ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 579 เหล่าศัตรูที่เต็มไปด้วยอารมณ์ต่อสู้อันฮึกเหิม
บทที่ 579 เหล่าศัตรูที่เต็มไปด้วยอารมณ์ต่อสู้อันฮึกเหิม
สวี่หยวนซวงกับสวี่หยวนไหวสองพี่น้องหนุ่มสาว รู้สึกเพียงแค่สมองสั่นสะเทือนดัง ‘หึ่ง’ ราวกับถูกตีด้วยไม้อย่างเร็วและแรง
‘สวีเชียนก็คือสวี่ชีอัน?’
นอกจากพี่น้องหนุ่มสาวตระกูลสวี่แล้ว คนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรงที่สุดคือหลิ่วหงเหมียน ยกเว้นสวี่หยวนซวงแล้ว เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในที่นั้น
ความสนใจของผู้หญิงที่มีต่อผู้ชายที่ดีเลิศ ก็เหมือนกับความสนใจของผู้ชายที่มีต่อสตรีที่งามล่มเมือง
หลิ่วหงเหมียนมีพื้นเพมาจากหอหมื่นบุปผาเมืองเจี้ยนโจว อิทธิพลในยุทธภพที่ก่อเกิดขึ้นมาจากผู้หญิง แรกเริ่มเนื่องจากกำลังไม่แข็งแกร่ง จึงต้องประสบกับเรื่องราวไม่ดีมากมาย แต่ต่อมาก็คิดวิธีการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ขึ้นมาได้ โดยยกผู้หญิงหน้าตาดีในสำนักให้แต่งงานกับผู้มีความสามารถ หัวหน้า และชายหนุ่มที่มีสติปัญญาดีจากทุกที่ เป็นต้นแม้กระทั่งในแวดวงขุนนางของเจี้ยนโจว ก็มีขุนนางมากมายเช่นกันที่รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงของหอหมื่นบุปผา
และเวลานี้หอหมื่นบุปผายืนได้มั่นคงแล้ว ความสัมพันธ์ทางสังคมสลับซับซ้อน แต่ธรรมเนียมปฏิบัตินั้นยังคงรักษาไว้ ผู้หญิงของหอหมื่นบุปผาทนเห็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่ง หน้าตาหล่อเหลา และมีชื่อเสียงบารมีไม่ได้ เมื่อเห็นแล้วก็จะต้องเกิดอาการผิดปกติ
หลิ่วหงเหมียนเม้มปาก จ้องสวีเชียนที่อยู่ไกลออกไปเขม็ง ไม่ใช่สิ ต้องเป็นสวี่ชีอัน ดวงตาเร่าร้อน เมื่อเปรียบเทียบกับสองพี่น้องตระกูลสวี่ที่มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรุนแรง หลิ่วหงเหมียนที่เกิดความสนใจขึ้นมาอย่างมากและฉับพลัน หลังจากนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยรู้สึกตื่นตะลึงและลืมตัวไปชั่วขณะ ก็รีบควบคุมอารมณ์ เผยสีหน้าจริงจัง ใคร่ครวญอย่างเงียบๆ
ส่วนฉีฮวนตานเซียงชาวเผ่าพันธุ์กู่แห่งซินเจียงตอนใต้ กลับไม่ได้สนใจสวี่ชีอันคนนี้แม้แต่น้อย
ส่วนจีเสวียนและไป๋หู่ ต่างสบตากันเงียบๆ และเห็นสีหน้า ‘เป็นเช่นนี้จริงๆ’ ด้วยจากดวงตาของกันและกัน อย่างน้อยทั้งสองคนก็เดาสถานะที่แท้จริงของสวีเชียนได้ ขาดแต่การตรวจสอบยืนยัน
“เป็นไปไม่ได้!”
