ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 574 เรื่องน่าอับอายของลั่วอวี้เหิง
บทที่ 574 เรื่องน่าอับอายของลั่วอวี้เหิง
หลังจากไป๋หู่เปิดประตู เขาก็เดินนำพาคนชุดดำเข้ามายังห้องโถง
ภายในห้องโถงที่สว่างไสวไปด้วยแสงเทียน มีจีเสวียนและพวกของเขานั่งอยู่ รวมถึง สายสืบขั้นสี่แห่งตำหนักความลับสวรรค์ที่ประจำอยู่เมืองยงโจวด้วย
จีเสวียนลุกขึ้นเพื่อต้อนรับ พร้อมกับประสานมือทักทายอีกฝ่ายว่า “คารวะเหล่าผู้อาวุโส”
ชังหลงผู้เป็นหัวหน้าส่งเสียง ‘อืม’ ก่อนจะหันหน้าไปพยักหน้าให้สวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหว แล้วค่อยนั่งลง ส่วนคนชุดดำทั้งเจ็ดก็ยืนอยู่ข้างเขาอย่างเงียบๆ
“หาคนคนนั้นเจอหรือเปล่า?” ชังหลงเอ่ยถาม น้ำเสียงของเขาทั้งทุ้มต่ำและแหบแห้ง ราวกับบริเวณลำคอได้รับบาดเจ็บมา
“เจ้าก็น่าจะรู้ดีนะ เจ้าตำหนักถึงกับจัดการด้วยตัวเอง ก็ย่อมหาคนคนนั้นลำบากมากน่ะสิ” สายสืบขั้นสี่แห่งตำหนักความลับสวรรค์ เอ่ยอย่างราบเรียบ
ชังหลงผงกศีรษะ ถอดเสื้อคลุม แล้วกล่าวด้วยเสียงแหบและทุ้มต่ำ “ปราณมังกรเล่าเ?”
“ยังตามหาอยู่” สายสืบของตำหนักความลับสวรรค์ตอบ
หลังจากเงียบไปสักพักหนึ่ง ชังหลงก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“ข้าไม่พอใจกับผลลัพธ์ของพวกเจ้ามาก ไม่ว่าจะสำนักพุทธ ตำหนักความลับสวรรค์ หรือพวกเจ้าต่างก็เสียเวลาหลายวัน เรื่องตามหาคนคนนั้นไม่เจอน่ะไม่เป็นไร แต่กระทั่งผู้ถูกปราณมังกรอาศัยก็ยังไม่เจออีกนี่สิ”
‘คนคนนั้นที่ว่าหมายถึงสวีเชียนหรือซุนเสวียนจี?’ จีเสวียนและคนอื่นๆ คิดในใจ
“ประชากรเมืองยงโจวมีตั้งแสนคน การคิดจะตามหาคนคนเดียว ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร” สายสืบขั้นสี่กล่าวต่อ
“ระยะเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ ตราบใดที่พวกเราหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยเจอก่อนคนคนนั้น”
“ว่าแผนการของพวกเจ้ามา” ชังหลงไม่ออกความเห็น แต่ดูก็ไม่ได้สับสนหรืองงในคำพูดของอีกฝ่าย
สายสืบตำหนักความลับสวรรค์จึงกล่าวต่อว่า “ง่ายมาก ก็ไปตามหาผู้ถูกปราณมังกรอาศัยที่คุณชายจีเสวียนบังเอิญเจอในชิงโจวคนนั้นสิ เขาคือหนึ่งในเก้าแห่งปราณมังกร เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับการล่อให้คนคนนั้นโผล่ตัวออกมา และเพื่อที่จะนำหน้าอีกฝ่ายหนึ่งก้าว ภิกษุของสำนักพุทธคงคอยออก ‘ลาดตระเวน’ เมืองยงโจวทุกคืน
“เขาต้องลูบหน้าปะจมูกเป็นแน่ คงจะพยายามขัดขวางการตามหา แล้วเราก็จะถือโอกาสนี้ในการตามหาผู้ถูกอาศัยด้วยเลย
“ในตอนนี้ พอรู้มาบ้างว่าคนข้างกายของสวีเชียนคือผู้นำเต๋าแห่งนิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิง และซุนเสวียนจีแห่งสำนักโหราจารย์”
ชังหลงยกมือขึ้น ก่อนจะเอ่ยขัดจังหวะว่า “เขารู้พลังต่อสู้ฝั่งข้าหรือเปล่า?”
