ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 558 แผนการ
บทที่ 558 แผนการ
เมื่อจิ้งซินและจิ้งหยวนได้รับข่าว ก็พาภิกษุทั้งหลายออกมาต้อนรับ
เมื่อเทพอารักษ์ตู้หนานเห็นศิษย์รักอย่างจิ้งหยวน แค่มองแวบเดียวก็รู้ถึงอาการบาดเจ็บของเขาได้ในทันที
“จิตดาบยังส่งผลต่อร่างกายอย่างไม่หยุดยั้ง ยากจะกำจัด เขาเป็นคนทำหรือ?”
หลังจากที่ไฉซิ่งเอ๋อร์แอบส่งข่าวออกมา จิ้งซินก็ใช้วิชาลับเพื่อแจ้งแก่เทพอารักษ์ตู้หนานทันที บุคคลระดับเพชรผู้นี้จึงรู้แล้วว่าสวี่ชีอันอยู่ที่เซียงโจว
จิ้งหยวนมีสีหน้าซีดขาว เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างละอาย “ศิษย์ไร้ความสามารถ ไม่อาจรั้งพุทธบุตรไว้ได้”
เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยเสียงราบเรียบ “เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”
เหล่าภิกษุเข้าไปในจวนสกุลไฉ เมื่อนั่งลงบนในห้องโถงใหญ่ จิ้งซินก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเซียงโจวให้เทพอารักษ์ตู้หนานฟังจนหมด
“ว่ากันว่าไฉซิ่งเอ๋อร์ผู้นั้นคือสายลับของ ‘ตำหนักความลับสวรรค์’ นางได้แจ้งข่าวแก่ระดับสูงแล้ว ที่พุทธบุตรยังไม่สังหารพวกเราก็เพราะกลัวว่าสายลับจะมาพบและเรื่องถูกเปิดเผย แล้วสังหารสิ้นจนหมด”
จิ้งซินทำการสรุปในตอนท้าย
“น่าเสียดายนัก”
เทพอารักษ์ตู้หนานทอดถอนใจ “ถ้าข้ามาเร็วกว่านี้หนึ่งก้าว ก็อาจจะจับตัวพุทธบุตรและทำตามคำสั่งของพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่สำเร็จได้”
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปหาจิ้งหยวน ก่อนยกมือขึ้นกดไหล่ขวาของจิ้งหยวนเอาไว้ พลังปราณสีทองอ่อนๆ แทรกซึมเข้าไปในร่างของศิษย์รักแล้วทำลายอวัยวะภายใน รวมถึงจิตดาบที่หลงเหลืออยู่ในเส้นลมปราณด้วย
ผิวหนังทั่วทุกที่ของจิ้งหยวนปริแตกและมีเลือดไหลออกมา
เขาร้องครางอยู่ในลำคอ สีหน้าซีดเผือด เม็ดเหงื่อไหลริน
“ช่างเป็นจิตดาบที่รุนแรงนัก”
เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยประเมิน จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ถูกสิ เมื่อทำลายไป จิตนี้ก็จะปะทุขึ้นมาใหม่ ยอมเป็นหยกที่แตกสลายดีกว่าอย่างนั้นรึ จิตดาบขั้นสี่ของพุทธบุตร…”
สีหน้าของจิ้งหยวนเริ่มมีเลือดฝาด ราวกับคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วยหนัก
เมื่อเห็นสีหน้าของท่านอาจารย์นิ่งขรึม เขาก็เอ่ยถามไปว่า “จิตนี้เป็นอย่างไรหรือขอรับ”
ระดับเพชรขั้นสามไม่มี ‘จิต’ การที่จอมยุทธ์ภิกษุขั้นแปดจะเลื่อนไปสู่ขั้นสามนั้น กระบวนการฝึกตนจริงๆ ก็คือเส้นทางของจอมยุทธ์ แต่หลังจากอยู่ขั้นห้าสลายแรง จอมยุทธ์ภิกษุสามารถกระโดดข้ามขั้นสี่แล้วไปตระหนักรู้พลังเทพวชิระ จากนั้นก็เลื่อนสู่ขั้นสามโดยตรง
