ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 577 ตถาคตเหนือความตาย
บทที่ 577 ตถาคตเหนือความตาย
เขาถือดาบไว้ที่มือขวา ชายเสื้อคลุมสีดำปลิวไสวไปตามลมหนาว เครายาวเคลื่อนไหวเล็กน้อย ยืนขวางอยู่ที่เบื้องหน้าขบวนอย่างอาจหาญ
สีหน้าของเขาสงบนิ่ง แววตาลึกล้ำราวกับเหวที่ไร้ก้นบึ้ง
‘สวีเชียน…’ สีหน้าของจิ้งซินและจิ้งหยวนเต็มไปด้วยความสับสน พลางประสานสองมือเข้าด้วยกันและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าเสียงเบา
จีเสวียนหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว มองชายในชุดดำอย่างพินิจพิจารณาด้วยความระมัดระวัง
หลังจากความเคร่งขรึมและความประหลาดใจที่เกิดขึ้นในตอนแรกของหลิ่วหงเหมียนผ่านพ้นไป ใบหน้าอันงดงามก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง มีพระอรหันต์ มีระดับเพชร มีชังหลงนำรบอยู่เบื้องหน้า นางจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ดังนั้น นางจึงเริ่มใช้มุมมองของผู้หญิงคนหนึ่ง มาพิจารณาสวีเชียนผู้อยู่ในข่าวลือคนนี้
เมื่อพิจารณาจากอารมณ์และแรงดึงดูดของบุคคลนี้ หลิ่วหงเหมียนต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนที่โดดเด่นเหนือใครอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับคนที่มักจะชื่นชมรูปลักษณ์ภายนอกเฉกเช่นนาง ก็ต้องยอมรับว่า ชั่ววินาทีเมื่อครู่ นางรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของตนเองเล็กน้อย น่าเสียดายที่รูปร่างลักษณะของเขาธรรมดาเกินไป ไม่ต้องพูดถึงจีเสวียนและสวี่หยวนไหวที่มีรูปลักษณ์ที่ยอดเยี่ยม แม้แต่เหมียวโหย่วฟาง อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของเขาก็มีความสมดุล และมีความหล่อเหลาเล็กน้อย
ในบรรดาคนเหล่านี้ คนที่ตื่นเต้นที่สุดยังคงเป็นฉีฮวนตานเซียง เขามีความกังวลอย่างมากกับพฤติกรรมการใช้วิชากู่หลายประเภทอย่างต่อเนื่องของสวี่ชีอัน ซึ่งเขารู้สึกพะวงในใจและเก็บไว้ในใจมาโดยตลอด ด้วยความปรารถนาที่จะใคร่รู้ความจริง
“อมิตตาพุทธ ประสกสวี ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
จิ้งซินประสานทั้งสองมือเข้าด้วยกัน เขาแยกตัวออกจากฝูงชนและก้าวขึ้นไปด้านหน้าตามลำพัง พลางมองสวี่ชีอันด้วยความสงบ
“ประสกสวี เจ้ายึดสำนักพุทธเป็นที่พึ่ง ด้วยสติปัญญาและกรรมของเจ้าที่มีต่อสำนักพุทธ อนาคตศักดิ์ของเจ้าคงไม่อาจทัดเทียมพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ได้หรอก”
พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ คือองค์แรกที่อยู่ภายใต้พระพุทธเจ้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จีเสวียนและคนอื่นๆ ก็ไม่แน่ใจในสถานการณ์เล็กน้อย พลางมองไปที่แผ่นหลังของจิ้งซินด้วยความประหลาดใจ
เขากำลังพูดอะไร…
การที่สำนักพุทธต้องการดึงสวีเชียนมาเป็นพวกเป็นเหตุผลที่สามารถเข้าใจได้ เหล่าภิกษุมักจะบังคับให้ผู้คนเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์มาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ภิกษุจิ้งซินกล่าวเมื่อครู่ ไม่ใช่การดึงมาเป็นพวกที่สามารถเข้าใจได้อีกต่อไป แต่เป็นการทรยศอย่างแท้จริง
“นี่ นี่เกิดอะไรขึ้น?” หลิ่วหงเหมียนพึมพำเสียงเบาและหันไปมองจีเสวียน
จีเสวียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็เหยียดออกและถามจิ้งหยวนที่อยู่ไม่ไกลด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไต้ซือจิ้งหยวน ภิกษุจิ้งซินกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรรึ?”
