ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 556 ถ่านเนื้อทอง
บทที่ 556 ถ่านเนื้อทอง
เมืองหลวง
เมื่อคืนหิมะตกหนัก เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า ในลานก็ประดับสีเงินห่อหุ้มด้วยสีขาว หิมะที่พอกพูนปกคลุมสวนดอกไม้และพื้นที่ปูด้วยแผ่นหินดำบางๆ
รุ่งอรุณของอาสะใภ้ถูกปลุกด้วยเสียงหัวเราะดุจกระดิ่งเงิน
นางควานหาสามีข้างกายโดยไม่รู้ตัวก็พบว่าเขาตื่นไปเข้าเวรแล้ว
อาสะใภ้ขมวดคิ้วละเอียด ลุกขึ้นนั่งอยู่ในผ้าห่มอันอุ่น ยืดเส้นยืดสาย ถ่านไฟคุกรุ่นอยู่ภายในห้อง สาวใช้ที่หลับอยู่ในห้องนอนจะเติมถ่านเนื้อทองทุกหนึ่งชั่วยาม
เมื่อเผาถ่านชนิดนี้จะไม่มีกลิ่นควันแม้แต่น้อย กลับมีกลิ่นสดชื่นของกิ่งสนเสียด้วยซ้ำ
ฤดูหนาวในปีนี้หนาวเป็นพิเศษ องค์หญิงใหญ่ทรงเห็นใจซู่จี๋ซื่อสวี่ซินเหนียนจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน จึงรับสั่งให้ส่งถ่านเนื้อทองที่ใช้ในวัง 30 จิน (1 จินประมาณ 500 กรัม) มาให้เป็นพิเศษ องค์หญิงหลินอันก็ทรงเห็นใจซู่จี๋ซื่อสวี่ซินเหนียนที่สุขุมรอบคอบและตรากตรำประจักษ์ผลงาน จึงรับสั่งให้ส่งถ่านเนื้อทอง 30 จินมาให้เป็นพิเศษ
ดังนั้นอาสะใภ้จึงได้ใช้ของดีที่มีเพียงราชนิกุลสูงศักดิ์เท่านั้นที่จะได้ใช้
อาสะใภ้มีความสุขยิ่ง ยามทานอาหารก็เน้นชื่นชมสวี่เอ้อร์หลาง เล่าเรียนนานนับปีเน้นการสั่งสม ไม่เพียงได้รับคำชมเชยจากสมุหราชเลขาธิการ ยังได้รับความสำคัญจากองค์หญิงทั้งสองเช่นนี้อีกด้วย
อารองสวี่หัวเราะกับความตื้นเขินเกินไปของอาสะใภ้ สิ่งของที่องค์หญิงทรงประทานให้มีจุดประสงค์เจาะจงหนึ่งเดียว บ้านสกุลสวี่มีเพียงเอ้อร์หลางผู้เดียวที่จะถูกเชิญร่วมโต๊ะ
เอ้อร์หลางเป็นเพียงเครื่องมือที่สององค์หญิงจะดูแลบ้านสกุลสวี่
เรื่องแบบนี้อารองสวี่จะไม่บอกอาสะใภ้แน่นอน
“โหวกเหวกเสียงดัง…”
หญิงงามในชุดในตัวบาง เส้นผมสีดำชี้ฟู ประกอบกับท่าทางสะลึมสะลือ ดูไร้เดียงสาแบบสาวน้อยอยู่หน่อยๆ
‘ปัง’…อาสะใภ้ผลักประตูออก สายลมเย็นปะทะหน้า นางหนาวสั่นจนความง่วงที่หลงเหลือมลายหายในทันใด
จากนั้นภาพตรงหน้าก็ทำให้นางลืมเลือนได้แม้แต่ความหนาว
สองสาวน้อยเล็กใหญ่กำลังเกลือกกลิ้งทั่วพื้น เกิดเป็นร่องรอยบนพื้นหิมะ
ลี่น่าเอ่ย “นี่คือหิมะสินะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้าได้เห็นหิมะ”
สวี่หลิงอินเอ่ย “นี่ก็เป็นหลายครั้งในชีวิตที่ข้าได้เห็นหิมะ”
เนื้อตัวของทั้งสองเปื้อนไปด้วยหิมะคล้ายกับสองมนุษย์หิมะ
“สวี่หลิงอิน! ”
อาสะใภ้แผดเสียง
อากาศหนาวเหน็บยังจะกล้าเล่นอะไรเช่นนี้ หากไม่ใช่คนโง่ก็คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว
