ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 566 น้องสาว
บทที่ 566 น้องสาว
“เจ้าเป็นใคร?”
สวี่ชีอันมองสาวงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะกล่าวช้าๆ ด้วยแววตาเย็นชา “หากไม่อยากตาย ก็ตอบคำถามข้ามาอย่างซื่อสัตย์”
ในขณะที่กล่าว เขาพ่นลมหายใจเล็กน้อยเพื่อปิดผนึกจุดลมปราณของอีกฝ่าย
สาวงามเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสแป๋วจ้องมองเขาโดยไม่พยักหน้าหรือปฏิเสธ
“เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับโดยปริยาย”
สวี่ชีอันนั่งลงตรงข้ามนางและถามด้วยความหวังครั้งสุดท้าย “พวกเจ้าเป็นใคร?”
สวี่หยวนซวงเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้ารุ่มร้อน นางงอขาและกล่าวเสียงเบา “พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักชิวเฉ่าแห่งชิงโจว ตามศิษย์พี่ใหญ่มาที่ยงโจวครั้งนี้ก็เพื่อฝึกฝนและหาประสบการณ์ทางโลก ข้า…ข้าชื่อสวี่หยวนซวง”
“ประสบการณ์ในการท่องพิภพของเจ้าอยู่ในระดับอ่อนหัดจริงๆ”
สวี่ชีอันเอื้อมมือเข้าไปที่เอวบางของนาง สีหน้าของสวี่หยวนซวงเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางพยายามเอนตัวไปด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการรุกล้ำของอีกฝ่าย
แต่นางคิดผิด ชายหนุ่มธรรมดาๆ คนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะดึงผ้าคาดเอวของนาง แต่กลับปลดถุงหอมที่นางแขวนไว้ที่เอวแทน
สวี่หยวนซวงย่อมอยากได้ของของตนเองคืนโดยจิตใต้สำนึก แต่ทันทีที่คว้าข้อมือของอีกฝ่าย นางก็ชักมือกลับราวกับถูกไฟช็อต พร้อมกับลมหายใจที่กระชั้นถี่ขึ้นและใบหน้าแดงก่ำกว่าเดิม
นางพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะระงับพิษราคะ แต่ทันทีที่สัมผัสร่างกายของชายหนุ่ม สติสัมปชัญญะของนางก็แทบแตกสลาย จนพุ่งเข้าหาความสุขที่ปรารถนาอย่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้
สวี่ชีอันเปิดถุงหอมดูด้านใน…
รวยแล้ว!
ภายในมีอาวุธเวทมนตร์อยู่หลากหลายจนลานตา ทั้งประเภทจู่โจม ประเภทหายตัว ประเภทป้องกัน…มากมายนับไม่ถ้วน
หากวันนั้นข้ามีอาวุธเวทมนตร์ประเภทหายตัว ก็คงไม่ถูกเทพอารักษ์ตู้หนานบีบบังคับจนอับจนหนทางเช่นนั้น โหรเป็นขุมทรัพย์อย่างที่คิดจริงๆ…สวี่ชีอันเก็บถุงผ้านั้นเข้าไปในแขนเสื้อด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
สวี่หยวนซวงอ้าปากพะงาบๆ แววตาประกายความคับข้องใจและเจ็บปวด แต่ก็ไม่กล้าพูด
“เท่าที่ข้ารู้ มีเพียงโหรของสำนักโหราจารย์เท่านั้นที่สามารถกลั่นอาวุธเวทมนตร์ได้ สำนักชิวเฉ่าเป็นสถานที่แบบใดกัน?”