พูดอีกอย่างก็คือ ความจริงแล้วการป้องกันที่ไร้เทียมทานในพลังเทพวชิระก็คือ ‘จิต’ นั่นเอง
“จิตนี้ไม่อาจใช้คำว่าร้ายกาจมาอธิบายได้ คนที่อยู่ในระดับเดียวกัน เมื่อประมือกับเขา ก็ต้องเตรียมใจที่จะตกตายไปพร้อมกันไว้ด้วย” เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ย
“เพราะเหตุใดหรือขอรับ” จิ้งหยวนขมวดคิ้ว
“เพราะนี่คือจิตของเขา ยอมเป็นหยกสลาย ดีกว่ากลายเป็นกระเบื้องสมบูรณ์” เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยเนิบช้า
จิ้งหยวนและจิ้งซินมองหน้ากัน ต่างสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของสวี่ชีอันได้อีกครั้ง สมควรแล้วที่พุทธบุตรคือบุคคลอันดับหนึ่ง
“อาจารย์อาตู้หนาน ครั้งนี้ท่านกับอรหันต์ตู้ฉิงและอาจารย์อาตู้ฝานไปทำธุระอะไรหรือขอรับ” จิ้งซินเอ่ยถาม
เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยเสียงขรึม “ครั้งนี้ข้าไปเมืองเฉียนหลง แต่ระหว่างทางได้รับข่าวจากเจ้า ข้าจึงกลับมา”
เมืองเฉียนหลง?
จิ้งซินเหลือบมองจิ้งหยวนและพบว่าในแววตาของอีกฝ่ายก็มีความสงสัยเช่นเดียวกัน จึงเอ่ยถามขึ้นมา “เมื่อใดกันที่การรวบรวมปราณมังกรสำคัญกว่าการจับตัวพุทธบุตรขอรับ?”
เทพอารักษ์ตู้หนานไม่เอ่ยวาจา
จิ้งซินไม่ถามให้มากความ เขาลองเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นต่อไปพวกเราจะไปที่ยงโจวเลยหรือไม่ หรือว่ารออยู่ที่นี่อีกสองสามวันหรือขอรับ”
ตู้หนานเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ย “พรุ่งนี้ออกเดินทาง”
เมื่อถึงยามค่ำคืน เทพอารักษ์ตู้หนานก็กำลังนั่งสมาธิอยู่ในเรือนนอกของจวนสกุลไฉ ทว่าก็พลันมีคนทุบประตูดัง ‘ปังๆๆ’ อยู่ข้างนอก
เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยเนิบช้า “เข้ามา”
ประตูเรือนเปิดออก คนในชุดคลุมเดินเข้ามา รูปร่างท่าทางดูคล้ายกับบุรุษ
ชายในชุดคลุมเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ฟังดูน่าดึงดูดหลงใหลไอรีนโนเวล
“เจ้าคือสายลับของตำหนักความลับสวรรค์?” เทพอารักษ์ตู้หนานยังนั่งสมาธิอยู่บนที่นั่ง ถึงขั้นไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา
“ถูกต้อง”
ชายในชุดคลุมเอ่ยตอบ
“ตำหนักความลับสวรรค์คือโหรขั้นสองผู้นั้นหรือ?” เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ยถาม
“ใช่”
ชายในชุดคลุมไม่ปิดบัง เขาเอ่ยด้วยความเคารพ “ตอนที่เจ้าตำหนักออกภารกิจให้ค้นหาผู้ครองปราณมังกร ก็เคยกล่าวว่าสำนักพุทธคือสหายที่ร่วมมือกันได้ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่ เจ้าตำหนักทำนายได้แม่นยำราวกับเทพเซียน ไม่เคยผิดพลาดสักครา”
เมื่อเห็นเทพอารักษ์ตู้หนานนั่งนิ่งไม่เอ่ยคำ เขาก็พูดต่อ