สีหน้าของจิ้งหยวนเต็มไปด้วยความเย็นชา และไม่ได้ตอบกลับอะไร
จีเสวียนไม่ได้ถามอะไรอีก เกิดเสียงพูดคุยขึ้นระหว่างกันในขบวนเล็กๆ นี้
“สำนักพุทธมีเรื่องปิดบังพวกเราอยู่”
“ศักดิ์คงไม่อาจทัดเทียมพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ศักดิ์ไม่อาจทัดเทียม….ช่างไร้สาระสิ้นดี เจียหลัวซู่อยู่ขั้นหนึ่ง และยังใกล้เคียงกับการอยู่ยงคงกระพัน”
“แต่หากไม่มีเหตุผล จิ้งซินก็คงไม่กล่าวเช่นนี้”
ทั้งเจ็ดคนส่งกระแสลับทางเสียงระหว่างกัน หลิ่วหงเหมียน ฉีฮวนตานเซียงและสวี่หยวนไหว ทั้งสามคนรู้สึกตกตะลึงเป็นส่วนมาก เรียวคิ้วงามของสวี่หยวนซวงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ราวกับจับใจความอะไรบางอย่างได้ ส่วนนักพรตเจียวเยี่ยก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
มีเพียงจีเสวียนและไป๋หู่ ในดวงตาของพวกเขาทั้งสองเต็มไปด้วยความประหลาดใจที่อธิบายได้ยาก ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักถึงความจริงบางอย่าง
ในฐานะทายาทของเจ้าเมืองเฉียนหลงและไป๋หู่ หนึ่งในดวงดาวยี่สิบแปดกลุ่ม ข้อมูลที่พวกเขารู้ย่อมละเอียดกว่าและมากกว่าหลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ
“หยุดพูดไร้สาระ มอบเด็กนั่นให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
สายตาของสวี่ชีอันข้ามผ่านจิ้งซินไปยังเหมียวโหย่วฟางที่ถูกคุ้มกันอยู่ในฝูงชน
เขาก็กำลังมองมาที่ข้าเช่นกัน…
สีหน้าของเหมียวโหย่วฟางเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
จิ้งซินส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง
“ในเมื่อประสกสวีดื้อดึงไม่ยอมรับผิด เช่นนั้นก็ทำได้เพียงให้แสงพุทธะชำระล้างบาปแก่เจ้า…เชิญพระอรหันต์!”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นแล้ว สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้น เสียงดังก้องกังวาน
ลำแสงพุทธะอันสว่างบริสุทธิ์ประกายแสงจ้าปรากฏอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีคราม ใจกลางลำแสงมีพระภิกษุชรารูปร่างผอมบางนั่งขัดสมาธิตัวตรงอยู่บนแท่นดอกบัว คิ้วสีขาวย้อยลงมาที่ข้างแก้มทั้งสองข้าง ดวงตาปิดลงมาครึ่งหนึ่ง ถือดอกไม้ด้วยมือทั้งสองข้าง
“พระพุทธเจ้า ตามตัวข้ากลับไปยังอรัญตาด้วยเถิด” ภิกษุชราลืมตาขึ้นในฉับพลัน น้ำเสียงก้องกังวานดุจฟ้าร้อง ราวกับเป็นอำนาจจากสวรรค์
ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างราวกับถูกสายฟ้าฟาดดังตูม พวกเขาสูญเสียการได้ยินชั่วขณะ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ในสมองมีเพียงแรงกระตุ้นที่จะดึงให้ตนเองไปยึดสำนักพุทธเป็นที่พึ่ง ภิกษุทุกองค์ของสำนักพุทธต่างก็พนมมือและสวดพระนามของพระพุทธเจ้าโดยจิตใต้สำนึก
เวลานี้เอง เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งก็ปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นจากสภาวะอันเคร่งศาสนาและความปรารถนาที่จะยึดสำนักพุทธเป็นที่พึ่ง ทันใดนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตอบกลับอันดังก้องของสวีเชียน
