ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 562 ยามจื่อ (1)
บทที่ 562 ยามจื่อ (1)
“เจ้ามาได้อย่างไร…”
สวี่ชีอันทะลึ่งกายลุกพรวด พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงระแวดระวัง
มู่หนานจือเหลือบมองเขา เหยียดยิ้มหยันแล้วเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เหตุใดเจ้าต้องทำตัวลึกลับ ไม่ยอมกลับโรงเตี๊ยมและไม่ยอมให้ข้าเจอ ที่แท้ก็แอบมาพลอดรักกับลั่วอวี้เหิงนี่เอง”
เวรเอ๊ย นางรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับราชครูได้อย่างไร ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ…แม้หลุมระเบิดนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นภายในใจสวี่ชีอัน ทว่าเขายังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย
“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ไม่มีเรื่องอย่างว่าเกิดขึ้น”
เขาหาคำแก้ตัวหว่านล้อมมู่หนานจือ แม้นยังไม่เชื่อว่าการกลับชาติมาเกิดของเทพดอกไม้จะรู้เรื่องเขาจับคู่บำเพ็ญกับลั่วอวี้เหิงได้อย่างแจ่มแจ้ง
แต่ความรู้สึกผิดเหมือนโดนจับได้ว่ามีชู้เกิดขึ้นได้อย่างไร…เขาลอบบ่นอยู่ในใจ
มู่หนานจือไม่สนใจเขา หันไปมองลั่วอวี้เหิง กล่าวด้วยรอยยิ้มจอมปลอม
“ตอนนั้นข้าแนะนำให้เจ้าจับคู่บำเพ็ญกับจักรพรรดิหยวนจิ่ง เจ้ากลับปฏิเสธเพราะอ่อนเยาว์กว่า เกิดอะไรขึ้นเล่า วัวแก่อายุเกือบสี่สิบเช่นเจ้า กลับอยากเคี้ยวหญ้าอ่อนเช่นกันหรือ?
“ฮึ ทุกเดือนเจ้าอุทิศตนให้ไฟแห่งกรรมแผดเผาตลอดเจ็ดวัน วันนี้ข้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า เหตุใดเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาบอกข้าว่าเจ้าจะตามหาเขาในเร็ววัน ข้าถึงรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“ตอนนั้นข้าลองหยั่งเชิงถามไปครั้งหนึ่ง แต่เขาไม่ยอมพูดอะไร วันนี้ข้าจึงสั่งให้จิ้งจอกตัวน้อยตามกลิ่นหลี่หลิงซู่เพื่อสะกดรอยตามมา เหอะ จนได้เจอเจ้าที่นี่ ยิ่งตอกย้ำว่าข้าคิดไว้ไม่มีผิด”
แสดงว่าที่นางเทียวถามไถ่เป็นเพราะรู้อยู่แล้ว ผู้หญิงนี่สมกับเป็นนักแสดงตั้งแต่กำเนิดจริงๆ…สวี่ชีอันเหลือบมองนางจิ้งจอกที่กำลังหมอบอยู่ที่ประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จิ้งจอกขาวตัวน้อยย่นคอตามสัญชาตญาณ พร้อมตระหนักว่าตนอาจทำอะไรผิดไป
‘ไม่ ไม่ใช่เรื่องของข้า…’ เสียงเล็กเถียงกลับในใจ
ขณะเดียวกัน หลี่หลิงซู่ล้วนร่ำร้องแต่คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’
‘นางหมายถึงอะไร สิ่งใดที่เรียกว่า‘วัวแก่กินหญ้าอ่อน’ ฮูหยินสวีกำลังบอกว่าสวี่ชีอันกับลั่วอวี้เหิงแอบมีความสัมพันธ์กันงั้นหรือ…’
หลี่หลิงซู่รู้สึกสะเทือนใจ หากเป็นเช่นนั้นจริง โลกใบนี้ช่างมืดมนและไม่ยุติธรรมเสียนี่กระไร
‘สวีเชียนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลั่วอวี้เหิงได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ผู้นำนิกายมนุษย์จะมาตกหลุมรักชายที่แต่งงานแล้วได้อย่างไร…ท่านผู้นำเต๋า ท่านพูดหน่อยเถิด’
หลี่หลิงซู่กรีดร้องในใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไร เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฮูหยินสวี ข้าคิดว่าเรื่องนี้ต้องเกิดความเข้าใจผิดแน่นอน”
แม้เดิมทีอยากบอกว่า ‘ท่านผู้นำเต๋าของนิกายพวกเรา จะหลงใหลสามีเจ้าได้อย่างไร’
ทั้งรู้สึกว่าคำพูดนี้น่าอัปยศอดสูต่อตน และเขาไม่สามารถยุ่มย่ามกับสวีเชียนได้
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า ไสหัวไป”
มู่หนานจือขมวดคิ้วจนเป็นเส้นตรง
นางทั้งเจ้าอารมณ์และมีหน้าตาธรรมดาๆ เท่านั้น ถ้าลั่วอวี้เหิงตกหลุมรักชายคนรักของนางจริง นางจะแย่งเขามาหรือไม่ ที่ฉุนเฉียวถึงเพียงนี้ คงเพราะหมดหนทางจะสู้จึงได้โกรธงั้นหรือ?