“สำนักพุทธดันไปแหวกหญ้าให้งูตื่น เขาเลยรู้จำนวนของยอดฝีมือในสำนักพุทธ รวมถึงเจ้าด้วย…” สายสืบเฉินเหลือบมองสวี่หยวนซวง แล้วพูดขึ้นว่า “ส่วนใหญ่ก็รู้ดีแก่ใจนั่นแหละ”
ชังหลงถือโอกาสนี้มองสวี่หยวนซวงโดยไม่ถามอะไร ก่อนจะกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เขาจะละทิ้งปราณมังกรดวงนี้ก็มีมากขึ้น ปราณมังกรทั้งเก้า หากละทิ้งไปแล้วก็แทบเป็นไปไม่เลยที่จะได้ปราณมังกรมา หลังจากออกยงโจว ตามหาปราณมังกรดวงอื่นจึงดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า”
สายสืบตำหนักความลับสวรรค์กลับยิ้มเอ่ยว่า “การล่าสัตว์ไม่ว่าครั้งใดก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกครั้ง ฉะนั้นต่อจากนี้ กลุ่มดาวทั้งเจ็ดจะหยุดภารกิจทั้งหมด แล้วแฝงตัวอยู่ในยุทธภพแทน เพื่อคอยตามล่าสวีเชียนจนกว่าเขาจะถูกจับกุม
“หากเขารู้จักถอยในสถานการณ์ลำบาก พวกเราก็จะยิ้มรับขณะที่ได้ปราณมังกรมา แล้วค่อยพาผู้ถูกอาศัยกลับยังเมืองเฉียนหลง การขัดขวางไม่ให้ต้าฟ่งรวบรวมปราณมังกร ก็เป็นภารกิจของพวกเราเช่นกัน ยิ่งปราณมังกรกระจัดกระจายอยู่ข้างนอกนานเท่าไร ต้าฟ่งก็จะยิ่งโกลาหลมากเท่านั้น”
ทันใดนั้นเอง สวี่หยวนไหวพลันกล่าวเสียงดังว่า “ชังหลง ยามที่เจ้าตามล่าสวีเชียน ข้าอยากให้เจ้าสังหารเขา”ไอรีนโนเวล
ชังหลงเพียงส่งเสียง ‘อา’ ก่อนจะหัวเราะเสียงแหบพร่าตอบว่า “ชีวิตของเขามีค่าดุจทองคำเชียวนะ นายน้อยหยวนไหวมีความแค้นต่อเขารึ?”
สวี่หยวนไหวกัดฟันพูด “แค้นฝังหุ่นเลยล่ะ”
สวี่หยวนซวงที่อยู่ข้างกายก้มหน้าลง ก็วางข้อศอกลงพนักแขน แล้วใช้มือขวากุมใบหน้า ท่าทางราวกับไม่อยากจะพูดสิ่งใด
นางรู้ความคิดของสวี่หยวนไหวดี เขาคิดไปแล้วว่าตัวนางถูกสวีเชียนทำให้ด่างพร้อย และไม่เชื่อคำอธิบายของนางเลยสักนิด
แต่เรื่องนี้ยังหาจุดที่ช่วยยืนยันคำอธิบายของนางไม่ได้ เลยไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งหากยิ่งอธิบายก็คงยิ่งสับสนกันไปใหญ่
สวี่หยวนซวงเลยถอดใจที่จะพูด
จากนั้นชังหลงก็พูดอย่างเรียบนิ่งว่า “เมื่อถึงเวลาที่จับกุมตัวสวีเชียนได้แล้ว แม้นายน้อยจะทุกข์ทรมานอย่างไร ก็ยังต้องปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ดี”
น้ำเสียงของเขาดูทั้งสบายใจและเปี่ยมความมั่นใจ
ฉีฮวนตานเซียงพลันพูดแทรกขึ้นมา “คนผู้นี้มีวิชาแปลกประหลาดยิ่ง และยังเชี่ยวชาญวิชากู่หลากหลายรูปแบบ คู่ควรแก่การศึกษานัก”
หลิ่วหงเหมียนหัวเราะคิกคัก “ด้วยการปิดล้อมจับกุมของสำนักพุทธที่มีพระอรหันต์ขั้นสอง เทพอารักษ์ขั้นสาม รวมถึงกลุ่มดาวทั้งเจ็ด ไหนจะการช่วยเหลือจากพวกเราอีก ตราบใดที่สวีเชียนนั่นติดกับดัก ถึงจะติดปีกก็หนีไม่รอดด้วยซ้ำ ใครก็ไม่สามารถช่วยเขาได้”