“ยอดฝีมือแห่งต้าฟ่ง ไม่เข้าร่วมสำนักพุทธ”
เขาถือดาบยืนอย่างสง่าผ่าเผยโดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
คนที่มีวิทยายุทธ์อย่างจีเสวียน สวี่หยวนไหว ไป๋หู่ และหลิ่วหงเหมียน เริ่มเกิดอารมณ์ซับซ้อนขึ้นในใจ
ในฐานะผู้มีพละกำลังเช่นกัน เมื่อสักครู่พวกเขากลับไม่สามารถควบคุมตนเองในการถวายตัวเป็นศิษย์ตถาคตได้
จอมยุทธ์ให้ความสำคัญกับจิตใจ หัวแข็งดื้อรั้น และใช้กำลังฝ่าฝืนข้อห้าม ต่อสู้กับคน ต่อสู้กับสวรรค์ ต่อสู้กับตัวเอง ยิ่งความศรัทธาบริสุทธิ์ผุดผ่อง เส้นทางของวิทยายุทธก็จะยิ่งเต็มไปด้วยความวิริยะ
“สวีเชียนนี่ เขาสามารถอยู่ภายใต้การบีบบังคับของพระอรหันต์ขั้นสองโดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย…” หลิ่วหงเหมียนเม้มริมฝีปาก และมองชายในชุดดำอย่างลึกซึ้ง
ในอีกด้านหนึ่ง พระอรหันต์ตู้ฉิงยื่นมือออกไป หัตถ์พระพุทธเจ้าขนาดยักษ์เอื้อมลงมาจากท้องฟ้า โดยตั้งใจจะจับสวีเชียนไป
ในเวลานี้เอง แสงดาบส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า ราวกับดาวตกจากฟากฟ้า
ภายใต้ปราณกระบี่ ฝ่ามือทองยักษ์แตกสลายในทันใด
ทุกคนมองไปทางปราณกระบี่ เห็นเพียงผู้หญิงท่านหนึ่งที่สวมชุดขนนก สวมมงกุฎดอกบัวมาพร้อมกับกระบี่บิน นางงดงามดั่งเทพยดา ชาดที่หว่างคิ้วเปล่งประกายเจิดจ้า
ลั่วอวี้เหิง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ ระดับสูงสุดของขั้นสอง นี่คือบุคคลที่ยืนอยู่บนยอดพีระมิดแห่งเมืองจิ่วโจวอย่างแท้จริง
เมื่อมองพิจารณากองกำลังหลัก ในหมู่ผู้หญิง ตอนนี้มีเพียงสามคนที่สมควรเป็นผู้ทรงอำนาจขั้นสูงสุด พวกนางแบ่งเป็นพระโพธิสัตว์หลิวหลีของสำนักพุทธ จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง องค์หญิงอาณาจักรหมื่นปีศาจที่ล่มสลายไปแล้ว และลั่วอวี้เหิง ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์
หลิ่วหงเหมียนและสวี่หยวนซวงต่างก็เป็นหญิงสาวที่หยิ่งยโสในความงามของตนเอง แต่เมื่อพวกนางเห็นราชครูที่งดงามราวกับนางฟ้าที่ถูกเนรเทศจากฟากฟ้าให้มาอยู่บนโลก ก็เกิดความรู้สึกต่ำต้อยในตัวเองขึ้นมาทันที
พระอรหันต์กล่าวช้าๆ ว่า “ลั่วอวี้เหิง เจ้าอยู่ห่างจากภัยพิบัติเพียงก้าวเดียว รสชาติของไฟแห่งกรรมที่แผดเผาร่างคงไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีกระมัง”
“เจ้าต่อสู้กับเฮยเหลียนในเมืองหลวง ไฟแห่งกรรมอยู่ในเขตเหนือการควบคุมแล้ว”
“สำนักพุทธไม่ต้องการอยู่ค้ำฟ้ากับลัทธิเต๋า หากเจ้ารู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรก็ถอยไปดีกว่า มิเช่นนั้น…”
ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างก็ได้ยินพระอรหันต์ตู้ฉิงพูดถึงความลับที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ละคนก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกัน
นิกายมนุษย์บำเพ็ญไฟกรรมรึ?
