ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 561 สนามอสูร
บทที่ 561 สนามอสูร
ทรวดทรงอรชร เยื้องย่างละมุนละไม…
งดงามบริสุทธิ์ อยากปฏิเสธต้องหยุดพลัน…
เสน่ห์ชวนหลงใหล งามล้นสุดพรรณนา…
งามพริ้งเพริศเต็มวัย กิริยาเย้ายวน
นางนั่งเย็นชาอยู่อย่างนั้น แต่ในสมองของหลี่หลิงซู่ กลับปรากฎความคิดมากมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผู้หญิงคนนี้เหมือนรวมความงามทั้งหมดในโลกไว้ในตัว สามารถสนองความต้องการอย่างลึกซึ้งในใจของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิงได้ ไม่ว่าเจ้าจะชอบแบบไหน ล้วนสามารถหาแบบที่ตัวเองชอบนั้นได้ในตัวนาง หรืออาจจะหลายแบบ
ในพริบตาที่เห็นนาง หลี่หลิงซู่รู้สึกว่าทำไมตัวเองต้องไปตามหาบุพเพสันนิวาสท่ามกลางสรรพสิ่งที่มีชีวิตให้ลำบาก
‘ในโลกนี้มีหญิงสาวที่น่าหลงใหลเช่นนี้จริงๆ ด้วย…’
จิตใจของเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ว้าวุ่น ลุ่มหลงความงามของนารีจนถอนตัวไม่ขึ้น เขาไม่ได้ใช้คำว่า ‘โฉมงาม’ มาพรรณนา แต่ใช้คำว่า ‘น่าหลงใหล’ มาแสดงความคิด เพราะผู้หญิงที่มีโฉมงามในโลกนี้มีอยู่มากมาย นิกายสวรรค์เองก็มีผู้หญิงงามเฉิดฉายอยู่มากมาย เทพธิดาปิงอี๋อาจารย์ของหลี่เมี่ยวเจินก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกนางสวยก็จริง แต่ในสายตาของหลี่หลิงซู่ ล้วนไม่น่าหลงใหลเท่าหญิงที่สวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าคนนี้
“เข้ามาสิ!”
สวี่ชีอันส่งเสียงพอดี ทำให้หลี่หลิงซู่ที่กำลังจมอยู่กับความงามกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง
สำหรับท่าทางเสียมารยาทของหลี่หลิงซู่ สวี่ชีอันไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ครั้งแรกที่เขาเห็นลั่วอวี้เหิง ท่าทางก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ พูดจริงๆ ก็ดีกว่าหลี่หลิงซู่เล็กน้อย เห็นได้ว่าตบะของราชครูพัฒนาขึ้น ไฟแห่งกรรมของราชครูใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว
ใช่แล้ว ครั้งนี้นางมาหาข้าเพื่อบำเพ็ญคู่ ก็เพราะไฟแห่งกรรมถึงจุดวิกฤตแล้ว…
สวี่ชีอันคิดในใจ หลังจากนั้นก็เห็นหลี่หลิงซู่นั่งลงข้างๆ เขา และมองลั่วอวี้เหิงอย่างหลงใหล
เทพบุตรกระแอม แนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความหมายอันลึกซึ้ง
“สหายเต๋า ข้าน้อยหลี่หลิงซู่ เทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ ดูจากการแต่งกายของสหายเต๋า ดูเหมือนจะเป็นคนของลัทธิเต๋าเช่นกัน? ไม่ทราบว่าเป็นคนนิกายใด?”
