ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 560 กระบี่เดียวของลั่วอวี้เหิงยุติความวุ่นวาย
บทที่ 560 กระบี่เดียวของลั่วอวี้เหิงยุติความวุ่นวาย
“ท่านราชครูมาถึงแล้วหรือ?!”
สวี่ชีอันตะโกนออกมาด้วยความดีใจจนเกือบจะร้องไห้
ท่านน้า ข้าไม่อยากพยายามแล้ว
เขาพยายามรวบรวมสมาธิ ส่งกระแสจิตตอบไปว่า “ไม่ใช่สามวันหรือ”
“ภายในสามวัน” ลั่วอวี้เหิงตอบสั้นๆ ได้ใจความ
ดูเหมือนว่าเป็นเพราะต้องบำเพ็ญคู่ น้ำเสียงของนางจึงเย็นชาเป็นพิเศษ ทรงพลังอย่างยิ่ง
“ท่านราชครู ข้าพบเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย ถูกเทพอารักษ์แห่งสำนักพุทธเล่นงาน รีบมาช่วยข้าที พวกเราพบกันที่เทือกเขาที่อยู่ห่างจากเมืองยงโจวทางตอนใต้สามสิบลี้” สวี่ชีอันส่งกระแสจิตอย่างรีบร้อน
“‘เทพอารักษ์แห่งสำนักพุทธ…เจ้ากับขัดแย้งกับสำนักพุทธด้วยเรื่องอะไร เรื่องปราณมังกร?” ลั่วอวี้เหิงถาม
“เขาจะพาข้ากลับดินแดนประจิมทิศ ละทางโลก เข้าสู่ทางธรรม” สวี่ชีอันก็ตอบสั้นๆ ได้ใจความเช่นกัน
“จะไปเดี๋ยวนี้” ลั่วอวี้เหิงไม่ได้พูดอะไรอีก
สวี่ชีอันไม่พูดพล่ามอีก หันหลังกลับเดินไปหาภิกษุชราถ่าหลิง แล้วพูดว่า “ไต้ซือ ไปภูเขาลึกที่อยู่ห่างจากเมืองยงโจวทางตอนใต้สามสิบลี้”
ภิกษุชราถ่าหลิงพยักหน้า
…
เมืองยงโจวทางตอนใต้ ในภูเขาลึกที่ไร้ร่องรอยมนุษย์
เจดีย์สีทองเข้มสูงหกสิบเมตรองค์หนึ่งตกลงมาจากฟ้า เสียงดัง ‘โครม’ ตกลงบนกลางภูเขา ยอดเขาที่อยู่ใกล้เคียงสั่นสะเทือนอย่างแรง ก้อนหินกลิ้งหล่นลงมา
เทพอารักษ์ตู้หนานกระโดดลงมาจากเจดีย์ กล้ามเนื้อทั่วร่างกระดิก บรรเทาความเจ็บปวดเข้ากระดูก
เจดีย์พุทธะต่อต้านเขาตลอดเวลา พลังของอาวุธเวทมนตร์กัดกร่อนร่างกาย
เทพอารักษ์ตู้หนานรู้ถึงความลึกล้ำของเจดีย์พุทธะ ในบรรดาวรยุทธ์ของสำนักพุทธ วรยุทธ์ปิดผนึกนั้นถือว่ายอดเยี่ยมที่สุด
เจดีย์พุทธะนั้นก็โดดเด่นในด้านนี้
เลือกการปิดผนึกกับการช่วยเหลือ ในบรรดาอาวุธเวทมนตร์ของสำนักพุทธนับว่าโดดเด่นที่สุด มิเช่นนั้นคงไม่ใช้มันมาควบคุมแขนของเสินซู
แต่ในโลกนี้ไม่มีอาวุธเวทมนตร์ที่สมบูรณ์แบบ จุดบกพร่องที่สำคัญที่สุดของเจดีย์พุทธะ ก็คือขาดวิธีการโจมตีที่แข็งแกร่งและทรงพลัง
‘ขอแค่ถ่วงเวลาเจดีย์พุทธะไว้ รอจนตู้ฉิงและตู้ฝานตามมา การซุ่มโจมตีครั้งนี้ต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นเดิม…’ เทพอารักษ์ตู้หนานผ่อนลมหายใจยาว โคจรพลังปราณเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดของเนื้อหนัง พร้อมกับจ้องไปที่เจดีย์พุทธะ
