ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 559 ตกปลา
บทที่ 559 ตกปลา
หลังจากรวบรวมปราณมังกรสองชิ้นมาได้ ขอบเขตการรับรู้ปราณมังกรของสวี่ชีอันในปัจจุบันก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เขาสามารถตรวจจับพื้นที่โดยรอบทั้งใหญ่และเล็ก รวมถึงในถนนหนทางหลายสิบสายได้
ตอนนี้ เขาสัมผัสถึงการมีอยู่ของผู้ครองปราณมังกรได้อย่างชัดเจน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงเตี๊ยมนัก
การจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์เป็นความคิดที่ฉลาดจริงๆ อาศัยเวลานี้ที่คนของสำนักพุทธยังไม่มา ไปเก็บปราณมังกรที่สัมผัสได้ในเมืองยงโจวเข้ากระเป๋าดีกว่า…
เขาหันกลับไปพูดกับมู่หนานจือและจิ้งจอกขาวโดยไม่ลังเลอีก
“ข้าจะออกไปข้างนอกนะ ไม่นานก็กลับ”
มู่หนานจือที่กอดจิ้งจอกขาวและยืนชมทิวทัศน์อยู่ข้างหน้าต่างส่งเสียงตอบรับ ‘อืม’
เขารีบออกจากโรงเตี๊ยมแล้วเดินไปตามสัมผัสที่ได้รับจากปราณมังกร ข้ามถนนหนทางและเข้าออกตรอกซอย จนในที่สุดก็มองเห็นเป้าหมาย
นั่นเป็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวแบบชาวยุทธ์ สีหน้าอ่อนโยนนิ่งสงบ บนหลังสะพายอาวุธที่ห่อผ้าเอาไว้และกำลังเดินอยู่บนถนนคนเดียว
ฝูงชนเบียดเสียดพลุกพล่าน มีชาวยุทธ์ไม่น้อยที่ผสมปนเปอยู่ในกลุ่มคน
แสร้งทำเป็นมาแก้แค้น จากนั้นก็เข้าใกล้อีกฝ่ายแล้วชิงปราณมังกรไป แล้วรีบหนีทันที…
สวี่ชีอันสาวเท้าเข้าไปใกล้ เน้นการทำตัวไม่เป็นที่สนใจและไม่ได้ใช้วิชากระโดดข้ามเงา
เมื่อระยะห่างของทั้งสองห่างกันไม่ถึงสามจั้ง ชายวัยกลางคนสีหน้าอ่อนโยนก็พลันหันกายกลับมาจ้องเขม็งที่สวี่ชีอัน
“เจ้าตามข้ามาทำไม”
ขั้นหลอมวิญญาณ…สวี่ชีอันไม่เสียเวลาพูดกับเขา แต่หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแล้วส่องหน้ากระจกไปยังคนผู้นี้แล้วพึมพำท่องคาถา
เมื่อได้ระยะพอสมควร ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีและการท่องคาถาก็จะสามารถดูดปราณมังกรออกมาได้
นี่คือความสามารถที่เขามีเพียงผู้เดียวเท่านั้น
แต่ทว่าในตอนนี้เอง กลับมีเสียง ‘แกร่ก’ ดังออกมาจากฝ่ามือของผู้ครองปราณมังกร
‘หืม?’
ขณะที่สวี่ชีอันกำลังสงสัย อาวุธเวทมนตร์ที่อยู่ในมือของผู้ครองปราณมังกรซึ่งเป็นนักดาบวัยกลางคนก็แตกออก แล้วกลายเป็นแสงสีใสบริสุทธิ์ ก่อนรวมเป็นประตูแสงกั้นกลางระหว่างคนทั้งคู่
ในประตูแสงนั้น มีเงาร่างคนปรากฏขึ้นรางๆ เขาสูงเก้าฉื่อ มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่และคล้ายมีวงแหวนไฟอยู่ด้านหลังศีรษะ
สำนักพุทธ…ตกปลาหรือ?!
