ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 552-2 ถอดตะปูตอกวิญญาณ (2)
บทที่ 552 ถอดตะปูตอกวิญญาณ (2)
ณ ห้องใต้ดิน
สวี่ชีอันจุดเทียนขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนต่ำ เขาจ้องมองแสงเทียนขณะที่ม่านตาก็ค่อยๆ ขยายออก ความคิดของเขาก็ล่องลอยตามไปด้วยเช่นกัน
ก่อนฟ้าสางจะต้องชิงปราณมังกรกลับมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีโอกาสแล้ว ตอนนี้แม้แต่หลี่หลิงซู่ก็ยังโดนพวกเขาจับตัวไป เฮ้อ เทพบุตร เป็นข้าเองที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน…
ไม่สิ เจ้าน่ะเป็นคนชั่วช้าที่สวรรค์ลงทัณฑ์ เป็นฉะนั้นเจ้าคือภาระของข้าต่างหาก ยากแล้วทีนี้ ถ้าลงมือคืนนี้ ข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับขั้นสี่ชั้นยอดสองคน และพวกภิกษุที่พลังไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อีกกลุ่มหนึ่งด้วย
จิ้งซินและจิ้งหยวนรู้ตัวตนของหลี่หลิงซู่ได้อย่างไรกัน แล้วรู้ตั้งแต่ตอนไหน ถ้าพวกเขารู้มานานแล้ว เช่นนั้นบางทีเทพอารักษ์ตู้หนานก็อาจจะแทรกแซงมาถึงเซียงโจวและคงรอให้ข้าเดินเข้าไปในกับดัก ยังไงก็ต้องคิดถึงความเป็นไปได้นี้ด้วย
เรื่องนี้จัดการได้ง่าย ข้าจะให้เหิงอินปลอมตัวก่อน แล้วให้เขาแกล้งทำเป็นข้าเพื่อทดสอบ ถ้าเทพอารักษ์ตู้หนานไม่ได้มา ข้าก็แค่ต้องจัดการกับจิ้งซินและจิ้งหยวนเท่านั้น…
ในแสงเทียนมืดสลัว สีหน้าของสวี่ชีอันอึมครึมไม่แน่นอน ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็คล้ายจะตัดสินใจได้แล้ว
เขาหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแล้วนำเจดีย์พุทธะขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากในกระจก แสงทองของเจดีย์เปล่งปลั่ง สวี่ชีอันพลันหายตัวเข้าไปในนั้น
เขาตรงเข้าไปที่ชั้นสาม เห็นมู่หนานจือกับจิ้งจอกน้อยกำลังเล่นกันอย่างมีความสุขเป็นสิ่งแรก เทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดถือแท่งเงินอยู่หนึ่งแท่ง บางครั้งก็โยนไปทางซ้าย บางคราวก็โยนไปทางขวา
จิ้งจอกขาวน้อยกระโดดไปคาบแท่งเงินแล้วนำกลับมาส่งให้กับมือของมู่หนานจือ
คนหนึ่งคนกับจิ้งจอกหนึ่งตัวตื่นเต้นมีความสุขกันมาก
“อ่า ฆ้องเงินสวี่กลับมาแล้ว”
จิ้งจอกขาวน้อยทิ้งแท่งเงินไปทันที หางจิ้งจอกของมันส่ายไหวแล้วกระโดดเข้ามาหา มันแหงนหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีดำราวกับกระดุมเปล่งประกายอย่างวาดหวัง
“พวกเราออกไปได้แล้วหรือ”
“พ้นจากคืนนี้ก็ออกไปได้แล้ว เอาล่ะ ไปหาท่านป้าของเจ้าไป” สวี่ชีอันเตะมันเบาๆ ไปทางพระมเหสี
มู่หนานจือรีบยื่นมือมารับมัน จิ้งจอกขาวตัวน้อยโอดครวญอย่างเจ็บใจ “เขารังแกข้า”
อ่อนแอนัก ถ้าเป็นหลิงอินคงได้โดนเตะไปอีกสักที…สวี่ชีอันพยักหน้าให้กับภิกษุชราถ่าหลิงแล้วเดินดุ่มๆ ไปยืนอยู่ตรงหน้าแขนของเสินซู แล้วเขย่าสร้อยข้อเท้าที่เตรียมเอาไว้
‘กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง…’
เสียงกระดิ่งดังฟังชัด จิตใต้สำนึกของเสินซูตื่นขึ้น เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท
รู้สึกเหมือนกำลังเรียกหมาอยู่เลย…สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะช่วยท่านปลดผนึกชั้นแรกให้ ส่วนท่านก็ช่วยข้าปลดตะปูตอกวิญญาณที่จุดไป่ฮุ่ยกับตันเถียนให้ข้า”
เสินซูแค่นเสียง ‘เฮอะ’ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชันไอรีนโนเวล
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะกลับคำหรือ”
สวี่ชีอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “สำหรับข้า ท่านเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกเท่านั้น ท่านจะกลับคำก็ได้ แต่ข้าก็สามารถมอบเจดีย์พุทธะคืนให้กับสำนักพุทธได้เช่นกัน ชั่งน้ำหนักดูเองแล้วกัน”
เสินซูเอ่ยอย่างอาฆาต “เจ้ากล้าข่มขู่ข้าหรือ เจ้าเนี่ยนะ?”