“ช่างเถอะ ในเมื่อสำนักพุทธเอาปราณมังกรไป ตำหนักความลับสวรรค์ก็ไม่อาจพูดอะไรได้ เพียงแต่ข้าค้นหาในจวนสกุลไฉแล้ว แต่ไม่พบไฉซิ่งเอ๋อร์ นางคือคนของตำหนักความลับสวรรค์ หวังว่าสำนักพุทธจะเข้าใจและส่งคนคืนให้ตำหนักความลับสวรรค์ด้วย”
เทพอารักษ์ตู้หนานลืมตาแล้วส่ายหน้าเอ่ยเสียงขรึม “ไฉซิ่งเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในมือของสำนักพุทธ”
ชายในชุดคลุมเงียบไปแล้วยิ้ม “ดูเหมือนที่เซียงโจวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ขอระดับเพชรโปรดเล่าความด้วย”
ในเรือน แสงเทียนส่ายไหว แสงสีส้มส่องสว่างเพียงน้อยนิด
“คนผู้นั้นมาแล้ว”
เพียงประโยคเดียวของเทพอารักษ์ตู้หนานก็ทำให้ลมหายใจของชายในชุดคลุมหนักหน่วงขึ้นมา
จากนั้นเทพอารักษ์ตู้หนานก็เล่าเรื่องที่ได้ยินมาจากจิ้งซินให้ชายในชุดคลุมฟังทั้งหมด
ชายในชุดคลุมฟังอย่างตั้งใจโดยไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากคิดอยู่นานก็เอ่ยว่า
“เจ้าตำหนักเคยกล่าวว่า ไม่ช้าก็เร็ว คนผู้นั้นจะมารวบรวมปราณมังกรในยุทธภพ เพราะหากอยู่ในเมืองหลวงจะไม่สามารถชิงเส้นเลือดมังกรได้ ดังนั้นยุทธภพคือโอกาสใหม่ของเขา การที่เจ้าตำหนักทำลายเส้นเลือดมังกรนั้น นอกจากจะทำลายรากฐานของต้าฟ่งแล้ว อีกเป้าหมายหนึ่งก็เพื่อการณ์นี้นี่แหละ
“เมื่อเขาไม่อาจชิงปราณมังกรที่อยู่ในร่างของคนผู้นั้นมาได้ ก็ต้องแลกกับสงครามและสังหารเขาในยุทธภพเสีย เจ้าตำหนักคาดการณ์ได้แม่นยำดุจเทพเซียนและควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือทุกขั้นทุกตอนแล้ว ไต้ซือ พวกเรามาร่วมมือกันดีกว่า”
เทพอารักษ์ตู้หนานมองพินิจเขา “เจ้าเป็นสายลับ เหตุใดจึงรู้มากขนาดนี้?”
ชายในชุดคลุมหัวเราะ แต่ไม่ได้ตอบกลับ
เทพอารักษ์ตู้หนานเอ่ย “เจ้าคิดจะร่วมมืออย่างไร เขามีวิธีการปกปิดกลิ่นอาย ฝีมือการปลอมตัวก็ยอดเยี่ยม การจะหาตัวเขายากเย็นแสนเข็ญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจับตัวเขาเลย”
ชายในชุดคลุมเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
“บางครั้งการจับเหยื่อก็ไม่จำเป็นต้องไล่ล่า นักล่าที่ดีนั้นต้องรู้จักใช้กับดัก มีสองวิธีที่จะใช้ต่อกรกับเขาได้ผล หนึ่งคือใช้ผู้ครองปราณมังกรล่อให้เขาออกมา แผนการนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น คนฉลาดอย่างเขาน่ะ ยากจะใช้ต่อเป็นครั้งที่สอง สองคือข่มขืนปล้นสะดมในพื้นที่ที่เขาอาจจะโผล่ออกมา ทำเรื่องเลวร้ายสารพัด หากเขารู้ก็จะต้องออกมาแน่นอน และแผนนี้ก็ใช้ได้หลายครั้งด้วย”
“ตำหนักความลับสวรรค์จะใช้ผู้ครองปราณมังกรใช่หรือไม่?” เทพอารักษ์ตู้หนานปฏิเสธข้อที่สองทันที
ระดับเพชรของสำนักพุทธห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ฆ่าแค่คนที่สมควรฆ่าอย่างพวกศัตรู คนชั่วช้า และคนน่ารังเกียจเท่านั้น การสังหารผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้าจะทำให้จิตมารพัวพันในใจ
ชายในชุดคลุมพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“เราได้ข่าวจากสายข่าวน่าเชื่อถือมาว่า กลุ่มจอมยุทธ์ในยงโจวกำลังจะเปิดชุมนุมใหญ่ วีรบุรุษทั้งหลายจะมารวมตัวกัน เขาก็ย่อมต้องไปเข้าร่วมเพื่อตามหาผู้ครองปราณมังกรที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนด้วย พวกเราแค่ต้องควบคุมผู้ครองปราณมังกรสักสองสามคนเท่านั้น แล้วส่งให้พวกเขาไปเคลื่อนไหวในเมืองยงโจว จากนั้นเราจะเฝ้าดูอยู่ใกล้ๆ กับผู้ครองปราณมังกร ทันทีที่คนผู้นั้นปรากฏตัว เราก็จะหว่านแหจับทันที คราวนี้ก็กลายเป็นการจับตะพาบในไหแล้ว”
ระดับเพชรผู้พิทักษ์ค่อยๆ พยักหน้า “เขาทำลายผนึกไปบางส่วนแล้ว ในความขัดแย้งเมื่อคืนนี้ กระจกดูดวิญญาณไม่อาจสั่นคลอนจิตเดิมของเขาได้ หากเดาไม่ผิด ตะปูตอกวิญญาณที่จุดไป่ฮุ่ยน่าจะถูกถอนออกแล้ว”
ชายในชุดคลุมนิ่งคิด “เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกเตือนภัยที่จอมยุทธ์ขั้นสามมีต่ออันตรายก็จะทำให้ความยากในการซุ่มโจมตีเพิ่มขึ้นไปอีก เรื่องนี้ต้องวางแผนกันในระยะยาวเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ข้าจะแจ้งข่าวแก่เจ้าตำหนักทันทีเพื่อสอบถามความเห็นของเขา”
…
วันนี้ คณะเดินทางห้าชีวิตเร่งรีบเดินทางข้ามวันข้ามคืน จนในที่สุดก็มาถึงเมืองยงโจว
สวี่ชีอันเปลี่ยนจากภาพลักษณ์อันหล่อเหลาในชีวิตก่อนมาเป็นภาพลักษณ์ของคนธรรมดาสามัญ หลี่หลิงซู่ก็เช่นเดียวกัน
ส่วนเหิงอินและมู่หนานจือนั้น คนแรกสวมเสื้อคลุม ส่วนฝ่ายหลังสวมหมวกคลุมหน้า
แม้แต่แม่ม้าน้อยก็มีการปลอมตัวเช่นกัน สวี่ชีอันทากีบเท้าของมันเป็นสีขาว แล้วย้อมเส้นขนเป็นสีดำ
ดังนั้น แม่ม้าน้อยจึงเปลี่ยนจากม้ามังกรทองกลายเป็นม้าดำย่ำหิมะ
สวี่ชีอันก็สังเกตเห็นว่าแม่ม้าน้อยยังดูเด่นเกินไป เป็นจุดบกพร่องเดียวของคณะเดินทาง
ถึงอย่างไรบุคคลก็ปลอมตัวได้ง่าย แต่ยากจะปลอมม้า แม้ในสายตาของคนส่วนใหญ่จะมองว่าม้าหน้าตาเหมือนกันก็เถอะ
เมื่อเข้ามาในเมืองยงโจว สวี่ชีอันก็ตรงไปยังหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดของเมืองยงโจวตามทางที่คุ้นเคยทันที นั่นคือโรงเตี๊ยมไร้เมามาย
แต่กลับพบว่าเต็มเสียแล้ว ทั้งยังไม่มีห้องว่างเหลือด้วย
พอไปหาโรงเตี๊ยมอีกสองสามแห่ง ก็ยังไม่มีห้องว่างเช่นกัน
หลี่หลิงซู่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ “ยงโจวกำลังจะจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ครั้งใหญ่ โรงเตี๊ยมในเมืองทั้งดีทั้งเลวล้วนเต็มหมดแล้ว แปลกจัง เจ้าบอกว่ายงโจวเป็นสถานที่ที่ไม่มีแม้แต่ขั้นสี่นี่ แล้วจะมาจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์อะไรกัน”