ทุกคนต่างเห็นด้วยกับคำพูดของนาง
กำลังหลักที่ออกตามล่าจับกุมนั้นล้วนคือยอดฝีมือเหนือมนุษย์ทั้งนั้น ทว่าพลังการต่อสู้ของกลุ่มของจีเสวียน และเหล่า สายสืบตำหนักความลับสวรรค์ขั้นสี่ก็น่าเกรงขามไม่แพ้กันเลย
ผู้มีฝีมือขั้นสี่แต่ละคนต่างเลื่องชื่อลือนามในยุทธภพ หาใช่คนไร้ความสามารถไม่ไอรีนโนเวล
จู่ๆ จีเสวียนก็กล่าวออกมา “แล้วจะรับรองได้อย่างไรว่าสำนักพุทธก็ไม่ใช่พวกกลับกลอก จะไม่แย่งชิงปราณมังกรกับพวกเรา?”
ถึงกองกำลังกลุ่มดาวทั้งเจ็ดมีพลังเทียบเท่าขั้นสาม ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกองกำลังของสำนักพุทธในเมืองยงโจว ก็ยังห่างชั้นกันอยู่ดี
สายสืบเฉินจึงตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก”
เขาไม่อธิบายอันใด
จีเสวียนก็ค่อยๆ กวาดสายตามองฝูงชน ก่อนจะก้มหน้าลง แล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
…
ยามนี้หิมะตกหนัก จนถนนเส้นหลักที่อยู่นอกเมืองถูกปกคลุมไปด้วยชั้นหิมะอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นเองก็ปรากฏสองร่างเงาที่สวมใส่เสื้อคลุมต้าฉ่าง กำลังเดินทางอยู่กลางพายุหิมะ โดยมีเสียงย่ำเท้า ‘สวบสาบ’ ดังเป็นระยะๆ
“ประตูเมืองปิดไปแล้ว”
เหิงหย่วนผู้มีรูปร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้น แล้วมองบนกำแพงเมืองอันมืดมิด
ตรงกลางระหว่างบนกำแพงเมืองอันมืดมิดและประตูเมืองที่ปิดไปแล้วนั้น ถูกสลักไว้สองคำก็คือ ‘ยงโจว!”
ซึ่งพวกเขาได้ติดตามผู้อาวุโสสองคนจากนิกายสวรรค์ ร่วมเดินทางจนมาถึงยงโจว
หลังจากผ่านช่วงเวลาการฝึกฝนอันยากลำบากนี้มา ในที่สุดเหิงหย่วนก็สามารถควบคุมพลังเทพระดับเพชรได้ อีกทั้งพลังต่อสู้ก็เลื่อนสู่ขั้นสี่
ทว่าตรงหว่างคิ้วของเขานั้นก็มีความเคร่งเครียดและความเศร้าโศกเพิ่มขึ้นในทุกๆ วันเช่นกัน
ฉู่หยวนเจิ่นพลันเรียกกระบี่บินออกมา กล่าวว่า “เข้าไปในเมืองกันเถอะ”
“เดี๋ยวก่อน…”
เหิงหย่วนหันไปทางประตูเมือง แล้วพูดเสียงเบา “มีคนอยู่”
เขาย่างกรายเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ จึงพบว่ามีร่างคนสองคนกำลังขดตัวงออยู่บริเวณประตู คนหนึ่งตัวโตอีกคนตัวเล็ก โดยสวมเสื้อผ้ามอมแมมทั้งขาดรุ่งริ่ง คนหนึ่งเป็นชายชราที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ส่วนอีกคนเป็นเด็กรูปร่างผ่ายผอม
ดูเหมือนจะเป็นปู่หลานคู่หนึ่ง
พวกเขากอดกันแน่นท่ามกลางความหนาวจากพายุหิมะ ทว่าไฟแห่งชีวิตได้ดับมอดไปนานแล้ว
“อามิตตาพุทธ”
