ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 580 ล้อมโจมตี
บทที่ 580 ล้อมโจมตี
อาวุธของสวี่ชีอันคืออะไร?
คำถามนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องยากที่คนในที่นี้จะตอบได้ อย่างน้อยคนจากเมืองเฉียนหลงก็ยังตอบไม่ได้ในเวลาสั้นๆ แน่
ไม่ใช่เป็นเพราะสายข่าวละเลยข้อมูล และก็ไม่ใช่เพราะพวกจีเสวียนและคนอื่นๆ ไม่รู้ ข้อมูลของสวี่ชีอันนั้นได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนยิ่งว่าอาวุธที่เขาใช้คือดาบยาวเล่มหนึ่ง
แต่ดาบเล่มนี้คือดาบอะไร ไม่มีใครเคยศึกษาอย่างลึกซึ้ง
เหตุผลนั้นง่ายมาก พลังต่อสู้ของจอมยุทธ์อยู่ที่ร่างกาย ยิ่งเป็นจอมยุทธ์ที่ระดับขั้นสูงก็ยิ่งไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธ กายเนื้อเพียงอย่างเดียวก็ถือเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว
บ่อยครั้งที่มีดดาบเป็นเพียงความหมายเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ให้ความสนใจกับอาวุธและอาวุธเวทมนตร์ของจอมยุทธ์ เว้นเสียแต่อาวุธนั้นจะมีบทบาทพิเศษที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
อย่างเช่นดาบสยบดินแดนซึ่งเป็นอาวุธเทพที่ทำทำให้จอมยุทธ์ขั้นสามสะพรึงกลัวได้ หรือไม่ก็เจดีย์พุทธะ
ดังนั้น คำถามที่ว่าสวี่ชีอันใช้อาวุธอะไร แม้แต่จีเสวียนก็ยังไม่ได้ศึกษาอย่างลึกซึ้ง
สวี่หยวนซวงจ้องไปด้านหน้าแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“มันคือดาบสีทองอร่าม คุณภาพยอดเยี่ยมมาก เป็นรองเพียงอาวุธวิเศษเท่านั้น”
สิ่งที่ควรจะกล่าวถึงต่อไปนี้ก็คือประเภทของอาวุธเวทมนตร์
อาวุธธรรมดา อาวุธเวทมนตร์ อาวุธวิเศษ และของวิเศษ
อาวุธธรรมดาคืออาวุธรบทั่วไป อาวุธเวทมนตร์คืออาวุธที่มีพลังความสามารถพิเศษขึ้นมา นอกจากจอมยุทธ์แล้ว สายการฝึกตนอื่นๆ ก็สามารถหล่อเลี้ยงอาวุธเวทมนตร์ได้ แต่มีเพียงโหรเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งอาวุธเวทมนตร์ได้
อาวุธวิเศษคืออาวุธเวทมนตร์ที่กำเนิดจิตรับรู้ของตัวเองขึ้นมา
ส่วนของวิเศษนั้นคืออาวุธวิเศษที่เกิดการหลุดพ้นและกำเนิดขึ้นมาหลังจากได้รับชะตาวาสนาบางอย่าง
ตัวอย่างเช่นดาบสยบดินแดนของต้าฟ่ง เดิมทีเป็นอาวุธวิเศษชนิดหนึ่ง แต่หลังจากได้รับโชคชะตาของแคว้นมาถึงหกร้อยปีก็หลุดพ้นและกลายเป็นของวิเศษ
ใช้เพื่อทำลายกายเนื้อของจอมยุทธ์โดยเฉพาะ