หลังจากหารือกับสายสืบขั้นสี่ของตำหนักความลับสวรรค์ครั้งก่อน เทพอารักษ์ตู้หนานก็ได้วางแผนที่จะรับมือสวี่ชีอันไว้แล้ว
เขาใช้ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่ ‘ละทางโลก’ สามคนเป็นเหยื่อล่อ โดยให้พวกเขาเดินเตร่อยู่แถวทางตะวันออก ทางตอนใต้ และทางตะวันตกของเมือง ใช้พลังสอดแนมที่ไวต่อปราณมังกรของพุทธบุตร ล่อพุทธบุตรออกมาได้สำเร็จ
เพื่อเป็นการรับรองว่าจะไม่เกิดการผิดพลาดแม้แต่น้อย เทพอารักษ์ตู้หนานได้แจกจ่ายอาวุธลำเลียงที่ตำหนักความลับสวรรค์มอบให้ให้กับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยทั้งสามคน
ทันทีที่ถูกสะกดรอยตาม ซุ่มโจมตี ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยก็จะบีบอาวุธลำเลียงจนแตกละเอียด เทพอารักษ์ตู้หนานก็จะสามารถไปถึงได้ในทันที
แต่ว่าเขาประเมินพุทธบุตรต่ำไป
จนเกือบเกิดปัญหา ทำให้อีกฝ่ายหนีไป
‘ทันทีที่จับตัวพุทธบุตรไว้ได้ ก็จะสามารถแก้ไขสภาวะการยืนหยัดของอรัญตาได้ สำนักพ่อมด ต้าฟ่ง ปีศาจต่างสูญเสียทั้งสามฝ่าย โอกาสที่ดีที่สุดที่แสงพุทธะจะสาดส่องทั่วพื้นปฐพีกำลังจะมาถึงแล้ว จับตัวพุทธบุตรได้ ก็จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน’
เทพอารักษ์ตู้หนานสูดลมหายใจลึก รวบรวมพลัง หมัดสีทองเข้มทุบลงไปที่เจดีย์พุทธะ เกิดเสียงดังกึกก้อง
เจดีย์พุทธะสั่นสะเทือนเล็กน้อย แต่ไม่ได้พยายามหลบหนีอีก ราวกับยอมจำนน
เขากำลังรอซุนเสวียนจี…แววตาเทพอารักษ์ตู้หนานเปล่งแสงเล็กน้อย รวบรวมสมาธิสำรวจรอบๆ
‘นี่เป็นการคาดการณ์แบบง่ายๆ ซุนเสวียนจีและพุทธบุตรเคยร่วมมือกันแย่งชิงชีพจรมังกรที่เหลยโจว พุทธบุตรตกอยู่ในภาวะอับจนหนทาง หมดหนทางหลบหนี หยุดอยู่ที่นี่ จะต้องรอกองหนุนอย่างแน่นอน’
เทพอารักษ์ตู้หนานยังคงไม่กลัว เพราะแม้ว่าโหรระดับสามจะรับมือยาก การที่เขาคิดจะจับตัวและสังหารปรมาจารย์ความลับสวรรค์ แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถแย่งชิงเจดีย์พุทธะไปต่อหน้าต่อตาเขาได้เช่นกัน
แค่เขาคอยป้องกันอยู่ที่นี่ รอตู้ฉิงกับตู้ฝานมาถึง ตาชั่งของชัยชนะก็จะเอียงมาทางสำนักพุทธ
ขณะความคิดกำลังแล่น เทพอารักษ์ตู้หนานก็เห็นแสงสีทองสว่างวาบขึ้นที่ขอบฟ้า ราวกับดาวตกสีทอง
