ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 568 เหมียวโหย่วฟาง
บทที่ 568 เหมียวโหย่วฟาง
ณ ริมเตียง ในห้องนอน แสงเทียนหลายดวงนำมาซึ่งรัศมีสีเพลิง
ใบหน้าครึ่งหนึ่งของลั่วอวี้เหิงถูกย้อมไปด้วยสีแสดอันอ่อนละไม อีกครึ่งหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยเงาจันทร์ ภาพของนางในยามนี้ราวสาวใคร่รักร้อยรวมเทพธิดาอย่างเหมาะเจาะ
ในมุมมองของสวี่ชีอัน มันช่างมีเสน่ห์อันยากจะซ่อนเร้น
ลั่วอวี้เหิงตกใจปนหวาดกลัว ตามด้วยอาการลุกลี้ลุกลน
นางรู้ว่าตอนนี้ การปรากฏตัวของสวี่ชีอันจะก่อให้เกิดความเย้ายวนแก่ตนเองอย่างมาก
ในขณะเดียวกัน นางผู้พยายามต่อสู้กับไฟแห่งกรรมไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะจับหนุ่มผู้นั้นห้อยบนกระบี่บินแล้วส่งออกไปหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่ใช่ว่าไม่อาจทำได้ เพียงแต่ หากทำเช่นนั้น คงไม่อาจดับไฟแห่งกรรมได้อีก
ถึงครานั้น ข้างกายคงไร้ผู้บำเพ็ญคู่ ซ้ำยังต้องถึงทางตาย
“สวี่ชีอัน เจ้าคิดจะใช้กำลังหรือ” ลั่วอวี้เหิงกัดฟันเอ่ย
เจ้าเอ่ยคำพูดเช่นนี้ ขึ้นไปคงต้องยอเสียหน่อย ไม่งั้นข้าคงถูกทุบตีตาย…สวี่ชีอันปิดประตู ขยับเข้าริมเตียง แล้วหยุดท่ามกลางสายตาอันตึงเครียดและระแวดระวังของลั่วอวี้เหิง
“ราชครู สิ่งที่ข้าอยากถามคือ หากคืนนี้ไม่บำเพ็ญคู่ พรุ่งนี้ท่านจะต้องบำเพ็ญคู่ร่วมกับข้าอีก มิเช่นนั้นจะต้านทานไฟแห่งกรรมไม่อยู่”
ลั่วอวี้เหิงมองเขาด้วยความเย็นชา ไร้ซึ่งการตอบสนอง
“วันพรุ่งนี้ จะเป็นบุคลิกแบบใดในเจ็ดอารมณ์” สวี่ชีอันเอ่ยถาม
“เจ็ดอารมณ์หาได้มีกฎตายตัว”
ลั่วอวี้เหิงชำเลืองมองเขา สายตาทอดผ่านใบหน้าอันหล่อเหลาของสวี่ชีอันพาดผ่านหน้าอกจรดลงท้องน้อยอย่างไม่อาจอดกลั้น…นางรีบละสายตาในทันที แล้วบังคับตนเองไม่ให้มอง
สวี่ชีอันพยักหน้า แล้วนั่งลงริมเตียง จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงใคร่รู้อย่างจริงจังว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจะตัดสินอย่างไรว่าคนต่อไปยินดีบำเพ็ญคู่กับข้ากันล่ะ หากนางไม่ยินยอมและปฏิเสธอย่างดื้อดึง ควรทำอย่างไร”
เมื่อลั่วอวี้เหิงได้ยิน คิ้วที่ทั้งยาวและตรงขมวดขึ้นเล็กน้อย แล้วคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ระหว่างความเป็นและความตาย ข้าจะเลือกทางที่ถูกต้อง”
สวี่ชีอันวางมือลงบนต้นขาของลั่วอวี้เหิงในทันใดนั้นแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดท่านจึงไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับข้า”