ยงโจวมีขั้นสี่อยู่ แต่ล้วนมีตำแหน่งขุนนาง พวกเขาเป็นคนของราชสำนัก แต่ในฝ่ายยุทธภพยังไม่มียอดฝีมือขั้นสี่
เหลยเจิ้งจากป้อมปราการหลงเสินและกงซุนเซี่ยงหยางจากตระกูลกงซุน ล้วนแต่เป็นขั้นห้าสลายแรง ห่างจากขั้นสี่แค่ข้ามธรณีประตูก้าวเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจก้าวข้ามไปได้
มู่หนานจือนั่งอยู่บนหลังม้า เอวเล็กๆ ของนางส่ายไหวเล็กน้อยตามการกระแทก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็แค่นเสียงเบาๆ “มีคนสมองบื้อเสียด้วย”
หลี่หลิงซู่ยิ้ม “ฮูหยินสวีกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
อาจเป็นเพราะคำว่า ‘ฮูหยินสวี’ ฟังรื่นหู มู่หนานจือจึงเหลือบมองไปยังสวี่ชีอันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าแนะนำสิ”
‘?’ ในหัวของหลี่หลิงซู่เกิดเครื่องหมายคำถามขึ้นมา ‘งานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ของยงโจวจัดขึ้นโดยสวีเชียนหรือ เหตุใดเขาไม่เคยพูดเลยเล่า ไม่ใช่สิ เขาจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์นี่ขึ้นมาทำไม’
เทพบุตรมองสวีเชียน เห็นเขาไม่คิดจะอธิบาย จึงต้องสะกดกลั้นความอยากรู้เอาไว้ พยายามไม่ถามมาก
ยังดีที่ในเมืองยงโจวมีโรงเตี๊ยมมากมาย พอหาไปหามา ในที่สุดก็ได้โรงเตี๊ยมที่พอไปวัดไปวาและยังมีห้องว่างอยู่หลังหนึ่ง
หลังจากพาหลี่หลิงซู่และมู่หนานจือเข้าพัก สวี่ชีอันก็ไปนั่งบนโต๊ะหนังสือตามปกติแล้วครุ่นคิดถึงแผนการต่อไป
ชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ของยงโจว สำหรับข้ามันคือแผนรวบรวมปราณมังกรที่เร็วที่สุด สำนักพุทธ สำนักพ่อมด และสวี่ผิงเฟิงก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้ยินข่าว พวกเขาจะต้องมาที่นี่แน่ เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากปากของพวกจิ้งซินแล้ว สถานีต่อไปของสำนักพุทธก็คือที่นี่ เช่นเดียวกัน สำนักพุทธและพวกสวี่ผิงเฟิงก็ต้องคิดได้ว่าข้าไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปแน่ๆ หากเปลี่ยนมุมมองให้ข้าเป็นพวกเขา ข้าจะทำยังไงนะ
อ่า จะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ แล้วรวบรวมปราณมังกรรวมถึงต่อกรกับข้าไปด้วย…แต่พลัง ‘ดวงดาราผันเปลี่ยน’ จากเทียนกู่ของข้าสามารถปกปิดกลิ่นอายได้ วิชามองปราณไม่มีผลกับข้าแล้ว
พวกเขาจะตามหาข้าอย่างไรนะ
สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ ตระกูลกงซุนกับป้อมปราการหลงเสินคืองูเจ้าถิ่น เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเป็นหูเป็นตาให้ข้าแล้วสืบหาข่าวคราว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ลุกออกจากห้องแล้วไปเคาะประตูห้องของหลี่หลิงซู่
“ผู้อาวุโส?”