เหิงหย่วนพยายามแยกตัวพวกเขาออกจากกัน แต่กลับพบว่าปู่หลานคู่นี้ตัวแข็งไปแล้ว เสมือนน้ำแข็ง เป็นประติมากรรมที่ไร้ซึ่งชีวิต
เห็นได้ชัดเจนว่าคนผู้นี้คือจอมยุทธ์ภิกษุ และเป็นภิกษุที่จิตใจเมตตายิ่ง เขาใช้สองมือปะปนไปด้วยเกล็ดหิมะ ขุดพื้นดินที่แข็งราวกับเหล็ก เพื่อฝังศพให้กับสองปู่หลานคู่นี้
จากนั้นเขาก็นั่งลงหน้าหลุมศพ แล้วท่องบทสวดโปรดสรรพสัตว์
ส่วนฉู่หยวนเจิ่นก็ยืนมองอยู่ข้างๆ อย่างนิ่งเงียบ
ตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมา พวกเขาก็พบเรื่องเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง
ทุกๆ ปีจะมีคนหนาวแข็งตายอยู่ตลอด เพียงแต่ฤดูหนาวปีนี้ลำบากเป็นพิเศษ พวกผู้คนที่มีฐานะยากจน ก็ได้แต่ประคองชีวิตให้รอดไปวันๆ เท่านั้น
‘พวกที่ต้องระหกระเหินไปเรื่อย บ้างก็เป็นผู้ลี้ภัยไม่ก็ขอทาน ซึ่งเดิมทีก็แทบเอาตัวไม่รอดพ้นฤดูหนาวด้วยซ้ำ’
‘เช่นนั้นแล้ว ปีนี้จะมีคนตายไปมากเท่าใดกัน?’
ถึงฉู่หยวนเจิ่นจะยังไม่รู้ แต่ตัวเขารู้ว่า การประชากรลดน้อยลงเช่นนี้ ในอนาคตอาจจะส่งผลกระทบอันร้ายแรงที่น่ากลัวได้
และเขายังรู้อีกว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงอารัมภบทเท่านั้น
ฤดูหนาวเพิ่งจะเริ่ม
ทว่าตลอดทั้งฤดูหนาวนั้น ก็ยังคงเป็นเพียงอารัมภบทอยู่ดี
“เลิกเสียทีเถอะ!”
ฉู่จ้วงหยวนพลันกล่าวเสียงเบาออกมา ไม่รู้ว่าประโยคนี้พูดถึงสองปู่หลานที่ถูกฝังศพไป หรือพูดถึงตัวเองกันแน่
…
ณ สวนชิงซิ่ง
สวี่ชีอันที่ตื่นขึ้นในเวลาประจำนั้นรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขน จึงกอดเอวอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ พร้อมกับฝังใบหน้าลงบริเวณลำคอของคนงาม
ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พลันลืมตา และรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ
จากการบำเพ็ญคู่เมื่อคืน บุคลิก ‘หัวโบราณ’ ของลั่วอวี้เหิงที่ปากไม่ตรงกับใจนั้น ได้สิ้นสุดลงในบ่อน้ำพุร้อน และยังเพิ่มพูน ‘ประสบการณ์’ แก่สวี่ชีอันอีกด้วย
แม้ความสุขสมทางร่างกายครั้นบำเพ็ญคู่ในน้ำนั้นไม่ดีเท่ายามกระทำบนเตียง
ทว่าประสบการณ์การบำเพ็ญคู่ การกระตุ้นประสาทสัมผัส รวมถึงระดับความพอใจในใจนั้น…แหะๆๆ
หลังจากกลับมายังห้อง ลั่วอวี้เหิงที่เพิ่งผ่านเรื่องดังกล่าวมาก็ไม่ให้เขาเข้าห้องนอน สวี่ชีอันเลยได้พักนอกห้องแทน
เช่นนั้นแล้วจึงเกิดคำถาม สตรีที่อยู่ในอ้อมแขนตอนนี้คือใครกัน?
เป็นลั่วอวี้เหิง!
ใบหน้างามของราชครูพลันปรากฏสู่สายตาของสวี่ชีอัน วันนี้นางเสมือนกับดอกติงเซียงในหมอกยามเช้า ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศก
“ตื่นแล้วหรือ?”