เฮยเหลียนคือใคร ถึงได้สามารถต่อสู้กับลั่วอวี้เหิงอย่างดุเดือดได้?
ไฟกรรมของลั่วอวี้เหิงใกล้จะอยู่เหนือการควบคุมแล้วรึ?
ลั่วอวี้เหิงใกล้จะควบคุมไฟแห่งกรรมไม่ได้แล้ว!
ภิกษุสำนักพุทธทุกองค์แสดงความดีอกดีใจ จีเสวียนและคนอื่นๆ ก็ฮึกเหิมขึ้นมาเช่นกัน
แม้ว่าจะมีความมั่นใจในพระอรหันต์อย่างเต็มที่ แม้จะรู้ว่าฝ่ายของตนเองมีระดับเพชรสองท่านและชังหลง แต่ชื่อเสียงของลั่วอวี้เหิงก็เป็นที่เอิกเกริกอย่างยิ่ง หากพระอรหันต์เทียบนางไม่ติด ยอดฝีมือขั้นสูงเช่นนั้นสักคนก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเกรงกลัวลั่วอวี้เหิงมาโดยตลอด ในแผนการของทุกคน คือให้พระอรหันต์ฉุดรั้งลั่วอวี้เหิงเอาไว้ ส่วนที่เหลือจะรีบทำการต่อสู้อย่างรวดเร็ว รอให้สวีเชียนถูกปราบปราม และให้ระดับเพชรและชังหลงยื่นมือเข้ามาช่วยพระอรหันต์ตู้ฉิงจัดการกับลั่วอวี้เหิง เช่นนี้ก็จะไร้ข้อผิดพลาดเหมือนเมื่อสักครู่
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเช่นนั้นอีกต่อไป
หากสถานการณ์ของลั่วอวี้เหิงร้ายแรงอย่างที่พระอรหันต์ตู้ฉิงกล่าวจริงๆ อาศัยเพียงแค่พระอรหันต์ลงมือ ก็เพียงพอที่จะปราบลั่วอวี้เหิงแล้ว
“มิเช่นนั้นจะเป็นอย่างไรรึ?” ราชครูหญิงเลิกเรียวคิ้วอันงดงามขึ้น
“บางทีนิกายมนุษย์อาจจะต้องเปลี่ยนผู้นำเต๋าแล้ว” พระอรหันต์ตู้ฉิงกล่าวเสียงเบา
ลั่วอวี้เหิงหัวเราะด้วยความเย็นชา คว้าดาบเหล็กขึ้นสนิมมาจากความว่างเปล่า และขว้างไปที่พระอรหันต์ตู้ฉิง
ทุกคนหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว ดวงตาร้อนผ่าว น้ำตาไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ดาบเหล็กทะลุผ่านร่างของพระอรหันต์ตู้ฉิง ที่หน้าอกของเขาเกิดรูขนาดใหญ่ แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา
วินาทีต่อมา ‘อาการบาดเจ็บ’ ที่หน้าอกของพระอรหันต์ตู้ฉิงก็หายเป็นปกติ
พระอรหันต์ตู้ฉิงยิ้มเล็กน้อยด้วยความเห็นซึ้งถึงแก่นธรรม “การบำเพ็ญของตัวข้าคือตถาคตเหนือความตาย”
ลั่วอวี้เหิงอุทาน ‘ฮึ่ย’ พลางควบคุมกระบี่บินกลับมาด้วยการทะลุผ่านร่างพระอรหันต์ตู้ฉิงอีกครั้ง บาดแผลจากดาบอันน่าสะพรึงกลัวปรากฎขึ้นบนร่างของเขา
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่พระอรหันต์ตู้ฉิงยิ้มเล็กน้อย ‘อาการบาดเจ็บ’ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตถาคตเหนือความตาย การบำเพ็ญขั้นนี้ ไม่มีชีวิตอยู่หรือตาย และตั้งอยู่เป็นนิตย์