ในจิ่วโจว นอกจากทั้งสามนิกายแล้ว ยังมีนิกายอื่นๆ ของลัทธิเต๋าอยู่อีก
ในสมัยโบราณ มีนิกายที่ไม่ด้อยไปกว่า หรือกระทั่งเหนือกว่าทั้งสามนิกายอยู่มากมาย แต่จากการซัดเซาะของสายน้ำแห่งกาลเวลา นิกายเหล่านี้บางนิกายก็อ่อนแอ บางนิกายก็สูญสิ้นไป เวลานี้นิกายที่ควบคุมลัทธิเต๋าอยู่ก็คือนิกาย ‘สวรรค์ ปฐพี และมนุษย์’ สามนิกาย ที่เหลือล้วนเป็นนิกายขนาดเล็ก
ในความคิดของหลี่หลิงซู่ สถานะเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ของตัวเอง จะต้องทำให้หญิงสาวร่วมสำนักคนนี้จะต้องมองด้วยความสนใจอย่างแน่นอน
จริงดั่งคาด ผู้หญิงที่ดูอายุไม่ออกคนนี้ เหลือบตาขึ้นมองสำรวจเขาอย่างละเอียด
หลี่หลิงซู่ยิ้มด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง รินน้ำชาร้อนๆ ให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง จากนั้น เขาก็ได้ยินผู้อาวุโสสวีเชียนแนะนำว่า
“ท่านนี้คือลั่วอวี้เหิงแห่งนิกายมนุษย์ ราชครูแห่งต้าฟ่ง”
มือของหลี่หลิงซู่สั่น น้ำช้าร้อนๆ หกลงบนโต๊ะ ความรู้สึกหลงตัวเองหยุดชะงักทันที ร่างกายแข็งทื่อในทันใด แข็งกว่าตอนอยู่ที่ประตูเมื่อครู่เสียอีก
“ผู้ผู้ผู้…อาวุโส อย่าล้อเล่น”
ลิ้นของหลี่หลิงซู่พันกัน พูดเป็นประโยคที่สมบูรณ์ไม่ได้
เขาสงสัยว่าสวีเชียนกำลังล้อเขาเล่น จึงตั้งใจสัมผัสกลิ่นอายของผู้หญิงตรงหน้าอย่างจริงจัง จิตเดิมธรรมดาๆ ลักษณะธรรมดา ไม่มีความรู้สึกกดดันเหมือนตอนเผชิญหน้ากับอาจารย์
สวี่ชีอันแสดงสีหน้าแบบ ‘ข้าจำเป็นต้องโกหกรึ’ มองเขาอย่างเงียบๆ
หรือ หรือว่าจะเป็นความจริง…สวีเชียนเป็นคนเมืองหลวง มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับสำนักโหราจารย์ อย่างน้อยก็ขั้นสาม สถานะเช่นนี้ รู้จักผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ก็ ก็สมเหตุสมผลดี…
หลี่หลิงซู่กลืนน้ำลายลงคอ มองลั่วอวี้เหิงอย่างระมัดระวังด้วยดวงตาที่ต้องการหาข้อพิสูจน์
“เรื่องของเจ้าข้าได้ฟังจากที่เขาเล่าแล้ว เดิมทีเจ้าควรเป็นคนออกหน้า ทำการช่วงชิงระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์กับฉู่หยวนเจิ่น”
ลั่วอวี้เหิงดื่มชาอึกหนึ่ง พูดเบาๆ ว่า “น่าเสียดาย ละเลยมาเป็นเวลาครึ่งปี ตบะหลี่เมี่ยวเจินแซงหน้าไปแล้ว” ขณะที่พูด นางค่อยๆ วางถ้วยชาลง
ตุบ…หลังเสียงวางถ้วยน้ำชา หลี่หลิงซู่เห็นแสงดาบสว่างวาบ เขาหลับตาตามสัญชาตญาณ ดวงตาของเขาร้อนผ่าว น้ำตาของเขาก็ร่วงริน
