเวลานี้ สวี่ชีอันรู้สึกว่าจิตเดิมของตนเองถูกเฉือนของเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน และแต่ละชิ้นก็สอดคล้องกับสัตว์แต่ละตัว
“ปวดหัวมาก ข้าคงยืนหยัดอยู่ได้ไม่เกินห้านาที…”
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ปรมาจารย์ซินกู่จะควบคุมฝูงสัตว์ก็เพียงแค่ออกคำสั่งปกติ เพื่อบีบบังคับให้ฝูงสัตว์จู่โจมศัตรู ซึ่งนั่นไม่ได้สร้างภาระอันหนักอึ้งแก่ตนเองมากเกินไป
เหมือนกับสวี่ชีอันซึ่งเป็นผู้ควบคุมที่ดี การควบคุมสัตว์เพียงไม่กี่ตัวจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าปริมาณมากขึ้นก็จะยิ่งทำให้จิตเดิมแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่
“ยังดีที่ทางทิศใต้ของจวนมีห้องไม่มากนัก หลังจากห้านาที ไม่ว่าจะได้อะไรหรือไม่ ข้าก็จะหยุดการควบคุม…”
…
หลี่หลิงซู่ออกจากร่างเทพเจ้าหยินนานแล้ว เขาอยู่ในสภาวะอ่อนเพลียมาก หลังจากกลับไปที่พัก เขาก็ปีนขึ้นเตียง โอบกอดหญิงงามและเข้าสู่ห้วงนิทราทันที
แต่เขาก็ถูกปลุกด้วยเสียงเคาะประตูอันเร่งรีบและตื่นขึ้นด้วยความงุนงง
ชั่วขณะนั้น ไฉซิ่งเอ๋อร์ถูกรบกวนในขณะนอนหลับ ด้วยเหตุนี้เสียงของนางจึงแฝงไปด้วยความโกรธเล็กน้อย “เรื่องอะไรกัน’
“ท่านอา ไต้ซือจิ้งซินและไต้ซือจิ้งหยวนกลับมาแล้ว บอกว่าต้องการพบท่านเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของทาสรับใช้สาวแปลกประหลาดเล็กน้อย
ไฉซิ่งเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “เรื่องอันใดกันถึงรอถึงพรุ่งนี้ไม่ได้?”
ทาสรับใช้สาวตอบกลับเสียงแผ่ว “ไต้ซือทั้งสองท่านพาไฉ…ไฉเสียนกลับมาด้วยเจ้าค่ะ”
ไฉเสียน?! หลี่หลิงซู่ตื่นตัวทันที จากนั้นก็ได้ยินคนสนิทที่อยู่ข้างๆ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวเสียงแหบแห้งว่า “เชิญไต้ซือทั้งสองไปที่ห้องโถงชั้นใน ข้าจะรีบตามไป”
หลังจากกล่าวแล้ว ไฉซิ่งเอ๋อร์ก็รีบยกผ้าห่มขึ้น จัดแจงสวมเสื้อผ้าด้วยความรวดเร็ว บิดมวยผมและเสียบปิ่นอย่างเรียบง่าย
หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว นางก็หันกลับไปมองหลี่หลิงซู่ที่ลืมตาขึ้นแล้ว
ฝ่ายหลังขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเหนื่อยล้าราวกับยังงัวเงีย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวว่า “ซิ่งเอ๋อร์ ข้าจะไปกับเจ้า”
ไฉซิ่งเอ๋อร์พยักหน้าแต่กลับรอไม่ได้อีกต่อไป “ข้าจะไปที่ห้องโถงชั้นในก่อน”
สิ่งที่หลี่หลิงซู่ต้องการคือประโยคนี้ “ตกลง!”
หลังจากที่ไฉซิ่งเอ๋อร์ออกไปจากห้อง เขาก็ออกจากร่างเทพเจ้าหยินทันทีและมุ่งหน้าไปยังห้องใต้ดินที่สวีเชียนอยู่
…
ในเวลานี้ นอกจากทหารลาดตระเวนในตอนกลางคืน ทุกคนในตระกูลไฉก็นอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว
ห้องในลานบ้านทิศใต้ส่วนใหญ่มีไว้สำหรับเก็บหนังสือ อาวุธและเครื่องใช้ทั่วไป และยังมีศาลบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูลห้องหนึ่ง
คนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มีไม่มากนัก
สวี่ชีอันใช้เวลาเพียงสองนาทีในการ ‘สอดแนม’ ห้องทั้งหมดในลานทิศใต้ และไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
“เหลือเพียงห้องศาลบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูลที่ยังไม่ได้สำรวจ…”
เขาควบคุมงู แมลงและมดให้มุ่งหน้าไปยังห้องศาลบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูล
เวลานี้เอง สวี่ชีอันรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เมื่อเดินผ่านแมวส้มที่เฝ้าอยู่ข้างนอก จึงเห็นเทพเจ้าหยินของหลี่หลิงซู่
วินาทีต่อมา เทพบุตรเทพเจ้าหยินก็ทะลุผ่านประตูห้องใต้ดิน และปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขา
“ผู้อาวุโส จิ้งซินและจิ้งหยวนจับไฉเสียนได้แล้ว”