จีเสวียนมองญาติผู้น้องอย่างประหลาดใจ
“เจ้ารู้เรื่องดีเลยนี่นา”
สวี่หยวนซวงรู้สึกว่าประโยคนี้ของเขาออกจะแหม่งๆ อยู่สักหน่อย จึงขมวดคิ้วแล้วหันหน้าไปมอง
ตอนนี้เอง นางก็เห็นนักพรตเต๋าเจียวเยี่ยร้องเอ๊ะขึ้นมา จึงรีบหันหน้ากลับไปมองบนสนามต่อสู้ไอรีนโนเวล
แค่มองดูก็เข้าใจทันทีแล้วว่านักพรตเต๋าเจียวเยี่ยสงสัยเรื่องใด นางเห็นสวี่ชีอันขว้างดาบออกมาจากมือเพียงเท่านั้น
ที่อุกอาจยิ่งกว่าคือดาบเล่มนี้กลับชักออกจากฝักด้วยตัวมันเองราวกับมีชีวิตเพื่อรับกับปลายหอกที่พุ่งลงมาจากฟ้า
เงาดาบสีทองพุ่งขึ้นฟ้าเข้าปะทะตัวต่อตัวกับวงอากาศทรงโค้งจากปลายหอก
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’…
ในสายตาของผู้ชมทั้งหลายเห็นชัดว่าหอกยาวสีดำเมี่ยมในมือของสวี่หยวนไหวพุ่งโฉบลงมา แต่ตัวหอกกลับแตกออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นด้ามหอกก็ระเบิดออกทีละส่วนๆ
ว่ากันว่านี่คืออาวุธเวทมนตร์ที่ได้รับการขัดเกลาจากมือของโหรขั้นสองแห่งเมืองเฉียนหลงผู้นั้น เพื่อมอบให้กับทายาทไว้ใช้ป้องกันตัว ทว่ามันกลับถูกทำลายเช่นนี้เสียได้
และตั้งแต่ต้นจนจบ สวี่ชีอันก็ไม่ได้กระดิกตัวแม้แต่นิด
สวี่หยวนไหวคำรามเสียงมังกรออกมาจากในลำคอราวกับถูกกระแทกอย่างแรง ลำแสงสีดำแตกกระจายพุ่งออกมาจากภายในร่างของเขาแล้วยิงออกไปทั่วทุกทิศ
นั่นคือจิตเดิมของมังกรน้ำขั้นสี่ มันถูกดาบไท่ผิงตีจนแตกสลายแล้ว
สลายเป็นผุยผงไม่มีชิ้นดี
ส่วนสวี่หยวนไหวซึ่งเป็น ‘ผู้ครอบครอง’ ก็ถูกโจมตีอย่างหนักเพราะเหตุนั้นด้วย เขาตกลงมาจากกลางอากาศ มุมปากมีเลือดเล็ดออกมา ชีพจรและเส้นลมปราณกำลังลุกเป็นไฟ
ดาบไท่ผิงส่งเสียงกระหึ่มพลางตวัดว่ายเป็นวงโค้งราวกับกำลังเฉลิมฉลองชัยชนะครั้งใหญ่ของตัวเอง แต่ก็ดูคล้ายกำลังอวดดีและเย้ยหยันอยู่ด้วย
อุปนิสัยของวิญญาณดาบเดิมทีก็คล้ายคลึงกับเจ้าของมันอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่แตกต่างคือ เจ้าของมันเก็บคำพูดเยาะเย้ยถากถางไว้ในใจไม่เปิดเผยออกมา แต่วิญญาณดาบยังเด็กอยู่ จึงเหลิงได้ง่าย
หลังจากดาบไท่ผิงเลื่อนขั้นเป็นอาวุธวิเศษก็ได้สวี่ชีอันหล่อเลี้ยงจนมีอานุภาพพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปหลายพันลี้ในทุกๆ วัน
เมื่อเทียบกับจิตวิญญาณแรกเกิด มันในตอนนี้กลายเป็นดาบที่โตเต็มวัยและสามารถต่อกรกับศัตรูได้ด้วยตัวเองแล้ว
“อาวุธวิเศษ?”