“อย่าพูดไร้สาระอยู่เลย จะร่วมมือกับข้าหรือจะถูกส่งกลับไปหาสำนักพุทธ เลือกเองแล้วกัน สถานการณ์ในตอนนี้คือโอกาสหนึ่งเดียวในตลอดห้าร้อยปีของท่าน ชั่งน้ำหนักดูว่าอะไรสำคัญกับท่านมากที่สุด ไม่ว่าแต่ก่อนท่านจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ตอนนี้ก็เป็นแค่นักโทษที่ถูกขัง อย่าอวดเก่งให้มากนัก”
แรงกดดันในจวนสกุลไฉทำให้สวี่ชีอันหมดความอดทน เขาไม่คิดจะเอาอกเอาใจท่อนแขนที่ขาดของเสินซู มีแต่ความเกลียดชังเท่านั้น
เสินซูหัวเราะเสียงเย็น
“เจ้าเจอปัญหาข้างนอกมาล่ะสิ ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้ามาทำการแลกเปลี่ยนกับข้าหรอก เจ้าตัดผนึกของท่านโหราจารย์ออกก่อน ข้าต้องทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองหลุดพ้นออกมาส่วนหนึ่ง ถึงจะมีพลังมากพอไปปลดตะปูตอกวิญญาณให้เจ้า แต่ข้าพูดให้ชัดเจนเลยนะ ตะปูตอกวิญญาณทั้งเก้าตัวคือหนึ่งเดียวกัน ดึงออกมาหนึ่งตัวก็ส่งผลไปทั่วร่าง ฮึ ระหว่างนั้นเจ้าจะเจ็บปวดมากพอตัวเชียวล่ะ เกรงว่าด้วยพละกำลังที่สะสมอยู่ของข้าจะสามารถดึงออกมาได้สองตัว”
สิ่งที่เขาพูดนั้นมาจากใจจริง หากเสินซูกลับคำแล้วไม่ถอนตะปูตอกวิญญาณให้เขา สวี่ชีอันก็จะหาทางส่งเจดีย์พุทธะกลับไปให้สำนักพุทธ จากนั้นเสินซูก็ไม่ต้องคิดจะออกมาดูโลกอีกตลอดไปเลย
นี่ไม่ใช่การแก้แค้นให้กับเจ้าท่อนแขนขาดเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะท่อนแขนท่อนนี้ชั่วร้ายนัก เมื่อตัดผนึกของท่านโหราจารย์ เดี๋ยวอีกหลายสิบปีต่อจากนี้เขาก็จะเกิดใหม่ เช่นนั้นตัวเลือกของสวี่ชีอันก็คือไม่ให้มันออกมาตลอดกาล
ถ้าหากอวัยวะอื่นๆ ของเสินซูชั่วร้ายเช่นนี้ ข้อตกลงระหว่างข้ากับองค์หญิงหมื่นปีศาจก็ไม่อาจรักษาไว้ได้แล้ว…ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมาในใจของสวี่ชีอัน เขาเคาะชิ้นส่วนหนังสือปฐพีแล้วหยิบดาบเล็กๆ เล่มหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งเหล็กหรือหินออกมา
จากนั้นก็โคจรปราณจำนวนน้อยเข้าไปในดาบ ก่อนควบคุมให้มันตัดโซ่เหล็ก
เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น ประดาบสั่นไหว โซ่ทั้งเก้าเส้นถูกตัดขาดไปตามเสียง
“สบาย ช่างสบายยิ่งนัก!”