“ช่างดื้อดึงไม่ยอมรับผิด” พระอรหันต์ตู้ฉิงส่ายศีรษะ โดยไม่สนใจดาบเหล็กที่พุ่งโจมตีอย่างต่อเนื่อง ลำแสงสีทองประกายออกมาจากนิ้ว ภายใต้แสงสีทอง ร่างกายของลั่วอวี้เหิงเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ผู้คนตกใจอย่างยิ่ง นางแก่ลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าอันสวยสดงดงามเกิดรอยเหี่ยวย่น ผมสีดำสนิทก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ในชั่วพริบตา ความงามอันน่าทึ่งได้เปลี่ยนเป็นยามไม้ใกล้ฝั่งที่มีผมขาวยาวสามพันฟุต แต่ภายในชั่วพริบตา ความมีชีวิตชีวาก็เล็ดลอดออกมาจากในร่างกายของนางอีกครั้ง ความสูงของนางลดลง และรอยเหี่ยวย่นทั้งหมดก็หายไปเช่นกัน นางกลายเป็นเด็กทารก กลายเป็นเด็กชาย กลายเป็นเด็กหญิง กลายเป็นผู้หญิงวัยสาวสะพรั่งที่ทรงเสน่ห์ หลังจากนั้น นางก็เปลี่ยนเป็นหญิงชราผมขาวอีกครั้ง
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ลั่วอวี้เหิงได้ประสบกับการเกิดใหม่ และดูเหมือนว่านางกำลังจมอยู่ในวงจรนี้ ซึ่งเป็นการยากที่จะหลุดพ้นได้
“อาตมาทัศนาจรในยุทธภพมานานกว่าสิบปี ครั้งนี้นับว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง” นักพรตเจียวเยี่ยกล่าวอย่างทอดถอนใจ
คนอื่นๆ ต่างก็หวาดกลัวและฮึกเหิม
เวลานี้เอง กระบี่บินเหล็กก็กลับเข้ามาในมือของลั่วอวี้เหิง นางในเวลานี้คือเด็กหญิงที่มีพวงแก้มสีชมพูน่ารัก
ช่วงเวลาที่ถือดาบเหล็ก วัฏจักรการเกิดใหม่ที่ไม่มีวันสิ้นสุดก็พังทลายลง ลั่วอวี้เหิงฟื้นฟูภาพลักษณ์ของความงามที่สูงตระหง่านของนางอีกครั้ง
“ข้าจะทำลายตถาคตเหนือความตายของเจ้าให้สิ้น”
นางถือดาบเหล็กด้วยมือเปล่า กลีบดอกบัวโผล่ออกมาจากข้างหลังนาง ตามมาด้วยกลีบที่สอง กลีบที่สาม และกลีบที่สี่…กระทั่งกลีบดอกบัวทั้งเก้ากลีบปรากฏตัวออกมาอย่างสมบูรณ์และล้อมนางไว้ตรงกลาง
กลีบดอกบัวทุกกลับล้วนมีพลังดาบอันน่าสะพรึงกลัว
ดอกบัวเก้ากลีบหุบลงและกลายเป็นปราณกระบี่และรวมเข้ากับดาบเหล็ก
สุดยอดวิชาปราณกระบี่นิกายมนุษย์…เคล็ดวิชาเหลียนฮวา!
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็โศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่จ้องเคล็ดวิชาเหลียนฮวาตาเขม็ง แต่พวกเขาอดที่จะรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้
“ไป!” ลั่วอวี้เหิงขว้างดาบเหล็กออกไปอย่างดุเดือด
ดาบเหล็กกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและชนเข้ากับพระอรหันต์ตู้ฉิงบนอากาศอย่างรวดเร็ว
ฟ้าร้องเสียงดังสนั่น ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวเป็นเหมือนพายุฝนที่หนาแน่น
จีเสวียนและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่าง พระภิกษุสำนักพุทธทุกองค์ต่างก็วิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
‘ฟู่ฟู่!’