ดาบนี้ เป็น เป็นลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์จริงๆ ด้วย…ข่าวลือของอาจารย์ถูกต้อง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์เป็นหญิงงามที่มีอยู่น้อยมาก เป็นผู้หญิงที่น่าหลงใหลที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ…หลี่หลิงซู่รีบลุกขึ้น แสดงการคารวะแบบเต๋าด้วยความตื่นเต้นและระวังตัว พูดเสียงดังว่า
“ศิษย์หลี่หลิงซู่คารวะท่านผู้นำเต๋า”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเบาๆ “นิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์แม้จะเป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องพิธีรีตองมากเกินไป”
เช่นนี้หลี่หลิงซู่จึงผ่อนคลายลงมาก แต่ไม่กล้านั่งลง จึงยืนข้างๆ อย่างว่านอนสอนง่าย ท่าทางอยากจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
“ท่านราชครูได้โปรดช่วยเปิดผนึกให้เขาด้วย” สวี่ชีอันพูด
ในใจหลี่หลิงซู่รู้สึกดีใจแทบเป็นบ้า อดมองสวีเชียนไม่ได้ ถึงแม้ตาเฒ่าคนนี้จะมีนิสัยแปลกประหลาด เย่อหยิ่ง แต่ก็ดีกับข้ามาก
ลั่วอวี้เหิงงอนิ้ว ดีดปราณกระบี่ออกไป เข้าไปสู่หว่างคิ้วของหลี่หลิงซู่ทันที
เวลาต่อมา หูของหลี่หลิงซู่ก็ได้ยินเสียงความว่างเปล่า เครื่องจองจำแตกละเอียด
สิ่งที่ตามมาหลังจากเสียงนี้ พลังที่กดดันรวมปราณถูกบดขยี้ พลังที่ไม่พบกันเป็นเวลานานกลับคืนมาอีกครั้ง ในก้นบึ้งของหัวใจของหลี่หลิงซู่เกิดความรู้สึกต้องยืนหยัดมองโลกในแง่ดี
ความคิดแรกของเขาก็คือ ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากความทรมานจากภาวะพลังไตอ่อนแอเสียที รวมปราณขั้นสี่ ถึงแม้ร่างกายจะเปลี่ยนแปรสู้ทหารไม่ได้ แต่ย่อมต้องมีวิธีบำรุงร่างกาย ชะล้างคราบสกปรก แบบนี้จึงจะสามารถบรรเทาความกดดัน ฝึกลมหายใจใหม่
ความคิดที่สองก็คือ ข้าติดตามคนถูกแล้ว หากไม่ใช่เพราะติดตามสวีเชียน บางทีอาจจะถูกสองพี่น้องตงฟางตามตัวพบนานแล้ว การเปิดผนึกนั้นคงอีกนานแสนนาน
นี่เป็นโชคของข้า หากหลี่เมี่ยวเจินรู้ว่าข้ามีผู้อาวุโสที่อยู่ในขั้นที่ไม่ธรรมดาพาท่องยุทธภพ จะต้องอิจฉาข้าจนอยากจะร้องไห้…ขณะที่หลี่หลิงซู่กำลังคิดฝันไปต่างๆ นานา จู่ๆ ก็ได้ยินลั่วอวี้เหิงพูดว่า
“ก่อนมาที่นี่ ข้าไปที่สำนักโหราจารย์มาแล้ว ท่านโหราจารย์บอกว่าฤดูหนาวปีนี้จะหนาวมาก มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูง”
มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูง…ท่านโหราจารย์หมายความว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสวี่ผิงเฟิงจะฉวยโอกาสก่อการกบฏในฤดูหนาวปีนี้ แต่เขายังรวบรวมปราณมังกรไม่ครบนี่นา!