ทันใดนั้นสวี่หยวนไหวก็ตะโกนขึ้นมา หอกยาวชี้ไปที่สวีเชียน พูดจารุนแรงว่า
“เขาจะเป็นสวี่ชีอันได้อย่างไร คนคนนั้นพิการไปแล้วชัดๆ และสวีเชียนก็เป็นปรมาจารย์กู่ ไม่ใช่ทหาร”
จิ้งซินพูดช้าๆ ว่า “เป็นเพราะพิการแล้ว ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาฝึกวิชากู่”
สวี่หยวนไหวอ้าปากค้าง ไม่มีอะไรจะตอบโต้ชั่วขณะ รู้สึกอัดอั้นจนหน้าแดง พูดด้วยความโมโหว่า
“ท่านมีหลักฐานอะไร”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถรับได้ว่าสวีเชียนก็คือพี่ใหญ่สวี่ชีอันที่ท่านพ่อและท่านแม่เลี้ยงดูไว้ในตระกูลที่เมืองหลวง นี่ต่างจากที่เขาคิด ไม่มีการเตรียมใจไว้แม้แต่น้อย
จีเสวียนถอนหายใจ พูดแทนจิ้งซินว่า
“พุทธบุตร เฮ้อ นอกจากสวี่ชีอันที่เสนอแนวความคิดเรื่องนิกายมหายานในพิธีต้าวฮวดที่เมืองหลวง ยังมีใครที่สำนักพุทธจะให้ความสำคัญเช่นนี้อีก”
สวี่หยวนไหวไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้ามเป็นคนฉลาดมาก เมื่อคิดโยงไปถึงท่าทีของสายลับตำหนักความลับสวรรค์ที่แสดงต่อสวีเชียนแล้วในใจก็เชื่ออยู่ไม่น้อย
ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรขึ้นมาได้ หันหน้าทันที มองไปที่สวี่หยวนซวงพี่สาว มิน่า มิน่าเล่าหลังจากที่พี่สาวพูดถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา สวีเชียนไม่เพียงไม่ได้ลงมือสังหาร แต่กลับปล่อยนางไป เขาคิดมาตลอดว่าเป็นเพราะพี่สาวเสียสละโดยสุจริต จึงแลกมาด้วยโอกาสในการรอดชีวิต
“แต่เขา แต่เขาพิการแล้วมิใช่หรือ?” สวี่หยวนไหวจับประเด็นสำคัญตรงนี้
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ตกมาตลอด” จีเสวียนส่ายหน้า
ระหว่างที่ทั้งสองคนสนทนากันอยู่ สวี่หยวนซวงมองชายในชุดคลุมยาวสีน้ำเงินที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตะลึงงัน ดวงตาคู่งามเกิดความรู้สึกมากมาย ทั้งโกรธเคือง งุนงง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องอะไร สีหน้าพลันแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นางเข้าใจว่าทำไมสวี่หยวนไหวจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเช่นนี้ สองพี่น้องหนุ่มสาวเคยคิดหลายครั้ง ถึงฉากที่พบกับพี่ใหญ่คนนั้นที่เมืองหลวง บางครั้งก็แอบติดตามด้วยความสนใจ แต่ไม่ออกหน้าแสดงความรู้จัก บางครั้งก็เผชิญหน้ากันแบบศัตรู บางครั้งเป็นเพราะเกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนอยู่ภายในใจ ไม่ได้คิดให้ดีว่าจะจัดการกับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายอย่างไร เพียงแค่อยากจะพบหน้ากันเท่านั้น
สวี่หยวนซวงไม่เคยคาดคิดเลยว่า ครั้งแรกที่นางกับพี่ใหญ่จากเมืองหลวงมาพบกัน จะเริ่มต้นจากฉิงกู่ เริ่มจากตู้โตวสีเขียวอ่อน…
หลิ่วหงเหมียนเป็นผู้หญิงที่มีแผนการ รู้จักยั่วยวนผู้ชาย ยกมือทั้งสองข้างขึ้นป้องปาก แสร้งตะโกนออกมาอย่างไร้เดียงสาว่า
“โอ้ เจ้าคือฆ้องเงินสวี่จริงๆ หรือ เล่าลือกันว่าฆ้องเงินสวี่เป็นชายหนุ่มรูปงามที่หายากในโลก ช่วยเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้ทุกคนดูหน่อยได้หรือไม่?”