ร่างอันบอบบางของลั่วอวี้เหิงสั่นเทา ทั้งสองใกล้กันมาก ดังนั้นสวี่ชีอันจึงมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าขนบริเวณต้นคอนางลุกซู่
“ให้ข้าตายก็จะไม่บำเพ็ญคู่กับเจ้า”
คิ้วงามได้รูปของนางตั้งตรง
“ดูสิๆ!” สวี่ชีอันเอ่ยตำหนิ
“ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าบุคลิกอื่นจะไม่เป็นอย่างท่าน ให้ตายก็ไม่บำเพ็ญคู่กับข้า”
“…ไปให้พ้น” ลั่วอวี้เหิงไร้คำพูดจะเอ่ยตอบ ทำได้เพียงโกรธ
สวี่ชีอันเชื่อว่า ลั่วอวี้เหิงในสภาพปกติเต็มใจบำเพ็ญคู่กับเขา เหตุผลแรกคือมีความรู้สึกชอบพอกันระหว่างชายหญิงภายในจิตใจ เหตุผลที่สองคือการบำเพ็ญคู่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้
แต่ช่วงที่ไฟแห่งกรรมกำเริบ อุปนิสัยจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างสุดโต่ง จนอาจถือได้ว่าเป็นอีกบุคลิกหนึ่งเลยทีเดียว ท่าทางและพฤติกรรมมีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
อย่างเช่นบุคลิก ‘โกรธ’ นี้ มีนิสัยเข้มแข็ง หนักแน่น ฉุนเฉียวและโมโหง่าย ทำให้ความรู้สึกต่อต้านเพียงเล็กน้อยภายในจิตใจของลั่วอวี้เหิงถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด
เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเขา
ขณะสวี่ชีอันอยู่นอกห้อง พลันรู้สึกตัวว่า เมื่อวานลั่วอวี้เหิงบอกกับเขาว่าภายในสภาวะ ‘เจ็ดอารมณ์’ นางจะสูญเสียความเป็นตัวเอง ซึ่งจะตัดสินใจโดยไม่สอดคล้องกับที่ผ่านมา
นี่หมายความว่าลั่วอวี้เหิงกำลังบอกเขาเป็นนัย เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อบุคลิกในสภาวะเจ็ดอารมณ์ ยืนหยัดทำตามแผนการ บำเพ็ญคู่เจ็ดวัน ขาดไม่ได้แม้วันเดียว
ด้วยนิสัยของราชครู จะต้องไม่เอ่ยอย่างชัดเจนว่า “ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร พวกเราจะต้องยืนหยัดบำเพ็ญคู่ต่อไป”
“ราชครู ราตรีนี้อีกยาวนาน ควรบำเพ็ญคู่ได้แล้ว”
สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำตำหนิของนาง แล้วถอดเสื้อผ้าออกด้วยตนเอง
เขาถอดชุดออก แล้วทิ้งลงด้านข้าง ไม่นานก็ถอดชุดทับในออกตาม ร่างกายท่อนบนอันกำยำและเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งแบบชายชาตรีของสวี่ชีอันเปลือยเปล่าในดวงตาของลั่วอวี้เหิง
ลมหายใจของนางถี่แรงขึ้นหลายเท่า จากนั้นจึงลุกขึ้นด้วยความโกรธแล้วเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ไป ข้าจะไปเอง”
พูดจบ นางก็ลงจากเตียงแล้วเดินโซซัดโซเซไปข้างนอกโดยไม่แม้กระทั่งสวมรองเท้า
สวี่ชีอันรั้งแขนของนางไว้ ระหว่างยื้อยุดกันอยู่ ทั้งคู่ก็ล้มลงบนเตียง
‘เปรี๊ยะ!’