สวี่ชีอันไม่ได้ตระหนกตกใจกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ หลังจากประหลาดใจไปครู่หนึ่ง เขาก็ดึงสติได้ทันที เขาหันหน้ากระจกหนังสือปฐพีกลับแล้วดึงด้านหลังของกระจกออก
วัตถุสีทองอร่ามหล่นลงมาจากหนังสือปฐพี…เจดีย์พุทธะ!
ตอนนี้เจดีย์พุทธะคือที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา แม้ว่าพลังการโจมตีจะปานกลาง แต่ในฐานะที่เป็นของวิเศษของพระโพธิสัตว์ มันจึงมีความแข็งแกร่งและมีการป้องกันที่ทรงพลังมากพอ
แค่เข้าไปอยู่ในเจดีย์และขับเคลื่อนให้มันหนีไป แม้จะเป็นระดับเพชรก็ยังตามไม่ทัน ถึงตามทัน ก็เข้ามาไม่ได้อยู่ดี
ระหว่างที่เจดีย์พุทธะตกลงมา สวี่ชีอันก็ยื่นมือออกไปคว้าไว้และสื่อสารกับวิญญาณของเจดีย์อยู่ในใจ….
แต่ครู่ต่อมา มือใหญ่คล้ายพัดใบกลมข้างหนึ่งก็เอื้อมมายื้อเจดีย์พุทธะเอาไว้
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้น เห็นชายร่างยักษ์สวมจีวรสีเหลืองแดงยืนอยู่ตรงหน้าเขา ที่คอแขวนประคำเม็ดใหญ่ กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ และมีวงแหวนไฟอยู่หลังศีรษะ
เขาไม่มีผม ไม่มีหนวด และไม่มีคิ้ว ทั้งศีรษะล้านโล่ง ผิวเป็นสีทองราวกับรูปสลักที่มีชีวิต
“อามิตตาพุทธ อาตมามาเชิญพุทธบุตรเข้าสู่สำนักพุทธ”
สายตาของเทพอารักษ์ตู้หนานเต็มไปด้วยการคุกคาม
‘พลั่ก!’
สวี่ชีอันตอบสนองไม่ทัน ท้องน้อยถูกเตะเข้าไปทีหนึ่ง พลังมหาศาลน่าสะพรึงทำให้เขากระเด็นลอยไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ และไม่สามารถยึดจับเจดีย์พุทธะไว้ได้เช่นกัน
เขากระแทกเข้ากับร้านค้าที่อยู่ข้างทาง กระแทกเข้ากับผนัง กระแทกเข้ากับคานและเสา จนทำให้ผู้คนที่เดินอยู่บนถนนหวีดร้องและลนลานหนีกันจ้าละหวั่น
‘หวึ่ง’…
ฝ่ามือของเทพอารักษ์ตู้หนานรู้สึกชา เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือนและปฏิเสธการจับของเขา
แม้ว่าจะเป็นคนในสำนักพุทธเหมือนกัน แต่เจดีย์พุทธะก็จดจำเพียงเจ้านายเท่านั้น เขาไม่อาจควบคุมมันได้ และไม่ว่าเขาจะเตรียมการมาดีเท่าใดก็ยังหาอาวุธเวทมนตร์ที่จะสามารถผนึกและกดข่มเจดีย์พุทธะไม่ได้
เจดีย์หลังนี้คืออาวุธเวทมนตร์ที่อยู่บนชั้นยอดสุดแล้ว
เทพอารักษ์ตู้หนานเลือกตัดสินใจอย่างถูกต้องที่สุดทันที เขาบิดเอวและเหวี่ยงแขน ก่อนจะขว้างเจดีย์พุทธะออกไปไกลอย่างสุดกำลัง
เจดีย์พุทธะกลายเป็นเงาดำๆ แล้วหายไปกับเส้นขอบฟ้า