ท่าทางแบบโสเภณีของนางทำให้คิ้วงามของสวี่หยวนซวงขมวดเล็กน้อย เงียบไปชั่วครู่ ครั้นเห็นว่าสวี่ชีอันไม่ได้สนใจ สีหน้าของสวี่หยวนซวงก็สดชื่นขึ้นเล็กน้อย
ไม่ล่ะ ข้าไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวแล้ว…สวี่ชีอันที่อยู่ไกลออกไปภายนอกดูเย่อหยิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกสะเทือนใจ
ในเวลานี้ นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยพูดเสียงเคร่งขรึมว่า
“เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยสถานะของเขา หากสวีเชียนคือสวี่ชีอันจริงๆ สิ่งที่เราต้องเผชิญ ก็คือสุดยอดชายหนุ่มแห่งจงหยวน หรือกระทั่งทั่วทั้งใต้หล้า ทหารขั้นสามอายุยี่สิบเอ็ดปี”
คำพูดของนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ย ทำให้คนทั้งคณะตกอยู่ในความเงียบทันที ข่าวลือเกี่ยวกับชายหนุ่มคนนี้ พวกเขาที่อยู่ในอวิ๋นโจวต่างก็ได้ยินชื่อเสียงกันทุกคน
เขาเคยเป็นทหารก่อการกบฏแต่เพียงผู้เดียวในอวิ๋นโจว เขาเคยสู้จนทหารข้าศึกแปดหมื่นนายล่าถอยที่ด่านอวี้หยาง ตัดหัวผู้นำทหารอย่างง่ายดายเหมือนล้วงมือไปหยิบของในถุงผ้า เขาเคยสังหารจักรพรรดิด้วยความโกรธแค้นจนใต้หล้าสั่นสะเทือนไอรีนโนเวล
เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับเขามีอยู่มากมาย ถูกชาวยุทธ์และชาวเมืองเล่าขานกันจนเหมือนเป็นตัวละครในเทพนิยาย ผู้ที่อยู่ในที่นั้นไม่มีใครไม่ใช่ผู้กล้า แต่ยามเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนี้ พวกเขาแทบจะไม่มีความมั่นใจเลย
สวี่หยวนไหวอ้าปาก อยากจะพูดอะไรอย่างเช่นคำพูดปลุกใจ อย่างเช่นอย่ารังแกคนหนุ่มประเภทนี้ อย่างเช่นต่อไปข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าเขา…คำพูดติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่กลับไม่มีความมั่นใจที่จะพูดออกมา
พี่ใหญ่ที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในเมืองหลวง เป็นบุคคลที่ทำให้ผู้ที่มีความสามารถทุกคนต่างหมดประกาย สติปัญญาที่มีมาตั้งแต่เกิดที่เขาสวี่หยวนไหวถือเป็นความภาคภูมิใจ เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลคนนี้ กลับไม่ควรค่าที่จะพูดถึงอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ต้องกังวล”
จอมยุทธ์ภิกษุก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว สายตาแหลมคม ต้องการต่อสู้อย่างยิ่ง
“ตบะของเขาถูตะปูตอกวิญญาณปิดผนึกไว้ เวลานี้อย่างมากก็อยู่ในขั้นสี่ ถึงแม้จะมีวิชากู่ช่วย ก็ไม่มีทางชนะพวกเราทุกคนได้ ประสกทุกท่าน เวลานี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการปราบเขาแล้ว ถึงแม้เขาวางแผนนี้ไว้แล้วอย่างไรกัน ด้วยพลังการต่อสู้ของพวกเรา เพียงพอที่จะรับมือแล้ว”
สถานการณ์ในเวลานี้ ทำให้จิ้งหยวนเห็นโอกาสในการโจมตีสวี่ชีอันให้พ่ายแพ้และกำจัดความงมงาย เขาไม่เชื่อว่า พุทธบุตรจะสามารถอาศัยพลังของคนคนเดียวต้านทานยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ได้
จิ้งซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า
“ถูกต้อง ถึงแม้เขาจะเชิญเทพเจ้าหยางผู้แข็งแกร่งของนิกายสวรรค์มาสององค์ อย่างมากก็แค่ต้านทานพลังการต่อสู้ของระดับเหนือมนุษย์ไว้ได้ แต่ต่ำกว่าขั้นสาม มีเขาเพียงคนเดียว”
ทุกคนดวงตาเป็นประกาย ถูกต้อง แม้สวี่ชีอันจะรุ่งโรจน์เพียงใดก็เป็นแค่เกียรติยศในอดีต ตัวเขาในเวลานี้ไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดที่สังหารจักรพรรดิผู้โง่เขลาที่เมืองหลวงตั้งนานแล้ว จะมีอะไรน่ากลัวกัน?
นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยพูดช้าๆ
“ถูกต้อง ในตอนที่เขารุ่งเรืองที่สุด พวกเราไม่สามารถเทียบเขาได้ แต่เวลานี้เขาหมดอำนาจและอิทธิพลแล้ว จะมีพลังการต่อสู้แค่ไหนเชียว? บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าขั้นสี่ปกติ แต่ไม่มีวันเอาชนะพวกเราได้แน่”
จีเสวียนหัวเราะขึ้นมา “พอดีเลย เอาเขามาลับวิทยายุทธ์ ไม่มีหินลับมีดที่ดีกว่าสวี่ชีอันอีกแล้ว หากพวกเราโชคดีเอาชนะเขาได้ จุ๊ๆ ผู้โดดเด่นอันดับหนึ่งแห่งยุคสมัยของจงหยวนพ่ายแพ้อย่างยับเยินในมือพวกเรา ต้องดื่มฉลองให้เต็มที่เลย”
สวี่หยวนไหวฟังแล้วแสดงท่าทางอยากจะลองดู ทหารหลายท่านฮึกเหิมอยากจะต่อสู้ ความหวังในการต่อสู้ล้นทะลัก กระทั่งเกือบจะก้าวข้ามความสนใจที่มีต่อปราณมังกร
คำพูดของจีเสวียนเกาถูกที่คันในหัวใจของพวกเขา ได้ต่อสู้ฆ่าฟันกับสวี่ชีอัน เป็นสิ่งดึงดูดที่ชาวยุทธ์ยากจะปฏิเสธ และการเอาชนะสวี่ชีอันได้ ก็เป็นเกียรติอย่างหนึ่งที่ทำให้ชาวยุทธ์ทุกคนต่างตื่นเต้นฮึกเหิม
“น่าสนใจ!”
หลิ่วหงเหมียนหัวเราะคิกคัก “หากเอาชนะฆ้องเงินสวี่ที่นี่ได้ การท่องยุทธภพในครั้งนี้ ข้าจะต้องกลับไปที่หอหมื่นบุปผาแห่งเมืองเจี้ยนโจวสักครั้ง เพื่อไปโอ้อวดหญิงชั้นต่ำพวกนั้น ให้พวกนางได้รู้ว่าครั้งนั้นที่ไม่เลือกข้าเป็นผู้ดูแลหอ เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงใด”
หลิ่วหงเหมียนเป็นชาวยุทธ์ คิดว่าการเอาชนะฆ้องเงินสวี่เป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง เรื่องนี้ไม่ขัดแย้งกับการที่นางเลื่อมใสฆ้องเงินสวี่แม้แต่น้อย
คิ้วงามของสวี่หยวนซวงขมวดเล็กน้อย แหงนหน้าอ่อนหวานเย็นชา มองไปทางสวี่ชีอัน
‘เจ้ายังมีพลังอีกมากมายแค่ไหนกันนะ?’ นางแยกไม่ออกว่าตัวเองกำลังกังวลหรือดีใจกันแน่ จิตใจสับสนยิ่งนัก
เพราะได้รับอิทธิพลจากท่านแม่ นางจึงไม่มีความคิดเป็นศัตรูกับพี่ใหญ่คนนี้มากนัก แต่ขณะเดียวกันนางก็ได้รับอิทธิพลจากสกุลจีแห่งเมืองเฉียนหลงและท่านพ่อ รู้ว่าจุดยืนของตนเองนั้นเป็นปฏิปักษ์กับพี่ใหญ่
นางออกจากบ้านเพื่อท่องเที่ยวครั้งนี้ ความจริงแล้วยังอยากไปชมเมืองหลวง นางอยากจะกระโดดออกจากอิทธิพลของท่านแม่และจุดยืนเพื่อมองเรื่องนี้ คนคนนี้จากมุมมองของตัวเอง เวลานี้ได้พบกับสวี่ชีอันที่นี่ ทำให้นางไม่ต้องไปเมืองหลวงด้วยตัวเอง
สวี่หยวนไหวเห็นว่าไม่มีใครยอมเป็นคนนำหน้า จึงส่งเสียงหึอย่างดูแคลน แล้วลากหอกขึ้นสู้ นำหน้าออกไป
“ข้าจะปราบเขาเอง!”