ลั่วอวี้เหิงตบด้วยหลังมือไปครั้งหนึ่ง เสียงดังชัดเต็มหู
ท่ามกลางความมืด ทั้งสองคงอยู่ในท่าล้ม ชายอยู่บน หญิงอยู่ล่าง ดวงตาทั้งคู่จ้องมองซึ่งกันและกัน
บรรยากาศอันคลุมเครือหมักหมมระหว่างพวกเขา ลั่วอวี้เหิงได้กลิ่นอายของความเป็นชาย รับรู้ได้ถึงลมหายใจอันรุ่มร้อนจากเขา แก้มเริ่มร้อนเป็นไฟ สายตาค่อยๆ หรี่ลง
นางไม่อาจขัดขืนร่างกายของตน นางจำเป็นต้องบำเพ็ญคู่เพื่อขับไฟแห่งกรรม
เพื่อที่จะเอาชนะความใคร่ของร่างกาย ลั่วอวี้เหิงค่อยๆ กัดริมฝีปากจนแตกเพื่อให้ได้สติเป็นเวลาสั้นๆ จากนั้นจึงเหวี่ยงมือไปมา
แต่คราวนี้นางทำไม่สำเร็จ ถูกสวี่ชีอันจับข้อมือไว้แล้วกดลงบนศีรษะ จากนั้นมืออีกข้างก็ถูกกดไว้เช่นกัน
สวี่ชีอันก้มศีรษะลงจูบแก้มของลั่วอวี้เหิงเบาๆ ผิวช่างเกลี้ยงเกลา แถมหอมโชยเข้าจมูก
ร่างแสนอ่อนช้อยของลั่วอวี้เหิงแข็งเกร็ง ขนลุกชูชันไปทั้งตัว
นางจ้องไปยังม่านเตียงเหนือศีรษะอย่างเลื่อนลอย มีความสับสน ละอายใจ ขัดขืนและความลุ่มหลงเล็กน้อยในดวงตา
แม้กระทั่งเมื่อคืนวาน นางก็ไม่ได้สัมผัสความแนบชิดที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้
ความรู้สึกแปลกใหม่อย่างนี้ทั้งน่าละอายและชวนเคลิ้ม นางค่อยๆ คล้อยตามความต้องการของหัวใจ และไม่ขัดขืนอีกต่อไป
ขณะนี้เอง เสียงของสวี่ชีอันแว่วเข้าหูว่า “ราชครู ผ่อนคลายเสียหน่อย ครั้งแรกอาจไม่ชิน เดี๋ยวครั้งหน้าก็คงช่ำชองเอง พรุ่งนี้ข้าก็คงนอนแน่นิ่งบนเตียงแทนท่าน”
ลั่วอวี้เหิงโมโหมาก จึงเอื้อมมือไปฉีกปากของเขา
ทั้งสองฉุดรั้งกันอย่างดุเดือดจนเตียงโยกตาม แทบจะได้สู้กัน
แต่โชคดีที่ลั่วอวี้เหิงในเวลานี้ได้รับความทุกข์ทรมานจากไฟแห่งกรรม ตบะทั่วร่างไม่อาจสำแดง มิเช่นนั้นสวี่ชีอันคงโดนกระบี่ดาวตกส่งออกไปแปดร้อยลี้ในดาบเดียวเสียแล้ว
สวี่ชีอันดึงผ้านวมที่พับไว้อย่างเป็นระเบียบมาห่มพวกเขาไว้ แล้วทั้งสองก็ฟัดปล้ำกันในผ้าห่มต่อ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น
ชุดแพรไหม ชุดทับในสีขาว เสื้อชั้นในปักลายดอกบัวสีพื้น และเข็มขัดหล่นกระจัดกระจายบนพื้นข้างเตียง…
สวี่ชีอันรู้สึกว่ามีสิ่งที่อ่อนชุ่มกำลังละเลงบนใบหน้าของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้เขาไม่อาจนอนหลับได้อย่างสบายใจ
เขาจึงลืมตาขึ้นท่ามกลางความงุนงง พบว่าใบหน้าอันงดงามของลั่วอวี้เหิงอยู่แนบชิด นางจูบแก้ม ต้นคอและริมฝีปากของเขาอย่างบรรจงด้วยความเสน่หาที่แฝงอยู่ในดวงตา
? เครื่องหมายคำถามแวบผ่านในหัวของสวี่ชีอัน แล้วเอ่ยด้วยความไม่แน่ใจว่า “ราชครู”
นี่ใช่ราชครูผู้นั้นที่ข้ารู้จักหรือไม่
ใช่ราชครูที่เย็นชาราวเทพธิดา เงียบขรึมและเข้มแข็งผู้นั้นหรือไม่
ย้อนมองภาพของลั่วอวี้เหิงในอดีต สวี่ชีอันไม่อาจมองหญิงสาวผู้จมดิ่งในความใคร่รักตรงหน้าว่าเป็นคนเดียวกับราชครูแห่งต้าฟ่งได้จริงๆ