ลั่วอวี้เหิงยิ้มแย้ม แล้ววางศีรษะไว้ตรงไหล่อีกฝ่าย เอ่ยกระซิบว่า “อย่าเพิ่งไปไหนเลย ข้าอยากพิงเจ้า เช่นนี้ค่อนข้างทำให้จิตใจสงบลงน่ะ”
กล่าวจบ นางหลับตา ขนตาที่ยาวเสมือนพัด ตัวสั่นเล็กน้อย
ราชครูในวันนี้ เหมือนมีบางอย่างแตกต่างออกไป…สวี่ชีอันพินิจมองสถานการณ์ ความคิดที่ว่าอารมณ์ทั้งเจ็ดอย่าง หวาดกลัว โกรธ และใคร่ได้มลายหายไปผุดขึ้นมา จากสี่อารมณ์ที่เหลืออยู่ ตอนนี้นางอยู่ในอารมณ์ไหนกันนะ?
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ขณะที่ได้ยินเสียงพายุหิมะด้านนอกนั้น มือทั้งสองของลั่วอวี้เหิงก็คล้องบริเวณลำคอเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไปดูหิมะที่ห้องใต้หลังคากันเถอะ”
…
ห้องใต้หลังคาในสวนชิงซิ่งนั้นมีจำนวนไม่น้อย ห้องซึ่งอยู่เรือนสูงสี่ชั้นคือส่วนที่สูงที่สุด
แต่ละชั้นจะมีหอทัศนาอยู่ ซึ่งคือสถานที่ที่กงซุนเซี่ยงหยางใช้รับรองแขกเหรื่อ และไว้ใช้สำหรับการสังเกตการณ์ในระยะไกล
บริเวณที่นั่งอันนุ่มนิ่มภายในห้องโถงสุราชั้นสี่นั้น ลั่วอวี้เหิงสวมใส่ชุดเสื้อคลุมนักพรตกำลังแอบอิงอยู่ในอ้อมกอดของสวี่ชีอัน และเผยเนินหน้าอกออกมาครึ่งหนึ่ง ซ้ำผมสละสลวยยังยุ่งเหยิง
ด้วยใบหน้ารูปไข่ของนางแดงระเรื่อ สีหน้าที่ยั่วยวน เลยเสมือนว่ายังดื่มด่ำกับห้วงแห่งความสุขอยู่
มือสวี่ชีอันถือจอกสุราข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็โอบกอดไหล่ของราชครูเอาไว้ ยามกระทำเรื่องอย่างว่า ได้มองท้องนภาที่มืดครึ้มดูไร้ซึ่งความสุขหรือความเศร้าโศกใดๆ โดยตอนนี้หิมะก็ยังคงตกหนักอยู่
ทันใดนั้นเองลั่วอวี้เหิงก็คว้าจอกสุราในมือของเขามาดื่มจนเกลี้ยง ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา “ร่ำสุราเดียวดาย พลางเชยชมหิมะโปรยปราย ก็ผ่านอีกปีอย่างไม่รู้ตัว
“สวี่ชีอัน เจ้ารู้อายุข้าหรือไม่?”
สวี่ชีอันจึงลองคาดเดาดู “สี่สิบรึ?”
ลั่วอวี้เหิงไม่พูดอันใด ทว่านัยน์ตากลับฉายความเศร้าโศกชัดเจน
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เมื่อท่านพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ ก็ได้เป็นเทพเซียนบนดิน มีอายุยืนยาว ทั้งเยาว์วัยตลอดกาล ถึงจะมีอายุสี่ร้อยปี ก็ยังรูปงามกว่าหญิงสาวอายุสิบแปดเป็นไหนๆ”
สวี่ชีอันหยอดคำหวานใส่อีกฝ่ายทันใด
ทว่าลั่วอวี้เหิงกลับส่ายหน้า “อายุของข้ามันมากพอที่จะเป็นแม่ของเจ้าได้ด้วยซ้ำ เป็นอย่างที่มู่หนานจือพูดไว้ไม่ผิดเลย”
ใบหน้านางเผยความเศร้าสลด “ข้ารู้ดีว่าไม่คู่ควรกับเจ้า หากคนอื่นรู้เข้า จะทำให้คนหัวเราะเยาะเปล่าๆ”
นี่มัน…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก ทว่าไม่รู้ตอบโต้อย่างไร
ราชครูเป็นสตรีอารมณ์ศิลป์นี่เอง!