หลี่หลิงซู่เปิดประตูออกแล้วเชิญเขาเข้ามาด้านใน จากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะก่อนรินชาพลางเอ่ยพูดไปด้วย
“ข้ากำลังพยายามทำลายผนึกอยู่ พี่หรงเป็นขั้นสี่สูงสุด ตอนนั้นข้าเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นสี่ พลังจึงแตกต่างจากนางลิบลับ ในช่วงสั้นๆ จึงไม่อาจทำลายผนึกได้ หากมียอดฝีมือของลัทธิเต๋าสักคนมาช่วยข้าก็ดีน่ะสิ พวกเราจะไปที่เมืองหลวงเมื่อใดหรือ ตอนนี้ศิษย์น้องของข้าอยู่ที่ขั้นสี่ นางสามารถปลดผนึกให้ข้าได้”
ศิษย์น้องของเจ้ายังเอาตัวไม่รอด ให้อาจารย์ของเจ้ามาปลดผนึกแทนไม่ดีกว่าหรือ…สวี่ชีอันไม่ได้ดื่มชา เอ่ยทันใด
“ตามข้าไปข้างนอก”
“ไปไหน?” หลี่หลิงซู่เอ่ยถามโดยไม่รู้ตัว
“ไปถึงแล้วก็รู้เอง”
หลี่หลิงซู่ตอบรับแล้วหันกายเดินออกนอกห้อง เมื่อเห็นว่าสวีเชียนไม่ได้ตามมาก็เอ่ยอย่างงุนงง “ผู้อาวุโส?”
ตอนนั้นเอง นกกระจอกตัวหนึ่งก็บินเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้แล้วเกาะบนไหล่ของหลี่หลิงซู่ จากนั้นก็เอ่ยภาษามนุษย์ออกมา “ไป”
พออยู่ด้วยกันมาก็นาน หลี่หลิงซู่ปรับตัวเข้ากับท่าทีสูงส่งไม่ชอบอธิบายของสวีเชียนแล้ว เขาจึงไม่เอ่ยถาม แต่ออกจากเมืองยงโจวเดินตามการชี้นำของนกกระจอก
หลังจากนั้นสองเค่อ พวกเขาก็มาถึงจวนกลางเขาของตระกูลกงซุนที่อยู่ไกลออกไปแปดสิบลี้
จวนสกุลกงซุนตั้งอยู่ระหว่างภูเขาเขียวขจี ในฤดูใบไม้ผลิ ทิวทัศน์จะสวยสดงดงามอย่างยิ่ง ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัด ก็จะมีบรรยากาศแตกต่างออกไป
เมื่อข้ามผ่านซุ้มประตูสูงใหญ่ที่ตีนเขาแล้วขึ้นบันไดมา พวกเขาก็หยุดอยู่นอกประตูจวน หลี่หลิงซู่ยกมือคารวะให้กับผู้เฝ้าประตูแล้วเอ่ยว่า
“สวีเชียนมาขอเข้าพบขอรับ”
ผู้เฝ้าประตูรีบไปรายงานทันที หลังจากนั้นครึ่งเค่อ กงซุนเซี่ยงหยางที่มีพุงพลุ้ยวัยกลางคนก็เดินนำกงซุนซิ่วที่ถูกแต่งตั้งเป็นทายาทผู้สืบสกุลออกมาอย่างเร่งรีบ
ชั่วขณะที่เห็นหลี่หลิงซู่ สองพ่อลูกก็ขมวดคิ้วมุ่น กงซุนเซี่ยงหยางยกมือคารวะ “ผู้อาวุโสสวี?”
เมื่อเห็นงูเจ้าถิ่นอย่างตระกูลกงซุนเคารพนอบน้อมสวีเชียน หลี่หลิงซู่จึงเชื่อคำพูดของมู่หนานจือขึ้นมาบ้างแล้ว
หลี่หลิงซู่ตอบรับตามการชี้นำของสวีเชียนและไม่พูดอะไรให้มากความ
แต่เมื่อชายเสเพลอย่างเทพบุตรมองเห็นกงซุนซิ่วก็ประหลาดใจเป็นพิเศษ เพราะนางดูเป็นสตรีที่ไม่เลวเลยจริงๆ
แน่นอนว่านี่เป็นแค่การชื่นชมคนงามเท่านั้น ตอนนี้เทพบุตรไม่มีกะจิตกะใจจะผูกวาสนาแล้ว เขาจะตระหนักรู้ถึงการตัดอารมณ์ความรู้สึกให้ได้
กงซุนเซี่ยงหยางเดินนำเขาเข้าไปในจวน แล้วนั่งลงในห้องโถงด้านในที่กำลังเผาถ่านให้ความอบอุ่นอยู่