ลั่วอวี้เหิงเม้มปาก แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มอันแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่ว่าคืนวานเจ้าจูบเสียจนสำราญใจหรอกหรือ เอ่อ รู้สึกไม่เลวเลยจริงๆ ”
“…”
สวี่ชีอันนอนตัวแข็งโดยไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
ลั่วอวี้เหิงยื่นมือออกมาจากผ้านวมด้วยท่อนแขนที่ขาวราวรากบัวมาโอบคอเขาไว้ แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงหวานว่า
“การบำเพ็ญคู่เพิ่งจะเริ่ม ยังมีศาสตร์แห่งการร่วมรักในห้องหอสมัยโบราณบางจุดที่ข้ายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้”
บุคลิก ‘ใคร่’ หรือ ความคิดผุดขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน เกิดการคาดคะเนอย่างคลุมเครือ
บางทีอาจเป็นเช่นอื่น ในเจ็ดอารมณ์ยังมีบุคลิก ‘ชอบ’ และก็เป็นอารมณ์เชิงบวกอย่างมากเช่นกัน…เขาพึมพำในใจ
สวี่ชีอันไม่ปฏิเสธการเกี้ยวพาราสีจากยอดสตรีงามล่มเมืองเป็นแน่แท้ ดังนั้นเขาจึงศึกษาศาสตร์ลับโบราณกับนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยความจริงจัง
…
ผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ สวี่ชีอันเอ่ยแนะว่า
“ราชครู ทานมื้อเที่ยงก่อนเถอะ”
“ด้วยตบะของเจ้าและข้า ไม่จำเป็นต้องทานอาหารมาแต่ไหนแล้ว”
“ไม่ ข้ายังต้องทานข้าวอยู่ ข้าเป็นจอมยุทธ์นะ”
“ไม่ไหวแล้วงั้นหรือ” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยด้วยความโกรธ
“หึ ข้าเกรงว่าท่านจะไม่รู้จักความร้ายกาจของจอมยุทธ์”
…
“ราช ราชครู ย่ำค่ำแล้วนะ…”
“การบำเพ็ญดีขึ้นเรื่อยๆ จะล้มเลิกเสียกลางคันอย่างนั้นหรือ”
“ใน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จอมยุทธ์ขั้นสามผู้ผ่าเผยอย่างข้าก็คงไม่อาจให้ท่านดูแคลนได้…”
…
“ราชครู ฟ้ามืดแล้ว ให้ข้าทานข้าวสักคำเถิด”
“หึหึ”
“…”
“ราชครู ท่านไม่เหนื่อยหรือ”
“หุบปาก ตั้งใจบำเพ็ญเสีย”
…
“ราชครู รุ่งสางแล้ว…”
ครู่หนึ่ง เขายื่นหัวออกมาจากผ้านวม เห็นว่าฟ้าสว่างจ้าแล้ว
ชั่วขณะนี้เอง สวี่ชีอันสะอื้นด้วยความดีใจอย่างถึงขีดสุด
หลังจากรุ่งสาง บุคลิกจะเปลี่ยนแปลง บุคลิก ‘ใคร่’ ก็จะหายไป เขาคงสามารถตะเกียกตะกายออกจากรังหมาป่าได้แล้ว
เริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนวาน ผ่านมาหนึ่งวันสองคืน เขาไม่ได้ลงจากเตียงเลย
ในที่สุดก็จบเสียที วันนี้ใครก็รั้งข้าไว้ไม่ได้ พระเจ้ามาโปรดก็เปล่าประโยชน์ ข้าขอบอกไว้เลย…สวี่ชีอันคิดอย่างเดือดพล่านในใจ
ความใคร่ในดวงตาของลั่วอวี้เหิงค่อยๆ หายไป ซึ่งหมายความว่าบุคลิกกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลง
นางลุกขึ้นนั่งโดยโอบผ้านวมไว้ แล้วจ้องมองเตียงที่ยุ่งเหยิงเกินทนด้วยแก้มที่แดงเล็กน้อยกับแววตาที่มีความเขินอาย
“ราชครู ข้ายังมีเรื่องต้องทำ หากท่านง่วง ลองพักผ่อนสักหน่อยคงไม่เสียหาย”
