ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 581 รุ่งอรุณ
บทที่ 581 รุ่งอรุณ
การร่วมมือกันครั้งแรกของเหล่ายอดฝีมือจากสำนักพุทธและเมืองเฉียนหลงคว้าน้ำเหลว สั่นคลอนความมั่นใจและจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาเป็นอย่างมาก
จีเสวียนขมวดคิ้วมุ่น
ในทางตรงกันข้าม ในฐานะที่เป็นผู้ชมและผู้ที่มีประสบการณ์มากที่สุด นักพรตเต๋าเจียวเยี่ยจึงตัดสินสถานการณ์ได้ทันที เขาส่งเสียงทางจิตไปว่า
“อย่าลน นายน้อย สวี่ชีอันเป็นขั้นสามจริงๆ กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าของพวกท่าน แต่การที่กายเนื้อแข็งแกร่ง ไม่ได้หมายความว่าพลังต่อสู้จะแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน สาเหตุที่เขาสามารถตัดกรงเล็บหินผาของไป๋หู่ได้อย่างง่ายดายก็เพราะอาศัยอาวุธวิเศษ เพียงหาวิธีจัดการกับดาบเล่มนั้นได้ สวี่ชีอันก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสี่ที่มีการป้องกันระดับขั้นสามเท่านั้น ด้วยพลังต่อสู้ของพวกเรา ก็เพียงพอที่จะสู้พัวพันกับเขาได้แล้ว”
ตอนนี้ นักพรตเต๋าเจียวเยี่ยไม่กล้าคุยโวอีกแล้วว่าจะสามารถเอาชนะสวี่ชีอันได้ และเขาเชื่อว่าในใจของพวกจีเสวียนก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
‘ต้องจัดการดาบเล่มนั้น…’ จีเสวียนขมวดคิ้วมุ่น ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไป แล้วสรุปข้อมูลออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมพิจารณาข้อได้เปรียบ จุดเด่น และพลังต่อสู้ของฝ่ายตนอย่างรวดเร็วไปด้วย
แววตาของเขาสว่างวาบ จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำ
“ฉีฮวนตานเซียง ข้าจำได้ว่าซินกู่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาไม่สูงมากใช่หรือไม่ ในที่นี้รวมถึงวิญญาณอาวุธที่เพิ่งเริ่มตระหนักรู้ปัญญาด้วยหรือเปล่า”
ตรงนี้ล้วนมีแต่คนฉลาด พวกเขารีบหันหน้าไปมองฉีฮวนตานเซียงทันที
“ตามทฤษฎีแล้ว แค่เป็นของที่มีสติปัญญาก็สามารถควบคุมและส่งผลได้แล้ว แต่ข้ายังไม่เคยลองส่งผลต่ออาวุธวิเศษเลย”
ฉีฮวนตานเซียงเอ่ยช้าๆ
“เท่านี้ก็พอแล้ว!”
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนเอ่ยเสียงต่ำ
“ไม่จำเป็นต้องสู้เพื่อชนะเขา แค่ยื้อเวลาจนอรหันต์ตู้ฉิงหรือระดับเพชรทั้งสองท่านจัดการศัตรูเสร็จ เท่านั้นพวกเราก็ชนะแล้ว หากตั้งนานแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้ชัย เช่นนั้นพวกเราก็ค่อยๆ ทรมานสวี่ชีอันจนตายอย่างช้าๆ แล้วกัน”
หลังจากส่งเสียงพูดคุยปรึกษากันเสร็จ ทุกคนก็ฟื้นฟูพลังความมั่นใจขึ้นอีกครั้ง อย่างน้อยก็ยังเห็นความหวังของชัยชนะอยู่
เมื่อมีความหวัง ก็มีจิตวิญญาณในการต่อสู้
สวี่ชีอันมองพวกเขาส่งเสียงทางจิตปรึกษากันอย่างเงียบๆ ไม่ร้อนรน
สายตาของเขากวาดมองพวกจีเสวียน และมองไปยังน้องชายและน้องสาวที่อยู่ไกลๆ
ถือว่ายังเชื่อฟัง ไม่ได้เข้ามาขวางทางอีก…เขาเอ่ยประเมินอยู่ในใจ
หากลักพาตัวสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวเพื่อใช้บีบบังคับสวี่ผิงเฟิง? นี่อาจจะมีเรื่องประหลาดใจอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้?