ในร้านค้าที่พังยับ สวี่ชีอันมองซ้ายมองขวา เห็นเจ้าของร้านยืนนิ่งงันอยู่หลังโต๊ะคิดเงินโดยไม่ขยับเขยื้อน ราวกับตะลึงจนโง่งมไปแล้ว ทั้งยังเห็นพนักงานคิดเงินที่กุมหัวอยู่บนพื้นและถูกตู้ทับลงมาจนได้รับบาดเจ็บ
โชคดีที่ไม่มีใครล้มตาย
เทพอารักษ์ตู้หนานใช้ผู้ครองปราณมังกรมาล่อข้าหรือ? เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ใกล้ๆ เมื่อกี้ประตูแสงนั่นคืออะไรกัน วิชาหายตัวไม่ใช่มีแต่โหรที่ทำได้หรืออย่างไร…
ความคิดมากมายแว็บเข้ามา เขาไม่มัวรีรอ ร่างกายหายวับไปทันใด เขาใช้วิชาของอั้นกู่กระโดดไปยังถนนที่อยู่ห่างไปอีกยี่สิบจั้ง
เงาร่างของเขาโผล่ออกมาจากเงามืด ขณะที่เพิ่งจะมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ได้ชัด พลังปราณอันแข็งแกร่งก็ไล่ตามมา เงาร่างของระดับเพชรสูงเก้าฉื่อก่อตัวขึ้นด้านหลัง
จากนั้นมือที่ถูกกำเป็นหมัดก็ต่อยลงมาทันใด
สวี่ชีอันราวกับคาดเดาได้ล่วงหน้า เขาเอียงศีรษะหลบ ร่างกายอาบย้อมไปด้วยเงา เขากำลังจะเข้าสู่เงามืดและหลบหนีอีกครั้ง
‘ผลัวะ!’ เทพอารักษ์ตู้หนานทุบหมัดลงบนศีรษะของเขา หยุดยั้งไม่ให้หนีข้ามเงา
สวี่ชีอันที่เดิมควรตัวปลิวเพราะหมัดนี้ ร่างกายที่เพิ่งจะกระเด็นปลิวขึ้นมา กลับถูกเทพอารักษ์ตู้หนานใช้มือตบจนตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง จากนั้นก็ตามมาด้วยพายุหมัดอันบ้าคลั่ง
‘ผลัวะ ผลัวะ ผลัวะ!’
หมัดสีทองอร่ามต่อยลงมาบนร่างอย่างไม่หยุดยั้งจนอากาศกระทบกันเป็นชั้นๆ บนถนนก็ราวกับมีพายุพัดขึ้นมา
สวี่ชีอันพยายามปัดป้องสุดกำลัง เขามีความสามารถในการสลายกำลังจึงไม่กลัวการต่อสู้ระยะประชิด แต่เทพอารักษ์ตู้หนานก็มีความสามารถแบบเดียวกัน และทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันในด้านพละกำลังด้วย
สวี่ชีอันจึงตกอยู่สถานการณ์ ‘คลื่นลูกเดียว’ อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง เขาทำได้เพียงรอให้หมัดรัวชุดนี้จบลงไปเอง
สิ่งที่แตกต่างจากสายการฝึกตนอื่นๆ ก็คือ ร่างวิญญาณของเขาก็อยู่ขั้นสาม ทำให้เทพอารักษ์ตู้หนานไม่อาจต่อยเขาจนตายได้ในระยะเวลาสั้นๆ
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งนัก แข็งแกร่งกว่าข้าตอนอยู่จุดสูงสุดเสียอีก…ระดับเพชรขั้นสามของสำนักพุทธมีร่างวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสามด้วย แต่ราวกับไม่มี ‘จิต’