แย่แล้ว! หน้าเขาถอดสีทันที พบว่าตัวเองละเลยไปเรื่องหนึ่ง
ตอนอยู่เมืองหลวง สองพ่อลูกแบไต๋ต่อสู้กัน สวี่ชีอันเอาชนะได้อย่างหวุดหวิด คนชั่วล้มเหลวในการทวงคืนโชคชะตา ดังนั้นในความคิดของสวี่ชีอัน หากคนชั่วต้องการก่อการกบฏ และไม่ต้องการทวงคืนโชคชะตา ก็คงต้องการรวบรวมปราณมังกร แต่นี่เป็นการคิดไม่รอบด้าน
สวี่ผิงเฟิงจะก่อการกบฏเพื่อประคับประคองชีพจรห้าร้อยปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นปราณมังกรก็ดี ชะตาบ้านเมืองก็ดี ล้วนเป็นการเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก ขอเพียงต้าฟ่งแย่ลงมากพอ โอกาสในการก่อกบฏสำเร็จก็เพิ่มมากขึ้น
ในยุทธการด่านซานไห่ เขาขโมยชะตาบ้านเมืองของต้าฟ่งไป ในเหตุการณ์สังหารจักรพรรดิหยวนจิ่ง เขาทำลายปราณมังกรสำเร็จ ต้าฟ่งอ่อนแอลงด้วยเหตุนี้ เกิดศึกทั้งภายนอกภายในขึ้นบ่อยครั้ง ความจริงสวี่ผิงเฟิงบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว สมกับเป็นโหรหลอมปราณ สมกับเป็นศิษย์คนโตของท่านโหราจารย์ ครั้งนี้สวี่ผิงเฟิงอยู่ชั้นห้า…สวี่ชีอันนวดหว่างคิ้ว พูดว่า
“รู้แล้ว ข้าจะรีบรวบรวมปราณมังกร”
ปราณมังกรอีกแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสวีเชียนและท่านโหราจารย์ไม่ธรรมดาเลย…หลี่หลิงซู่เหมือนเด็กที่กำลังตั้งใจเรียน หูผึ่ง
“หลังจากครั้งนี้ ท่านราชครูสามารถก้าวสู่ขั้นหนึ่งอย่างราบรื่นหรือไม่?”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็ถามปัญหาที่อยากรู้มานาน
‘อะไรนะ?!’
หลี่หลิงซู่แทบจะไม่สามารถควบคุมกิริยาของตัวเองได้เลย ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์จะบรรลุขั้นหนึ่ง? ‘เหลวไหลสิ้นดี…’ เขาอยากจะโพล่งออกมา เท่าที่เทพบุตรรู้ นิกายมนุษย์ไม่เคยมีผู้นำเต๋าขั้นหนึ่งมาก่อน อย่างน้อย ตั้งแต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์เป็นต้นมา ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“เลื่อนสู่ขั้นหนึ่งไม่ง่ายขนาดนั้น” ลั่วอวี้เหิงพึมพำ “อย่างสั้นก็สามเดือน อย่างยาวก็ครึ่งปี ข้าจึงจะข้ามชะตากรรมได้”
ไฟแห่งกรรมเผาร่างเดือนละครั้ง อย่างสั้นก็ต้องสามเดือน อย่างยาวครึ่งปี ก็คือหกครั้ง…สวี่ชีอันอยากจะเบะปากตามสัญชาตญาณ
“หวังว่าก่อนการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ ท่านจะสามารถช่วยจินเหลียนแก้ไขความคิดที่ชั่วร้ายเลวทราม เขาเป็นตัวการสำคัญที่ผลักดันให้เจินเต๋อเลวลง พลังแผ่นดินของต้าฟ่งเสื่อมสลาย คดีสังหารหมู่ของอ๋องสยบแดนเหนือ รวมทั้งเว่ยเยวียนที่ตายในสงคราม ล้วนมีสาเหตุจากเขาไม่มากก็น้อย” สวี่ชีอันพูดเสียงเคร่งขรึม
ลั่วอวี้เหิงมองเขาแวบหนึ่ง พูดว่า “หรือหลังการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ก็ได้”