เสินซูหัวเราะอย่างบ้าคลั่งจนทำให้เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือน มู่หนานจือพลันกอดจิ้งจอกน้อยไว้แล้วก้มตัวลง
ผ่านไปพักหนึ่ง เสินซูก็เอ่ยว่า “ถอดเสื้อผ้าแล้วมานี่! พลังของข้าฟื้นขึ้นมาส่วนหนึ่งแล้ว สามารถลองถอนตะปูตอกวิญญาณให้เจ้าได้”
สวี่ชีอันถอดเสื้อคลุมและเสื้อตัวในจนเปลือยท่อนบน เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าท่อนแขนที่ขาด แล้วถูกปราการสีทองจางๆ ไร้รูปร่างขวางเอาไว้
“อ่า…”
มู่หนานจืออุทานเสียงต่ำ นางมองเห็นเส้นกล้ามเนื้อบนร่างกายท่อนบนของสวี่ชีอันได้อย่างแจ่มชัด รวมถึงมองเห็นตะปูสีทองที่ปักอยู่บนกระดูกสันหลัง หัวใจ ทรวงอก จุดตันเถียน และอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
เลือดเนื้อที่อยู่รอบตะปูไม่สามารถสมานได้ แต่ก็ยังพยายามรักษาตัวเองสุดกำลัง ราวกับว่ากลายเป็นหนึ่งเดียวกับตะปูไปแล้ว
แม้ว่ามู่หนานจือจะเคยเห็นตะปูที่หัวใจของสวี่ชีอันมาแล้ว แต่นางยังไม่เคยเห็นที่อื่นๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเช่นนี้
จิ้งจอกน้อยเงยหน้าขึ้นและมองเห็นขอบตาแดงก่ำของมู่หนานจือ “ท่านป้า ร้องไห้ทำไมหรือ”
มู่หนานจือไม่ยอมรับ “ขนที่ร่วงลงมาของเจ้าหลุดเข้าไปในตาข้า”
“ข้าไม่มีขนร่วงนะ ท่านนั่นแหละร้องไห้” จิ้งจอกน้อยไม่ยอมรับ
หลังจากถูกมู่หนานจือบิดหนังศีรษะไปสองสามรอบ มันก็ยอมรับแล้วเอ่ยเสียงอ่อน “เป็นเพราะขนร่วงของข้าเองแหละ…”
แขนซ้ายของเสินซูมีเส้นเลือดนูนเด่นขึ้นมา กล้ามเนื้อแขนขยายตัวขึ้น แสดงให้เห็นว่าเขากำลังใช้แรง
สวี่ชีอันรู้สึกได้ว่าพลังอันน่าสะพรึงได้แผ่ออกมาจากแขนข้างนี้และมารวมตัวกันอยู่ที่นิ้วชี้อย่างรวดเร็ว
นิ้วชี้ถูกยกขึ้นมาแล้วชี้ไปยังท้องน้อยของสวี่ชีอัน ลำแสงสีทองหม่นพุ่งออกมา แต่กลับถูกปราการสีทองซีดจางขวางเอาไว้
“ผู้อาวุโส…”
สวี่ชีอันหันไปมองภิกษุชราถ่าหลิง
ภิกษุชราไม่หือไม่อือ เขาประนมมือขึ้น แต่ครู่ต่อมาลำแสงสีทองหม่นก็พลันทะลวงออกจากปราการแล้ว ‘ยิง’ มาที่ตันเถียนของสวี่ชีอัน
ต่อจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงสวดดังงึมงำดังมาจากความว่างเปล่า ไม่มีหลักแหล่ง น้ำเสียงอู้อี้ ฟังไม่ชัดว่าสวดเป็นภาษาอะไร
สวี่ชีอันก้มหน้ามองไปก็เห็นเพียงตะปูที่ผนึกทะเลปราณเอาไว้มีแสงเจิดจ้าสว่างขึ้นมา จากนั้นก็ถูกดึงออกมาจากเนื้อทีละนิดๆ
เมื่อตะปูตอกวิญญาณถูกดึงออก ตะปูตอกวิญญาณตัวอื่นๆ บนร่างของเขาก็สั่นพ้องไปพร้อมกันในชั่วขณะนี้ บาดแผลที่หัวใจปริแยก บาดแผลที่ตันเถียนก็ปริแยกเช่นกัน…ตะปูแปดตัวราวกับถูกดึงออกมาพร้อมกัน
เพียงชั่วขณะเดียว ทั่วร่างของสวี่ชีอันก็อาบไปด้วยเลือด หยาดเหงื่อผสมปนเปไปกับเลือด ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เขากัดฟันและริมฝีปากแน่นเพื่อทนรับความทรมานอันไร้ปรานี
‘เคร้ง!’