หลี่หลิงซู่ตำหนิอยู่ในใจ
ชั่วเวลานี้ ศิษย์พี่รองซุนเสวียนจีหลบหนีไปจากหนทางอันตรายนี้แล้ว
ในที่สุดลั่วอวี้เหิงก็พูดบ้าง ดวงตาเรียวรีหรี่ลง พูดเสียงราบเรียบว่า “หวงก้างหรือ มู่หนานจือ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งเรื่องของข้า มีเหตุผลใดต้องยุ่งเรื่องของเขา?”
นางมั่นใจว่าด้วยความหยิ่งผยองของมู่หนานจือ เกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ยอมรับความรู้สึกที่มีต่อสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันรีบมองไปทางพระชายา ดวงตาแฝงไว้ด้วยความคาดหวัง
…มู่หนานจือสะอึกเล็กน้อย ครั้นเห็นสวี่ชีอันมองมาทางตน จึงขึงตาจ้องกลับ “เจ้าภูมิใจมากเลยใช่หรือไม่”
หา? เรื่องนี้จะกลับตาลปัตรไปหมดแล้ว…สวี่ชีอันนิ่งอึ้งชั่วขณะ ตระหนักได้ทันทีว่านางกำลังเปลี่ยนเรื่อง
เขารู้สึกกลัดกลุ้มใจครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าต้องเกลี้ยกล่อมนางอย่างไร
เขาเคยประสบเหตุการณ์คล้ายๆ กันที่ลานอสูร หลินอันและฮว๋ายชิ่งก็ขัดแย้งกันเพราะเขาเช่นกัน ทว่าหลินอันนั้นเกลี้ยกล่อมง่าย ส่วนฮว๋ายชิ่งนั้นฉลาดและรู้จักระงับอารมณ์
ยิ่งไปกว่านั้น คราแรกเขาติดแหง็กอยู่ระหว่างฮว๋ายชิ่งและหลินอัน ต้นตอมาจากสองพี่น้องทะเลาะกัน ส่วนตนเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น
เหตุการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนก่อน
ยังดีที่ลั่วอวี้เหิงเป็นฝ่ายจัดการโทสะ กล่าวด้วยท่าทีเหยียดหยาม “คราแรกข้าเคยให้โอกาสเจ้า เจ้าบอกว่าไม่อาจออกไปท่องยุทธภพกับเขา”
นางพูดประโยคนี้ เปรียบดั่งคำอธิบายและคำขู่
แม้ยังพูดไม่จบประโยคหลัง ก็เชื่อว่ามู่หนานจือเข้าใจอยู่ในใจ
คาดไม่ถึงว่ามู่หนานจือไม่เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นางแค่นหัวเราะพลางพูดว่า “เอาล่ะ เจ้าลองดูแล้วกันว่าเขาจะทิ้งข้าลงหรือไม่”
พูดจบก็หันไปทางสวี่ชีอันแล้วพูดต่อว่า “นางจะเอาข้าไปขายให้ซ่อง”
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น…” สวี่ชีอันโบกไม้โบกมือพัลวัน
ฮูหยินสวีหน้าตาอย่างนี้ ต่อให้ขายอยู่ในซ่องก็ไม่มีบุรุษคนใดเหลียวแล หลี่หลิงซู่เยาะเย้ยอยู่ข้างๆ พลางมองสวีเชียนด้วยสายตาทั้งสมน้ำหน้าและอิจฉา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เทพบุตรกระจ่างแล้วว่าฮูหยินสวีพูดถูก ความสัมพันธ์ระหว่างลั่วอวี้เหิงกับสวีเชียนนั้นไม่ธรรมดา
เรื่องนี้ทำให้เทพบุตรนึกถึงตอนที่ฮูหยินสวีเหน็บแนมสวีเชียนก่อนหน้านี้ นี่ไม่ใช่เรื่องตลกเลย เขามีสหายที่รูปลักษณ์เลอโฉม งามเสียจนล่มบ้านล่มเมืองจริงๆ
แต่เมื่อนึกถึงรูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ ของฮูหยินสวีแล้ว หลี่หลิงซู่รู้สึกสบายใจขึ้นมากโข
อันที่จริง ในบรรดาหญิงสาวคนสนิทของเขา ทุกคนล้วนงดงามดั่งดอกไม้ นี่คือสิ่งที่สวีเชียนไม่อาจเทียบเทียมกับเขาได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ความสัมพันธ์ระหว่างสวีเชียนกับลั่วอวี้เหิง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเพราะเขาบำเพ็ญ หาใช่เสน่ห์ส่วนตัวไม่ กรณีนี้ หากว่ากันตามทั่วๆ ไป หญิงสาวเช่นฮูหยินสวี ถึงว่าเหมาะสมกับสวีเชียนแล้ว เทพบุตรส่งเสียงเหอะๆ ในใจ
ลั่วอวี้เหิงยกชาจิบอย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “พานางออกไป”
มู่หนานจือพึมพำว่า “เจ้าต่างหากที่สมควรไป”
ขณะที่เทพบุตรกำลังอิ่มเอมบนความทุกข์ของผู้อื่น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงของสวีเชียน “เกิดเรื่องแบบนี้ ข้าควรทำอย่างไร?”