นี่กำลังโกรธที่ข้าไม่มั่นใจในตัวนางหรือ?…สวี่ชีอันพูดยิ้มๆ ว่า “หวังว่าเมื่อถึงเวลา ข้าจะสามารถฟื้นคืนตบะ ความจริงแล้ว ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าทำไมนิกายสวรรค์ถึงไม่ทำการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์ เทพสวรรค์หรือก็สูญหายไปอย่างประหลาด” พูดจบเขาก็มองราชครู รอคำตอบจากหญิงงาม
“เรื่องนี้มีเพียงเทพสวรรค์เท่านั้นที่รู้” ลั่วอวี้เหิงตอบ
“ถ้าผู้นำเต๋านิกายมนุษย์พ่ายแพ้ต่อเทพสวรรค์ เหตุใดจึงยังมีความหวังจะบรรลุขั้นหนึ่ง? สวี่ชีอันถามอีก
“ฉกฉวยโชคชะตา” ลั่วอวี้เหิงตอบ
จากนั้น นางพูดเสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “แต่ก็แค่มีความหวัง ความจริงแล้ว หากไม่สามารถพึ่งพาจักรพรรดิ กลืนและคายพลังแผ่นดิน นิกายมนุษย์คิดจะอาศัยรบชนะนิกายสวรรค์เลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง ความเป็นไปได้นั้นมีไม่มาก”
‘พวกเขากำลังพูดอะไรอยู่…’ หลี่หลิงซู่ฟังไม่ค่อยเข้าใจ อยากจะยกมือถามแต่ก็ไม่กล้าอีก เขายังคงจิตใจร้อนรุ่ม เพราะการสนทนาระหว่างผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคน มีข้อมูลเล็ดลอดออกมาจำนวนมาก นี่เป็นสิ่งที่เมื่อก่อนเขาไม่มีทางได้สัมผัส
“จะเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เต๋าหรือไม่? ข้าหมายถึงผู้นำเต๋านิกายสวรรค์สูญหายไปอย่างประหลาด” จู่ๆ สวี่ชีอันก็พูดขึ้นมา
ดูเหมือนหลี่หลิงซู่จะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรง หัวข้อสนทนานี้เกี่ยวข้องกับบุคคลชั้นสูงเกินไปแล้ว
“รู้ได้อย่างไร?” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว
“ยังจำเรื่องสุสานใต้ดินที่ข้าเคยบอกท่านได้หรือไม่ จากการคาดการณ์ตามฝาผนังและเบาะแสที่ข้าได้รับมาเอง ลัทธิเต๋าในสมัยโบราณกับวิทยายุทธ์ในปัจจุบันรุ่งเรืองเหมือนกัน แต่ในเวลานั้น ไม่มีปรมาจารย์เต๋า นี่แสดงว่า ลัทธิเต๋าไม่ได้ก่อตั้งโดยปรมาจารย์เต๋า ผู้ก่อตั้งที่แท้จริงคือ ‘นิกายสวรรค์ นิกายปฐพี นิกายมนุษย์’ สามนิกาย” สวี่ชีอันพูด
ทันใดนั้น หลี่หลิงซู่แทบจะโพล่งออกมาตรงๆ บอกอีกฝ่ายว่าอย่าล้อเล่น
ปรมาจารย์เต๋าเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า นี่มีการบันทึกไว้ในหนังสือโบราณของนิกายสวรรค์ นิกายปฐพี นิกายมนุษย์ สามนิกาย และเป็นความรู้ที่ได้รับการยอมรับจากทุกระบอบใหญ่ๆ ในสมัยโบราณลัทธิเต๋ารุ่งเรือง เป็นความดีความชอบของปรมาจารย์เต๋า คำพูดของสวีเชียน ทำให้หลี่หลิงซู่ไม่สามารถรับได้
“ผู้อาวุโส ท่านมีหลักฐานอะไรหรือไม่?” หลี่หลิงซู่ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยปากถาม
…
บ้านสองส่วนหลังหนึ่ง เมืองยงโจว
ผู้ชายที่สวมเสื้อคลุมย้อนกลับมา มุ่งตรงไปที่ลานด้านหลัง มองข้ามการจ้องมองของภิกษุในลานบ้าน มาถึงห้องที่สงบห้องหนึ่ง
ภายในห้องมีภิกษุนั่งขัดสมาธิอยู่สามรูปดังนี้ พระอรหันต์ตู้ฉิงที่คิ้วขาวย้อยลงมาถึงแก้ม มีไฝที่หว่างคิ้ว พระอรหันต์ตู้ฝานที่ขี้เหร่อย่างไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้ และเทพอารักษ์ตู้หนานผู้ไม่มีผม ไม่มีหนวดเครา ไม่มีคิ้ว