ในที่สุดตะปูที่จุดตันเถียนก็ร่วงลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง
ตะปูอีกแปดตัวกลับมาสงบลงอีกครั้ง
ชั่วขณะที่พลังปราณถูกดึงออกจากร่าง ความผันผวนของพลังปราณที่น่าสะพรึงก็ราวกับเป็นน้ำที่เอ่อล้นตลิ่ง การระบายพลังอย่างบ้าคลั่งครั้งนี้ทำให้ทั้งเจดีย์สั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง
“ที่แท้ก็เป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม”
เสินซูร้อง ‘อ่า’ ขึ้นมา “พลังปราณมหาศาลนัก อีกทั้งรากฐานก็ยังแข็งแกร่งมาก”
เสียงของเขาแสดงความอ่อนล้าราวกับใช้พลังไปอย่างมาก
‘ฮู่ว ฮู่ว ฮู่ว…’ สวี่ชีอันทรุดลงกับพื้นแล้วหอบหายใจไม่หยุด ความเจ็บปวดที่ยังหลงเหลืออยู่ยังคงทรมานเขาต่อไป แต่พลังชีวิตอันแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขั้นสามก็เริ่มทำการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแล้ว
เลือดเนื้อของเขาดิ้นพล่าน ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้แม้แต่นิดเดียว
“ไต้ซือ ความจริงเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ ข้ายังเป็นแค่ขั้นหลอมจิตสูงสุด” สวี่ชีอันพูดพลางหอบหายใจไปด้วย
เสินซูแค่นเสียงเยาะ
พวกเขาพักกันครู่หนึ่ง อีกครึ่งเค่อต่อมา เส้นเลือดบนแขนของเสินซูก็นูนขึ้นอีกครั้ง กล้ามเนื้อพองตัวและพลังก็เข้ามารวมกัน
ครั้งนี้เวลาที่ใช้รวบรวมพลังยาวนานกว่าเมื่อครู่เท่าหนึ่ง
อย่างที่เสินซูพูดไว้ การดึงตะปูตอกวิญญาณนั้นใช้พลังของเขาไปมาก
ท่อนแขนที่โหดเหี้ยมน่าสะพรึงยกนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วยิงลำแสงสีทองหม่นไปยังหว่างคิ้วของสวี่ชีอัน
ประสาทสัมผัสด้านความรู้สึกของสวี่ชีอันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของสมอง ตะปูที่อยู่ในนั้นคลายออก จากนั้นก็เริ่ม ‘เคลื่อนขึ้น’ แล้วทะลุออกมาจากศีรษะของเขา
ตะปูตอกวิญญาณที่เหลือทั้งเจ็ดตัวสั่นพ้องพร้อมกัน ทำให้บาดแผลฉีกขาดอีกครั้ง….
‘ตึง!’