ไม่สิ เพื่อเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง สวี่ผิงเฟิงก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ในเมื่อเขามองบุตรคนหนึ่งเป็นเครื่องมือและตัวหมาก ก็ย่อมมองบุตรและธิดาอีกคนเป็นตัวหมากได้ด้วยเช่นกัน
ความแตกต่างของข้ากับพวกสวี่หยวนไหวอยู่ที่ข้าเกิดก่อน และไม่ใช่ลูกรักของสวี่ผิงเฟิงอย่างพวกเขา
หากบุตรคนที่สองและธิดาคนโตขัดขวางไม่ให้เขาเลื่อนสู่ขั้นหนึ่ง เขาคิดจะทิ้งและสามารถโละทิ้งได้เช่นกัน
ข้าบำเพ็ญคู่กับราชครูมาตั้งนาน พลังปราณก็กล้าแกร่งขึ้น ใช้พวกเขามาฝึกมือได้พอดี
สวี่ชีอันถอนสายตากลับมา แล้วมองจิ้งซินนำพวกฉานซือนั่งเจริญสมาธิภาวนา
คิดจะใช้วิชาฉานมาต่อกรกับสิงโตคำรามของข้าสินะ…
เป็นอย่างที่คิด หลังจากนั่งลงเป็นรูปแบบกระบวนแล้ว สายตาของจิ้งซินก็มองมาที่เขาอย่างล้ำลึกแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“จงวางดาบลง!”
ค่ายกลทำให้พลังของวิชาทรงศีลแผ่ขยายไปได้มากขึ้น ในชั่วพริบตา สวี่ชีอันก็รู้สึกจิตสงบอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งยังไม่เกิดความคิดอยากจะต่อสู้ แม้แต่ดาบไท่ผิงก็ยังอยากจะวางลงไปด้วย
เช่นเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความคิดของดาบไท่ผิงผ่านจิตสัมผัสที่ส่งเข้าไปด้วยว่า ‘อา นายท่าน ข้าไม่อยากต่อสู้แล้ว!’
‘ตึง ตึง ตึง…’
จิ้งหยวนเป็นผู้นำเข้าสู้คนแรก ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้กำปั้นทรงพลังเพื่อทุบสวี่ชีอันอีก แต่คว้าดาบไท่ผิงไปจากมือของเขาแทน
และได้มาอย่างง่ายดายอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็นสวี่ชีอันหรือว่าดาบไท่ผิงล้วนแต่ไม่ได้ปฏิเสธหรือต่อต้านใดๆ เลย
เมื่อได้มาแล้ว จิ้งหยวนก็ไม่คิดอะไร เขาโยนดาบไท่ผิงกลับไปให้ข้างหลังทันที
ฉีฮวนตานเซียงก้าวมาข้างหน้าแล้วหยิบดาบขึ้นมาด้วยมือ เขากุมด้ามดาบเอาไว้ เมื่ออาวุธวิเศษมาอยู่ในมือ เขาก็ใช้วิธีการของซินกู่พยายามควบคุมมันและทำให้มันกลายเป็นอาวุธของฝ่ายตน
ถึงอย่างนั้นก็ทำไม่สำเร็จ อาวุธวิเศษกลับสั่นสะเทือนและเกือบจะหลุดมือไปหลายครั้ง
ฉีฮวนตานเซียงเปลี่ยนกลยุทธ์ เขาใช้ ‘การสื่อสาร’ ที่อ่อนโยนมาส่งอิทธิพลต่ออาวุธวิเศษ และมอบความคิด ‘หยุดรบ’ ให้แก่มัน
ดาบไท่ผิงปฏิเสธอยู่พักหนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดปกติมันก็ไม่ดิ้นรนอีก ท่าทางดูไม่ค่อยฉลาดนัก
สำเร็จแล้ว!