สวี่หยวนซวงกรีดร้องออกมาจากกลั้นไม่อยู่
ในฐานะที่เป็นโหร นางรู้ถึงความล้ำค่าหายากของอาวุธวิเศษดีกว่าใคร
อาจกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า แม้จะเป็นบิดาอย่างสวี่ผิงเฟิงหรือท่านโหราจารย์ก็ทำได้แค่ขัดเกลาให้เป็น ‘ตัวอ่อน’ ของอาวุธวิเศษ และทำให้อาวุธเวทมนตร์มีพื้นฐานที่จะกลายเป็นอาวุธวิเศษได้เท่านั้น
แต่จะกลายเป็นอาวุธวิเศษที่แท้จริงหรือไม่ก็ต้องพึ่งโชคชะตา หรือไม่ก็การหล่อเลี้ยงอย่างอุตสาหะ
เช่นเดียวกับแผ่นความลับสวรรค์ซึ่งเป็นของวิเศษของท่านโหราจารย์ ตอนแรกมันเป็นเพียงอาวุธเวทมนตร์ธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง แต่ท่านโหราจารย์มักจะใช้มันเพื่อทำนายความลับของสวรรค์และพกติดตัวอยู่เสมอ เมื่อสะสมนานเข้าทุกวันๆ มันจึงกลายเป็นอาวุธวิเศษได้
และต่อมาก็หลุดพ้นจนกลายเป็นของวิเศษ
เจดีย์พุทธะก็ผ่านกระบวนการเช่นนี้มาด้วยเหมือนกัน
‘อาวุธวิเศษ…’ ทุกคนรู้สึกสั่นสะเทือนเล็กน้อย ต่างก็ไม่อาจควบคุมความโลภ หลงใหล ใคร่หา และความริษยาได้
จอมยุทธ์ไม่จำเป็นต้องมีอาวุธ แต่นี่ไม่ได้หมายรวมถึงอาวุธวิเศษด้วย
เมื่ออยู่ในระดับเดียวกัน ผู้ที่มีอาวุธวิเศษก็หมายถึงมีชัยชนะรออยู่แล้ว
เหมียวโหย่วฟางที่รู้เห็นมาน้อยไม่รู้จักอาวุธวิเศษ แต่เมื่อเห็นอาวุธมีจิตสำนึกของมันเองก็รู้สึกแปลกใหม่และอิจฉาขึ้นมาแล้ว
สีหน้าของสวี่หยวนไหวเขียวคล้ำ วิญญาณมังกรน้ำที่แตกซ่านไม่ได้ทำให้เขาบาดเจ็บมากนัก แต่เจ็บใจที่เห็นว่าการโจมตีที่รุนแรงที่สุดที่ตนเก็บงำเอาไว้นานกลับถูกคู่ต่อสู้ขจัดไปได้อย่างง่ายดาย
ไม่สิ อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือด้วยซ้ำ แค่ส่งดาบเล่มหนึ่งออกมารับก็ทำให้ตนตกลงไปสู่พื้นทรายได้แล้ว
สำหรับอัจฉริยะวัยหนุ่มที่หยิ่งทะนงอย่างสวี่หยวนไหวแล้ว การโจมตีที่เจ็บปวดล้ำลึกเช่นนี้เป็นการตบหน้าที่เจ็บปวดสาหัสยิ่งนัก
“เด็กน้อย ไปวิ่งเล่นในโคลนเถอะไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมากระโดดโลดเต้น”
สวี่ชีอันเรียกดาบไท่ผิงกลับมาถือไว้ในมือ จากนั้นก็ชี้ไปยังบ่อโคลนที่อยู่ไกลๆ
สีหน้าเขียวคล้ำของสวี่หยวนไหวพลันมีสีแดงฝาดขึ้นมาทันใด ทั้งอัปยศอดสู โกรธแค้น และอับอาย…โมโหเสียจนกล้ามเนื้อที่สองข้างแก้มนูนเด่นขึ้นมา
พลังทำลายล้างรุนแรงนัก ความอัปยศก็รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มกำลังอยู่ในขั้นที่ ‘หน้าตาสำคัญกว่าชีวิต’ ดังนั้นจึงเลือดขึ้นหน้าแล้วคำรามด้วยความโกรธ ก่อนพุ่งเข้าหาสวี่ชีอันด้วยสองมือที่ว่างเปล่า
เขาวิ่งตะบึงราวกับสายลม พลังปราณก็ฉีกทึ้งอากาศราวกับวัวพิโรธที่ห้ามไม่อยู่
ระยะทางสามก้าวสวี่หยวนไหวก็ก้าวเพียงสองก้าวแล้วกระโดดผลุงขึ้นมาส่งกำหมัดพุ่งเข้าหาสวี่ชีอัน
‘พลั่ก!’