สวี่ชีอันรู้สึกได้เพียงแค่ว่าวิญญาณของเขาระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ความรู้สึกนึกคิดก็เลือนหายตามไปด้วย สติสัมปชัญญะก็เริ่มจมดิ่งลงสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด
ครั้งนี้เขาไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดด้วยซ้ำ
เนิ่นนานหลังจากนั้น ‘วิญญาณที่แหลกสลาย’ ก็กลับมารวมกันอีกครั้ง เขาฟื้นขึ้นมา ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่หยุด ร่างกายก็ชักกระตุกไปด้วยเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ฟื้นฟูกลับมาได้แล้วบ่นออกมาราวกับทรุดตัวลงอย่างหนัก “ความเจ็บปวดอาจเกิดช้า แต่ไม่มีทางขาดไปแน่นอน”
บนพื้นที่ตะปูสองตัวร่วงลงมา สวี่ชีอันเก็บพวกมันเอาไว้ จากนั้นจึงหลับตารวบรวมสมาธิสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ผนึกที่ตันเถียนคลายออกมา พลังปราณสามารถหมุนเวียนได้ ถึงแม้จุดชีพจรที่ตันเถียนและเส้นลมปราณเริ่นจะยังถูกผนึกอยู่ และพลังปราณที่เหลือบอยู่ในจุดชีพจรอื่นๆ ก็ยังถูกขวางกั้น แต่ก็นับว่าได้พื้นพลังมาส่วนหนึ่งแล้ว
จิตเดิมถูกปลดผนึกจนหมด ความสามารถในการ ‘จับภาพ’ ที่ข้าภาคภูมิใจก็ฟื้นคืนมาแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเทพอารักษ์ตู้หนานอยู่ใกล้ๆ ข้าก็สามารถรับรู้ได้ถึงอันตรายทันที
อืม พลังเลือดลมของกายเนื้อยังใช้งานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ใช้พลังปราณไม่ได้เลย แค่หมัดเดียวก็สามารถกำจัดขั้นสี่ได้แล้ว
สวี่ชีอันลืมตาแล้วพ่นลมหายใจออกมา ก่อนหัวเราะว่า “ยินดีที่ได้ร่วมมือกัน”
เสินซูไม่ตอบ พลังของมันถูกใช้จนสุดแล้ว ตอนที่สวี่ชีอันหมดสติ มันก็หลับใหลไปเรียบร้อยแล้ว
…
สวี่ชีอันเรียกหาหุ่นเชิดเหิงอินที่ชั้นสองแล้วหลอมให้เขาเป็น ‘สวีเชียน’ จากนั้นทั้งคู่ก็ออกมาจากเจดีย์พุทธะแล้วปรากฏกายอยู่ในห้องใต้ดิน
ทั้งสองเดินผ่านค่ำคืนมืดมิด ไม่นานก็มาถึงโถงชั้นใน แสงตะเกียงในนั้นสว่างไสว ด้านนอกมีจอมยุทธ์ภิกษุเฝ้ายามอยู่สองคน
สวี่ชีอันเหลือบมองเหิงอิน คนหลังทำท่าวันทยหัตย์กลับมาให้ “Yes sir.[1]”
นี่คือวิชาโต้ตอบกับศพซึ่งสามารถเติมเต็มความต้องการของซือกู่ได้ ต่อไปเมื่อมีหุ่นเชิดเพิ่มขึ้น สวี่ชีอันก็จะได้ชักใยให้พวกเขาพูดคุยกัน พอคนสองคนตอบโต้กันขึ้นมาก็จะกลายเป็นรายการทอล์กโชว์พอดี
เหิงอินที่สวมชุดคลุมสีครามก้าวออกจากความมืดแล้วเข้าไปยังห้องโถงชั้นใน
“นั่นใคร!”
จอมยุทธ์ภิกษุด้านซ้ายมือตะโกนขึ้น
เขาวิ่งเข้ามาขวาง เมื่อแสงตะเกียงจากใต้ชายคาส่องลงมาให้เห็นใบหน้าของคนคนนั้น ก็พบว่านั่นคือสวีเชียนที่ปรากฏตัวขึ้นที่เหลยโจวนั่นเอง
เสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น จอมยุทธ์ภิกษุสองคนทรุดตัวลงและแขนขาชาดิกในทันที
จากนั้นเหิงอินก็ใช้เท้าเตะประตูของโถงด้านในออก เห็นฉานซือกำลังนั่งล้อมวงท่องบทสวด รวมถึงมีจอมยุทธ์ภิกษุหกรูปเฝ้าอยู่ด้านข้างด้วย นอกจากนั้นยังเห็นพวกหลี่หลิงซู่ถูกมัดเอาไว้ รวมถึงจิ้งซินกับจิ้งหยวนที่เผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา
“เจ้ามาได้สักทีนะ!” จิ้งหยวนแย้มยิ้ม