ตอนแรกที่เห็นยังอยู่ที่ขอบฟ้า แต่แค่เวลาไม่กี่พริบตาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วไอรีนโนเวล
แสงสีทองม้วนตัวเป็นชั้นๆ คุ้มกันร่างที่แจ่มชัดลงสู่ยอดของเจดีย์พุทธะ
นี่คือหญิงสาวที่ใช้คำชมใดๆ มาพรรณนาก็ไม่นับว่าเกินไป ใบหน้างามไม่มีที่ติ ผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ ที่หว่างคิ้วมีชาดแต้มไว้จุดหนึ่ง โดดเด่นสะดุดตา สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสวยงาม หมวกดอกบัวมัดเส้นผมดำสลวย มือซ้ายถือแส้ มือขวาถือกระบี่ ดวงตาดำขลับเป็นประกายดุจดวงดาว มองเทพอารักษ์ตู้หนานที่อยู่ใต้เจดีย์อย่างเย็นชา
“ลั่วอวี้เหิง…”
เทพอารักษ์ตู้หนานทำหน้าสยดสยอง เขาคาดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็นลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์
นิกายมนุษย์มีชื่อเสียงในด้านเคล็ดกระบี่ ทักษะในด้านการจู่โจมสังหาร เป็นสุดยอดของลัทธิเต๋าทั้งสามนิกาย
“ลั่วอวี้เหิง นิกายมนุษย์ของเจ้าก็ต้องการแทรกแซงเรื่องของสำนักพุทธเช่นกันหรือ”
เทพอารักษ์ตู้หนานพูดเสียงเคร่งขรึม
ริมฝีปากแดงของลั่วอวี้เหิงเคลื่อนไหว “ไสหัวไป หรือตายไปซะ”
เทพอารักษ์ตู้หนานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อยากจะชมเคล็ดกระบี่ของนิกายมนุษย์ดูสักครั้ง ดูซิว่าจะสามารถทำลายร่างทองของข้าได้ภายในกี่ครั้ง”
‘ต้านไว้สักหนึ่งเค่อ ภายในเวลาหนึ่งเค่อ ตู้ฉิงและตู้ฝานจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน…’ นับตั้งแต่เทพอารักษ์ตู้หนานเลื่อนสู่ขั้นสามเป็นต้นมา ร่างทองก็ยังไม่เคยแตกเลย ดังนั้นจึงมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลั่วอวี้เหิง แต่อีกฝ่ายต้องการทำลายร่างของผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร จะง่ายเพียงนั้นได้อย่างไร
เพิ่งจะเริ่มคิด เขาก็เห็นลั่วอวี้เหิงชักชิงเฟิงออกมา ในพริบตาที่กระบี่เล่มนี้ออกจากฝัก รัศมีก็พวยพุ่งออกมา เปล่งประกายไปทั่วท้องฟ้า
บริเวณใกล้ๆ ปรากฏเป็นภาพลวงตา
ลั่วอวี้เหิงบิดข้อมือข้างที่กำกระบี่เหล็กเล็กน้อย กระบี่เหล็กวาดเป็นวงกลม รัศมีกระบี่ทั่วท้องฟ้าก็วาดเป็นวงกลมเช่นกัน
ขณะที่กระบี่เหล็กวาดวงกลมเสร็จแล้วกลับสู่ที่เดิม รัศมีของกระบี่นับพันนับหมื่นสายก็ซ้อนกันเป็นหนึ่งเดียว
“ไป!”