สวี่ชีอันหรี่ตาลง “หากเจ้าไม่พูดความจริง ก็อย่าหาว่าข้าเป็นคนชั่ว”
สวี่หยวนซวงเม้มริมฝีปากอย่างดื้อรั้น ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
สวี่ชีอันสะกิดข้างเอวนางเบาๆ
“อื้อ…”
ร่างอันบอบบางของสวี่หยวนซวงสั่นเทา ดวงตาใสพร่ามัว ขาทั้งสองข้างถูไปมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
“หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือ ข้าก็จะสร้างความสุขกับเจ้าที่นี่ก่อนสักครั้ง จากนั้นค่อยโยนเจ้าไปให้ชาวบ้านใกล้เคียง ชั่วชีวิตของพวกเขาอาจจะไม่เคยพบหญิงที่มีน้ำมีนวลเฉกเช่นเจ้ามาก่อนก็ได้” สวี่ชีอันกล่าวข่มขู่
“เจ้า…”
ใบหน้าอันบอบบางของสวี่หยวนซวงบิดเบี้ยวเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“หากเจ้าเชื่อฟัง ข้าจะรักษาพิษราคะให้เจ้า” สวี่ชีอันกล่าว “เป็นอย่างไร?”
สวี่หยวนซวงกัดริมฝีปากราวกับอยากจะร้องไห้ “ไม่มียาหรือวิธีใดที่จะรักษาพิษราคะได้หรอก”
“ข้าหมายถึงฉิงกู่ ไม่ใช่ฉิงตู๋ (พิษราคะ)” สวี่ชีอันกล่าวแก้ไข
หญิงสาวกล่าวหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “เช่นนั้นเจ้าก็แก้ฉิงกู่ก่อนเถอะ”
สวี่ชีอันไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่เมื่อริมฝีปากเปิดและปิด ทันใดนั้น หนอนตัวเล็กก็เจาะออกมาจากข้อเท้าของสวี่หยวนซวง สวี่ชีอันยื่นนิ้วออกไป มันค่อยๆ ขยับไปที่นิ้วของเขาแล้วหายไป
หลังจากหนอนไปแล้ว สวี่หยวนซวงก็รู้สึกว่าความร้อนผ่าวในร่างกายมลายหายไปทันที พอตัณหาถูกทำลายสติสัมปชัญญะก็อ่อนกำลังลง
‘ฟู่…’ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอกและจ้องสวี่ชีอัน “เจ้าเป็นคนเผ่ากู่รึ?”
“เจ้าเป็นใครกันแน่…”
ทันทีที่สิ้นประโยคของสวี่หยวนซวง จู่ๆ เสื้อตัวนอกก็เปิดออกอย่างกะทันหัน เผยให้เห็นเสื้อตู้โตวสีเขียว และลำคอระหง
นางกรีดร้องพลางยกมือขึ้นปิดหน้าอก
สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ยื้อเวลารอให้สำนักพุทธและสหายมาค้นหางั้นรึ? ความอดทนของข้ามีจำกัด แต่ละคำถามข้าให้เวลาเจ้าตอบเพียงสามลมหายใจ หากเจ้ายังเล่นแง่อีก เจ้าจะได้ลิ้มรสชาติที่เลวร้ายกว่าความตายเสียอีก”
เมื่อสวี่หยวนซวงผู้มีความคิดรอบคอบถูกแทงใจดำ นางก็ไม่กล้ายื้อเวลาอีกต่อไป ไม่กล้าที่จะเอาชื่อเสียงของตนเองฝากไว้กับคุณธรรมของศัตรู
“พวกเรามาจากเมืองเฉียนหลง อวิ๋นโจว”
“เมืองเฉียนหลงเป็นสถานที่แบบใด?”
สีหน้าของสวี่หยวนซวงลุกลน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที นางก็กล่าวช้าๆ ว่า “เป็นสถานที่ที่มีพลังอันยิ่งใหญ่”
“เป็นสายเลือดของราชวงศ์ต้าฟ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน?” สวี่ชีอันใช้น้ำเสียงสงบนิ่ง แต่ข้อมูลที่พูดออกมาหนักแน่นจริงจังยิ่งกว่าดินระเบิด
สีหน้าของสวี่หยวนซวงเปลี่ยนไปอย่างมาก และมองเขาอย่างไม่น่าเชื่อ “เจ้า…”
ดูเหมือนนางจะรู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ นางกล่าวเน้นทีละคำว่า “เจ้าคือสวีเชียนรึ?”