‘เขากำลังขอความช่วยเหลือจากข้า ฮ่าๆ สวีเชียนนะสวีเชียน เจ้านี่เป็นตาเฒ่าจริงๆ…’ มุมปากหลี่หลิงซู่กระตุก พร้อมใช้น้ำเสียงอย่างครูที่ดีส่งกระแสจิต
“ง่ายมาก จัดการตามอุปนิสัยของพวกนาง แต่ใจเจ้าต้องหนักแน่นพอเพื่อรับมือ ตัวอย่างเช่น ถ้าพี่น้องตงฟางเกิดทะเลาะวิวาทกับเหวินเหรินเชี่ยนโหรว ข้าจะมุ่งเป้าไปทางสองพี่น้องตงฟาง แล้วคิดหาวิธีพาเหวินเหรินเชี่ยนโหรวหลบหนี
“เพราะนางไม่ใช่ศัตรูของพี่น้องตงฟาง อีกอย่างฝ่ายหลังย่อมโหดเหี้ยมกับศัตรูหัวใจเสมอ ข้าเลือกปกป้องเชี่ยนโหรว หากเป็นซิ่งเอ๋อร์กับพี่น้องตงฟาง ข้าจะพุ่งเป้าไปทางไฉซิ่งเอ๋อร์
“เพราะซิ่งเอ๋อร์อ่อนไหวทางอารมณ์ เกลี้ยกล่อมยาก ในขณะที่สองพี่น้องตงฟางเกลี้ยกล่อมง่ายกว่า
“ฉะนั้นระหว่างผู้นำเต๋าลั่วอวี้เหิงกับฮูหยินสวี ข้าแนะนำให้มุ่งไปทางลั่วอวี้เหิง เห็นได้ชัดว่านางมีนิสัยเดี๋ยวแปลกเดี๋ยวเย็นชา ส่วนฮูหยินสวีเป็นภรรยาของเจ้า ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว นอกจากนี้ ท่านผู้นำเต๋านั้นรูปโฉมงามล่มเมือง ฮูหยินสวีจะสู้ได้อย่างไร”
เทพบุตรพูดจาฉะฉานเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ เมื่อพูดจบก็นึกเวทนา เหตุใดเขาต้องสอนสวีเชียนด้วย?
รีบต่อกรกับราชครูจะดีกว่า
ไม่ได้เรื่องเลย…สวี่ชีอันส่งกระแสจิตกลับ “มีบางเรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจ มู่หนานจือแตกต่างจากหญิงคนอื่นๆ”
‘แตกต่างตรงไหนกัน…’ หลี่หลิงซู่ค่อนแคะใจ
ว่าแต่การแสดงออกต่อหน้าลั่วอวี้เหิงของฮูหยินสวี นางไม่ละอายใจตนเองหน่อยหรือ
ตามเหตุผลแล้ว หญิงผู้มีความละอายใจ ครั้นเห็นศัตรูความรักดั่งนางฟ้านางสวรรค์ แม้จะโมโหเพียงใด ก็คงน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง
เขาสังเกตเห็นแววตาก้าวร้าวของฮูหยินสวี เสมือนฉายชัดคำว่า ‘เจ้ามันขยะ!’