สวี่ชีอันแหวกผ้าห่มลุกจากเตียงโดยกลั้นความปวดบวมตรงม้ามไว้ ขณะกำลังก้มตัวลงมองเสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่บนพื้นอยู่พอดี
“ช้าก่อน”
ลั่วอวี้เหิงคว้ามือของเขาไว้อย่างกะทันหัน
สวี่ชีอันหันกลับไปด้วยท่าทีแข็งเกร็ง มองเห็นความหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในดวงตาอันงดงามของราชครูสาวสวย และได้ยินนางเอ่ยด้วยความหวาดกลัวว่า
“ตอนนี้ข้าถูกไฟแห่งกรรมรุมเร้า ไม่อาจบอกได้ว่าจะมอดไหม้เมื่อใด เจ้าบำเพ็ญคู่กับข้าครั้งหนึ่งก่อน มิเช่นนั้นข้าคงกลัว”
สวี่ชีอันจิตตก แล้วเม้มมุมปากเอ่ยอย่างยากลำบากว่า “แต่ข้าบำเพ็ญคู่มาหนึ่งวันสองคืนแล้ว ท่านจะไม่เป็นไรหรือ”
อวี้ลั่วเหิงส่ายศีรษะเบาๆ แล้วเม้มริมฝีปากเอ่ยด้วยท่าทีที่น่าสงสาร “แต่ยังคงมีโอกาสที่ไฟแห่งกรรมจะสูญเสียการควบคุม ตราบใดที่ข้าไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย ภายในใจของข้าก็คงไม่สงบ”
ราชครูของข้าสุขุมรอบคอบจริงเชียว…สีหน้าของสวี่ชีอันบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ม่านผืนใหญ่ค่อยๆ แกว่งไปมาอย่างช้าๆ โดยไม่หยุดพักเป็นเวลานาน
…
ถึงยามเที่ยงแล้ว สวี่ชีอันมาโยนเจดีย์พุทธะออกมาในห้องที่ว่างเปล่าห้องหนึ่ง แล้วขึ้นไปชั้นสามในพรวดเดียว
มู่หนานจือคิดว่าชายน่ารังเกียจคนนี้มาเย้าหยอกตน จึงรีบเมินหน้าหนีพร้อมประนมมือทำท่าทางเหมือนเข้าสู่ทางธรรม
ใครจะคิดว่าสวี่ชีอันไม่มองนางด้วยซ้ำ เขามุ่งตรงไปยังภิกษุอาวุโสถ่าหลิง แล้วนั่งขัดสมาธิตรงพื้น จากนั้นจึงเอ่ยด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า
“ไต้ซือ ข้าเข้าใจแล้ว”
ภิกษุอาวุโสถ่าหลิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยความยินดีอย่างยิ่งว่า “ประสกเข้าใจอะไรหรือ”
สวี่ชีอันเอ่ยด้วยใบหน้าอันไร้ซึ่งความสุขและความเศร้าว่า “รูปคือความว่าง ”
ภิกษุอาวุโสถ่าหลิงประหลาดใจยิ่งขึ้นไปอีก จึงพยักหน้ายิ้มแล้วเอ่ยว่า “เยี่ยม!”
มู่หนานจือตาเบิกโพลง นางยากจะเชื่อ
…
บ่อนพนันลิ่วป๋อ เมืองยงโจว
เหมียวโหย่วฟางเดินอย่างลำพองใจเข้าไปในบ่อนพนันขณะคาบถังหูลู่[1]ไว้ในปาก เขามีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ผิวดำสนิท ดวงตาทั้งสองข้างเฉียบแหลมเป็นประกาย ให้ความรู้สึกเพรียวบางและเฉียบคมบางอย่าง
แต่เขาไม่ได้ปลิ้นปล้อนอย่างชาวตลาด เขามีนิสัยดุดัน กิริยามารยาทถูกทำนองคลองธรรม
หลังจากมองดูโดยรอบ เหมียวโหย่วฟางก็เดินเข้าไปที่โต๊ะเขย่าลูกเต๋า
เขามาที่บ่อนพนันด้วยสองเรื่อง หนึ่งคือมาพบหลิ่วลั่งผู้เป็นเถ้าแก่บ่อนพนัน สองคือเงินในตัวจวนจะหมด จึงมาที่นี่เพื่อหาเงินเดินทาง
มือลูกเต๋าตะโกนว่า “ลงเงินแล้วเอามือออกไป”
นักพนันริมโต๊ะพากันวางเดิมพัน สายตาอันร้อนแรงจ้องตามถ้วยลูกเต๋า ก่อนตะโกนว่า “สูง” บ้างก็ “ต่ำ” ด้วยความตื่นเต้น