นับว่าสายตาเฉียบแหลม…สวี่ชีอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ “จีเสวียนคือใคร ฐานการบำเพ็ญเป็นอย่างไร?”
“บุตรนอกสมรสของเจ้าเมืองเฉียนหลง ขั้นเจ็ด” สวี่หยวนซวงตอบอย่างไม่เต็มใจนัก ถามอย่างไรตอบอย่างนั้น และไม่เปิดเผยอะไรมากเกินไป
“ครั้งนี้พวกเจ้าออกมาเพื่อสะสมปราณมังกรรึ?” สวี่ชีอันถาม
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย “ชีพจรมังกรแห่งต้าฟ่งถูกตีแตกพ่าย เจ้าเมืองจึงมอบหน้าที่ให้จีเสวียนจัดการ”
“ได้อะไรหรือไม่”
“พบผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเพียงไม่กี่ท่าน แต่ทุกท่านล้วนเป็นปราณมังกรที่กระจัดกระจาย ไม่คุ้มค่าเท่าใดนัก”
พวกเขาให้กงซุนเซี่ยงหยางค้นหาชายหนุ่มคนนั้น ก็น่าจะเป็นผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเช่นกัน…สวี่ชีอันกล่าวอย่างไตร่ตรอง “เล่าเกี่ยวกับสหายของเจ้าให้ข้าฟังที”
สวี่หยวนซวงกล่าวว่า “นอกจากจีเสวียนและข้าแล้ว ชายหนุ่มที่เชิญข้าต่อสู้บนเวทีเมื่อครู่คือน้องชายข้า ส่วนอีกสี่คนที่เหลือ ท่านนี้คือนักบวชลัทธิเต๋านามฉายาว่าเจียวเยี่ย เขาคือผู้ท่องยุทธภพพเนจร แต่ต่อมาเขาเข้ามาที่เมืองเฉียนหลงและเป็นแขกต่างเมืองอยู่ที่จวนของจีเสวียนมาโดยตลอด อีกทั้งยังจงรักภักดีกับเขาที่สุด ส่วนนี่คือฉีฮวนตานเซียงจากสำนักซินกู่แห่งเผ่ากู่ เนื่องจากเขาฆ่าขุนนางทุจริตยกครัวตอนที่อยู่ที่อวิ๋นโจว เขาจึงถูกฝ่ายราชการตามล่าและระเหเร่ร่อนไปที่เมืองเฉียนหลง นี่คือพยัคฆ์ขาวไป๋หู่ เป็น…เป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจที่ถูกเจ้าตำหนักความลับสวรรค์ปราบไปเมื่อหลายปีก่อน และนี่คือศิษย์หอหมื่นบุปผา หลิ่วหงเหมียน นางออกจากหอหมื่นบุปผาเพราะไม่พอใจท่านอาจารย์น้องเซียวเยว่หนู จึงเดินทางท่องไปทั่วยุทธภพ” นางแนะนำสหายอย่างเรียบง่าย
หญิงทรงเสน่ห์คนนั้นเป็นศิษย์ของหอหมื่นบุปผา มิน่าล่ะข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเสน่ห์ของนางนัก…สวี่ชีอันกล่าวช้าๆ ว่า “เมืองเฉียนหลงมีปรมาจารย์เหนือมนุษย์หรือไม่?”