กำปั้นฉีกทึ้งอากาศ
หมัดนี้พุ่งถึงจุดสูงสุดแล้วปล่อยออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
สวี่ชีอันเพียงพยักหน้าเล็กน้อยแสดงท่าทีชื่นชม จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปกดลำคอของเขาแล้วกดเขาเอาไว้กับพื้น
‘ฟึ่บ~’
สวี่หยวนไหวกระอักเลือดออกมาคำใหญ่พร้อมกับพื้นที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หลังศีรษะถูกโจมตีอย่างหนัก สติรับรู้มึนงงไปชั่วขณะ
“ช่างไม่รู้คุณค่านัก!”
สวี่ชีอันกำดาบไท่ผิงไว้แน่นแล้วจ่อดาบไปที่ทรวงอกของสวี่หยวนไหว แค่แทงลงไปเบาๆ เจ้าหนุ่มนี้ก็จะสิ้นชีพอยู่บนสังเวียนนี้แล้ว
“สวี่ชีอัน…”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น สวี่หยวนซวงวิ่งเข้าไปด้วยความตื่นตระหนกแล้วหยุดอยู่ระหว่างทั้งสองคน นางไม่พูดอะไร เพียงแค่กัดริมฝีปากน้ำตาคลอเต็มหน่วยและมองหน้าเขาอย่างดื้อรั้น
สวี่ชีอันขมวดคิ้วเหลือบมองนางแล้วก้มหน้ามองสวี่หยวนไหวที่เลือดเปรอะเปื้อนใบหน้าไปครึ่งซีก พร้อมทั้งมีความโกรธและไม่ยอมแพ้ในแววตา
เขาพลิกข้อมือแล้วใช้หลังดาบทุบกระดูกหัวเข่าและข้อศอกของสวี่หยวนไหวติดต่อกัน จากนั้นก็เตะด้วยปลายเท้าเบาๆ
สวี่หยวนไหวราวกับเป็นลูกหนังก้อนหนึ่งที่เคลื่อนตัวเป็นเส้นโค้งไปหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของพี่สาวได้อย่างแม่นยำ
สาวน้อยคนงามเม้มริมฝีปากแล้วมองสวี่ชีอันอย่างล้ำลึก นางก้มลงพยุงตัวน้องชายแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“พวกเราจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
พูดจบก็ช่วยพยุงสวี่หยวนไหวเดินไปอีกทางแล้วเว้นระยะห่างกับพวกจีเสวียนเพื่อแสดงความตั้งใจจริง
ขณะเดินก็เหลือบมองน้องชายที่มีสีหน้าหมองหม่นและนัยน์ตาราวกับตายไปแล้ว จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่ง
“อย่าได้ท้อใจไป เขาเป็นบุคคลที่แม้แต่ท่านพ่อก็ยังรู้สึกว่าจัดการได้ยาก สู้เขาไม่ได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว หากยังไม่ยอม เจ้าก็ก้าวไปข้างหน้าโดยมีเขาเป็นเป้าหมายแล้วกัน เมื่อมีศัตรูเช่นนี้ยืนอยู่ตรงหน้า เจ้าจึงจะกล้าหาญและก้าวหน้าต่อไปในเส้นทางสายวิทยายุทธ์ได้”
ดวงตาว่างเปล่าของสวี่หยวนไหวขยับเคลื่อน “เจ้าก็คิดว่าเขาเป็นศัตรูด้วยหรือ”
สวี่หยวนซวงเม้มริมฝีปากบอบบางของตน แต่ไม่ได้ตอบคำ
หลังจากทั้งคู่ถอยไปไกลแล้วก็ยืนเคียงกันเพื่อดูการต่อสู้ต่อไป
สวี่หยวนซวงเป็นโหรขั้นหก ไม่อาจถือว่ามีพลังต่อสู้ สวี่หยวนไหวก็อยู่เพียงขั้นห้า เป็นบุคคลที่มีไว้ประดับบนผืนผ้าเท่านั้น ถึงเสียไปก็ไม่สำคัญเท่าไหร่
การถอยไปของสองพี่น้องไม่ได้ทำให้พลังต่อสู้ของกลุ่มจีเสวียนและพวกสำนักพุทธสูญเสียไปมากมายนัก
การต่อสู้ระหว่างเสือมังกรต่างหากจึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