ราชครูหญิงโยนกระบี่ในมือออกไป ให้มันกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปทางเทพอารักษ์ตู้หนาน
ในพริบตานั้น เทพอารักษ์ตู้หนานรู้สึกแต่ว่ารัศมีของกระบี่ปะทะใบหน้าอย่างแรง ทรงพลังอย่างยากจะต้านทาน ทำให้เขารู้สึกเป็นครั้งแรกว่าพลังของตัวเองนั้นช่างน้อยยิ่งนัก
เขาตะโกนเสียงต่ำหนักแน่น ภายใต้ผิวสีทองเข้ม กล้ามเนื้อเป็นมัด ขณะเดียวกันบริเวณที่นูนขึ้นยังมีเส้นเลือดดำปูดขึ้นด้วย ลำตัวกว้างเก้าฟุตขยายขึ้นอีกเล็กน้อย ท่ามกลางเสียงตะโกนของเขา เทพอารักษ์ตู้หนานประสานมือ หนีบกระบี่ไว้ เท้าทั้งสองข้างไถพื้นเป็นหลุมลึก ถูกกระบี่ด้ามนี้ดันจนลื่นไถลไปด้านหลังไม่หยุด ชนกับภูเขา เสียงดัง ‘โครม’
พลังของกระบี่ยังไม่สิ้นสุด เสียงดังโครมครามสะท้อนไปมา ภูเขาถล่มและแตกกระจายอย่างรุนแรง ก้อนหิน ก้อนดิน ต้นไม้ถล่มลงมาเป็นระลอก
แข็งแกร่ง…สวี่ชีอันยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองดูฉากนี้ จิตใจสั่นไหว ถึงแม้เวลานี้เขาจะอยู่ในขั้นสาม แต่เมื่อเห็นลั่วอวี้เหิงลงมือ ก็ยังคงปิดบังความหวั่นไหวไว้ไม่มิด เพียงแค่ตวัดกระบี่ก็ซัดเสียจนเทพอารักษ์ขั้นสามบอบช้ำถึงเพียงนี้ ทำได้แค่เพียงต้านทานไม่สามารถตอบโต้ได้
“การบำเพ็ญของท่านราชครู ห่างจากขั้นหนึ่ง ขาดเพียงแค่การหนีเคราะห์กรรมเท่านั้น…”
เขาทอดถอนใจอยู่ภายในใจ จู่ๆ มีเงาดำพาดผ่านหน้าต่าง ลั่วอวี้เหิงเหยียบอากาศมายืนอยู่ข้างหน้าต่าง บดบังแสงไว้ มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
“ยังไม่ไปอีก?”
สวี่ชีอันได้สติทันที ขืนยังไม่ไปอีก พระอรหันต์อีกสองรูปก็จะมาถึงแล้ว ดังนั้นเขาไม่ลังเลอีกต่อไป หันกลับตะโกนไปทางถ่าหลิงว่า “ไต้ซือ พวกเรารีบถอยก่อน”
เจดีย์พุทธะลอยขึ้นฟ้า กลายเป็นแสงสว่างไสวจากไปอย่างรวดเร็ว
ลั่วอวี้เหิงยืนอยู่บนยอดเจดีย์ แขนเสื้อปลิวไสว ท่วงท่าสง่างามดุจเทพธิดา
บินรวดเดียวเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม เจดีย์พุทธะก็ร่อนลงที่กลางทุ่งแห่งหนึ่ง ประตูใหญ่ชั้นหนึ่งเปิดออก ลั่วอวี้เหิงลงมายืนอย่างคล่องแคล่ว ก้าวเท้าเข้าไปในเจดีย์
“ท่านราชครู!”