ถ้าพูดถึงสตรีอารมณ์ศิลป์แล้ว คำพูดที่ผิดพลาดเพียงประโยคเดียว ก็อาจทำให้กระทบจุดอ่อนไหวในใจของอีกฝ่ายได้
หากเป็นสตรีอารมณ์ศิลป์คนอื่น สวี่ชีอันคงไม่ยอมเช่นนี้หรอก
แต่ในเมื่อเป็นราชครู…ในใจของเขาพลันกระตุกวาบ แล้วกล่าวด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้งว่า “ความรักมิได้แบ่งแยกอายุหรือชาติกำเนิด ข้าและราชครูต้องใจกัน ไฉนยังต้องสนใจสายตาของคนนอกด้วยเล่า
“ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าความรักมีค่ามากกว่า
“ราชครูที่อยู่ในหัวใจข้า มีค่ามากกว่าชีวิตเสียอีก”
การหยอดคำหวาน สวี่จอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพบุตรเลยแม้แต่น้อย
ทว่าสตรีแต่ละคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วยอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าทั้งนั้น การพูดจาออดอ้อนเลยไม่ค่อยได้ผลอะไร มีแต่เพียงยายตัวร้ายเท่านั้นที่ถูกใจ
ส่วนสาเหตุสวี่ชีอันที่พูดเช่นนี้ออกมา ก็เพราะอยากสร้างเรื่องน่าอับอายแก่ราชครู
ทว่าการใช้ประโยชน์จากที่นางยังอยู่ในอารมณ์ศิลป์นี้ ยุยงให้นางพูดเรื่องคิดเอาไว้ในอนาคต บางทีนางอาจอับอายจนลงไปนอนดิ้นบนพื้นเลยก็เป็นได้
‘ชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าความรักมีค่ามากกว่า…’ หลังจากลั่วอวี้เหิงทวนประโยคนี้ในใจหลายครั้ง ใบหน้ารูปไข่ก็พลันแดงอย่างแปลกประหลาด จากนั้นนางก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มว่า “ความทุกข์ทรมานที่ข้าผ่าฟันมาตลอดยี่สิบปีไม่เสียเปล่า จะไม่มีการประนีประนอมต่อจักรพรรดิหยวนจิ่งอีก เมื่อการท่องยุทธภพของเจ้าจบลง พวกเรามาทำพิธีคู่บำเพ็ญอย่างทางการเถอะ”
สวี่ชีอันก็กล่าวด้วยความดีใจระคนจริงจังว่า “รีบบอกรักข้าเร็ว”
ใบหน้าลั่วอวี้เหิงแดงฉานทันใด ก่อนจะกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “น่ารังเกียจ”
“เรียกข้าว่าสวี่หลางเร็วเข้า”
“สะ…สวี่หลาง…”
สวี่ชีอันพลันหนาวสะท้าน และขนลุกไปทั่วร่าง แต่ในใจกลับตื่นเต้นยิ่ง
เฮอะๆ ราชครู เจ้ากรรมตามสนองแล้ว จนกว่าการบำเพ็ญคู่จบลง และหวนคืนสู่สภาพเดิม เมื่อเจ้านึกถึงเหตุการณ์ในช่วงเจ็ดอารมณ์ความรู้สึก ต้องอับอายจนไปแดดิ้นกับพื้นแน่ มาดูกันว่าในอนาคตเจ้าจะวางตัวต่อหน้าข้าอย่างไร…
ลั่วอวี้เหิงรู้สึกขวยเขินได้ไม่นาน จู่ๆ ความเศร้าโศกก็เข้ามาแทนที่กะทันหัน แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “วันนั้นจินเหลียนได้บอกกับข้าว่าด้วยโชคชะตาที่ติดตัวเจ้ามา เลยเป็นคู่บำเพ็ญที่ดีที่สุด ซึ่งสามารถช่วยดับไฟแห่งกรรมของข้าได้ ทว่าข้าต่อต้านมัน
“เพราะคู่บำเพ็ญต้องมาจากการบำเพ็ญร่วมกัน แต่ว่าเจ้าในตอนนั้น เป็นเพียงแค่ฆ้องเงินตัวจ้อยเท่านั้น