ภารกิจของสวี่หยวนไหวสำเร็จ เขาหยั่งเชิงพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันเบื้องต้นได้แล้ว ช่วงระหว่างที่สองพี่น้องกำลังถอยไป สำนักพุทธและฝ่ายเมืองเฉียนหลงที่ถือเป็นกองกำลังหลักก็ได้วางแผนต่อกรศัตรูเบื้องต้นเรียบร้อย
“ไต้ซือจิ้งหยวน พลังเทพวชิระของท่านเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่สามารถต้านทานอาวุธวิเศษได้ ดังนั้นต่อไปก็ต้องอาศัยให้ท่านเป็นผู้นำแล้ว
“ไต้ซือจิ้งซิน ท่านพาเหล่าฉานซือไปรั้งอยู่ข้างสนามเพื่อช่วยเหลือพวกเราด้วยวิชาทรงศีล
“ไป๋หู่ เจ้ารวดเร็วมาก ให้รับหน้าที่ก่อกวนและคอยช่วยเหลือ ฉีฮวนตานเซียง เจ้าทำหน้าที่จู่โจม เข้าต่อสู้ร่วมกันกับข้าและหงเหมียน”
จีเสวียนออกคำสั่งอย่างเป็นระบบและจัดการทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบ
นักพรตเต๋าเจียวเยี่ยมองดูด้วยความชื่นชม เขาไม่ได้ติดตามคนผิด จีเสวียนมีความสามารถด้านการเป็นผู้นำ ทั้งยังรู้จักอดทนอดกลั้นและมีพรสวรรค์ในการฝึกตนเหนือใคร
บุคคลเช่นนี้ หากมีโอกาสก็จะต้องบินสู่ฟ้าสูงได้แน่
ประสบการณ์การรวบรวมปราณมังกรในครั้งนี้ก็เพื่อมอบโอกาสให้กับเมืองเฉียนหลง
“นักพรตเต๋า ท่านคอยดูแลเหมียวโหย่วฟางอยู่ข้างๆ ก็พอ”
จีเสวียนหันมามองเขา
นักพรตเต๋าเจียวเยี่ยหัวเราะ
“อาตมามีพลังฝึกตนอ่อนด้อย ดังนั้นจะไม่เข้าร่วมต่อสู้แล้ว ให้ดูแลเจ้าหนุ่มที่พลังฝึกตนถูกผนึกไว้ก็ยังพอทำได้”
เมื่อสนทนาจบลงแล้ว ทั้งหมดก็ค่อยๆ หันหน้าไปมองเด็กหนุ่มผู้มีชื่อเสียงโด่งดังผู้นั้น
จีเสวียนสังเกตเห็นว่าชายแซ่สวี่ผู้นั้นกำลังมองมาที่ตน ดวงตาของทั้งสองก็สบเข้าด้วยกัน
หนุ่มสูงศักดิ์เจ้าบัญชาผู้ซุกซ่อนพลังและรอเวลามาสิบกว่าปีเริ่มเก็บงำความอ่อนโยน นัยน์ตาก็แสดงให้เห็นความเฉียบแหลมจริงจังออกมา
เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยคำเน้นๆ
“จัดการ!”
เมื่อเอ่ยจบ ยอดฝีมือขั้นสี่ทั้งหลายก็พากันพุ่งเข้าหาสวี่ชีอัน พลังอานุภาพรุนแรงนัก
เมื่อคนนอกมองดูฉากนี้ ก็ล้วนแต่เลือดลมเดือดพล่านด้วยความตื่นเต้น
อย่างน้อยเมื่อเหมียวโหย่วฟางที่อยู่ไกลๆ มองมา ก็เกิดความรู้สึกร่วมที่อธิบายไม่ถูก ราวกับตนเข้าร่วมประสานในการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย
แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นศัตรูของเขาก็ตาม
พฤติกรรมที่ผู้อ่อนแอรวมตัวกันต่อต้านผู้แข็งแกร่งนั้น ง่ายต่อการสั่นสะเทือนใจผู้อื่นอยู่แล้ว
‘ตึง ตึง ตึง…’
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนสับฝีเท้าจนก่อให้เกิดแผ่นดินสะเทือนไหวเล็กน้อย
ระหว่างนั้น แสงสีทองอร่ามก็พวยพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วแล้วอาบย้อมร่างให้เป็นสีทองอย่างรวดเร็ว
จิ้งหยวนกลายเป็นลำแสงสีทองพุ่งเข้าหาสวี่ชีอันโดยไม่สนสิ่งใด ทั้งไม่สนความตายและละทิ้งความคิดที่จะป้องกัน
“อามิตตาพุทธ จงวางดาบลง!”