สวี่ชีอันรออยู่ที่ชั้นหนึ่งแล้ว
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเบาๆ พูดว่า “เจดีย์พุทธะของเหลยโจว? เหตุใดจึงกลายเป็นอาวุธเวทมนตร์ของเจ้าไปได้”
“เรื่องนี้พูดขึ้นมาแล้วยาว พูดแบบรวบรัดก็คือ ข้าได้รับสิ่งยืนยันจากพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้ ได้รับการยอมรับจากเจดีย์ มันจึงยอมอยู่กับข้าชั่วคราว” สวี่ชีอันพูด
น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม จึงยากที่จะแสดงอานุภาพที่แท้จริงของอาวุธเวทมนตร์…เขาคิดด้วยความเสียดายอย่างยิ่ง
“ฝ่าจี้?” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วงาม “ได้ยินมาว่าพระโพธิสัตว์ฝ่าจี้หายตัวไปสามร้อยกว่าปีแล้ว เหล่าภิกษุของภูเขาศักดิ์สิทธิ์อรัญตาตามหาเขาไม่พบ”
สวี่ชีอันส่งกระแสจิตอธิบายว่า “ความจริงแล้วสิ่งยืนยันนั้นข้าได้มาจากรองแม่ทัพฉู่เซียงหลงของอ๋องสยบแดนเหนือ ข้าปกปิดเรื่องนี้ต่อถ่าหลิง”
ในระหว่างการสนทนา พวกเขาขึ้นไปที่ชั้นสาม ลั่วอวี้เหิงและถ่าหลิงภิกษุชราต่างพยักหน้าแสดงความหมายบางอย่าง
“เด็กสาวจากนิกายมนุษย์…”
เสินซูผู้แขนขาดชมเปาะว่า “การบำเพ็ญไม่เลวเลย สุดยอดของขั้นสอง น่าเสียดายที่ใกล้ตายแล้ว”
ตั้งแต่โบราณมา ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์แทบไม่มีการหักห้ามไฟแห่งความโกรธในช่วงสุดยอดของขั้นหนึ่งและขั้นสองได้เลย จนกระทั่งไม่มีทางหักห้ามได้อีก จึงตกตายไปกับชะตากรรม
เสินซูผู้แขนขาดพูดอย่างล่อใจว่า “ช่วยข้าเปิดผนึก ข้าจะบอกวิธีก้าวข้ามชะตากรรมแก่เจ้า”
สวี่ชีอันเผยออกมาว่า “หาคนที่มีโชคชะตามาบำเพ็ญคู่?”
เสินซูชะงัก ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงทำเสียงเฮ้อ เพื่อปิดบังความเก้อเขิน “พ่อหนุ่ม รู้ไม่น้อยเลยนะ”
ไต้ซือ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว…สวี่ชีอันพูดเย้ยหยันว่า “เป็นเพราะท่านถูกควบคุมมาห้าร้อยปี ข้อมูลจึงล้าหลัง”
เสินซูเปลี่ยนท่าทีทันที พูดด้วยความโกรธจัดว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าอยากตายหรือ?”
…
หลังเจดีย์พุทธะจากไปเป็นเวลาหนึ่งเค่อ แสงเงินแสงทองก็สาดส่องมาจากขอบฟ้า นั่นคือบัลลังก์ดอกบัว บนนั้นมีเทพอารักษ์ผิวสีดำเข้ม ด้านหลังศีรษะมีวงแหวนไฟลุกโชนยืนอยู่
ใบหน้าเทพอารักษ์องค์นี้อัปลักษณ์อย่างยิ่ง แววตาดุร้าย เฉพาะรูปลักษณ์ภายนอกก็สามารถทำให้คนทั่วไปตกใจจนเข่าอ่อนได้
ทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ว่าตอนอยู่ในครรภ์ได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอะไรหรือเปล่า จนทำให้มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังเช่นนี้
หากเป็นคนแดนประจิม มองแวบเดียวก็จะรู้ว่านี่คือเผ่าอสูร เผ่าอสูรที่มีชื่อเสียงในด้านความขี้เหร่และชื่นชอบการต่อสู้