เสี่ยวโต้วติงสะดุ้งโหยง ผงกหัวเล็กขึ้นมองไปทางอาสะใภ้ แล้วเอ่ยเสียงดัง
“แย่ล่ะ ท่านแม่พบพวกเราแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”
ลี่น่ารีบเอ่ย “ตกลง”
จากนั้นทั้งสองก็กลิ้งกันไปไกล
…
สวี่หลิงเยวี่ยนอนกระทั่งตื่นขึ้นมาเองก็ได้ยินน้องสาวโง่งมหยอกล้อกับท่านอาจารย์โง่เง่าของนางมาจากด้านนอก แค่ไม่ตอบก็เท่านั้น
วันนี้ต้องไปเป็นแขกที่จวนสกุลหวางและรับมือกับสมาชิกหญิงในจวนสกุลหวาง จึงต้องแต่งตัวให้ดีเสียหน่อย
“คุณหนูใหญ่ วันนี้ไปบ้านสกุลหวาง ใส่ชุดแบบใดถึงจะเหมาะสมเจ้าคะ” สาวใช้เอียงศีรษะ ทำท่าครุ่นคิด
“ใส่ให้สุภาพหน่อย บ้านสกุลหวางเคยชินกับความโอ่อ่า พวกเราแต่งกันงามหยดย้อย ดีไม่ดีพวกเขาจะเย้ยหยันสามัญชนต่ำต้อยแบบพวกเราอยู่ในใจว่าชอบบ้าเห่อ”
สวี่หลิงเยวี่ยส่องกระจกเสริมแต่ง สาวน้อยในคันฉ่องสำริดใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโต องค์ประกอบหน้ามีมิติ ทั้งงามละมุนและละเอียดอ่อน
นางสวมชุดคลุมสีฟ้าอ่อน กระโปรงแพรฟูฟ่อง คลุมด้วยเสื้อนอกขนสัตว์ปักลาย เท้าหยกสวมด้วยรองเท้าหนังลายเมฆปักด้วยด้ายทอง
“ถือของมาให้ข้าด้วย”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบรับเสียงใส
นางออกจากห้องพร้อมกับสาวใช้ในทันที จากนั้นก็ทานมื้อเช้าที่โถงใน สวี่หลิงอินในตอนนี้เปลี่ยนเป็นเสื้อที่สะอาดสะอ้านและอาบน้ำด้วยน้ำร้อน
เสี่ยวโต้วติงยังคงอยู่ในผมแกละเฉกเช่นเคยคล้ายกับซาลาเปาเนื้อสองลูก ทว่าสวมชุดกระโปรงตัวสวย ดูเป็นผู้หญิงขึ้นมาเล็กน้อย
ทว่าหากยืนคู่กับพี่สาวที่ทันสมัยและงามละมุนก็พอจะเรียกได้ว่าน่ารักเพียงเท่านั้นไอรีนโนเวล
อาสะใภ้ชำเลืองมองนาฬิกาน้ำที่โถงในก็เอ่ยเร่งรัด
“ควรออกเดินทางได้แล้ว เอ้อร์หลาง จำไว้ว่าต้องดูแลน้องๆ ให้ดี หลิงเยวี่ย เจ้าอย่าทำท่าเหมือนใครจะรังแกก็ได้ตลอดเวลา ตอนนี้เจ้าไม่ได้ไปในนามตนเอง แต่เป็นบ้านสกุลสวี่ หลิงอิน เมื่อไปถึงบ้านสกุลหวางก็อย่าตะกละตะกลาม และอย่าก่อเรื่องเข้าใจหรือไม่”
วันนี้เป็นวันหยุด สวี่เอ้อร์หลางต้องไปอภิปรายงานราชการกับสมุหราชเลขาธิการหวางที่บ้านสกุลหวาง ซึ่งจะร่วมทางไปกับเหล่าน้องสาว
สามพี่น้องวางตะเกียบชามข้าว หลังจากบ้วนปากด้วยน้ำเกลือก็ออกจากจวนสกุลสวี่ แล้วขึ้นรถม้าไป
คนขับค่อยๆ เดินทางอย่างระมัดระวังบนพื้นถนนชื้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
จากบ้านสกุลสวี่ไปยังสกุลหวางใช้เวลาสองเค่อ เพราะพื้นถนนลื่นเดินทางยาก กว่าจะมาถึงต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยาม
สวี่เอ้อร์หลางกระโดดลงจากรถม้า หันหลังประคองสวี่หลิงเยวี่ยลงรถ ส่วนสวี่หลิงอินกระโดดลงมาจากอีกด้านเรียบร้อยแล้ว
สามพี่น้องตรงเข้าไปในส่วนลึกของจวนสกุลหวางภายใต้การนำของผู้ดูแล
…
สมุหราชเลขาธิการหวางยืนอยู่ข้างฉากกั้นภายในห้องนอน ฮูหยินหวางพาสาวใช้ไปเปลี่ยนเสื้อแทนตนเอง
“ข้าจำได้ซือมู่เคยกล่าวไว้ว่าคุณหนูบ้านสกุลสวี่ผู้นั้นไม่ใช่คนที่จะไปยั่วยุด้วยได้ สะใภ้ใหญ่ประจบสอพลอ สะใภ้รองก็ใจแคบ อีกประเดี๋ยวได้พบ เจ้าก็ดูอยู่ข้างๆ อย่าเข้าไปยุ่งให้วุ่นวายล่ะ”
สมุหราชเลขาธิการกล่าว
“สายตาของนางไม่ได้ตื้นเขินเช่นนั้น รู้อะไรควรไม่ควร” ฮูหยินหวางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางรู้สึกประหลาดใจที่นายท่านใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้
“นายท่าน ใต้เท้าสวี่มาถึงแล้วขอรับ” บ่าวคนหนึ่งยืนอยู่นอกประตูห้อง รายงานเสียงดัง
“เชิญเขาไปที่ห้องหนังสือเถอะ”
สมุหราชเลขาธิการหวางเหลือบมองตนเองหน้าคันฉ่องสำริด ลูบรอยยับเสื้อบนหน้าอก ก่อนจะมองไปที่ฮูหยินหวางพร้อมเอ่ย “ของขวัญพร้อมแล้วหรือยัง”
ฮูหยินหวางยิ้มพลางพยักหน้า
…
ภายในโถงใน หวางซือมู่ประคองถ้วยชา ชิมน้ำชาอันหอมกรุ่นก็ได้ยินเสียงพร่ำบ่นไม่หยุดปากของสองสะใภ้
สะใภ้ใหญ่ชื่อว่าหลี่เซียงหาน บิดาเป็นหลางจงกรมการคลัง ยศไม่ใหญ่ กลับยึดติดกับเงิน จึงขี้ประจบเล็กน้อย
สะใภ้รองชื่อว่าจ้าวอวี่หรง บิดาตำแหน่งเล็กกว่า เป็นเพียงนายทะเบียนของศาลต้าหลี่
ว่ากันตามเหตุผล วงศ์ตระกูลเช่นนี้มิอาจคบค้ากับบ้านสกุลหวางได้ แม้พี่รองจะทำการค้าก็ไม่ระบุสถานะ
พูดถึงเรื่องนี้ยังมีอีกสองแหล่งที่มา วงการขุนนางของหวางเจินเหวินมีขึ้นมีลง ก่อนที่จะร่ำรวยก็เคยตกต่ำมาหลายครั้ง หนึ่งในนั้นเคยโดนศัตรูทางการเมืองใส่ร้ายและถูกตัดสินโทษให้เข้าคุก
บิดาของจ้าวอวี่หรงดำรงตำแหน่งที่ศาลต้าหลี่ในขณะนั้น มีความสัมพันธ์กับหวางเจินเหวินค่อนข้างดี ใช้เงินแก้ปัญหาไปทั่ว ไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ ท้ายที่สุดก็รอดมาได้
บิดาของสะใภ้ใหญ่หลี่เซียงหาน คล้ายจะมีบุญคุณอะไรเทือกนั้นกับหวางเจินเหวิน
ดังนั้นหลังจากหวางเจินเหวินร่ำรวย สองสะใภ้ก็ได้แต่งเข้าบ้านสกุลหวาง
สะใภ้ใหญ่หลี่เซียงหานกล่าว
“ซือมู่ เจ้าไปจวนสกุลสวี่ครั้งก่อน นายหญิงบ้านสกุลสวี่นั่นตั้งกฎกับเจ้าหรือไม่”
หวางซือมู่ส่ายหน้า