สวี่หยวนซวงส่ายศีรษะ “ปรมาจารย์ขั้นเหนือมนุษย์นั้นหาได้ยากยิ่ง นอกจากเจ้าตำหนักความลับสวรรค์ที่เป็นโหรขั้นสามแล้ว เมืองเฉียนหลงก็ไม่มีปรมาจารย์ระดับใดอีก แต่เจ้าตำหนักสามารถพึ่งอาวุธเวทมนตร์และค่ายกลก่อเป็นรูปแบบการต่อสู้ ซึ่งอานุภาพมิได้ด้อยไปกว่าขั้นเหนือมนุษย์”
ใช้อาวุธเวทมนตร์ของโหรและค่ายกลมาปลุกเสก รวมพลังของผู้คนจำนวนมากเข้าด้วยกัน กระทั่งบรรลุพลังการรบเหนือมนุษย์…ถึงแม้พลังการรบจะอยู่ขั้นเหนือมนุษย์ แต่ผู้คนจำนวนมากก็ไม่สามารถทำให้บรรลุแก่นแท้ของความเป็นอมตะได้ ข้อดีและข้อเสียนั้นชัดเจนมาก
สำหรับคำตอบนี้ สวี่ชีอันไม่ประหลาดใจนัก สายเลือดเมื่อห้าร้อยปีก่อนขาดแคลนปรมาจารย์ยอดฝีมือจริงๆ ดังนั้น แผนการในอดีตของสวี่ผิงเฟิงจึงมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก นั่นคือกำจัดอ๋องสยบแดนเหนือและเว่ยเยวียน
ในเมื่อไม่มีทางฝึกฝนปรมาจารย์เหนือมนุษย์ได้ในระยะเวลาอันสั้น เช่นนั้นก็ต้องลากคู่ต่อสู้ลงมาอยู่ในระดับเดียวกับตนเอง
จากนั้น สวี่ชีอันก็ถามอีกสองสามคำถาม อย่างเช่น เมืองเฉียนหลงวางแผนก่อจลาจลเมื่อใด แผนต่อไปของเจ้าตำหนักความลับสวรรค์คืออะไร แต่ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ต้องการ ดูเหมือนหญิงสาวคนนี้จะเข้าไม่ถึงศูนย์กลางความลับขั้นสูงเช่นนี้
“สองคำถามสุดท้าย”
สวี่ชีอันบ้วนหญ้าในปากออกมา “เจ้าเป็นโหรขั้นใด?”
สวี่หยวนซวงเม้มริมฝีปาก “นักเล่นแร่แปรธาตุขั้นหก”
“ข้าจำได้ว่าโหรจำเป็นต้องพึ่งพาราชสำนัก แล้วสายเลือดของพวกเจ้าเลื่อนขั้นได้อย่างไร?”
“สำหรับโหรขั้นต่ำ เพียงแค่อวิ๋นโจวและเมืองเฉียนหลงก็เพียงพอแล้ว แต่หากต้องการก้าวสู่ขั้นเหนือมนุษย์ ก็ต้องพึ่งราชสำนัก”
หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายคือสวีเชียน จิตใจของสวี่หยวนซวงก็สงบเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้น เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสวีเชียนและสำนักโหราจารย์ บางทีเขาอาจรู้ความลับเหล่านี้นานแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงถามออกมาเพื่อทดสอบว่านางตอบคำถามด้วยความซื่อสัตย์หรือไม่
สวี่ชีอันพยักหน้าและถามคำถามสุดท้าย “ตัวตนของพวกเจ้าเล่า!”