ฉานซือทั้งสามท่านเคลื่อนไหวช้าเกินไปและหนีช้าเกินไป พวกเขาจึงสิ้นชีพทันทีและถูกปราณกระบี่แทงเข้าไปในกายเนื้อ
คลื่นระเบิดนี้เกิดขึ้นไม่นานนัก ภิกษุจิ้งหยวนอาศัยพลังเทพวชิระในการแบกรับปราณกระบี่ที่แตกกระจาย แทบรอไม่ไหวที่จะเงยหน้าขึ้นเพื่อตรวจสอบสถานการณ์บนท้องฟ้า
ควันหลงของปราณกระบี่บนท้องฟ้ายังไม่หมดไป จิ้งหยวนน้ำตาไหลพรากราวกับกระแสน้ำ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ในที่สุดเขาก็เห็นสถานการณ์บนท้องฟ้าอย่างชัดเจน
รูม่านตาของจิ้งหยวนหดตัวลง ใบหน้าซีดขาว เขาเห็นเพียงร่างที่ขาดวิ่นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นดอกบัวภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ศีรษะไปจนถึงหน้าอกครึ่งหนึ่งถูกทำลายด้วยดาบ บริเวณหน้าอกที่ไม่สมบูรณ์นั้น มีเลือดสีทองไหลออกมา ทำให้มองเห็นอวัยวะภายในได้จางๆ
ตถาคตเหนือความตายคือผู้ที่จะไม่มีวันได้รับบาดเจ็บ ความแข็งแกร่งใดๆ ล้วนไม่มีมูลความจริง
มิน่า มิน่า การตถาคตเหนือความตายของพระอรหันต์ตู้ฉิง…
“พระอรหันต์มรณภาพแล้ว พระอรหันต์ตู้ฉิงมรณภาพแล้วรึ?” เวลานี้เอง หลิ่วหงเหมียนที่เห็นสถานการณ์บนท้องฟ้าอย่างชัดเจนก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ประโยคนี้สร้างความตื่นตระหนกให้กับภิกษุสำนักพุทธทุกรูปเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของสวี่หยวนไหวจมมืด เขาตะโกนใส่จิ้งซินว่า “ไหนท่านบอกว่าไฟแห่งกรรมกำลังแผดเผาร่างลั่วอวี้เหิง นางกำลังมีภัยพิบัติไม่ใช่รึ? แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น”
ใบหน้าของจิ้งซินเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ไป๋หู่เอนเอียงไปทางพี่น้องตระกูลสวี่อย่างเงียบๆ ภารกิจหลักในครั้งนี้ของเขาคือการปกป้องพี่น้องตระกูลสวี่ หากเกิดอันตรายขึ้น เขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นร่างเดิมทันที และพาสวี่หยวนไหวและสวี่หยวนซวงหนีไป ด้วยความสามารถที่เขามีมาตั้งแต่กำเนิด เขาย่อมสามารถพาสองพี่น้องล่าถอยไปได้อย่างปลอดภัย
ในขณะที่ทุกคนกำลังหวาดวิตก กายเนื้อของพระอรหันต์ตู้ฉิงก็ถูกห้อมล้อมด้วยแสงพุทธะ เลือดเนื้อดิ้นทุรนทุรายก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม
‘ฮู่…’ จิ้งซินถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบๆ และกล่าวเสียงแผ่วว่า “ไม่เป็นไร พระอรหันต์ตู้ฉิงยังไม่มรณภาพ”
ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน แต่ความรู้สึกในจิตใจยังคงหนักอึ้ง
เห็นได้ชัดว่าสถานะของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ลั่วอวี้เหิง ไม่ได้อ่อนแออย่างที่พระอรหันต์ตู้ฉิงพูด ฤทธิ์ดาบเมื่อครู่แข็งแกร่งอย่างน่าอัศจรรย์ แม้แต่พระอรหันต์ตู้ฉิงก็ยังประสบกับการสูญเสียครั้งใหญ่