พวกจีเสวียนดีใจอย่างยิ่ง
สวี่ชีอันที่ไม่มีดาบไท่ผิงก็เป็นเพียงเต่าหนังหยาบ ระดับภัยคุกคามที่มีก็ลดลงเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็หลุดออกจากสภาวะจำศีล ร่างกายของเขามีเงามืดอึมครึมปกคลุมอยู่หนึ่งชั้นโดยไม่สนว่ามีจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนอยู่ใกล้ๆ จากนั้นก็หลอมรวมเข้าไปในเงาจิ้งหยวน
เขาใช้เงาของจิ้งหยวนกระโดดข้ามไปปรากฏตัวอยู่ในเงาของหลิ่วหงเหมียน
‘พลั่ก!’
ชายกระโปรงของหลิ่วหงเหมียนพลิ้วไหว รองเท้าผ้าปักกระโดดจนพื้นเป็นรูลึก
แต่สวี่ชีอันรีบกระโดดข้ามไปยังเงาใต้เท้าของจีเสวียนอีกครั้งอย่างรวดเร็วก่อนที่นางก็เคลื่อนเท้าออก
เขากระโดดข้ามเงาของทุกคนอย่างไม่หยุดยั้ง และสุดท้ายก็มาปรากฏตัวอยู่ในเงาของฉีฮวนตานเซียง
เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นคือการชิงดาบไท่ผิงคืนมา
จิ้งซินเลิกคิ้วแล้วเอ่ยเสียงขรึม
“ห้ามฆ่าสัตว์!”
สวี่ชีอันที่กำลังจะลงมือพลันแข็งทื่อ
จิ้งหยวนถือโอกาสนี้หันกลับไปช่วยเหลือ แสงทองบนร่างกายทำให้เขาดูเหมือนเป็นสายฟ้าสีทองอร่าม
‘โครม!’
จิ้งหยวนส่งหมัดเข้าไปที่ใบหน้าของสวี่ชีอัน
วิชาทรงศีลส่งผลต่อข้าแค่ไม่กี่วินาที วิชาทรงศีลหนึ่งครั้งต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าวินาทีถึงจะใช้งานได้อีกครั้งหนึ่ง…สวี่ชีอันแสยะยิ้ม ตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้หมัดของตนเหวี่ยงกระแทกเข้าที่หน้าผากของจิ้งหยวน
‘พลั่ก!’
หน้าผากของจิ้งหยวนสาดแสงสีทองอร่าม แสงทองที่ปกคลุมร่างกายพลันหม่นลงทันใด จากนั้นก็กระเด็นออกไปเหมือนกับปืนใหญ่
“ถอย!”
จีเสวียนผลักฉีฮวนตานเซียงออกแล้วพุ่งเข้าไป กระบี่เงาจันทร์ระเบิดประกายแสงเจิดจ้าออกมา ครั้งนี้เป้าหมายของมันคือหว่างคิ้ว
“โฮก…”
เสียงสิงโตคำรามที่ระเบิดความน่าเกรงขามทรงอานุภาพของสวี่ชีอันสั่นสะเทือนจนเบื้องหน้าของจีเสวียนดำมืดไม่เห็นสิ่งใด เขาได้ยินเสียง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ อยู่ที่ทรวงอกของตน ราวกับเสียงตีเหล็กหนักๆ
วินาทีต่อมา ความเจ็บปวดรุนแรงก็แผ่กระจาย ทรวงอกของเขาเว้าลึกลงไปทั้งแผง
หลิ่วหงเหมียนได้สติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว นางรีบจับจีเสวียนบินออกมาแล้วพาตัวถอยออกไป
ใบหน้าของหญิงงามจากหอหมื่นบุปผาซีดเผือดเล็กน้อย
จีเสวียนขั้นสี่พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ จเป็นอย่างที่สวี่ชีอันผู้นี้พูดจริงหรือว่าเมื่อครู่เป็นแค่การอุ่นเครื่อง
“นายน้อย!”
ฉีฮวนตานเซียงตะโกนลั่น สีหน้าของเขาโหดเหี้ยมราวกับโมโหและละอายใจอย่างที่สุด มือหนึ่งกำดาบ ส่วนอีกมือบีบกระเป๋าหนังที่เอว
‘พลั่ก!’