ลั่วอวี้เหิงวางถ้วยชาลง ผินหน้ามองสวี่ชีอัน พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบไม่กี่ประโยค
“ใครควรออกไป เจ้าตัดสินใจเถอะ”
อ่า เอ่อ ถ้าเช่นนั้นก็อยู่ด้วยกันเถอะ…สวี่ชีอันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จิ้งจอกขาวตัวน้อยขี้กลัว มองไปที่ลั่วอวี้เหิงแล้วยกสองขากอดข้อเท้ามู่หนานจือ พร้อมกระซิบแผ่ว
“ท่านน้า พวกเราไปกันเถอะ แต่นางสวยจัง…”
ทั้งโอบล้อมด้วยออร่าดุร้าย เพียงแรกเห็นก็ไม่อาจยั่วโทสะ จิ้งจอกขาวตัวน้อยมีสัญชาตญาณที่เฉียบแหลมต่อผู้แข็งแกร่ง
ท่านน้าหน้าตาไม่ดี ทั้งไม่ได้ร่วมบำเพ็ญ ไม่มีอะไรเทียบแม่นางผู้นี้ได้เลย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หนานจือส่งเสียง “เหอะ” ก่อนยกแขนขวาขึ้นจนแขนเสื้อร่นลง เผยให้เห็นข้อมือเรียวขาวราวหิมะ รวมถึงพวงลูกประคำ
นางชำเลืองดูท่าทีลั่วอวี้เหิง ก่อนค่อยๆ ดึงลูกประคำออกมา
ทันใดนั้น สีหน้าอากัปกิริยาของนางพลันเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือ ดวงตากลมโตงดงาม ราวกับทะเลสาบสาดซัดอัญมณีส่องประกายแวววาวสวยงามจับใจ
ริมฝีปากอวบอิ่มของนางแดงระเรื่อ มุมปากงดงามราวกับแกะสลัก เฉกเช่นผลเชอร์รี่ที่เย้ายวนใจ ชวนให้บุรุษหลงใหลอยากจุมพิตนาง
นางทะนงตนดุจดั่งจักรพรรดินี ท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยาม กลับไม่มีใครคิดว่านางหลงระเริง เพราะรูปลักษณ์อันเลอโฉมของนางมีสิทธิ์มองกดคนอื่นให้ต่ำ
นางไม่เพียงแต่สวยเท่านั้น พ่วงด้วยความเป็นกุลสตรีชั้นเลิศ เปรียบเสมือนหญิงสาวในตระกูลเซียนบนม้วนภาพวาด
“คนแซ่สวี ใครต้องไปกันแน่?” มู่หนานจือเชิดคางขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
“…” หลี่หลิงซู่แข็งทื่อเป็นรูปปั้น จิตวิญญาณได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากภายในสู่ภายนอก ขณะมองลั่วอวี้เหิง เขาคิดว่าตนได้พบกับผู้หญิงที่ทรงเสน่ห์ที่สุดในโลก
ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนได้พบกับหญิงสาวที่งดงามที่สุดในใต้หล้า
‘ไม่มีใครสวยไปกว่านางแล้ว…’ ความคิดนี้ผุดขึ้นภายในใจเทพบุตรนิกายสวรรค์
การออกเสียงสวี่และสวีคล้ายกันมาก หลี่หลิงซู่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความงามของมู่หนานจือ จนไม่ได้สังเกตรายละเอียดตรงนี้
‘นี่คือรูปโฉมแท้จริงของนาง หน้าตาที่แท้จริงของฮูหยินสวีหรือ? จริงด้วย สวีเชียนปลอมรูปลักษณ์ได้ ไยข้าถึงมั่นใจว่ารูปร่างหน้าตาธรรมดาๆ คือรูปลักษณ์ของนางจริงๆ? ข้าโง่เขลาจริงๆ ข้างกายมีสาวงามเลิศที่สุดในปฐพีเช่นนี้ กลับไม่เคยชายตามอง…’
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือนางกลายเป็นภรรยาของสวีเชียนเสียแล้ว
เวลานี้หลี่หลิงซู่เกิดสงสัยในเสน่ห์ของตน การตั้งแง่ต่อหน้าตาพื้นๆ ของฮูหยินสวีในอดีตหายไปจนหมดสิ้น
‘แต่ก่อนข้าคิดว่าฮูหยินสวีมีความรู้สึกดีๆ ให้ แต่ข้าทั้งทำอะไรไม่ถูกและไม่พอใจ…’ ใบหน้าเทพบุตรร้อนวูบวาบด้วยความอาย ทันใดนั้นเอง เขาก็พบว่าตัวตลกที่แท้จริงคือตนเองต่างหาก