สะใภ้รองจ้าวอวี่หรงปรายตามองนาง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ดูท่าว่าจะมี เจ้าบอกว่านายหญิงบ้านสกุลสวี่นั่นฝีมือเหนือชั้นไม่ใช่หรือ ซือมู่ อย่าอายที่จะพูดเลย สะใภ้ใหม่แต่งเข้าบ้าน แม่สามีก็มักจะตั้งกฎเสมอ ยามที่ข้ากับพี่สะใภ้แต่งเข้าบ้านก็เคยถูกแม่สามีเหน็บแนม ทว่าเจ้าไม่เหมือนกับพวกข้า เจ้าเป็นบุตรีของบ้านสกุลหวาง ออกเรือนไปกับเอ้อร์หลางในอนาคต นั่นคือการแต่งงานกับสามัญชน สวี่เอ้อร์หลางจะก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดได้ก็ต้องพึ่งพาบ้านสกุลหวางของพวกเรา ต่อไปเจ้าไปบ้านสกุลสวี่ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้เลย ในครั้งนี้พวกเรา คงต้องตั้งกฎให้คุณหนูบ้านสกุลสวี่เช่นกัน ให้นางรู้ถึงความต่างระหว่างบ้านสกุลสวี่กับบ้านสกุลหวาง”
‘ใครจะตั้งกฎให้ใครก็ยังไม่แน่นอน พวกเจ้าก็อยากงัดข้อกับแม่สาวน้อยสวี่หลิงเยวี่ยนั่นสินะ…’ หวางซือมู่พึมพำในใจพร้อมส่ายหน้า
“ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ น้องหลิงเยวี่ยเฉลียวฉลาด ยั่วยุนางไม่คุ้มกันหรอก”
สะใภ้ใหญ่หลี่เซียงหานเผยรอยยิ้มที่เหนือกว่าด้วยท่าทางของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน
“ซือมู่นี่ไม่มีประสบการณ์สินะ สมาชิกหญิงสองบ้านจะไปมาหาสู่กันก่อนออกเรือน เชื่อมความสัมพันธ์เป็นเพียงส่วนหนึ่ง สิ่งสำคัญกว่าคือการหยั่งเชิงกันและกันอยู่ดี หากเจ้าเป็นแม่ยายจะไม่มีความคิดเช่นนี้ในใจเลยหรือ สาวน้อยบ้านสกุลสวี่นั่นจะนำสิ่งที่พบและได้ยินที่นี่ในวันนี้กลับไปบอกนายหญิงบ้านสกุลสวี่ พวกเรามาโขกสับนางกันเสียหน่อย ฝากคำเตือนให้นายหญิงบ้านสกุลสวี่ว่าในอนาคตอย่าได้รังแกเจ้า”
นับแต่โบราณความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้สรุปรวบรัดได้ด้วยคำว่า ‘รบต่อหน้าสู้ลับหลัง’
สู้เพื่ออำนาจของแม่บ้าน
ยิ่งเป็นตระกูลร่ำรวย การช่วงชิงอำนาจในการเงินและการเรือนก็ยิ่งดุเดือด
“นี่ ไม่ดีกระมัง…”
หวางซือมู่ข่มใจไม่ให้กระตุกมุมปาก แล้วขมวดคิ้วเอ่ย
สะใภ้ใหญ่เอ่ย “วางใจได้ เหล่าสะใภ้รู้อะไรควรไม่ควร”
หวางซือมู่เอ่ยอย่างจนปัญญา “อย่างไรก็ช่าง ในเมื่อเป็นกฎที่ทำกันมานาน งั้นก็เอาตามความตั้งใจของพี่สะใภ้ทั้งสองท่านเถอะ”
เอ่ยจบนางก็ประคองถ้วยชาขึ้น ทำท่าดื่มชาปิดบังมุมปากที่ยกขึ้นน้อยๆ
เรื่องการแต่งงานของสองครอบครัว ไม่ว่าความสัมพันธ์ของชายหญิงทั้งคู่เป็นอย่างไรก็จะมี ‘การแข่งขัน’ ระหว่างครอบครัวเสมอ
แม่สามีตั้งกฎให้สะใภ้ที่ไม่เคยแต่งเข้าบ้านมาก่อน ครอบครัวสะใภ้ก็จะแสดงสายสนกลในอันลึกซึ้งพอเพื่อ ‘เตือน’ ครอบครัวสามีให้ทำดีกับลูกสาวของตน
ล้วนเป็นเหตุผลทั่วไปของมนุษย์
หวางซือมู่เห็นสองสะใภ้กระตือรือร้นเช่นนี้ก็วางใจในทันใด
ครั้งก่อนที่ไปเป็นแขกบ้านสกุลสวี่ เด็กบ้าสวี่หลิงเยวี่ยนี่ขัดขาไม่น้อย นางทำอะไรมา ข้าก็จะทำเช่นนั้นกลับ