ใบหูของเหมียวโหย่วฟางกระดิกเล็กน้อย ได้ยินว่าลูกเต๋าในถ้วยถูกวางกลอุบายเอาไว้
บ่อนพนันล้วนเป็นแบบนี้ เปิดประตูประกอบกิจการ จะพึ่งพาโชคอย่างเดียวได้เสียที่ไหนกัน ไม่มากก็น้อยล้วนวางกลอุบายบางอย่าง
แต่ไม่เป็นไร ไม่ว่าบ่อนพนันจะโกงอย่างไร เขาก็ไม่มีวันแพ้
นี่คือประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายครั้งก่อนหน้านี้
ประมาณหลายเดือนก่อน เหมียวโหย่วฟางพบว่าตนเองโชคดีขึ้นมากอย่างกะทันหัน
ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็พบโอกาสดีเสมอ ในตอนแรก แม้กระทั่งคุณหนูของบ้านสกุลมีฐานะในเมืองเกิดก็ยังทุ่มเทมอบความรักให้เขาอย่างไม่สามารถอธิบายได้
แต่เหมียวโหย่วฟางเป็นชายหนุ่มผู้มีอุดมการณ์ จึงปฏิเสธการสารภาพรักจากคุณหนูตระกูลร่ำรวยด้วยความตั้งมั่นในปณิธาน แล้วก้าวย้ำบนหนทางแห่งการท่องยุทธภพต่อไป
ในระหว่างการท่องยุทธภพ เขาผูกมิตรกับจอมยุทธ์ผู้กล้าแห่งยุทธภพอยู่เสมอ และรับการชี้แนะจากอาวุโสผู้สัตย์จริง จึงได้รับความชื่นชอบจากเทพธิดาทุกหนแห่ง
ระหว่างการสังสรรค์อันสำมะเลเทเมากับจอมยุทธ์หนุ่มครั้งแรก เขาเผลอตัวไปครู่หนึ่ง จึงถูกนางโลมพรากพรหมจรรย์ไป เหมียวโหย่วฟางหัวใจแตกสลายด้วยความเคียดแค้นอับอาย ความบริสุทธิ์ของเขามีไว้มอบให้ภรรยาในอนาคต
ดังนั้นเขาจึงปฏิญาณว่าจะไม่ดื่มเหล้าอีก
ต่อมา วันที่สอง เขากลับเล่นผีผ้าห่มกับนางโลมอีกครั้ง…
ทว่าดีอยู่ได้ไม่นาน ขณะเหมียวโหย่วฟางกำลังท่องชิงโจว เขาพบยอดฝีมือกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต่างกับยอดฝีมือที่พบก่อนหน้าซึ่งสามารถคบค้าได้ กลุ่มคนที่พบในครั้งนี้มีนิสัยพิลึก คำพูดไม่เข้าหูก็ลงไม้ลงมือ
โชคดีที่ตอนนั้นสหายของเขาหลายคนผ่านมาช่วยไว้ บวกกับตนเองก็พอมีฝีมือและอุบายอยู่บ้าง จึงพอที่จะหนีเอาตัวรอดมาได้
ภายหลัง เขาก็หลบหนีการไล่ฆ่าจากคนกลุ่มนั้นมายังยงโจวได้สำเร็จด้วยสารพัดความบังเอิญและความโชคดี
อยู่ในบ่อนพนันเพียงเวลาสองก้านธูป เขาก็ชนะไปแล้วสี่ร้อยตำลึงเงินจนกองล้นตรงหน้า
เมื่อเขาชนะถึงหกร้อยตำลึง ชายฉกรรจ์ที่คุมสถานที่คนหนึ่งของบ่อนพนันก็เดินเข้ามา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่นว่า “พี่ชาย เถ้าแก่ของเราอยากพบท่าน”
‘มาเสียที…’ เหมียวโหย่วฟางชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างไร้ความรู้สึก จากนั้นจึงเก็บเงินแท่งและเงินเศษตรงหน้า แล้วหิ้วกระเป๋าที่บวมเป่งไว้ในมือพร้อมเอ่ยว่า
“นำทางไป”
………………………………………………
[1] ถังหูหลู่ (糖葫芦) หรือ ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียบไม้ เป็นขนบขบเคี้ยวของทางจีนภาคเหนือ ทำโดยการนำผลไม้ต่างๆ ที่มีลูกเล็ก เช่นพุทราจีน มาเคลือบน้ำตาลแล้วเสียบบนไม้ก้านยาว จึงมีลักษณะคล้ายน้ำเต้า รสชาติหวานอมเปรี้ยว