“เทพอารักษ์ตู้หนาน เจ้าทำลายนัดหมายของเรา”
ผู้ที่สวมเสื้อคลุมพูดเสียงเคร่งขรึม “ข้าจะมอบค่ายกลลำเลียงให้เจ้า รอจนถึงเวลาร่วมมือค่อยใช้ ตัวเจ้าเองต้องซุ่มโจมตีสวี่ชีอันก่อนก้าวหนึ่ง”
เทพอารักษ์ตู้หนานพูดเรียบๆ ว่า “เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ร่วมมือได้”
“เจ้า…”
คนที่สวมเสื้อคลุมโกรธจนขำ “เป็นเทพอารักษ์แห่งสำนักพุทธแท้ๆ กลับพูดจาเชื่อถือไม่ได้ เวลานี้แหวกหญ้าให้งูตื่น แล้วยังคิดจะใช้ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยล่อเขาออกมา ไม่ง่ายอย่างที่พูดไปหน่อยหรือ”
เวลานี้ พระอรหันต์ตู้ฉิงลืมตาขึ้น กวาดตามองคนที่สวมเสื้อคลุม พูดช้าๆ ว่า
“เจ้ามอบค่ายกลลำเลียงให้ศิษย์น้องตู้หนานล่วงหน้า ก็เพราะคิดเช่นนี้มิใช่หรือ คนซื่อตรงไม่พูดจาอ้อมค้อม เวลานี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิงเป็นไพ่ตายใบหนึ่งของเทพบุตร พร้อมกับซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์ คงจะรู้พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายดีแล้ว ตำหนักความลับสวรรค์คิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
“ตำหนักความลับสวรรค์ได้รับข่าวที่เชื่อถือได้ ว่ามีผู้ถูกปราณมังกรอาศัยท่านหนึ่งมาที่เมืองยงโจวเพื่อเข้าร่วมงานชุมนุมจอมยุทธ์ จับกุมเขาได้ ก็จะสามารถล่อสวี่ชีอันออกมาได้
เทพอารักษ์ตู้หนานพูดเสียงดังกังวาน “หนึ่งในเก้าปราณมังกร?”
หลังผ่านเหตุการณ์วันนี้แล้ว ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยธรรมดาๆ จะไม่สามารถล่อสวี่ชีอันออกมาได้อีก
คนที่สวมเสื้อคลุมพยักหน้า “เจ้าตำหนักเห็นด้วยกับแผนการของข้า และได้ส่งดาวมังกรในกลุ่มยี่สิบแปดดารามาช่วย”
“แบบนี้ก็ดี” เทพอารักษ์เผ่าอสูรพูดแทรกขึ้นมา
…
สำหรับคำถามของหลี่หลิงซู่ สวี่ชีอันรู้สึกว่า การบอกความลับเขาเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง และหลี่หลิงซู่เป็นเทพบุตรนิกายสวรรค์ สามารถสัมผัสตำราโบราณนิกายสวรรค์ได้
หากไปตามหาอย่างมีจุดประสงค์ อาจจะได้รับเบาะแสบางอย่าง สิ่งนี้จะช่วยเขาในการคาดการณ์สถานะของเจ้าของสุสานใต้ดิน ดังนั้น เขาจึงเล่าด้วยน้ำเสียงสงบว่า
“ข้าเคยลงไปในสุสานโบราณแห่งหนึ่ง เป็นยุคที่นานจนไม่สามารถพิสูจน์ได้ เจ้าของหลุมฝังศพเป็นนักพรต หลังจากเขาหนีเคราะห์กรรมไม่สำเร็จ ก็ได้ใช้วิญญาณและร่างเก่าที่เหลือสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมา ร่างเก่านั้นบอกข้าว่า เขาไม่รู้จักคนอย่างปรมาจารย์เต๋า หึ เขาไม่มีความจำเป็นต้องโกหก”
นี่…หลี่หลิงซู่ฟังจนรูม่านตาหดตัว รู้สึกไม่อยากเชื่อตามสัญชาตญาณ แต่ก็รู้ว่าสวีเชียนไม่มีความจำเป็นต้องหลอกเขา
‘ปรมาจารย์เต๋าไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งลัทธิเต๋า?’