“ข้าคือลูกศิษย์ของเจ้าตำหนัก” สวี่หยวนซวงกล่าวอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก
“ศิษย์เพียงคนเดียว เหตุใดจึงมีอาวุธเวทมนตร์มากมายเช่นนี้?” สวี่ชีอันถามด้วยความสงสัย
อาวุธเวทมนตร์ในถุงหอม ทุกชิ้นล้วนมีคุณภาพชั้นยอด โดยเฉพาะกำไลข้อมือที่แตกมาก่อน มันสามารถต้านการโจมตีจองยอดฝีมือขั้นสี่ได้สบาย หากไม่ใช่เพราะสวี่ชีอันมีแก่นแท้อยู่ขั้นสาม เมื่อครู่เขาคงทำได้เพียงล่าถอยอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้แต่ฉู่ไฉ่เวยก็ยังไม่มีอาวุธเวทมนตร์ป้องกันตัวเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมเกี่ยวข้องกับการที่นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีในเมืองหลวงและไม่เคยออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าหญิงสาวนามว่าเฉินหยวนซวง ไม่ใช่ลูกศิษย์ธรรมดาแน่นอน
“เจ้าตำหนักชื่นชมข้ามากและบอกว่าข้ามีพรสวรรค์มากกว่าคนอื่น”
ภายใต้การจ้องมองด้วยรอยยิ้มของอีกฝ่าย สวี่หยวนซวงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบสติอารมณ์และรักษาสีหน้าปกติไว้ด้วยมโนธรรมอันแจ่มแจ้ง
นางไม่มีทางเปิดเผยว่าตนเองเป็นลูกสาวคนโตของสวี่ผิงเฟิง เพราะเรื่องนี้อาจนำไปสู่วิกฤตที่ใหญ่กว่า
สวีเชียนไม่ใช่โหรและไม่สามารถใช้วรยุทธ์ทรงศีลของสำนักพุทธได้ อีกทั้งลัทธิขงจื๊อยังต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด เขาย่อมไม่มีทางรู้ว่านางพูดปดหรือไม่
คำตอบก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายอาจจะใช้ความเข้าใจของตนเองเกี่ยวกับโหรและสายเลือดเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วมาแยกแยะว่านางพูดปดหรือไม่ แต่เรื่องภูมิหลังของนาง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่สวีเชียนจะค้นพบเบาะแส
เวลานี้เอง นางเห็นหนอนตัวยาวสีแดงโผล่ออกมาจากแขนเสื้อของสวีเชียน
“เจ้า…”
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสวี่หยวนซวง ร่างบางของนางแข็งทื่ออย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนเพียงใด ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย
‘ที่แท้เขาก็ไม่ได้คิดจะปล่อยข้าไป…’ ความคิดนี้แวบเข้ามาในสมองของหญิงสาว นางแทบจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าการพบเจอครั้งต่อไปของตนเอง จะถูกผู้ชายล่วงละเมิดที่ชานเมืองอันรกร้างแห่งนี้ และต่อจากนี้ก็ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้อีก…
“อื้อ…”
นางจ้องหนอนที่เจาะเข้าไปในร่างกายตาเขม็ง แล้วไฟแห่งความปรารถนาอันร้อนรุ่มที่แสนคุ้นเคยก็หวนกลับมาอีกครั้ง
ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัว พวงแก้มร้อนฉ่า ขาทั้งสองข้างเริ่มถูไถกันโดยไม่รู้ตัว…
ในขณะที่นางกำลังสับสนฟุ้งซ่านและพลังจิตอ่อนแอ สวี่หยวนซวงเห็นดวงตาของสวีเชียนเปลี่ยนเป็นลึกล้ำน่าค้นหาราวกับเป็นกระแสน้ำวนที่ทำให้สติของนางลุ่มหลงอยู่ในนั้น
ซินกู่!
แม้ไม่ใช่วรยุทธ์ทรงศีล แต่ก็ทำให้พูดความจริงออกมาได้เช่นกัน
“ตัวตนที่แท้จริงของเจ้า”
เสียงที่ข้างหูทำให้รำลึกถึงน้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่ม
สวี่หยวนซวงพยายามดิ้นรนเล็กน้อยและตอบกลับว่า “สวี่ผิงเฟิงคือท่านพ่อของข้า ชื่อที่แท้จริงของข้าคือสวี่หยวนซวง…”
ประโยคเรียบง่ายเช่นนี้ทำให้สวี่ชีอันถึงกับไม่สามารถควบคุมซินกู่ได้
หัวใจของเขาราวกับล่องลอยไปในทะเลที่มีพายุโหมกระหน่ำ เขาเบิกตากว้าง มองหญิงสาวที่มีดวงตานุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ
‘นางเป็นบุตรสาวของคนที่ไม่สมควรเป็นมนุษย์งั้นรึ?!’