สวี่ชีอันไม่ปล่อยให้โจมตีฝ่ายเดียว เขาพยายามใช้วิชาของเจ็ดยอดกู่มาโต้กลับแล้ว
หลังจากลองใช้ฉิงกู่และตู๋กู่ เขาก็พบว่าพวกมันไร้ผล
เจตจำนงนั้นมั่นคงมาก มันเป็นกลิ่นอายที่ไม่อาจตกสู่ฉิงกู่และหลงรักข้าหัวปักหัวปำ…ตู๋กู่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีร่องรอยการถูกพิษเลยแม้แต่นิด…จะต้องหลุดไปให้ได้ จากนั้นถึงจะหนีพ้น ไม่อย่างนั้นช้าเร็วก็ต้องถูกตีจนพลังเทพวชิระแตกซ่านแน่…สวี่ชีอันไขว้แขนป้องกันหมัดของอีกฝ่ายและอดทนต่อความเจ็บปวด
แต่จู่ๆ เขากลับร้องลั่นขึ้นมา
ทันใดนั้น เสียงเห่าหอนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงแมวร้อง บนถนนปรากฏสุนัขจำนวนมาก มีหนูอยู่รวมกันเป็นฝูง และในซอกหินของบ้านแต่ละหลังก็มีงูตัวสีน้ำตาลหลายตัวเลื้อยออกมา
เขาใช้พลังของซินกู่เรียกสัตว์ที่อยู่ใกล้ออกมาทั้งหมด
พวกมันพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง สุนัขพยายามจะกัดทึ้งเทพอารักษ์ตู้หนาน แมวกระโดดจับใบหน้าของเขาและปิดการมองเห็นเอาไว้ งูและหนูตามมาติดๆ
นอกจากนั้นยังมีรถม้าสองคันพุ่งมาจากถนน ดวงตาของม้าแดงก่ำแล้วพุ่งเข้าใส่เทพอารักษ์ตู้หนานอย่างไม่สนสิ่งใด
เทพอารักษ์ตู้หนานจับตัวสวี่ชีอันแล้วกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง พื้นถนนแตกละเอียดทันใด ขณะเดียวกัน วงแหวนไฟด้านหลังศีรษะของเขาก็ขยายออกมา
พลังปราณร้อนระอุสาดส่องไปทั่วทุกที่
‘พลั่ก พลั่ก พลั่ก!’
แมว หมา งู หนูระเบิดตามๆ กัน แล้วกลายเป็นเศษเลือดอาบย้อมถนนจนเป็นสีแดงฉาน
ในที่สุดสวี่ชีอันก็ฉวยโอกาสนี้ขัดจังหวะของเทพอารักษ์ตู้หนานและได้รับโอกาสให้หายใจหายคอ เขาไม่ได้ใช้การกระโดดข้ามเงา เพราะอาจจะถูกขัดกลางคันตรงๆ อีกได้
เขากลิ้งไปบนพื้นจากนั้นก็กระโดดขึ้นมา ตอนนี้เอง ในมือของเขาก็มีดาบเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเล่ม
ดาบไท่ผิง!
นิ้วหัวแม่โป้งดีดขึ้น เสียงชิ้งดังออกมาจากในฝัก ประกายดาบสีทองอร่ามสาดส่อง
ประกายไฟบาดตาระเบิดขึ้นที่หน้าอกของเทพอารักษ์ตู้หนาน พลังมหาศาลผลักดันจนเขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ทรวงอกของสวี่ชีอันอาบย้อมด้วยรอยเลือด
ดาบเล่มนี้ไม่อาจฟันร่างวิญญาณของระดับเพชรตู้หนานได้ กลับกัน มันสามารถฟันพลังเทพวชิระที่กำลังจะแตกสลายของตนได้
แต่เป้าหมายของเขาก็สำเร็จ
ตอนนี้เอง เขาจึงกลายเป็นเงามืดแล้วหายไปกับพื้น
“ฮึ่ม!”