‘ปรมาจารย์เต๋าเป็นผู้มาทีหลัง?’
สำหรับเขาแล้วความลับนี้ เป็นการโจมตีที่ยิ่งใหญ่มาก
ลั่วอวี้เหิงกลับถามว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับการสูญหายไปของเทพสวรรค์ของนิกายสวรรค์?”
“นิกายใหญ่ๆ ของลัทธิเต๋าค่อยๆ อ่อนแอลง สามนิกายรุ่งเรือง ปรมาจารย์เต๋าชนชั้นสูงท่านนี้กลับสูญหายไปอย่างแปลกประหลาด ไม่เคยปรากฏตัวมานับพันปี หรือว่าระหว่างนี้จะมีการติดต่อที่ไม่อาจรู้ได้?”
คำพูดของสวี่ชีอันทำให้ลั่วอวี้เหิงต้องคิดหนัก แต่ให้คำตอบไม่ได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนคุยกันเรื่อยเปื่อย หลี่หลิงซู่ฟังอย่างเพลิดเพลินอยู่ข้างๆ และแอบมองลั่วอวี้เหิงเป็นระยะ
‘ยิ่งดูยิ่งน่าหลงใหล ยิ่งดูยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น…’ หลี่หลิงซู่คิดในใจ
เขาเกิดความรัก เลื่อมใสและศรัทธาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่กล่าวกันว่าหญิงสาวที่งดงามและเพียบพร้อมด้วยศีลธรรมเป็นคู่ครองที่ดี การรักและแสวงหาหญิงงาม เป็นสัญชาตญาณของผู้ชายทุกคน
‘ในนิกายสวรรค์ นิกายปฐพี นิกายมนุษย์ ทั้งสามนิกายนี้ นิกายสวรรค์มีท่าทีไม่ได้เห็นด้วยและไม่ได้คัดค้านการแต่งงาน นิกายปฐพีก็เช่นเดียวกัน มีเพียงนิกายมนุษย์เท่านั้นที่สนับสนุนให้ศิษย์แสวงหาคู่บำเพ็ญ…นางจะต้องไม่มีคู่บำเพ็ญอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าข้าจะมีโอกาสหรือไม่ เสน่ห์ที่น่าเบื่อของข้า จะได้รับความสนใจจากนางหรือไม่?’
หลี่หลิงซู่มั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองอย่างยิ่ง แต่อีกฝ่ายเป็นถึงผู้นำเต๋า ย่อมไม่ตื้นเขินเช่นผู้หญิงทั่วไป แต่ นี่ก็หมายความว่าผู้ชายธรรมดาๆ ก็ยากที่จะเข้าตาลั่วอวี้เหิงเช่นกัน ส่วนสวีเชียนนั้น เขาไม่ได้เป็นคู่แข่งแม้แต่น้อย เพราะสวีเชียน มีภรรยาแล้ว ลั่วอวี้เหิงไม่มีวันที่จะเป็นคู่บำเพ็ญของผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว
ทันใดนั้น ในห้องน้ำชาก็เกิดแสงสว่าง มีเงาคนคนหนึ่งปรากฏขึ้น เสื้อขาวดุจหิมะ หน้าตาธรรมดา เขาคือซุนเสวียนจีศิษย์คนรองของท่านโหราจารย์นั่นเอง
“เจ้ามาแล้ว” สวี่ชีอันพูด
ซุนเสวียนจีพยักหน้า อ้าปาก กำลังคิดจะพูด สวี่ชีอันก็ชิงพูดก่อนว่า “พวกเราเขียนเอาเถิด”
หลี่หลิงซู่คล้อยตามทันที “ใช่ๆๆ เขียนเอา”
การฟังซุนเสวียนจีพูด ในความคิดของเทพบุตร เป็นการทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรงอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นคนไม่ยินดียินร้ายขนาดไหน ถ้าได้อยู่กับซุนเสวียนจีเกินสามวัน จะต้องตบะแตกอย่างแน่นอน