กลุ่มควันสีเขียวลอยล่องออกมา เสียงกระพือปีกบินเข้ามารวมตัวกันแล้วกระจายออกไป
พวกหลิ่วหงเหมียนและไป๋หู่หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็รีบถอยอย่างรวดเร็ว
พิษที่น่าสะพรึงเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้ ฉีฮวนตานเซียงตั้งชื่อเอาไว้ว่า แมลงกร่อนกระดูก มันเติบโตอยู่ในหุบเหวลึกที่ผนึกเทพเจ้ากู่เอาไว้ ดูดกินพลังที่เทพเจ้ากู่แผ่ออกมาเป็นอาหาร
พวกเขามีพิษทั่วร่าง ปากจะคายพิษที่สามารถกร่อนร่างกายของจอมยุทธ์ขั้นสี่ออกมา ตั้งแต่ผิวไปจนถึงเนื้อ และตั้งแต่เนื้อไปจนถึงกระดูก ฝูงแมลงกร่อนกระดูกที่เติบใหญ่จนเพียงพอแล้วจะสามารถสังหารจอมยุทธ์ขั้นสี่ผู้หนึ่งได้ภายในสามอึดใจ
นี่คือวิธีการก้นกรุของฉีฮวนตานเซียง ยามปกติมักไม่นำมาใช้ เพราะเมื่อแมลงกร่อนกระดูกพวกนี้ได้ดื่มเลือดมนุษย์เข้าไป แม้แต่ตัวเขาก็ยากที่จะควบคุมได้
ปรมาจารย์ซินกู่ผู้มีบุคลิกสุดโต่งเอ่ยเสียงเฉียบว่า
“เจ้าคนแซ่สวี่ ไม่ว่าเจ้าจะอัจฉริยะเพียงใด และต่อให้วันนี้ข้าจะถูกแมลงกร่อนกระดูกสะท้อนกลับมา อย่างไรก็จะต้องทำให้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนอย่างแน่นอน”
ที่ไกลๆ สวี่หยวนซวงพาน้องชายถอยหลังทันใด เห็นได้ชัดว่านางรู้ดีว่าแมลงพิษชนิดนี้น่ากลัวขนาดไหน
กลุ่มหมอกสีเขียวบินล่องอยู่เต็มท้องฟ้า แล้วเข้าไปปกคลุมตัวสวี่ชีอันอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมของฉีฮวนตานเซียง ปกคลุมทั้งร่างกายและใบหน้าของเขาเอาไว้อย่างแน่นขนัด
เมื่อเห็นภาพนี้ สวี่หยวนไหวก็สัมผัสได้ทันทีว่าพี่สาวของตนหยุดชะงัก เมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นสีหน้าของนางดูซับซ้อนหาใดเปรียบ นางกำลังจดจ้องไปยังร่างสีเขียวทึมที่อยู่ไกลๆ นั่นตาด้วยสายตาตะลึง
‘ตอนนี้ก็เพียงพอจะทำให้เขาจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลได้แล้ว…’ สวี่หยวนไหวเกิดความคิดซับซ้อนขึ้นมา
ทันใดนั้นเขาก็พลันเบิกตาโต สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ผู้ที่มีสีหน้าเช่นนี้ยังมีสวี่หยวนซวง นักพรตเต๋าเจียวเยี่ย หลิ่วหงเหมียน และคนอื่นๆ ในสายตาของทุกคน แมลงพิษที่ควรจะกระหายเลือดกลับ ‘ละลาย’ เป็นวงกว้างในฉับพลัน
มันกลายเป็นของเหลวสีเขียวบริสุทธิ์ ของเหลวเหล่านี้ไม่ได้ไหลหยดลงมา แต่กลับซึมผ่านรูขุมขนของสวี่ชีอันแล้วรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างของเขา
ดังนั้น แสงทองบนร่างของสวี่ชีอันก็สลับไปเป็นแสงสีเขียว
หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง แสงสีเขียวก็ค่อยๆ สลายและหายวับไปกับตาโดยสมบูรณ์
“อื้ม…”
สวี่ชีอันงึมงำออกมาแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณที่ต้อนรับ”
‘นี่มัน…’ ม่านตาของฉีฮวนตานเซียงหดเกร็ง สีหน้าซีดเผือดในทันใด เขาตะโกนคำรามออกมาราวกับเสียสติ
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
“นี่แหละคือฆ้องเงินสวี่ ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก…”
พลังใจในการต่อสู้ของหลิ่วหงเหมียนหายวับไปกว่าครึ่ง
“ยังมีโอกาส ควบคุมดาบเล่มนั้นไว้ซะ ข้าจะไปหยุดเขา”
จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนคำรามลั่น หน้าผากของเขามีเส้นเลือดสีเข้มนูนขึ้นมา ใบหน้าหล่อเหลาก็เพิ่มความดุร้ายขึ้นเล็กน้อย
นี่ไม่เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้เลย ในสายตาของเขา เมื่อมียอดฝีมือขั้นสี่ตั้งมากมายขนาดนี้ร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งยังมีจิ้งซินคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ข้างๆ อย่างไรการสยบสวี่ชีอันก็ควรเป็นเรื่องง่ายดายราวพลิกฝ่ามือมิใช่หรือ?