เทพอารักษ์ตู้หนานแค่นเสียงแล้วหายวับไปเช่นกัน จิตเดิมของระดับเพชรขั้นสามมีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวาง เงาของสวี่ชีอันที่กระโดดไปไม่อาจหลุดรอดจากการเพ่งเล็งของเขาได้
ขณะที่กำลังไล่ล่ากันอยู่นั้น ทั้งคู่ก็เริ่มออกห่างจากเขตเมือง สนามรบเริ่มกลายเป็นนอกเมืองแทน
เป้าหมายของสวี่ชีอันชัดเจนมาก นั่นคือทิศทางที่เจดีย์พุทธะหายไป
ไล่ล่ากันอยู่เกือบหนึ่งเค่อ ทั้งคู่ก็ออกมาจากเมืองยงโจว นอกเมืองไม่มีสิ่งก่อสร้าง ทำให้ทัศนียภาพการมองกว้างขวาง สวี่ชีอันได้แต่ต้องกระโดดข้ามเงาต้นไม้ ซึ่งไม่ดีต่อการกระโดดหนีเอาเสียเลย
ในสถานการณ์แบบนี้ วิธีที่ดีที่สุดในการต่อกรกับศัตรูที่ไล่โจมตีก็คือห้ามหนีเป็นเส้นตรง เขาจะต้องอาศัยการกระโดดข้ามเงาเปลี่ยนทิศทางไม่หยุดเพื่อทำลายจังหวะการไล่ล่าของศัตรู และบีบให้ต้องรับมือกับการหมุนวนและลดเลี้ยวอย่างต่อเนื่อง
จากนั้นจะทำให้ความเร็วของศัตรูลดลง
แต่การเผชิญหน้ากับระดับเพชรขั้นสามที่มีพลังสลายแรงอยู่นั้น ไม่ต้องสนใจแรงเฉื่อยและสามารถตบหน้าหลักกลศาสตร์ได้เลย เพราะไม่ว่าจะเป็นการลดเลี้ยวหรือเดินเป็นเส้นตรง ก็ล้วนไม่ได้แตกต่างกันสักนิด
เทพอารักษ์ตู้หนานใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และในที่สุดสวี่ชีอันก็มองเห็นเจดีย์พุทธะ มันกลับคืนสู่ร่างเดิมและกลายเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่มหึมาตั้งอยู่บนคันนา
ในตอนนี้เอง เสียงลมพัดหวิวก็ดังขึ้นที่ด้านหลังศีรษะ พลังปราณอันบ้าคลั่งผลักดันมาจากข้างหลังราวกับลมหายใจของหมาป่าผู้หิวโหย
สวี่ชีอันไม่คิดอะไรทั้งนั้น เขาขับเคลื่อนพลังปราณที่ตันเถียน หลังจากถอนตะปูตอกวิญญาณออก ก็มีพลังปราณเพียงสองหรือสามในสิบส่วนเท่านั้นที่สามารถใส่เข้าไปในดาบไท่ผิง
จากนั้นเขาก็สะบัดตัวไปทางด้านหลังอย่างแรง!
ดาบไท่ผิงส่งเสียงกรีดร้องเฉียบคมแล้วแทงไปยังศัตรูที่อยู่ห่างไปสองจั้ง
‘เคร้ง!’
ดาบไท่ผิงกระแทกเข้ากับหน้าอกของเทพอารักษ์ตู้หนานจนเกิดประกายไฟ
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็ส่งจิตสื่อสารกับถ่าหลิง เจดีย์พุทธะลอยขึ้นมาและประตูชั้นที่หนึ่งก็ค่อยๆ เปิดออก
แต่ในตอนนี้เอง ทรวงอกของสวี่ชีอันก็ถูกแทงอย่างแรง เผยให้เห็นปลายดาบแหลมคมของดาบไท่ผิง
พลังเทพวชิระถูกทำลาย อาวุธวิเศษเล่มนี้เป็นเหมือนกับหอกที่แทงทะลุทรวงอกของเขาและตอกเขาไว้กับพื้น
ทว่าตอนนี้เขาอยู่ห่างจากความสำเร็จเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
หลังจากเทพอารักษ์ตู้หนานสะบัดดาบไท่ผิงทิ้งและเห็นว่ายับยั้งสวี่ชีอันไว้ได้สำเร็จ เขาก็ไม่พูดพร่ำ แต่พุ่งพรวดเข้ามาพยายามจับตัวพุทธบุตร
“กลับใจคือฟากฝั่ง!”
ทันใดนั้น เสียงสวดพึมพำทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างหู
เหิงอิน พระประธานวัดซานฮัวเหิงอินมาแล้ว
ตอนที่สวี่ชีอันถูกเทพอารักษ์ตู้หนานดักโจมตี เขาก็ลอบใช้เจ็ดยอดกู่ล่วงหน้าแล้ว สื่อสารกับหุ่นเชิดเหิงอินในโรงเตี๊ยมที่ทำหน้าที่คุ้มกับมู่หนานจือในโรงเตี๊ยม
หลังจากเทพอารักษ์ตู้หนานโยนเจดีย์พุทธะทิ้ง สวี่ชีอันก็ตัดสินใจเด็ดขาดและควบคุมให้เหิงอินรีบมาที่นี่
ในช่วงเวลาที่แสนสำคัญ หุ่นเชิดตัวนี้ก็ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขาแล้ว
เมื่อมีพลังแห่งศีลอยู่ ฝีเท้าของเทพอารักษ์ตู้หนานก็ชะงักเล็กน้อย เป็นการหยุดชะงักที่แทบจะสังเกตไม่เห็น แต่มันเปลี่ยนแปลงบทสรุปได้แล้ว
“ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต!”