‘…’ ซุนเสวียนจีไม่พอใจเล็กน้อย เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าทั้งสองคนรังเกียจ แต่ก็ยังเลือกที่จะทำตาม ยกพู่กันขึ้นเขียน
“ได้รับจดหมายจากเจ้า ข้าก็รีบลำเลียงมาทันที หาที่นี่พบตามตำแหน่งของหอยสังข์”
ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมา มาเก็บศพข้าอย่างนั้นหรือ อย่างไรท่านน้าก็พึ่งได้มากกว่า…สวี่ชีอันพึมพำในใจ
“ข้ารวบรวมปราณมังกรได้สองสายแล้ว”’ สวี่ชีอันพูด
เขาหมายถึงปราณมังกรที่สำคัญที่สุดเก้าสายนั้น
ซุนเสวียนจีพยักหน้า เขียนว่า ‘ข้าก็สะสมปราณมังกรที่กระสานซ่านเซ็นบางส่วนได้แล้ว ผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเหล่านั้นได้นำกลับไปที่สำนักโหราจารย์ เมื่อไหร่เจ้าว่าง สามารถกลับเมืองหลวงสูบปราณมังกรออกมาได้’
เขาก็ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้รวบรวมปราณมังกรเช่นกัน แต่ไม่มีเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี จึงต้องพาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยกลับสำนักโหราจารย์ คุมขังไว้ใต้ดิน เมื่อเขียนประโยคนี้เสร็จ ซุนเสวียนจีก็หยิบจดหมายปึกหนึ่งออกมาจากถุงผ้า วางไว้หน้าสวี่ชีอัน
“นี่เป็นจดหมายที่พวกนางกำชับให้ข้ามอบให้เจ้า” ศิษย์พี่รองพูด
หลี่หลิงซู่ยื่นหน้ามามอง จดหมายชั้นบนสุด เขียนว่า ‘หลินอัน’ สองคำ
‘หลินอันเป็นใคร?’ เขาคิดในใจ
เพราะหลี่หลิงซู่อยู่ข้างๆ สวี่ชีอันจึงไม่ได้เปิดจดหมายทันที แค่มองผ่านๆ พบว่ามีจดหมายห้าฉบับ
นอกจากหลินอันและฮว๋ายชิ่ง ยังมีอีกสามฉบับเป็นของใคร เอ้อร์หลางกับหลิงเยวี่ย แล้วก็ฉู่ไฉ่เวย? หาข้าไม่พบ จึงส่งจดหมายผ่านศิษย์พี่รอง ฉลาดมาก…เขาพึมพำในใจ เก็บจดหมายไว้ในอกเสื้อ
จากนั้นก็หันไปมองหลี่หลิงซู่ “เจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปก่อน ดูแลนางแทนข้าให้ดี บอกนางว่าอีกเจ็ดวันข้าจะกลับไป”
“หลายวันนี้ผู้อาวุโสมีธุระอะไรใช่หรือไม่” หลี่หลิงซู่ถาม
ต้องบำเพ็ญคู่ไงไอ้น้องชาย…สวี่ชีอันพูดเบาๆ ว่า “ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
ขณะพูด ทั้งสี่คนในห้องน้ำชาก็มองไปที่ประตูพร้อมกัน
เงาขาวเล็กๆ ผ่านมา หยุดอยู่ที่นอกประตู ตามมาด้วยเสียงเด็กหญิงอ่อนวัย “ที่นี่ล่ะ ที่นี่ล่ะ…”
สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวน้อยปราดเปรียวยืนอยู่นอกประตู หันหน้าตะโกนไปทางด้านหลัง
สิบกว่าวินาทีผ่านไป มู่หนานจือก็เดินตามมาอย่างเหนื่อยหอบ
นางมาทำอะไร…สวี่ชีอันหน้าเสียทันที
ลั่วอวี้เหิงหรี่ตา