ลากหอก ยิ่งเดินยิ่งเร็ว ต่อมาก็วิ่งห้อ ปลายหอกไสไปกับพื้นจนเป็นรอยลึก
ขณะเข้าใกล้สวี่ชีอัน เขาคำรามอย่างหนักหน่วง รอบเอวกระตุ้นร่างกายหมุน ร่างกายกระตุ้นหอก ใช้กระบวนท่ากวาดล้างใต้หล้าที่เฉียบขาด
กองหิมะบริเวณรอบๆ ระยะทางหลายจั้งตลบฟุ้งในทันใด เกล็ดหิมะร่วงโรย หอกยาวตวัดไปบนท้องฟ้าเกิดเสียงดังหวีดหวิว สายตาของทุกคนต่างจับจ้องฉากนี้ โดยหวังว่าจะได้เห็นความตื้นลึกของสวี่ชีอันจากการต่อสู้ครั้งนี้
เวลานี้ สวี่ชีอันเคลื่อนไหวแล้ว เขายกมือขึ้น ดีดปลายนิ้วเบาๆ จากบนลงล่างไปที่ด้ามหอก
‘แกร๊ง’
ง่ามนิ้วมือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ฉีกขาดจนจับอาวุธไว้ไม่อยู่ ได้แต่เบิกตาโพลงมองมันหลุดออกจากมือ หมุนขึ้นไปบนทองฟ้า
เมื่อเห็นฉากนี้ จีเสวียนพยักหน้า “ไม่แตกต่างกับข้าเลย”
เขาหมายถึงสวี่ชีอัน
แต่สีหน้าของทุกคนกลับผ่อนคลายลง ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในขอบเขตของขั้นสี่
จีเสวียนพูดต่อว่า “หยวนไหวยังไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่เลย ดูซิว่าเขาจะทดสอบความสามารถของสวี่ชีอันได้แค่ไหน”
พูดจบ สวี่หยวนไหวก็กระโดดขึ้น รับหอกไว้ ร่างกายของเขาหยุดอยู่กลางอากาศชั่วขณะ ตะโกนเสียงดังสะบัดหอกสีดำขลับ หัวมังกรน้ำที่อยู่ระหว่างรอยต่อของหัวหอกและด้ามหอกพลันระเบิดแสงดำแสบตาออกมา จากนั้นก็มีชีวิตขึ้น หลุดออกจากตัวหอก วิญญาณของมังกรน้ำที่ถูกปิดผนึกอยู่ในอาวุธตื่นขึ้นแล้ว
หอกด้ามนี้เป็นอาวุธเวทมนตร์ขั้นสูง ตัวหอกทำจากกระดูกสันหลังมังกรน้ำขั้นสี่ หัวหอกหลอมจากฟันมังกรน้ำที่คมที่สุดและแข็งที่สุด ในหอกได้ปิดผนึกจิตเดิมของมังกรน้ำขั้นสี่ไว้ มันสามารถหลอมรวมกับเจ้าของอาวุธเวทมนตร์ได้ชั่วขณะ ยกระดับพลังที่มีอยู่ถึงขั้นสี่ได้
สวี่หยวนไหวอยู่ในระดับห้าขั้นสูงสุด แต่ภาวะที่ระเบิดพลังทั้งหมดสามารถเทียบได้กับทหารขั้นสี่ ม่านลวงตาของมังกรน้ำเคลื่อนไหวอยู่ในอากาศ หันหลังกลับในฉับพลัน พุ่งเข้าไปในร่างของสวี่หยวนไหว
รูม่านตาทั้งสองข้างของสวี่หยวนไหวเปลี่ยนเป็นแนวตั้ง ใบหน้าปรากฏเกล็ดสีดำลวงตา ในลำคอเปล่งเสียงร้องของมังกรออกมา
เขาถือหอกเปลวมังกร ดำดิ่งลงมาทันที ปลายหอกระเบิดแสงแหลมคมแสบตาออกมา กลายเป็นรูปครึ่งวงกลม
“อาวุธเวทมนตร์ชั้นยอด!”
ทุกคนเห็นแล้วก็พากันอิจฉา ดูเหมือนหลิ่วหงเหมียนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ถามว่า
“จริงสิ อาวุธของฆ้องเงินสวี่คืออะไร?”