“ห้ามใช้กำลังไร้อารยะ!”
“…”
ศีลแสดงออกมาเป็นชั้นๆ ติดต่อกันจนสะสมเพิ่มมากขึ้น
เทพอารักษ์ตู้หนานโมโหมาก เขากำหมัดแล้วเหวี่ยงกำปั้นไปยังเหิงอินที่อยู่ด้านข้าง
‘พลั่ก!’
เหิงอินที่อยู่ห่างไปไม่กี่จั้งกลายเป็นเศษเนื้อ ฉานซือขั้นสี่คนหนึ่งจบสิ้นแน่นอนแล้ว
‘โครม!’…ประตูใหญ่ชั้นที่หนึ่งของเจดีย์พุทธะเปิดอ้ากว้าง ประกายแสงสีทองอร่ามแผ่ออกมาปกคลุมสวี่ชีอันและดาบไท่ผิง และในชั่วพริบตาก็ดูดเขาเข้ามาในเจดีย์
จากนั้นประตูก็ปิดสนิท เจดีย์พุทธะพุ่งขึ้นฟ้าและกำลังจะกลายเป็นกลุ่มแสงบินจากไป
“คิดจะหนีหรือ!”
เทพอารักษ์ตู้หนานงอเข่าแล้วกระโดดพรวดขึ้นเกาะบนตัวเจดีย์
เจดีย์พุทธะพาเขาไปด้วยและกลายเป็นกลุ่มแสง
เทพอารักษ์ตู้หนานเกาะหนึบอยู่บนตัวเจดีย์ คำรามเสียงต่ำ กล้ามเนื้อทั่วกายขยายใหญ่ขึ้น ผิวสีทองหม่นส่องประกายสีทองเจิดจรัส
‘ปัง ปัง ปัง!’
เทพอารักษ์ตู้หนานกำหมัดต่อยเจดีย์อย่างบ้าคลั่ง
…
สวี่ชีอันถือดาบไท่ผิงเข้าไปในเจดีย์พุทธะที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เดินผ่านชั้นที่หนึ่งเข้าสู่ชั้นที่สอง มองเห็นไฉซิ่งเอ๋อร์ที่มีใบหน้าซีดเซียว
นางถูกคุมขังเอาไว้ในระหว่างรูปปั้นระดับเพชรสองตัว เช่นเดียวกับน่าหลันเทียนลู่ในคราวนั้น
พลังปราณผันผวนน่าสะพรึงข้างนอกทำให้หญิงสาวที่อยู่เพียงขั้นห้าผู้นี้ตัวสั่นเทิ้ม
สวี่ชีอันเหลือบมองนางเพียงครู่เดียวแล้วจากไปโดยไม่สนใจ เขาเดินต่อไปยังชั้นสาม
ภิกษุชราถ่าหลิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่น ดวงตานิ่งสงบ ด้านนอกมีลมพายุพัดโหมกระหน่ำ แต่เขายังสงบนิ่งอยู่ได้
“ไต้ซือ…”
สวี่ชีอันมานั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายเขาแล้วประนมมือก่อนเอ่ยเสียงขรึม “ข้าคิดว่าข้าต้องการความช่วยเหลือ”
ช่วยเด็กตาดำๆ ด้วยเถิด
เขาบาดเจ็บหนักมาก ทั้งถูกเทพอารักษ์ตู้หนานทุบตีอย่างหนักเหมือนกับตีเหล็ก และตามด้วยการทำลายตนเองใน ‘หยกสลาย’ จากนั้นก็ถูกดาบไท่ผิงลูกรักแทงเข้าที่หน้าอก
ร่างวิญญาณขั้นสามถูกตะปูตอกวิญญาณผนึกไว้ การผสานของเซลล์บอบบางมาก จึงทำให้การฟื้นฟูตัวเองใช้เวลานานมาก
ภิกษุชราถ่าหลิงพยักหน้า “วิชาแพทย์โอสถสามารถรักษาได้”
ไม่รู้ว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไร ร่างที่อยู่ทิศใต้อวบอ้วนขึ้นเล็กน้อย นั่นเป็นสัญลักษณ์ของร่างทองแห่งวิชาแพทย์โอสถ ในขวดหยกที่อยู่ในมือมีเศษเสี้ยวแสงสีเขียวเป็นประกายลอยออกมา แล้วรวมเข้ากับร่างของสวี่ชีอันราวกับมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง
หลังจากกลุ่มแสงสีเขียวเข้ามาในร่าง บาดแผลที่แสบร้อนก็สว่างวาบขึ้นมา เลือดเนื้อดิ้นพล่านแล้วสมานเข้าหากัน ความเร็วในการฟื้นฟูไม่แพ้ร่างอมตะของขั้นสามเลยทีเดียว
แบบนี้มันไม่วิทยาศาสตร์เลย…นี่คือหนึ่งในเก้าวิชาทรงพลังของสำนักพุทธสินะ สมกับเป็นวิชาที่โพธิสัตว์ขั้นหนึ่งฝึกฝนออกมาได้…สวี่ชีอันสบายตัวเสียจนอยากส่งเสียงผ่อนคลายออกมา
หลังผ่านไปพักหนึ่ง บาดแผลทั้งหมดก็สมานเรียบร้อย
‘ปัง ปัง ปัง!’
เสียงก้องกระหึ่มดังมาจากข้างนอก เหมือนกับก้อนเหล็กมหึมาสองก้อนกำลังกระทบกัน
นั่นคือเสียงที่เทพอารักษ์ตู้หนานกำลังต่อยกำปั้นใส่เจดีย์พุทธะ
ภายในเจดีย์หยกสั่นสะเทือนรุนแรง
“ไต้ซือ จะสลัดเจ้าหมอนี่ออกไปอย่างไรดี”
สวี่ชีอันอยากให้ถ่าหลิงลงมือแล้วตีเทพอารักษ์ตู้หนานตกลงไป
“อาตมากำลังต่อต้านเขาอยู่ ประสกโปรดอย่าเพิ่งใจร้อน ภายในหนึ่งชั่วยามก็สามารถเขย่าจนเขาตกจากเจดีย์ได้แล้ว” ถ่าหลิงเอ่ยตอบ
หนึ่งชั่วยาม…
“ท่านเป็นอาวุธเวทมนตร์ของโพธิสัตว์ขั้นหนึ่งนะ” สวี่ชีอันเอ่ยย้ำ
“แต่เขาไม่ได้อยู่ในเจดีย์ อีกอย่าง อาตมาก็ไม่ใช่อาวุธเวทมนตร์สายโจมตีด้วย หากเขาเข้ามาในเจดีย์ ข้าก็สามารถสยบยั้งเขาได้” ถ่าหลิงกล่าว
“เช่นนั้นก็ให้เขาเข้ามาสิ?” สวี่ชีอันดวงตาสว่างไสว
“เขาเข้ามาไม่ได้” ถ่าหลิงส่ายหน้า
“ผู้ที่อยู่ขั้นสี่ขึ้นไป จะเข้ามาในเจดีย์นี้มิได้ หากคิดจะบุกรุกเข้ามาก็ต้องเป็นอรหันต์ขั้นสองเท่านั้น และระดับเพชรก็มิใช่สายการฝึกตนด้านฉานซือ”
ขณะที่ทั้งคู่พูดคุยกัน เจดีย์ก็สั่นสะเทือนไม่หยุด พลังของเทพอารักษ์ตู้หนานน่าสะพรึงยิ่งนัก เขาต่อยจนเกิดเสียงดังลั่นขึ้นในเจดีย์พุทธะไม่หยุด
จะมีเจ้าไปทำไมเนี่ย…สวี่ชีอันขมวดคิ้วเป็นปม
เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ท้องฟ้าสีครามราวกับถูกชะล้าง พื้นดินอยู่ใต้เท้า เจดีย์พุทธะลอยอยู่กลางอากาศ
แม้ใบหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ในใจกลับมีความรู้สึกถึงวิกฤตอันตรายที่รุนแรงขึ้นมาแล้ว
ไม่ได้การ ตอนนี้ไม่รู้ว่าอรหันต์ตู้ฉิงกับระดับเพชรตู้ฝานอยู่ที่ยงโจวด้วยหรือไม่ ถ้าพวกเขาอยู่ใกล้ๆ ก็สามารถมาที่นี่ได้โดยเร็ว
อรหันต์ขั้นสองหนึ่งคน กับระดับเพชรขั้นสามสองคน ต่อให้ข้ามีเจดีย์พุทธะอยู่ ก็เกรงว่าคงมีแต่จุดจบแบบที่จะถูกจับไปแต่โดยดีเท่านั้นแล้ว….