แต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งของสวี่ชีอันก็เหนือกว่าที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้แล้ว
จิ้งหยวนยิ่งรู้ดีว่าสวี่ชีอันยังมีลูกไม้อื่นที่ทรงพลังยิ่งกว่าและยังไม่ได้ใช้ออกมาด้วย
เมื่อเทียบกับตอนอยู่ในเซียงโจว เขาเหมือนจะแข็งแกร่งมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
นี่ไม่ใช่การคิดไปเอง สวี่ชีอันแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมากจริงๆ ผนึกยังอยู่ เขาถอนตะปูออกไปแค่สองตัวเท่านั้น
แต่ระดับฝีมือโดยรวมของเขากลับเพิ่มขึ้น เป็นเพราะการบำเพ็ญคู่ในช่วงนี้นี่เอง
การบำเพ็ญคู่กับยอดฝีมือหญิงที่อยู่ขั้นสองสูงสุดทำให้พลังปราณของเขาหนาแน่นและบริสุทธิ์ขึ้น ไม่เหมือนกับแต่ก่อนอีกต่อไป
ยิ่งรวมกับกายเนื้อของขั้นสาม การช่วยเหลือจากดาบไท่ผิง และวิธีการจากเจ็ดยอดกู่ ต่อไปผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นสามและสามารถจัดการเขาได้ก็แทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ
“ห้ามฆ่าสัตว์!”
จิ้งซินร่วมมือกับจิ้งหยวนอย่างใจเย็น เขาใช้วิชาทรงศีลออกมาเพื่อห้ามเป้าหมาย
‘ตุบ ตุบ ตุบ!..’
จิ้งหยวนใช้ร่างกายโจมตี โดยทำให้ร่างกายทุกส่วนกลายเป็นอาวุธ เสียงระเบิดแตกดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า และหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นเรื่อยๆ การโจมตีนี้ราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำ
จิ้งหยวนเริ่มเข้าสู่สภาวะยอดเยี่ยม รู้สึกว่ายิ่งสู้ก็ยิ่งราบรื่น แต่ทันใดนั้น สัญญาณเตือนอันตรายของจอมยุทธ์ก็ส่งเสียงเตือน
ทว่าไม่มีภาพรายละเอียดที่แน่ชัด ราวกับว่าวิกฤตนั้นมาจากทุกทิศทาง
‘พิษ!’
เขาเคยเจอกับสวี่ชีอันที่เหลยโจว ดังนั้นจึงนึกขึ้นได้ทันทีว่าที่มาของวิกฤตนี้คือสิ่งใด
ขณะเดียวกัน ผิวหนังของเขาก็เริ่มปวดแสบปวดร้อน พิษราวกับหนอนแมลงวันแทรกซึมเข้าสู่กระดูกผ่านทางรูขุมขน
‘พิษของเขาคุกคามข้าได้แล้ว’…จิ้งหยวนใจตกไปที่ตาตุ่ม เขาระงับการหายใจโดยสัญชาตญาณแล้วหยุดชะงักไปติดๆ กัน
ตอนนี้เอง ในที่สุดสวี่ชีอันที่คว้าโอกาสได้ก็พ่นกลุ่มควันสีเขียวใส่ตัวเขา
ในชั่วพริบตา ด้านหน้าของจิ้งหยวนก็ดำสนิทจนมองอะไรไม่เห็น ต่อด้วยความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนอันรุนแรงยิ่งที่ดวงตาทั้งสองข้าง
เลือดไหลออกมาจากตาของเขาเป็นสองสาย ลูกตาของเขาถูกกัดกร่อนและหดตัวจนมืดบอดเสียแล้ว
สีหน้าของจิ้งซินเปลี่ยนไปยกใหญ่ เพราะด้วยระยะห่างเขาจึงไม่อาจสัมผัสถึงพิษได้เช่นเดียวกัน ไม่คาดคิดเลยว่าจิ้งหยวนที่ก่อนหน้านี้ยังดุดันราวกับพยัคฆ์ กลับตามืดบอดในครู่ต่อมาเช่นนี้ได้
สวี่ชีอันบิดเอวและเหวี่ยงแขน ท่าทางคล้ายจะลงมือสังหารแล้ว
“ห้ามฆ่าสัตว์!”
