ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 582 เยียวยาบาดแผล
บทที่ 582 เยียวยาบาดแผล
สำเร็จแล้วรึ?
สวี่ชีอันแอบปลื้มปีติในใจ เลิกสนใจความเคลื่อนไหวที่อยู่เหนือศีรษะ พลางพุ่งเข้าไปหาเหมียวโหย่วฟาง
ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นในตัวลั่วอวี้เหิงมาก แต่ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ต้องคิดพิจารณาสักหน่อย หากราชครูพ่ายแพ้พระอรหันต์สำนักพุทธด้วยเหตุเพราะ ‘โศกเศร้า’ หรือไม่พระอรหันต์ก็มีไพ่ใบสุดท้ายซ่อนอยู่ และใช้ข้อได้เปรียบในการเป็นเจ้าบ้านเอาชนะราชครู สิ่งเหล่านี้ล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งหมด
ในกรณีเช่นนี้ เหมียวโหย่วฟางจึงเป็นจุดสนใจของเขาในตอนนี้ ตามด้วยจีเสวียนและคนอื่นๆ เป็นลำดับต่อมา
ในฐานะที่เป็นเหล่าศัตรูของฆ้องเงินสวี่ เห็นได้ชัดว่าสมองไม่ได้มีแต่ขี้เลื่อย ในขณะที่พวกเขาให้ความสนใจกับความเคลื่อนไหวในอากาศ ก็ฉวยโอกาสตอนที่สวี่ชีอันพุ่งเข้าหาเหมียวโหย่วฟางในการรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
ไป๋หู่กลายร่างที่มีความสูงถึงยี่สิบฟุต คาบสองพี่น้องสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวไว้บนหลัง ขาหน้าข้างขวาที่ถูกตัดขาด ทำให้ดูน่าสยดสยองเป็นพิเศษ
หลิ่วหงเหมียนประคองจีเสวียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะโยนจีเสวียนขึ้นไปบนหลังไป๋หู่เช่นกัน
ถึงแม้ทุกฝ่ายกำลังเคลื่อนไหว แต่ก็ยังแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปให้ความสนใจกับบาตรทอง
แม้แต่จีเสวียนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังแทบไม่คิดที่จะใช้พลังชี่รักษาอาการบาดเจ็บ แต่กลับจ้องไปบนท้องฟ้าตาเขม็ง
ส่วนที่เหลือยังคิดว่าพระอรหันต์ตู้ฉิงคือที่พึ่งสุดท้าย
‘แครก!’
จู่ๆ ก็มีช่องว่างขนาดเล็กเกิดขึ้นที่บาตรทอง รอยแตกเป็นเหมือนใยแมงมุมที่กระจายไปทั่วบาตรทอง
หลังจากนั้น บาตรทองก็ระเบิด ‘ตูม’ ภายใต้สายตาอันตื่นตระหนกของทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง
ร่างสามร่างตกลงมา ได้แก่ ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของลั่วอวี้เหิง ร่างอันสั่นเทาของเทพบุตร และพระอรหันต์ตู้ฉิง
พระอรหันต์ตู้ฉิงในเวลานี้ มีดาบเหล็กเสียบเข้าจุดไป่หุ้ยบนศีรษะจนนองเลือด ครึ่งหนึ่งจมอยู่ในศีรษะ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งโผล่ออกมาข้างนอก
เขามีสภาพเสื่อมโทรม พนมมือ หลับตา และไม่ไหวติงแม้แต่น้อย
เบ้าตาของจิ้งซินราวกับกำลังจะร้าว
สายเลือดสองเส้นอาบอยู่ที่แก้มของจอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวน เขามองอยู่ทางด้านนี้ด้วยความตกตะลึง
“พระอรหันต์พ่ายแพ้แล้ว” หลิ่วหงเหมียนกล่าวตะโกน
ฉีฮวนตานเซียง จีเสวียน นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ย และคนอื่นๆ ต่างก็ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด
พยัคฆ์ขาวควบคุมลมขี่หนีไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงด้วยสภาพตื่นตระหนกราวกับสุนัขจรจัดไร้บ้าน
สวี่ชีอันเลิกคิ้วขึ้น “อยากจะไปงั้นรึ?”