จิ้งซินที่อยู่ด้านหลังประนมมือเอ่ยสวดเสียงต่ำ
“อามิตตาพุทธ จงวางดาบลง”
ฉานซือยี่สิบกว่ารูปที่อยู่ข้างหลังต่างก็ประนมมือขึ้นพร้อมกัน
พลังของเหล่าภิกษุรวมเข้าด้วยกัน พลังอันยิ่งใหญ่และไร้รูปร่างเข้ามาห่อหุ้มตัวสวี่ชีอันเอาไว้
ฉีฮวนตานเซียงกวาดตัวออกมาจากด้านข้างแล้วเคลื่อนพลังซินกู่ของตนจนเกิดคลื่นไร้รูปที่เพ่งเล็งไปที่จิตเดิมออกมา
ภายใต้อิทธิพลจากกองกำลังสองฝ่าย จิ้งหยวนก็เข้าใกล้ตัวสวี่ชีอันได้ดั่งใจหวัง เขากัดฟันเหวี่ยงหมัดเข้าหาอีกฝ่าย
‘ตูม!’
เสียงกึกก้องกัมปนาทระเบิดลั่นออกมาระหว่างฟ้าดิน
พลังปราณกระจายไปทุกทิศโดยมีสวี่ชีอันและจิ้งหยวนเป็นศูนย์กลาง ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นลมโหมคลั่งที่พัดม้วนกองหิมะชั้นแล้วชั้นเล่า
จิ้งซินคำรามเสียงต่ำแล้วเซถอยหลังไป พร้อมกับรู้สึกวิงเวียนศีรษะจนเกือบจะอาเจียนออกมา
สวี่ชีอันยังคงไม่เคลื่อนไหว สีทองอร่ามยังคงปกคลุมร่างกายของเขาและเปลี่ยนเขาให้เป็นมนุษย์ทองคำเปล่งปลั่ง
จีเสวียน หลิ่วหงเหมียน และไป๋หู่ในกลุ่มที่สอง อีกทั้งจิ้งซินที่อยู่แนวหลังและนักพรตเต๋าเจียวเยี่ยที่อยู่ด้านหลังออกไปอีก รวมถึงสองพี่น้องแซ่สวี่ที่มองดูการต่อสู้อยู่ไกลไปอีกต่างก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ
พลังเทพวชิระ!
พลังฝึกตนของเขากลับฟื้นฟูขึ้นมาจนสามารถใช้พลังเทพวชิระได้แล้ว
จีเสวียนตะโกนบอก “สังหารเขา!”
เขาและหลิ่วหงเหมียนเร่งความเร็วไปอยู่ในตำแหน่งของตนโดยอาศัยช่วงที่จิ้งหยวนเหวี่ยงหมัดออกไป ทำให้พลังโจมตีเชื่อมโยงใกล้กันมากยิ่งขึ้น และไม่เหลือโอกาสใดให้สวี่ชีอันฟื้นฟูปราณอีก
จีเสวียนดึงดาบยาวที่ราวกับหลอมขึ้นมาจากน้ำแข็งออกมาจากในแขนเสื้อ ตัวดาบแทบจะโปร่งใส แต่กลับส่องประกายแสงจันทร์ออกมาเลือนราง
กระบี่เงาจันทร์!