คนที่อยู่ข้างๆ เทพอารักษ์เผ่าอสูรเป็นชายชราผอมแห้ง มือทั้งสองข้างจับดอกไม้ นั่งขัดสมาธิก้มหน้า คิ้วขาวย้อยลงมาถึงแก้ม มีไฝที่หว่างคิ้ว กำลังหลับตาคล้ายกำลังบรรลุธรรม
บัลลังก์ดอกบัวหยุดนิ่งอยู่ด้านบนก้อนหินระเกะระกะ เทพอารักษ์เผ่าอสูรตู้ฝานมองลงมา พูดเสียงเคร่งขรึมว่า
“ศิษย์น้องตู้หนาน”
ไม่กี่วินาทีต่อมา ในกองหินระเกะระกะก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น เศษหินกลิ้งหล่นลงมา เทพอารักษ์ตู้หนานปีนออกมา ท่าทางของเขาบอบช้ำ จีวรสีเหลืองสลับแดงขาดวิ่น ผิวสีทองเข้มหม่นหมองไม่มีประกาย ที่มุมปากมีคราบเลือดสีทองติดอยู่
“เจ้าได้รับบาดเจ็บ ต้าฟ่งในยามนี้ มีใครที่สามารถทำร้ายเจ้าจนบอบช้ำเช่นนี้?” เทพอารักษ์เผ่าอสูรตู้ฝานขมวดคิ้ว
“ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์” เทพอารักษ์ตู้หนานตอบ
พระอรหันต์ตู้ฉิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์ดอกบัวลืมตาขึ้น พูดช้าๆ ว่า “ตู้หนาน เจ้าแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้ว เหตุใดจึงไม่รอให้ข้ากับตู้ฝานมาถึงก่อน จึงค่อยซุ่มโจมตี”
เทพอารักษ์ตู้หนานพนมมือ “โหรระดับสองท่านนั้นก็อยากได้พุทธบุตรเช่นกัน เดิมทีข้าก็อยากชิงนำหน้าไปก่อน เพื่อจับกุมพุทธบุตรก่อนเขา ข้าประเมินกำลังของพุทธบุตรต่ำไปเอง”
ตำหนักความลับสวรรค์ขอความร่วมมือ ตู้หนานรับปากแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น
เดิมทีเขาต้องการที่จะจับพุทธบุตรก่อนที่โหรท่านนั้นจะลงมือ ดังนั้นจึงไม่ได้รอศิษย์ร่วมสำนักตู้ฝานและตู้ฉิง
“แต่ก็ได้ทดสอบไพ่ตายของพุทธบุตรแล้ว”
เทพอารักษ์ตู้หนานพูดเสริมว่า
“เขามีลั่วอวี้เหิงคอยช่วยเหลือ มีซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์คอยช่วยเหลือ ต่อจากนี้สิ่งที่พวกเราจะต้องพิจารณาก็คือจะรับมือกับพวกเขาอย่างไร ส่วนเรื่องการแหวกหญ้าให้งูตื่น การสมรู้ร่วมคิดกับผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเป็นไปอย่างเปิดเผย ขอเพียงเขายังต้องการรวบรวมปราณมังกรก็จะต้องร่วมมือกับพวกเรา โอกาสไม่ได้มีเพียงครั้งนี้เพียงครั้งเดียว แต่ยังมีอีกหลายครั้ง”
พระอรหันต์ตู้ฉิงทำท่าจับดอกไม้ น้ำเสียงดังกังวานราบเรียบ “มีเพียงโหรเท่านั้นที่สามารถรับมือโหรได้ ลองร่วมมือกับตำหนักความลับสวรรค์ก็ได้”
เทพอารักษ์ตู้หนานเลิกคิ้วที่ไม่มีอยู่จริงแล้วพูดว่า “ข้อตกลงระหว่างสำนักพุทธและโหรท่านนั้นบรรลุผลแล้ว?”
พระอรหันต์ตู้ฉิงพยักหน้า
…
ในโรงเตี๊ยม
หลี่หลิงซู่ออกแรงผลักประตูห้องของมู่หนานจือ พูดอย่างกริ่งเกรงว่า
“เพิ่งไปสืบข่าวกลับมา หากไม่ผิดความคาดหมาย ผู้ที่ผู้อาวุโสสวีพบคือเทพอารักษ์ตู้หนาน”
มู่หนานจือหน้าถอดสี กอดสุนัขจิ้งจอกขาวในอกไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว “เทพอารักษ์ขั้นสาม?”