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะมา จึงมิได้ต้อนรับให้ดีนัก ขออภัยด้วย”
กงซุนเซี่ยงหยางพูดจาตามมารยาทอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดเข้าประเด็น
“งานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ถูกจัดขึ้นตามความต้องการของผู้อาวุโส ครั้งนี้จอมยุทธ์แห่งยงโจวจะมารวมตัวกัน และไม่ใช่แค่ยงโจว แม้แต่ชิงโจว จางโจว หรือเมืองใกล้เคียงอื่นๆ ก็มีจอมยุทธ์มาร่วมชมความครึกครื้นด้วย”
“ดียิ่งนัก!” หลี่หลิงซู่พยักหน้า “สถานที่ทดสอบอยู่ที่ใด”
“ทุ่งต้าเจี่ยวในเมืองยงโจว ทางตะวันตกเฉียงใต้ขอรับ เดิมทีที่นั่นคือค่ายทหารที่กองทัพป้องกันเมืองประจำการอยู่ ที่นั่นมีสนามประลอง อีกทั้งสนามยังกว้างขวางพอสมควร ตอนนี้กองทัพป้องกันเมืองได้เปลี่ยนค่ายใหม่แล้ว ข้าจึงจะเช่าสถานที่นั้นชั่วคราว”
งานชุมนุมขนาดใหญ่เช่นนี้ใช่ว่ามีเวทีประลองที่เดียวแล้วจะพอ สถานที่มีความสำคัญอย่างมาก
ค่ายทหารอยู่ห่างจากชุมชน ทั้งยังมีสนามประลองที่กว้างใหญ่ เหมาะจะเป็นสถานที่สำคัญจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์แล้ว
หลี่หลิงซู่เอ่ย “จัดการธุระแทนข้า ส่งคนไปจับตามองเมืองยงโจว ทันทีที่มีร่องรอยของภิกษุสำนักพุทธให้มารายงานข้าทันที”
กงซุนเซี่ยงหยางตอบ “ขอรับ!”
ตอนนี้เอง กงซุนเซี่ยงหยางก็ได้ยินนกกระจอกน้อยบนไหล่ของ ‘สวีเชียน’ เอ่ยภาษาคนและหัวเราะออกมา
“ดูเหมือนว่าช่วงนี้หัวหน้าตระกูลกงซุนจะสบายดีนะ เช่นนี้ข้าแซ่สวีไม่ขอรบกวนแล้ว ลาก่อน”
นกกระจอกพูดจบ มันก็บินออกจากห้องโถงแล้วหายลับไปกับขอบฟ้า
กงซุนเซี่ยงหยางนิ่งค้าง ก่อนเหลือบมองหลี่หลิงซู่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว “เมื่อกี้…”
หลี่หลิงซู่พยักหน้า “เมื่อกี้ต่างหากคือผู้อาวุโสสวี”
สวี่ชีอันทำเช่นนี้เพื่อรับรองความปลอดภัย เพราะหากคิดในมุมของสำนักพุทธหรือพวกเขี้ยวเล็บของสวี่ผิงเฟิง เมื่อพวกเขามาเยือนยงโจว ย่อมเป็นไปได้มากที่จะมาหางูเจ้าถิ่นก่อน แล้วบอกให้พวกเขาตามหาคนที่ชื่อสวีเชียนในเมือง
หรือไม่ก็ตามหาคณะเดินทางเล็กๆ ที่มีม้าศึกตัวหนึ่ง
การงมเข็มในมหาสมุทรก็เป็นวิธีการตามหาคนเช่นกัน
ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ตระกูลกงซุนยังคงปลอดภัยชั่วคราว
‘ผู้อาวุโสสวีเชียนกลายเป็นนก? ไม่สิ ควบคุมนกตัวหนึ่งต่างหาก ช่างเป็นวิธีการที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ’ …กงซุนซิ่วสั่นสะท้านอยู่ในใจ
กงซุนเซี่ยงหยางเลิกคิ้วแล้วมองไปที่หลี่หลิงซู่พร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านคือ…”