ดาบเล่มนี้เดิมทีเป็นดาบของจีเชียน มันมีรากฐานมาจากอาวุธวิเศษและเป็นสุดยอดของอาวุธเวทมนตร์
หลังจากสวี่ผิงเฟิงชิงดาบเล่มนี้กลับมาจากสวี่ชีอัน เขาก็มอบมันให้กับจีเสวียน
คมของกระบี่เงาจันทร์ระเบิดกลุ่มแสงเจิดจ้าบาดตาออกมา ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่ามันคล้ายดูเบาและคล้ายดูหนัก อีกทั้งไม่มีสิ่งใดที่ตัดไม่ขาด
จิตดาบขั้นสี่ของจีเสวียน…ประกายดาบสาดส่อง สรรพสิ่งล้วนแตกสลาย
‘เคร้ง!’
ดาบแหลมคมเล่มนี้เล็งแทงไปที่ทรวงอกของสวี่ชีอัน แสงทองอร่ามอ่อนลงอย่างรวดเร็ว ร่างทองเปล่งปลั่งก็หม่นแสงลงอย่างน้อยห้าส่วนจนไม่ได้ดูอร่ามตาดังเดิมแล้ว
ดาบเล่มนี้ของจีเสวียนเพียงพอจะทำลายการป้องกันจากกายเนื้อของจอมยุทธ์ขั้นสี่ระดับเดียวกันได้
แต่สำหรับพลังเทพวชิระของสวี่ชีอัน มันทำลายการป้องกันได้เพียงห้าส่วนเท่านั้น
หลังจากแทงดาบออกมา การระเบิดพลังที่รุนแรงที่สุดของจีเสวียนก็ถึงขีดสุด เขาไม่ได้เปิดฉากฟันติดต่อกัน แต่ชักดาบถอยกลับแทน เพราะเขารู้ว่าไม่ว่าการโจมตีต่อจากนี้จะรุนแรงเพียงใด ก็ไม่อาจแรงไปกว่าการระเบิดพลังทั้งหมดครั้งนี้ได้
แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะการระเบิดพลังทั้งหมดของหลิ่วหงเหมียนกำลังมารับช่วงต่อแล้ว
หลิ่วหงเหมียนผู้ถูกขับออกมาจากหอหมื่นบุปผากระโดดขึ้นเหนือศีรษะของจีเสวียน ชายกระโปรงปลิวไสว ผมเงางามพลิ้วสะบัด แขนขาวสล้างกดลงบนเกราะทรวงอกของสัตว์ประหลาดผู้นี้แล้วส่งกำลังออกไปทันที
‘เคร้ง!’
เสียงกึกก้องราวกับตีระฆังดังขึ้น คลื่นพลังปราณระเบิดออก สวี่ชีอันกระเด็นออกไป ร่างทองหม่นแสงลงอีกครั้ง
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนล้วนดวงตาสว่างไสว
‘โฮก!’
ทันใดนั้น เสียงคำรามกัมปนาทก็ดังขึ้น
ไป๋หู่คร่อมอยู่บนพื้น กระดูกสันหลังยืดยาวออกมา ขนสีขาวปกคลุมทั่วร่าง จมูกกว้างใหญ่ขึ้น ดวงตากลายเป็นสีอำพัน ขนสัตว์ขึ้นปกคลุมใบหน้าเป็นชั้นๆ
เขากลับสู่ร่างเดิมในชั่วพริบตา
จากนั้นก็กลายเป็นสายลมกรรโชกที่มีความเร็วเกินขีดจำกัดแบบที่ตาเปล่าของยอดฝีมือทุกคนในที่นี้ก็จับไม่ได้ มันห้อตะบึงเข้าใส่ตัวสวี่ชีอันราวกับเป็นภูตผีวิญญาณ
จากนั้นก็เงื้อกรงเล็บแหลมคมอันเยือกเย็นฟาดเข้าไปที่ทรวงอกของเขา
กรงเล็บของมันถูกหุ้มด้วยสายลมสีคราม และเปลี่ยนจากความเร็วเหนือขีดจำกัดกลายเป็นความเร็วเหนือขีดจำกัดยิ่งกว่า เมื่อเขาตะปบฝ่ามือนี้ลงมา ก็อาจทำให้กรงเล็บหักลงได้เลย
แต่พลังเทพวชิระของสวี่ชีอันก็อาจจะถูกทำลายได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงอาจกรีดหัวใจที่อยู่ข้างในได้ด้วย
พวกจีเสวียนจึงแทบจะหยุดหายใจ
สวี่หยวนซวงก้าวเท้าไปด้านหน้าอย่างอดไม่ไหว ราวกับอยากจะเห็นภาพนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สวี่หยวนไหวเบิกตากว้างแล้วจดจ้องภาพนี้ตาไม่กะพริบ
ตอนนี้เอง แสงสีทองอร่ามก็พุ่งออกมาจากนัยน์ตาของไป๋หู่
ร่างทองที่เดิมที่หม่นแสงไปแล้วพลันเปล่งประกาย ‘ปราณชีวิต’ ออกมา แล้วฟื้นกลับคืนสู่จุดสูงสุดในชั่วพริบตา
“พวกเจ้าละเลยสิ่งใดไปหรือเปล่า”
มุมปากของสวี่ชีอันกระตุกขึ้นเป็นยิ้มเยาะ “ถึงแม้ข้าจะยังไม่ฟื้นฟูถึงจุดสูงสุดของตัวเอง แต่ขั้นสาม อย่างไรเสียก็คือขั้นสาม”
‘เคร้ง!’