จิ้งซินรีบสวดท่องออกมาอย่างด่วนจี๋ เขาใช้วิชาทรงศีลเพื่อช่วยเหลือศิษย์น้อง
‘ติดกับแล้ว…’ สวี่ชีอันหายวับไปทันใดแล้วอาศัยการกระโดดข้ามเงาไปปรากฏตัวอยู่ในเงาของฉีฮวนตานเซียง
ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ซินกู่ ผลลัพธ์จากการถูกจอมยุทธ์ลอบสังหารก็คือตายสถานเดียว
ฉีฮวนตานเซียงพยายามช่วยเหลือตัวเองอย่างสุดกำลังโดยไม่หันเหจิตใจจนส่งผลกระทบต่อดาบไท่ผิง เขากระตุ้นซินกู่ให้ส่งคลื่นสะเทือนจิตเดิมออกมา
แต่เขาไม่อาจอาศัยกำลังของตนมาส่งอิทธิพลต่อจิตเดิมของจอมยุทธ์ขั้นสามได้ ดังนั้นตรงหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยกำปั้น
ในตอนนี้เอง ลมหอบหนึ่งก็พัดมา ไป๋หู่ที่แขนหักเข้ามาขวางตรงหน้าเขาและรับกำปั้นนี้เอง
‘โครม!’
กายเนื้อของเผ่าพันธุ์ปีศาจขั้นสี่แข็งแรงไม่แพ้กัน ไป๋หู่คำรามเสียงต่ำและกลิ้งกระเด็นออกไปพร้อมกับฉีฮวนตานเซียง
ในชั่วขณะนี้เอง เพราะเมื่อครู่สูญเสียการควบคุมซินกู่ไป ดาบไท่ผิงจึง ‘ฟื้นตื่น’ ขึ้นมาแล้วหลุดออกจากมือของฉีฮวนตานเซียงโดยอัตโนมัติ แล้วบินกลับไปอยู่ข้างกายเจ้านายตัวเอง
‘หวึ่ง หวึ่ง หวึ่ง’…
ดาบไท่ผิงส่งคลื่นจิตออกมาซึ่งมีความหมายคร่าวๆ ว่า ‘เรื่องไม่ใช่อย่างที่ท่านคิด ท่านฟังข้าอธิบายก่อนนะ’…
คำอารัมภบทแบบผู้ชายสารเลวพรรค์นี้ อย่าเอามาใช้กับข้าเด็ดขาด…สวี่ชีอันจับดาบไท่ผิงแล้วถอยไปด้านหลังเพื่อเว้นระยะห่าง คิดจะออกกระบวนดาบจากระยะไกล
ระยะนี้อยู่ไกลจากขอบเขตของวิชาทรงศีล
‘เขาคิดจะทำอะไร’
พวกฉานซือและจิ้งซินมองท่าทางของเขาไม่เข้าใจ
ระยะห่างที่ไกลขนาดนี้ แม้จะฟันดาบออกมา แต่จะเหลือพลังทำลายล้างอยู่สักเท่าไหร่กัน
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังโจมตีที่สามารถทะลวงผ่านค่ายกลของฉานซือตั้งมากมายขนาดนี้ได้หรอก
“หยกสลาย!”
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา หลังจากสะสมพลังช่วงสั้นๆ เขาก็ฟันดาบไท่ผิงลงไป
เสียงสิงโตคำรามน่าเกรงขามดังขึ้น ประกายดาบสีทองหม่นสาดส่องในทันใด ครู่ต่อมามันก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกจิ้งซิน
ยอมเป็นหยกสลาย ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์
เพียงแค่เล็งเป้าหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจระยะห่าง
‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ’….