“เทพอารักษ์ขั้นสาม?” สุนัขจิ้งจอกขาวพูดทวนเสียงแจ๋วอีกครั้ง
หลี่หลิงซู่พยักหน้า หลังจากเขากลับมาถึงยงโจวแล้ว ก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานได้เกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดขึ้นในเมือง มีชาวบ้านหลายคนต้องตายจากคลื่นสั่นสะเทือนในการต่อสู้ ชาวบ้านสิบกว่าคนได้รับบาดเจ็บ
จากเสียงสะท้อนของชาวยุทธที่ดูการต่อสู้อยู่ไกลๆ ในตอนนั้น ในการต่อสู้กันของทั้งสองฝ่าย มีคนหนึ่งเป็นภิกษุที่สวมจีวร ลักษณะเด่นคือร่างกายสูงใหญ่ ผิวสีทองเข้ม ไม่มีคิ้ว หนวดเครา และผม อีกคนหนึ่งหน้าตาธรรมดา ไม่มีลักษณะเด่น แต่สามารถบังคับให้สัตว์รับใช้ตัวเองได้ เชื่อมโยงกับข้อมูลที่มู่หนานจือให้ไว้ก่อนสืบข่าว
การคาดการณ์ว่าสวีเชียนพบกับเทพอารักษ์ขั้นสามจึงสรุปได้โดยง่าย
“รู้หรือไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร?” มู่หนานจือถามด้วยความร้อนใจ
หลี่หลิงซู่ส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
มู่หนานจือเดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง
หลี่หลิงซู่เห็นนางกังวลเช่นนี้เป็นครั้งแรก สวีฮูหยินในอดีตเป็นคนใจเย็น จะพูดจาหรือทำอะไรก็ดูเฉื่อยชา ดูเหมือนตัวเองเป็นเทพธิดา นอกจากอาจจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อเขาอยู่บ้าง เรื่องทางโลกจะให้นางกังวลไม่ได้
เฮ้อ ก็ยังดี สวีฮูหยินดูท่าทางจะสนใจสวีเชียนเป็นอย่างมาก แบบนี้ดีที่สุด หากนางห่วงใยข้าตลอดเวลา ไม่ช้าก็เร็วสวีเชียนคงจะฆ่าข้าแน่ เฮ้อ เสน่ห์ที่น่าเบื่อของข้า…
ขณะที่ทั้งสองกำลังวิตกกังวลอยู่นั้น ก็มีเสียงพึ่บพั่บดังมาทางหน้าต่าง
นกป่าสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ปากพูดภาษาคนว่า “วางใจเถิด ข้าสบายดี”
หลี่หลิงซู่และมู่หนานจือหันมามองทันที สีหน้าแสดงความประหลาดใจ
จิ้งจอกขาวก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
“ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? หลุดพ้นจากการตามสังหารหรือยัง? หุ่นกระบอกหัวล้านนั่นอยู่ข้างกายหรือไม่?” มู่หนานจือถามต่อเนื่อง
นกป่าจิกหัว “ข้าสบายดี เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยมให้สบายใจเถิด ไม่มีปัญหาหรอก รอข้ากลับมาก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น มันหันหน้ามา ‘ถลึงตามอง’ หลี่หลิงซู่ “เจ้าตามข้าออกไปนอกเมืองหน่อย”
…
สวนชิงซิ่ง ชานเมืองยงโจวทางตอนเหนือ
สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่กงซุนเซี่ยงหยางชักชวนเพื่อนๆ มาออกกำลังกายหมู่ในยามว่าง มีชื่อเสียงสำหรับบางกลุ่มในยงโจว