เขาต้านกรงเล็บนี้ได้โดยไม่มีสิ่งใดเสียหาย กรงเล็บของไป๋หู่จึงหักโค่นไปพร้อมกับเสียงนี้
สวี่ชีอันพลิกข้อมือฟันดาบไท่ผิงเพื่อพยายามสังหารไป๋หู่
จิ้งซินรีบใช้วิชาทรงศีลทันที “อามิตตาพุทธ จงหยุด…”
‘โฮก!’
สิ่งที่ตอบกลับเขาคือเสียงสิงโตคำรามสะเทือนก้องหูที่สั่นสะเทือนเลือดลมของทุกคนจนตาพร่ามัวมองไม่เห็น
สวี่ชีอันใช้สิงโตคำรามสำนักพุทธขัดจังหวะของวิชาทรงศีลได้
‘ฟึ่บ!’
ดาบไท่ผิงตัดกรงเล็บของไป๋หู่ได้อย่างง่ายดาย เลือดสีแดงสดพวยพุ่งออกมาอาบย้อมร่างทองของสวี่ชีอัน
ช่วงเวลานี้เอง ไป๋หู่ก็รับรู้ได้ถึงวิกฤตระหว่างความเป็นความตายแล้ว สัญชาตญาณเอาตัวรอดมีมากกว่าความเจ็บปวด เขาจึงขับเคลื่อนพายุคลั่งแล้วหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชีอันวิ่งพรวดไปไม่กี่ก้าวแล้วขว้างดาบไท่ผิงออกไปอย่างแรง
ดาบไท่ผิงเล็งหาศัตรูโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าไป๋หู่จะหนีไปทางไหน สุดท้ายก็ไล่ตามทันอยู่ดี
‘เคร้ง!’
จีเสวียนกวัดแกว่งกระบี่เงาจันทร์ไปขวางดาบไท่ผิงไว้ ขณะที่พวกหลิ่วหงเหมียนและจิ้งหยวนรีบวิ่งเข้าไปปกป้องไป๋หู่
ดาบไท่ผิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พัวพันต่อ มันกลับมาอย่างไม่พอใจแล้วเข้าไปอยู่ในมือของสวี่ชีอันอีกครั้ง
สวี่ชีอันกำดาบแสยะยิ้มออกมา “การอุ่นเครื่องจบแล้ว!”
จีเสวียน หลิ่วหงเหมียน ฉีฮวนตานเซียง จิ้งหยวน จิ้งซิน ไป๋หู่ และยังมีสวี่หยวนไหวที่อยู่ไกลๆ ต่างก็ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มโดยพร้อมกัน
เกิดเป็นความรู้สึกเยือกเย็นชวนให้หนาวสั่นขึ้นในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“หึๆ รู้สึกไม่ดีแล้วสิ”
เหมียวโหย่วฟางเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น
นักพรตเต๋าเจียวเยี่ยสีหน้าหนักอึ้งราวกับสายน้ำ