หลังจากร่างของพระอรหันต์ตู้ฉิงฟื้นคืน เขาก็จ้องลั่วอวี้เหิงด้วยสีหน้าจมมืด “ไฟกรรมของเจ้าสงบลงแล้ว”
ริมฝีปากสีแดงฉ่ำของลั่วอวี้เหิงยกโค้งขึ้น “นิกายมนุษย์จะเปลี่ยนผู้นำเต๋าหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่วันนี้ภูเขาอรัญตาจะต้องสูญเสียพระอรหันต์ไปหนึ่งองค์”
บ้าคลั่งจริงๆ! ภิกษุสำนักพุทธทุกองค์ต่างก็โกรธจัด แต่เมื่อพวกเขามองไปยังพระอรหันต์ตู้ฉิง ก็ต้องเกิดความประหลาดใจอย่างยิ่ง ที่พระอรหันต์กลับไม่โต้วาทีแม้แต่น้อย
นี่…หัวใจของทุกคนจมดิ่งลง และอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสวีเชียนที่อยู่ห่างออกไป
สวีเชียนดูสงบและเต็มไปด้วยความมั่นใจตั้งแต่ต้นจนจบราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามคาด
จิตใจของสวี่หยวนไหวเต็มไปด้วยความสับสนอย่างยิ่ง
พระอรหันต์ตู้ฉิงปล่อยบาตรทอง บาตรทองคว่ำลง สาดโปรยแสงสีทองอันสุกสกาว ร่างหลายร่างปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงสีทองนั้น
ร่างสูงแปดฟุต ไม่มีเครา ไม่มีคิ้ว ไม่มีผม ราวกับเป็นประติมากรรมทองเหลืองของเทพอารักษ์ตู้หนาน อสูรระดับเพชรที่มีรูปลักษณ์น่าเกลียด และดวงตาดุร้าย ชังหลงที่มี ‘พุงป่อง’ อยู่ภายใต้เสื้อคลุม
เหมียวโหย่วฟางตกตะลึง การปรากฏตัวของชายชุดดำที่ขวางทางทำให้เขางงงวย และเป็นผลให้ผู้แข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏตัวขึ้นทีละคน
สิ่งนี้ทำให้เขาคาดไม่ถึง ความรู้สึกที่บิดเบี้ยวทวีความรุนแรงขึ้น
‘ข้าทำอะไรลงไปกันแน่? ‘
‘ทำไมข้าถึงได้มีส่วนในการเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับสูงเช่นนี้?’
‘ข้าคือใคร? ข้าอยู่ที่ใด?’ ในสมองของเขาเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
ลั่วอวี้เหิงหรี่ตาลง มองไปที่บาตรทอง จากนั้นร่างของนางก็ถูกแสงสีทองปกคลุมจนท่วมท้น จากนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
พระอรหันต์ตู้ฉิงแบฝ่ามือออก พลางลากบาตรทองมาไว้ในมือและก้มลงไปมองสวี่ชีอันด้วยความไม่แยแส ก่อนจะหันไปมองเทพอารักษ์ตู้หนานและเทพอารักษ์ตู้ฝาน กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “สถานะของลั่วอวี้เหิงอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นสอง ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ทำได้เพียงขังนางไว้ในแดนพุทธ พวกเจ้าจงเผด็จศึกด้วยอุบายอันรวดเร็ว จะรอช้าไม่ได้”
ในขณะที่กล่าว บาตรทองในมือของเขาก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
อาศัยอาวุธเวทมนตร์นี้เพียงอย่างเดียว ไม่มีทางขังลั่วอวี้เหิงได้
เทพอารักษ์ตู้หนานประสานสองมือเข้าด้วยกัน “ขอรับ!”