ขณะที่พูดก็มีพี่น้องคู่หนึ่งเดินเข้ามาจากนอกโถง ศีรษะของน้องสาวยังไม่ถึงเอวของพี่สาวด้วยซ้ำ สาวน้อยที่ถูกจูงมือเล็กดูเซ่อซ่าเล็กน้อย
ส่วนพี่สาวกลับทำให้สะใภ้ทั้งสองตาเป็นประกาย สวมด้วยเสื้อคลุมขนปักลาย ใส่รองเท้าหนังแกะ หน้าม้าที่ตัดเสมอกันปรับใบหน้าเล็กให้งามประณีต
ให้ความรู้สึกเหมือนสาวงามสามัญชนที่อ่อนแอและอ่อนหวาน
ในพริบตาที่เห็นสวี่หลิงเยวี่ย สะใภ้บ้านสกุลหวางทั้งสองก็รู้ว่าต้องชนะนางแน่ สาวงามสามัญชนที่ถูกเลี้ยงในห้องไม่เคยเห็นโลกเช่นนี้ เกรงว่าหากตนแสดงความไม่พอใจสักหน่อยออกไป นางจะประหม่าพรั่นพรึง ทำอะไรไม่ถูก
ถามคำถามที่จุกจิกไปเสียหน่อยก็จะก้มหน้างุด มือไม้วางไม่ถูก
รังแกสาวน้อยเช่นนี้ ช่างน่าเบื่อเสียจริง
ส่วนเด็กน้อยที่เซ่อซ่านั่น ย่อมถูกสองสะใภ้มองข้าม
“น้องหลิงเยวี่ยมาแล้ว”
หวางซือมู่ลุกขึ้นต้อนรับ แล้วเอ่ยแนะนำตัว “ท่านนี้คือพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า ท่านนี้คือพี่สะใภ้รอง น้องหลิงเยวี่ยเรียกตามข้าเถอะ”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงนุ่มนวล “หลิงเยวี่ยคำนับพี่สะใภ้ทั้งสอง”
สะใภ้ใหญ่หลี่เซียงหานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเป็นหญิงสาวที่งดงามเสียจริง ในอนาคตไม่รู้ว่านายน้อยบ้านไหนจะได้แต่งงานกับน้องหลิงเยวี่ยของพวกเรา”
สวี่หลิงเยวี่ยยิ้มอย่างสำรวม ก้มหน้าพร้อมเอ่ย “หลิงอิน รีบทักทายพี่สะใภ้เร็ว”
สวี่หลิงอินเงยหน้า ขมวดคิ้วที่บางแสนบางขึ้น “เหตุใดถึงเป็นพี่สะใภ้ล่ะ พวกนางก็จะแต่งงานกับพี่รองเช่นกันหรือ”
สี่สาวสีหน้าพลันชะงัก
สะใภ้รองจ้าวอวี่หรงมองไปที่สวี่หลิงเยวี่ยทันที เมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของนางก็ลืมตำหนิน้องสาว ได้แต่หัวเราะแห้งพร้อมเอ่ย
“อย่าได้ถือสาคำพูดเด็กเลยเจ้าค่ะ”
หวางซือมู่ปรายตามองสวี่หลิงเยวี่ย แล้วเก็บสีหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ท่านแม่น่าจะตื่นแล้ว พวกเราไปทักทายนางกันเถอะ”
ต้องพาพี่น้องบ้านสกุลสวี่ไปพบฮูหยินแล้ว
ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงเดินลึกเข้าไปในจวนสกุลหวางมากกว่าเดิม ทะลุระเบียงทางเดินผ่านลาน กระทั่งมาถึงภายในห้องใหญ่
ภายในห้องมีตั่งนุ่มสองหลัง ปูด้วยผ้าขนแกะอันอบอุ่นนุ่มนิ่ม บนตั่งวางด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนโต๊ะมีของกินต่างๆ เช่น ผลไม้แห้ง เนื้อแดดเดียว ผลไม้เชื่อม และขนมอบ
บนตั่งนุ่มทางซ้ายมีภรรยาเอกของหวางเจินเหวินนั่งอยู่…ฮูหยินหวาง
ฮูหยินหวางมีอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว แต่กลับบำรุงเป็นอย่างดี ไม่อ้วนไม่ผอม เลือดฝาดเปล่งปลั่ง ริ้วรอยเส้นละเอียดที่หางตาเสริมเสน่ห์ที่สั่งสมตามกาลเวลา
“ท่านแม่! ”
“ท่านแม่สามี! ”
“ฮูหยิน! ”
หญิงสาวทุกคนพากันคารวะ มีเพียงสวี่หลิงอินที่ไม่เป็นธรรมชาติ นางไม่คุ้นชินกับบรรยากาศสักเท่าไหร่
เสี่ยวโต้วติงอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระ ไม่มีกฎเกณฑ์ผูกมัดมากมายเช่นนี้
ฮูหยินหวางพยักหน้าอย่างอ่อนโยน สายตาตกอยู่บนใบหน้าของพี่น้องบ้านสกุลสวี่
“นี่คือเหล่าคุณหนูของบ้านสกุลสวี่หรือ”
ฮูหยินหวางนึกถึงรูปโฉมอันหล่อเหลาหาใดเปรียบของสวี่เอ้อร์หลาง แล้วมองรูปลักษณ์ต้องตาอันงามละมุนและทันสมัยของสวี่หลิงเยวี่ย พึมพำครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขออายุมั่นขวัญยืนแก่พี่น้องทั้งสอง”
พูดจบก็เรียกพวกนางไปนั่ง
สะใภ้ใหญ่หลี่เซียงหานจิบชาร้อน ถอนหายใจพร้อมเปิดประเด็นสนทนา
“อากาศเลวร้ายเช่นนี้ ปีก่อนในเวลานี้จะมีการเผาถ่านหินทั้งคืน ข้าอึดอัดแทบทนไม่ไหว ตอนนี้หากไม่เผาทั้งคืนคงต้องแข็งตายทั้งเป็น”
สะใภ้รองจ้าวอวี่หรงต่อบทสนทนา “นั่นสินะ”
บัดนี้นางพบว่าเสี่ยวโต้วติงจ้องเตาถ่านสูงเท่าครึ่งหนึ่งของคนอย่างเหม่อลอย สิ่งที่เผาอยู่ในนั้นเป็นถ่านเนื้อทองไร้ควัน
‘เด็กคนนี้น่าจะไม่เคยเห็นถ่านไร้ควันเช่นนี้มาก่อน…’ สะใภ้รองใจเต้น ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ดังนั้นแล้ว ฝ่าบาทจึงพระราชทานถ่านเนื้อทองให้จวนสกุลหวางของพวกเราสิบจิน ถ่านชนิดนี้ไม่มีกลิ่นควัน เมื่อจุดเผายังมีกลิ่นหอมจรุงใจอีกด้วย”
สะใภ้รองปรายตามองสวี่หลิงเยวี่ยด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า แต่กลับพบว่านางอมยิ้ม ไม่ได้ตอบสนองอะไร
‘อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักถ่านเนื้อทอง…’ สะใภ้รองเสริมประโยค “เป็นของที่ราชวงศ์ใช้กันน่ะ”
ในมือของสวี่หลิงอินถือผลไม้เชื่อม พร้อมเอ่ยเสียงดัง “บ้านของพวกเราก็มี”
…
ภายในห้องหนังสือ
สมุหราชเลขาธิการหวางนั่งอยู่หลังโต๊ะ ประคองถ้วยชาในมือ ฝาชากระทบขอบถ้วยเบาๆ ตั้งใจฟังรายงานจากว่าที่ลูกเขย
“ท่านสมุหราชเลขาธิการ ฤดูหนาวในปีนี้ ประชาชนจะต้องมีอุปสรรค โดยเฉพาะพื้นที่ที่เคยประสบภัยแล้งและอุทกภัย ประชาชนในพื้นที่จะผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างไร”
สวี่ซินเหนียนออกความเห็นอย่างใจกว้าง “ข้าร่างหนังสือถึงฝ่าบาท ขอให้ตรวจสอบยุ้งฉางทุกพื้นที่ เตรียมจัดสรรงบประมาณในการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยให้พร้อมล่วงหน้า เหตุใดท่านถึงปัดตกฎีกาของข้า”