‘น้องสาวของข้า?!’
สวี่หยวนซวงตื่นตัวขึ้นในฉับพลัน เมื่อนึกถึงคำตอบเมื่อครู่ของตนเอง พวงแก้มอันแดงก่ำก็ค่อยๆ ถอดสีจนกลายเป็นสีขาวซีด
จบแล้ว…นั่นคือความคิดเดียวที่เหลืออยู่ในสมองของนาง
นางได้เปิดเผยตัวตนของตนเองแล้ว
‘ตอนนี้ ความตายคือจุดจบที่ดีที่สุดแล้วกระมัง…’ สวี่หยวนซวงปิดเปลือกตาลง แพขนตาของนางสั่นไหงและกล่าวด้วยความเศร้าใจว่า “เจ้าฆ่าข้าเถอะ”
ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เป็นเวลานาน
นางลืมตาขึ้น มองสวีเชียนด้วยความระมัดระวัง แต่กลับพบว่าแววตาของผู้ชายคนนี้ซับซ้อนมาก
สวี่ผิงเฟิงเป็นคนบาปที่ไม่สมควรเป็นมนุษย์ แล้วบุตรสาวของเขาจะดีไปกว่ากันได้อย่างไร ฆ่านางซะ…ไม่ได้ อย่างไรก็เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต ก่อนหน้านี้นางก็ไม่ได้แสดงเจตนาที่จะเป็นศัตรูกับข้าอย่างแรงกล้า ข้าทำไม่ลง…
นางดูไม่เหมือนสวี่ผิงเฟิงแม้แต่น้อย เด็กที่ใช้ปืนคนนั้นก็ไม่เหมือนสวี่ผิงเฟิง โตมาเหมือนแม่งั้นรึ? สุดท้ายก็เป็นข้าที่เติบโตมาเหมือนสวี่ผิงเฟิงที่สุด แล้วนี่จะไม่ใช่เวรกรรมได้อย่างไร…
ลักพาตัวไป นำนางไปขังไว้ในเจดีย์พุทธะ…
ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในสมองของเขา สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึกๆ และได้ทำการตัดสินใจแล้ว
เอาไว้จัดการทีหลังเถอะ!
เขาไม่ต้องการมีอะไรเกี่ยวข้องกับสายเลือดของสวี่ผิงเฟิงอีก การทำร้ายกันเองในครอบครัวสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องน่ายินดี
สวี่ชีอันต้องการกำจัดสวี่ผิงเฟิง สาเหตุหลักก็เพื่อปกป้องตนเอง เขาไม่มีทางเลือกอื่น
หากหญิงสาวคนนี้เป็นคนบาปเหมือนกับสวี่ผิงเฟิง ฆ่านางไปก็แค่รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และไม่ถึงกับรู้สึกผิดมากเกินไป แต่สวี่ชีอันกังวลเกี่ยวกับแม่ผู้ให้กำเนิดที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน
สวี่ชีอันสามารถมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ แท้จริงแล้วเป็นความรักอันลึกซึ้งของแม่ผู้ให้กำเนิดในตอนนั้นที่ทำให้เขามีโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิด
สวี่หยวนซวงรู้สึกสิ้นหวังในสถานการณ์ที่ซับซ้อน
นางเห็นสวีเชียนโน้มตัวเข้ามา หัวใจของนางสั่นสะท้าน แต่ความเศร้าและความกลัวยังไม่ทันปะทุขึ้น ก็เห็นสวีเชียนเก็บหนอนกลับไปอีกครั้ง
สวี่หยวนซวงมองเขาด้วยความหวาดกลัวระคนสงสัย
สวี่ชีอันไม่ตอบสนองใดๆ อีก เขาใช้พลังปราณปลดปล่อยผนึกในร่างของสวี่หยวนซวง จากนั้นก็หยิบจี้หยกทรงกลมออกมาจากถุงผ้าและบีบจนแตก แสงลักษณะโปร่งใสสว่างวาบและห่อหุ้มร่างของเขาจากล่างขึ้นบน ในวินาทีถัดมา เขาก็หายไปทันที
‘ไป…ไปแล้วรึ?’