ทุกครั้งที่ถึงเวลางานเลี้ยง รถม้าของบรรดาขุนนางชั้นสูงก็จะวิ่งไม่ขาดสาย คณิกาที่มีชื่อเสียงที่สุดตามหอนางโลมใหญ่ๆ ในเมืองยงโจว ต่างได้รับเชิญมาด้วยความดีใจ และกลับไปด้วยความพึงพอใจอย่างเต็มอิ่ม
ในวันธรรมดา สวนชิงซิ่งจะเงียบสงบร่มรื่นเป็นพิเศษ นอกจากคนรับใช้และสาวใช้แล้ว ปกติจะไม่มีคนในสกุลกงซุนมาพัก
สวนชิงซิ่งงดงามแปลกตา ปลูกต้นเหมย กล้วยไม้ ไผ่ ดอกเบญจมาศ ทางเดินคดเคี้ยวทะลุถึงกัน สวนด้านหลังยังมีบ่อน้ำร้อน เป็นสาเหตุที่แท้จริงที่สวนชิงซิ่งเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาขุนนางชั้นสูงเช่นกงซุนเซี่ยงหยางและคนอื่นๆ
ในห้องน้ำชาที่มีภาพวาดพู่กันจีนของจิตรกรที่มีชื่อเสียงแขวนอยู่ สวี่ชีอันและราชครูนั่งดื่มชาตรงข้ามกัน พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ และสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังมา
ลั่วอวี้เหิงยกถ้วยน้ำชา เงยหน้า รับฟังด้วยสีหน้าสงบ
งดงาม พริ้มพราย ชาดตรงหว่างคิ้ว ขับให้นางงดงามสูงศักดิ์ดั่งเทพธิดา หากพิจารณาถึงสถานะราชครูแห่งต้าฟ่งและผู้นำเต๋าขั้นสองด้วย ถ้าเช่นนั้นเทวดาก็มีความน่าเกรงขามที่ไม่สามารถล่วงเกินได้เพิ่มขึ้นอีก ยากที่จะจินตนาการได้ว่าผู้หญิงเช่นนี้ จะบำเพ็ญคู่กับข้า…ผู้จัดเจนอย่างสวี่ชีอันรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
ในบรรดาผู้หญิงที่เขาเคยพบ ความงามและบุคลิกลักษณะของลั่วอวี้เหิงจัดอยู่ในอันดับสอง ช่วยไม่ได้ที่เทพดอกไม้กลับชาติมาเกิดเป็นการโกงอย่างหนึ่ง
ส่วนเรือนร่างนั้นถูกจำกัดด้วยยุคสมัย ทำให้สวี่ชีอันไม่ได้เห็นยายตัวร้ายใส่กางเกงขาสั้นตัวจิ๋ว ไม่ได้เห็นฮว๋ายชิ่งใส่กางเกงยีนรัดรูป ไม่ได้เห็นพระมเหสีดัดผมลอนใหญ่ แน่นอนว่าย่อมไม่ได้เห็นเรือนร่างอันเร่าร้อนภายใต้เสื้อคลุมนักบวชเต๋าเช่นกัน จึงทำได้เพียงวัดด้วยสายตาว่าผู้หญิงคนนี้หน้าอกหน้าใจกว้าง ดูจากหน้าอกที่นูนออกมา
“จริงสิ ข้าให้หลี่หลิงซู่มาที่นี่แล้ว รบกวนท่านราชครูช่วยเปิดผนึกให้เขาด้วย” สวี่ชีอันพูด
“ถึงเวลานั้น ภายในเวลาเจ็ดวันต่อจากนี้ จะได้ให้เขาคุ้มครองมู่หนานจือ” ลั่วอวี้เหิงพูดเรียบๆ
โอ้ว ต้องใช้เวลาเจ็ดวันจริงๆ หรือ ท่านน้า มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันสิ…สวี่ชีอันรู้สึกหนักใจ
ดูเหมือนลั่วอวี้เหิงจะรู้ตัวแล้วว่าพูดผิด จึงนิ่งเงียบไปเช่นกัน
ภายใต้บรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก
“ผู้อาวุโส วันนี้น่ากลัวมากเลย ท่านต้องพบกับเทพอารักษ์ตู้…”
เสียงนั้นหยุดชะงัก หลี่หลิงซู่ยืนอยู่นอกห้องน้ำชา ตัวแข็ง มองลั่วอวี้เหิงอย่างตื่นตะลึง