สมุหราชเลขาธิการหวางอดทนฟังจนจบ แล้วจิบน้ำชาพร้อมเอ่ย
“ฉือจิ้ว ในฐานะขุนนางหวังบรรลุการใหญ่ จะต้องเปิดโลกทัศน์เสียก่อน มองดูสถานการณ์โดยรวมก่อนจะเตรียมการล่วงหน้าได้ เจ้าเห็นเพียงอุปสรรคของประชาชนในฤดูหนาวนี้ แต่กลับมองไม่เห็นความลำบากของราชสำนัก”
เขาวางถ้วยชาลง ผลักฎีกากองหนึ่งไปตรงหน้าสวี่ซินเหนียน “ลองดูฎีกาของกรมการคลังสิ”
สวี่ซินเหนียนกางฎีกา กวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าอย่างมาก
สมุหราชเลขาธิการถอนหายใจเอ่ย “ราชสำนักไม่เหลือเงินแล้ว”
สวี่ซินเหนียนเอ่ยพึมพำ “เป็นไปได้อย่างไร”
“อดีตจักรพรรดิดิ้นรนมายี่สิบปี คลังหลวงเดิมก็ว่างเปล่า รากฐานของต้าฟ่งสั่นคลอนภายใต้ความโออ่าเพียงเปลือกนอก หลายเดือนก่อนหน้านี้ กองกำลังทหารหนึ่งแสนสองหมื่นนายสนับสนุนเผ่าปีศาจ เว่ยเยวียนนำกองกำลังหนึ่งแสนนายเข้ายึดเมืองจิ้งซาน แม้จะได้ชัย ทว่าเสบียงอาหารหญ้าเลี้ยงม้า ม้าศึก และอุปกรณ์มีสิ่งใดไม่ใช้เงินบ้างล่ะ กำลังของชาติอ่อนแอ สนับสนุนสงครามขนาดเช่นนั้น สิ้นเปลืองอย่างมหาศาลเกินกว่าเจ้าจะจินตนาการ”
สมุหราชเลขาธิการหวางเอื้อมมือไปใกล้เตาถ่าน อังไฟมือที่เย็นเฉียบพลางเอ่ย
“เดิมทีก็ยังพอจะประคองให้รอดพ้นปีนี้ไปได้ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว สถานการณ์โดยรวมก็จะคงที่ได้ ใครก็รู้ว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ชายชราอย่างข้าก็อยู่มานานหลายสิบปี ไม่เคยประสบฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเช่นนี้มาก่อน”
‘โรคเรื้อรังภายในราชสำนักยากจะกวาดล้าง ภัยธรรมชาติมีไม่ขาด คลังหลวงว่างเปล่า ช่างวุ่นวายเสียจริง…’ สวี่ซินเหนียนหัวใจหนักอึ้ง แล้วเอ่ยถาม “พอจะมีทางช่วยหรือไม่ขอรับ”
สมุหราชเลขาธิการหวางจ้องเตาอยู่นานโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
“เวลา” เขาเอ่ย
นิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนสมุหราชเลขาธิการหวางจะเอ่ยอีกครั้ง “หากประมาทปลาอาจไหม้ หากไม่รอบคอบในการปกครองประชาชนจะโกลาหล หากรู้วิธีทอดปลาก็จะรู้วิธีปกครองประชาชน หากไม่มีศึกจากภายนอก เวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง”
สวี่ซินเหนียนเอ่ยเสียงเบา “หากไม่มีศึกจากภายนอกหรือ”
‘ต้าฟ่งสิ้นแล้ว…’ สมุหราชเลขาธิการหวางหันมาเอ่ย “มีข่าวคราวของเขาบ้างหรือไม่”
สวี่ซินเหนียนรู้ว่าสมุหราชเลขาธิการหวางหมายถึงใคร จึงส่ายหน้า “กระทั่งทุกวันนี้ พี่ใหญ่ยังไม่เคยส่งจดหมายกลับมาที่จวนเลยขอรับ”