สวี่หยวนซวงลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงง พลางมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง หลังจากยืนยันได้แล้วว่าสวีเชียนไปแล้วจริงๆ นางก็ยกชายกระโปรงขึ้น และวิ่งหนีไปพร้อมกับน้ำตาอาบใบหน้า
…
หลังจากวิ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็พบถนนหลัก นางใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วยามในการกลับไปที่เมืองยงโจวตามถนนเส้นทางการนี้
เมื่อเห็นผู้คนพลุกพล่านไปมา ในที่สุดนางก็โล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก ความรู้สึกปลอดภัยหวนกลับมาอีกครั้ง
ฤดูหนาวเดือนสิบสองตามจันทรคติ นางวิ่งจนเหงื่อออก เรียวขาของนางทั้งชาทั้งบวม
นางมุ่งหน้ากลับไปยังทุ่งต้าเจี่ยวตลอดทั้งทาง เมื่อถึงที่พัก ก็เห็นหลิ่วหงเหมียนนั่งจิบชาด้วยท่าทางสบายๆ อยู่ในห้องโถงชั้นในตามลำพัง
“เอ๋ กลับมาแล้วรึ?”
หลิ่วหงเหมียนมองนางด้วยความประหลาดใจ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สวี่หยวนไหวบอกว่าคนลึกลับของเจ้าลักพาตัวเจ้าไป ทำให้ทุกคนร้อนอกร้อนใจไปหมด”
นางจับที่เท้าแขนและลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยใบหน้าดีอกดีใจที่คนอื่นโชคร้าย ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้สวี่หยวนซวง พลางสูดดมกลิ่นและเริ่มรู้สึกแปลกใจขึ้นเรื่อยๆ
“เวลาเกือบสองชั่วยามเต็มๆ เจ้ากลับไม่เสียตัวงั้นรึ? หรือว่าคนที่ลักพาตัวเจ้าไปเป็นสุภาพบุรุษที่มีคุณธรรม?”
สวี่หยวนซวงกล่าวเสียงแผ่วด้วยใบหน้าเย็นชา “เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หลิ่วหงเหมียนส่งเสียง ‘จุ๊ๆ’ และกล่าวว่า “ถุงหอมหายไปแล้ว อืม แต่อีกฝ่ายคงไม่ได้มาเพราะของมีค่าเพียงอย่างเดียวกระมัง เขาถามอะไรเจ้าด้วยใช่หรือไม่? ข้าจะไปแจ้งพวกเขาก่อน มีเรื่องอะไรค่อยพูดกันทีหลัง เจ้าไปอาบน้ำก่อนเถอะ ทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อ”
สวี่หยวนซวงหมุนตัวเดินจากไป โดยไม่เปิดโอกาสให้นางเยาะเย้ยอีก
นางต้มน้ำร้อนและชำระล้างร่างกายเพื่อกำจัดกลิ่นเหงื่อออกไป จากนั้นไม่นาน สวี่หยวนไหว จีเสวียน ก็ทยอยกลับมาทีละคน เมื่อเห็นว่านางยังปลอดภัยดีก็รู้สึกโล่งใจ
หว่างคิ้วของสวี่หยวนไหวเต็มไปด้วยท่าทางดุร้าย “พี่สาว เกิดอะไรขึ้น? ใครกันที่ลักพาตัวท่านไป”