หลี่หลิงซู่พยักหน้า “ข้าคือเพื่อนสนิทของผู้อาวุโส และเป็นรุ่นน้องด้วย”
เขาแนะนำตัวเองคร่าวๆ ก่อนเอ่ยว่า “การมาครั้งนี้ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง พวกข้ายังหาโรงเตี๊ยมดีๆ ในเมืองยงโจวไม่ได้ มิทราบว่าหัวหน้าตระกูลกงซุนมีที่พักว่างหรือไม่ จะให้ดีต้องไปอยู่ในจวนภูเขาของกงซุนด้วย”
หลังจากได้รับการยืนยันเรื่องที่พักจากกงซุนเซี่ยงหยาง ในที่สุดหลี่หลิงซู่ก็ระงับความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เขาเอ่ยว่า “หัวหน้าตระกูลกงซุนรู้จักกับผู้อาวุโสสวีได้อย่างไรหรือ”
‘เรื่องนี้…’ กงซุนเซี่ยงหยางหัวเราะขมขื่น “ผู้อาวุโสเคยสั่งพวกเราว่าห้ามเผยความลับ”
หลี่หลิงซู่เอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นหัวหน้าตระกูลกงซุนรู้ที่มาและตัวตนของผู้อาวุโสสวีเชียนหรือไม่ ข้ารู้จักกับเขาระหว่างเดินทางท่องยุทธภพ จึงอยากรู้เรื่องตัวตนของผู้อาวุโสเป็นพิเศษ”
เขาคิดว่าการพูดโกหกไม่สู้พูดความจริงเพื่อแสดงถึงความอยากรู้ของตนเอง
กงซุนซิ่วตอบรับ “พวกเราก็รู้พอๆ กับท่านเช่นกัน และก็อยากรู้เรื่องตัวตนของผู้อาวุโสสวีด้วย”
ผ่านไปพักหนึ่งนางก็เอ่ยอย่างสงสัย “มีกลอนบทหนึ่ง ไม่ทราบว่าท่านเคยได้ยินมาหรือไม่”
“กลอน?” หลี่หลิงซู่ถามกลับ
กงซุนซิ่วอธิบาย “ข้าเคยถามถึงตัวตนของผู้อาวุโสสวีแล้ว เขาไม่เอ่ยตอบตามตรง ทว่าเพียงทิ้งกลอนไว้บทหนึ่ง”
“กลอนใดหรือ” หลี่หลิงซู่พลันยืดตัวตรงแล้วเอ่ยถาม
“แปดร้อยสารทฤดูที่เข้าสู่หนทาง มิเคยชักกระบี่ตัดเศียรคน จักรพรรดิหยกไร้ยันต์ปกสวรรค์ ทองดำผสานพันม้วนโลกา”
กงซุนซิ่วเอ่ยเสียงเนิบนาบ
ผ่านมาแล้วก็หลายวัน แต่เมื่อท่องกลอนบทนี้อีกครั้งก็ยังรู้สึกสั่นสะท้านจนยากจะปกปิดเช่นเดิม มันก่อให้เกิดคลื่นโหมซัดในใจของผู้คน
“แปดร้อยสารทฤดูที่เข้าสู่หนทาง มิเคยชักกระบี่ตัดเศียรคน…” หลี่หลิงซู่พึมพำ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็บีบหว่างคิ้วแล้วลอบขบฟัน ‘ตัวตนของเจ้าสวีเชียนผู้นี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก’
ทุกคนในห้องโถงไม่เอ่ยวาจา นกกระจอกด้านนอกบินวนอยู่ครู่หนึ่งก็กลับมายังจวนภูเขาของตระกูลกงซุนแล้วเกาะบนหลังคาเงียบๆ ราวกับทหารเฝ้ายามผู้เคร่งขรึม
…
ในโรงเตี๊ยม สวี่ชีอันดื่มชาอย่างพึงพอใจ
นกตัวนั้นอยู่ในตระกูลกงซุนเพื่อเป็นหูตาของข้า ปกกันมิให้คนของสำนักพุทธและสวี่ผิงเฟิงมาหา แต่ข้าหวังว่าพวกเขาจะมาหาตระกูลกงซุนนะ…
ตอนนี้เอง จิตใจของสวี่ชีอันก็สั่นสะท้าน เสียงมังกรคำรามแว่วๆ ดังขึ้นมา ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีในอกเสื้อของเขาร้อนขึ้น
เขาสัมผัสได้ว่าผู้ครองปราณมังกรอยู่ใกล้ๆ