ทรวงอกของฉานซือแต่ละรูปมีรอยดาบน่าสยดสยองปรากฏอยู่ ทำลายไปถึงหัวใจและทำลายปราณชีวิตของพวกเขาทุกคน
ค่ายกลวิชาฉานไม่อาจขวางจิตดาบอันรุนแรงเช่นนี้ไว้ได้
จิ้งซินเป็นฉานซือคนเดียวที่รอดพ้นจากหายนะ แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะไม่แกร่งเท่าจอมยุทธ์ แต่หลังจากมาถึงขั้นสี่ พลังชีวิตก็อยู่เหนือกว่าปุถุชนทั่วไป
หลังจากหัวใจโดนทำลาย เขาก็ยังไม่ได้ตกตายในทันที
เขาหยิบขวดกระเบื้องออกมาจากในจีวรด้วยมืออันสั่นเทาแล้วเทขี้เถ้าธูปออกมาถูที่ทรวงอก
นี่คือขี้เถ้าธูปจากกระถางธูปที่อรหันต์ตู้ฉิงนั่งทำสมาธิ ซึ่งได้ปนเปื้อนกลิ่นอายที่ช่วยลบล้างผลลัพธ์ออกมา
ทั้งยังมีสรรพคุณชุบเนื้อและกระดูก
อีกด้านหนึ่ง ทรวงอกของสวี่ชีอันก็มีรอยเลือดระเบิดออกมาติดๆ กัน เลือดและเนื้อปะปนจนเลือนรางกรีดหัวใจ
ราคาที่ต้องแลกจากหยกสลาย
แต่สำหรับเขาที่มีกายเนื้อขั้นสาม พลังเท่านั้นยังไม่ถึงตาย อย่างมากก็เพราะยังมีตะปูตอกวิญญาณอยู่ บาดแผลจึงรักษาได้ช้าหน่อย
ร่างกายบอบบางของหลิ่วหงเหมียนสั่นเทาเล็กน้อย สองขาอ่อนแรง ทั้งใจเหลือเพียงความหวาดผวา
จีเสวียนบาดเจ็บสาหัสแต่ยังไม่หมดสติ เขามองเห็นภาพทุกอย่าง แววตานั้นหม่นหมองไร้แสง เต็มไปด้วยความสะเทือนใจหนักหน่วง
ส่วนฉีฮวนตานเซียงที่ชิงชีวิตคืนมาได้ สุดท้ายก็เกิดความหวาดกลัวอย่างหนักต่ออัจฉริยะจากภาคกลางที่โด่งดังผู้นี้
ตอนนี้ไป๋หู่คิดแต่จะหนี ไม่มีความคิดอื่นใดเหลืออยู่อีก
ส่วนอีกด้าน สวี่หยวนไหวกำหมัดแน่น ในใจของเขาทั้งขื่นขมและสิ้นหวัง เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่มีความคิดที่จะแข่งขันกับสวี่ชีอันอีกแม้แต่น้อย
‘แพ้แล้ว พ่ายแพ้ยับเยิน อีกทั้งนี่ยังเป็นช่วงที่พลังฝึกตนของเขาถูกผนึกอยู่ด้วยซ้ำ…’ สวี่หยวนซวงตกตะลึง
“ขะ แข็งแกร่งเกินไปแล้ว นี่สินะ ระดับขั้นที่ข้าใฝ่ฝันถึง” เหมียวโหย่วฟางเอ่ยพึมพำ
เขาหันไปมองด้านข้างและพยายามขอความเห็นชอบจากนักพรตเฒ่า แต่กลับพบว่าเจ้าคนแก่นั่นถอยไปอยู่ไกลๆ ตั้งนานแล้ว โดยเว้นระยะห่างจากตัวเองไกลมาก
ขณะเดียวกันนั้น ชามทองคำที่ลอยอยู่บนฟ้าก็พลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และแผ่แสงสีทองออกมาเป็นวงกลม
การต่อสู้ของอรหันต์ตู้ฉิงและลั่วอวี้เหิงใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
พวกจิ้งซินและจีเสวียนที่กำลังสิ้นหวังกลั้นหายใจ พยายามคว้าจับแสงแห่งรุ่งอรุณเฮือกสุดท้ายท่ามกลางความมืดมิด