“แต่ระยะหลังมานี้พรสวรรค์ของเจ้าก็ค่อยๆ แสดงออกมา อันที่จริงหลังจากคดีสังหารหมู่ที่ฉู่โจว ในใจข้าก็ยอมรับตัวเจ้าแล้ว และยังรู้สึกอีกว่าหากเจ้าโตขึ้น ได้มาเป็นคู่บำเพ็ญกับข้าก็คงจะดี
“ตอนนั้น ข้าคิดหาวิธีสร้างความสัมพันธ์กับเจ้า ทว่าด้วยอายุของข้าที่สามารถเป็นแม่เจ้าได้ ตำแหน่งราชครู และผู้นำเต๋า ก็เกิดกลัวเสียหน้าขึ้นมา เลยกังวลอยู่นาน
“โดยเฉพาะตอนที่มอบดาบยันต์แก่เจ้า ข้าลังเลเป็นเวลานานมาก อีกทั้งภายหลังที่เจ้าไปฉู่โจว ข้าก็ได้ส่งยันต์คุ้มครองผ่านฉู่หยวนเจิ่น แต่จริงๆ แล้วอยากเอาไปให้ต่อหน้าเจ้ามากกว่า
“จากนั้น เพราะเจ้าต้องการจะตรวจสอบหยวนจิ่ง เลยต้องมาขอความช่วยเหลือจากข้า เวลานั้นข้าแอบดีใจนะ…”
สวี่ชีอันยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลกๆ เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันตื่นตกใจขึ้นมา
ราชครู…ราชครูท่านช่วยหุบปากทีเถอะ ขอร้องล่ะ
ข้าเพียงแค่อยากทำให้เจ้าอับอายเท่านั้น ไม่คิดเลยจะเป็นการรนหาที่ตายแทน
ที่ลั่วอวี้เหิงเล่าความในใจของตัวเองออกมา มันหมายความว่าอะไรกันเนี่ย?
หมายถึงว่าต้องรอจนกว่านางจะกลับเป็นเหมือนเดิม พอคิดเช่นนี้ ก็มีโอกาสสูงทีเดียวที่นางจะฟาดกระบี่ใส่เขา เพื่อฆ่าปิดปาก
“เจ้าเป็นอะไรไปหรือเปล่า หัวใจถึงเต้นแรงเยี่ยงนี้” ลั่วอวี้เหิงคิ้วมุ่นพลางถาม
“ปะ…เปล่า ก็แค่กลัวนิดหน่อยน่ะ” สวี่ชีอันพลันกระตุกปากแข็งทื่อให้พูดทันใด
จะว่าไปแล้ว เพราะเหตุนี้เขาถึงยืนยันได้ว่าลั่วอวี้เหิงชอบเขาจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ธรรมดาๆ
บุคลิก ‘เศร้า’ ดันเป็นผลดีต่อเขาเสียอย่างนั้น ทว่าก็เป็นไปได้สูงว่าลั่วอวี้เหิงตัวจริงไม่ได้มีความรู้สึกต่อเขาขนาดนั้น
แต่นั่นมันเมื่อก่อน
หลังผ่านการบำเพ็ญในครั้งนี้ ความรู้สึกก็อาจเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย
ทันใดนั้นเอง ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วมุ่น ขณะมองไปด้านนอก “มีคนกำลังโจมตีม่านพลัง”
นางพลันใส่เสื้อให้เรียบร้อย คาดเข็มขัดให้มั่น ปกปิดส่วนที่วาบหวิวจนมิดชิด
สวี่ชีอันเองก็ลุกขึ้นยืน เดินไปยังบริเวณสังเกตการณ์ แล้วมองลงที่เบื้องล่าง
พบว่า ณ ใต้เบื้องล่างอันขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา หลี่หลิงซู่กำลังยืนอยู่ตรงกลาง โดยบังคับกระบี่บินพุ่งโจมตีใส่ม่านพลังอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งลั่วอวี้เหิงปลดยันต์ออก เทพบุตรจึงรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึ้นตะโกนเสียงดังว่า “ผู้อาวุโส มีจดหมายจากตระกูลกงซุนส่งมา บอกว่าพบเด็กที่ท่านกำลังตามหาแล้ว”