ถ้าต้องไปเป็นพุทธบุตรที่สำนักพุทธจริงๆ ข้าจะต้องการแท่งเหล็กนี่ไปเพื่ออะไร จิ๊ เทพอารักษ์ตู้หนานนี่ทำไมแข็งแกร่งนักนะ
‘ปัง! ปัง! ปัง!’
เทพอารักษ์ตู้หนานยังคงทุบตีเจดีย์อยู่ หากสลัดเขาทิ้งอีก สถานการณ์ก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
ตอนนี้เอง ท่อนแขนของเสินซูก็ขยับราวกับถูกปลุกขึ้นมา มันนิ่งเงียบเพื่อสัมผัสรับรู้ พักหนึ่งก็แค่นเสียงหัวเราะแปลกๆ
“เจ้าหนู ดูเหมือนเจ้าจะเจอปัญหาเข้าแล้วนะ”
“ที่แท้ก็ไปยั่วยุระดับเพชรมานี่นา จิ๊ๆ สนใจทำการแลกเปลี่ยนอีกสักรอบหรือไม่”
สวี่ชีอันถามกลับ “การแลกเปลี่ยนอะไร”
“ปลดผนึกแล้วข้าจะช่วยเจ้าสังหารเขา เลือดและปราณของระดับเพชรหนาแน่น เป็นยาเสริมกำลังชั้นดี ข้าอยากได้นัก” น้ำเสียงของเสินซูเต็มไปด้วยความกระหาย
ทอดไข่ไหม้แล้วยังต้องร้องไห้อีกหรือ สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ คร้านจะสนใจเขา
จะปล่อยเสินซูหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะตัดสินใจได้ ถ่าหลิงต่างหากที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ อีกอย่าง แขนท่อนนี้ก็ชั่วร้ายอย่างยิ่ง ก่อนที่เขาจะฟื้นฟูพลังฝึกตนได้ ก็อย่าคิดจะปล่อยมันเด็ดขาด
เขาขมวดคิ้วพักหนึ่งแล้วจู่ๆ ก็หันหน้ามา “จริงสิ เรียกศิษย์พี่ซุนมาช่วยได้นี่นา”
เขาไม่ลังเลอีกแล้วรีบเรียกหอยสังข์ออกมาเอ่ยพูด
“ศิษย์พี่ซุน ข้าอยู่ใกล้ๆ กับยงโจวและกำลังติดพันอยู่กับเทพอารักษ์ตู้หนาน รีบมาช่วยข้าเร็ว ท่านไม่ต้องตอบนะ ตรงมาเลยก็พอ”
หอยสังข์ไม่ขยับเขยื้อน เขาไม่ตอบกลับมาจริงๆ ด้วย
เอ่อ แบบนี้ถือว่าได้ยินแล้วหรือไม่ได้ยินกันล่ะ…สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งค้าง
ขณะที่กำลังร้อนใจ จู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงบางอย่าง เขาตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดีใจ รีบเอียงชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จากนั้นก็มียันต์คุ้มกันสามมุมใบหนึ่งตกลงมา
สวี่ชีอันเอื้อมมือไปรับยันต์นั้นและได้ยินเสียงใสกระจ่างของลั่วอวี้เหิงดังออกมา “ข้าอยู่ในเขตยงโจว”