พระอรหันต์ตู้ฉิงจึงพยักหน้าอย่างไร้กังวล ก่อนจะพาตัวเองลงไปในบาตรทอง
ผู้แข็งแกร่งขั้นสองเข้าไปในบาตรทองถึงสองคน การบีบบังคับอันน่าสะพรึงกลัวสลายไป เหลือเพียงบาตรทองที่ลอยอยู่กลางอากาศ
‘หึ่ง หึ่ง…’ บาตรทองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และส่งรัศมีระลอกคลื่นกระจายออกมารอบๆ
ทุกคนต่างก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า รวมทั้งระดับเพชรสองท่านและชังหลง
การสั่นสะเทือนของบาตรทองคำดำเนินไปชั่วขณะ จากนั้นก็ค่อยๆ ช้าลง และมีแนวโน้มค่อนข้างคงที่
ใบหน้าของทุกคนที่อยู่เบื้องล่างผ่อนคลายลงในทันใด เพราะรู้ว่าพระอรหันต์ตู้ฉิงได้ครอบงำผู้นำเต๋านิกายมนุษย์แล้ว ราชครูหญิงที่น่ากลัวท่านนั้นคงไม่สามารถหลุดพ้นไปได้ในขณะนี้
ลั่วอวี้เหิงน่ากลัวจริงๆ…
ทุกคนที่อยู่ขั้นสี่และต่ำกว่าขั้นสี่ซึ่งเป็นตัวแทนของจีเสวียนและจิ้งซินต่างก็โล่งใจ พวกเขาฟื้นคืนสติอารมณ์อีกครั้ง บ้างก็มองไปที่สวีเชียนด้วยสายตายั่วยุ บ้างก็มองด้วยความปรปักษ์ บ้างก็มองด้วยความมั่นใจ
ไม่มีลั่วอวี้เหิงแล้ว กำลังเสริมของบุคคลนี้ อย่างมากก็เป็นโหรขั้นสามท่านหนึ่งเท่านั้น
ชังหลงที่สวมเสื้อคลุมเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาแนวตั้งสีทองคู่หนึ่งภายใต้หมวกฮู้ด เขามองสวี่ชีอันครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ระดับเพชรสองท่าน ตามข้อตกลง บุคคลนี้เป็นคนของสำนักพุทธ ทุกสิ่งบนร่างกายเขาจะกลับคืนสู่พวกเรา”
เทพอารักษ์ตู้ฝานกล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “หลังจากจับชาวพุทธได้แล้ว พวกเราจะพาเขาไปที่เมืองเฉียนหลง”
ชังหลงพยักหน้าช้าๆ “พวกเราศรัทธาในสำนักพุทธมาโดยตลอด”
ระดับเพชรสองท่านและชังหลงล้อมรอบสวี่ชีอันเป็นรูปสามเหลี่ยม ในกระบวนการนี้ พวกเขาสนทนากันอย่างใจเย็น ราวกับบุคคลนี้เป็นลูกไก่ในกำมือแล้ว
ในขณะที่ชังหลงกล่าวและเฝ้าสังเกตสวี่ชีอันอย่างระมัดระวัง เสียงอันแหบแห้งดังลอยมาจากใต้หมวดฮู้ด “ซุนเสวียนจีล่ะ? ไม่ลองให้เขาปรากฏตัวออกมา แล้วเลือกคู่ต่อสู้ด้วยตนเองเล่า หวังว่าเขาจะเลือกระดับเพชรสองท่าน”
เขาดึงดาบยาวสีแดงเข้มออกมาจากเสื้อคลุม แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เพราะเมื่อเทียบกับโหรแล้ว ข้าอยากจะหาประสบการณ์จากฝีมือของเจ้ามากกว่า”
ที่เมืองหลวงวันนั้น บุคคลนี้เป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ที่ทำให้แม้แต่นายท่านก็ยังล้มเหลว
สวี่ชีอันยังคงสงบเยือกเย็น มุมปากของเขายกโค้งขึ้น “น่าเสียดายจริงๆ คนที่รุ่นพี่ซุนเลือกคือพวกเจ้า” สายตาของเขามองไปที่ด้านหลังของชังหลง
ร่างในชุดสีขาวพลิ้วไหวปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของชังหลงตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
เขามีใบหน้าธรรมดา ส่วนสูงธรรมทั่วไป ในมือถือผ้าที่มีข้อความผืนหนึ่ง “คู่ต่อสู้ของพวกเจ้าคือข้า!”