เขาพุ่งเข้าไปสองก้าว เหวี่ยงดาบไท่ผิงออกไปอย่างเต็มกำลัง ครั้งนี้เขาได้ทางสว่างมาจากฉีฮวนตานเซียงแล้ว เขาใช้วิธีการของซินกู่ในการควบคุมดาบไท่ผิง เช่นเดียวกับการควบคุมนกกระจอกและแมวส้ม ด้วยวิธีนี้ย่อมสามารถรับประกันได้ว่าหลังจากที่ดาบไท่ผิงพ้นจากการควบคุมของเขาแล้ว จะไม่ได้รับผลกระทบจากซินกู่ของฉีฮวนตานเซียงอีก ในความหมายอีกแง่หนึ่งคือ นี่เป็นความสามัคคีของมนุษย์และดาบชนิดหนึ่ง
‘อี๊ด…’ เสียงแหลมเศร้ารันทดเจาะเข้าไปในแก้วหู ดาบไท่ผิงไล่ตามไป๋หู่อย่างรวดเร็ว ปราณดาบที่แยกตัวออกจากกันทำให้หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน
เสียง ‘คลิก’ ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา จีเสวียนบดขยี้ยันต์หยกที่ถูกส่งมาอยู่ในมือ ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองเฉียนหลงและคนรุ่นหลังที่สวี่ผิงเฟิงให้ความสำคัญ เขาย่อมมีวิธีการที่จะช่วยชีวิตตนเองอยู่ไม่น้อย หากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนเองโดยไม่มีวิธีการรับมือหรือตอบโต้ใดๆ แล้วจะท่องไปในโลกยุทธภพได้อย่างไร?
ในเวลานี้เอง ดาบไท่ผิงก็คายปราณดาบออกมาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ปราณดาบทั้งบางและมืด ราวกับลูกธนูอันเย็นยะเยือกที่ยิงออกมาจากความมืด
หลังจากที่ยันต์หยกแหลกละเอียด จิตใจของจีเสวียนและคนอื่นๆ ผ่อนคลายลง ความตึงเครียดเมื่อครู่ค่อยๆ หลุดพ้นไป ทุกคนต่างก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้
แสงดาบสีทองสะท้อนอยู่ในรูม่านตาของจีเสวียน การแสดงออกของเขาดูหวาดกลัวอย่างมาก ปราณดาบพุ่งมาที่เขา และกายเนื้อของเขาในตอนนี้ก็ได้แตกสลายไปแล้ว
ในเวลานี้ แสงดาบสะท้อนอยู่ในม่านตาของเขาและถูกปิดบังด้วยเงามืด เงานั้นระเบิดออกทันที เนื้อและกระดูกแหลกละเอียด ปราณดาบที่เหลืออยู่แทงทะลุไหล่ของจีเสวียน แต่สุดท้ายถูกขัดขวางด้วยกระดูกเหล็กผิวทองแดงของไป๋หู
ช่วงเวลาที่สำคัญนี้ นักพรตเฒ่าเจียวเยี่ยพุ่งตัวไปข้างหน้าเพื่อขวางทางดาบให้เขา
แสงสว่างก่อตัวขึ้น ปกคลุมขบวนคนกลุ่มนั้นและส่งพวกเขาจากไป
สวี่ชีอันเดาะลิ้นสองครั้งและกล่าวพึมพำว่า “นับว่าเป็นโชคดีของเจ้า”
เขาหันไปและกล่าวโอ้อวดด้วยความชื่นมื่น “ราชครู จับพระอรหันต์ตู้ฉิงได้แล้วรึ?”
ข้อเท็จจริงอยู่ที่เบื้องหน้า แต่เขาก็ยังอยากจะยืนยันอีกครั้ง
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าเบาๆ มีความโศกเศร้าปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว “ไปเร็ว”
สวี่ชีอันมองนางอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพบว่ากลิ่นอายของราชครูอ่อนแอมาก มีความเหนื่อยล้าซ่อนอยู่ในดวงตาคู่สวยของนางและมีเลือดซึมออกมาจากภายใต้เสื้อคลุมขนนก เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บร้ายแรงไม่น้อย
“อาการบาดเจ็บของท่านหนักหนามากรึ?”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าและมองไกลออกไป เสียงอันไพเราะเจือปนไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย “กายเนื้อได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ร่างธรรมเทพเจ้าหยางไม่เป็นอะไร”
สำหรับผู้ฝึกตนในลัทธิเต๋า หากจิตเดิมยังอยู่ก็ไม่มีทางตาย แน่นอนว่าหากทำเช่นนี้ก็จะมีปัญหาไม่รู้จบ แต่สำหรับลั่วอวี้เหิง หากต้องการเลื่อนเป็นเซียนครองพิภพขั้นหนึ่ง เมื่อเกิดภัยพิบัติ กายเนื้อต้องรวมเป็นหนึ่งกับร่างธรรมจึงจะกลายเป็นร่างอมตะได้
ตอนนี้หากกายเนื้อถูกทำลายเช่นนี้ ก็ไร้ความหวังที่จะเป็นขั้นหนึ่ง
ลั่วอวี้เหิงกล่าวต่อไปว่า “ตอนที่บาตรทองถูกทำลาย มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นค่อนข้างมาก สองเทพอารักษ์นั่นคงจะรับรู้ถึงความผิดปกติทางด้านนี้แล้ว พวกเราไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่นานๆ”
สวี่ชีอันเข้าใจว่านางหมายความว่าอะไร หากสองเทพอารักษ์นั่นคิดจะลักพาตัวคนไปอย่างมุทะลุแล้วละก็ เทพเจ้าหยางของนิกายสวรรค์อาจจะไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ อย่างที่ทราบกันดีว่า จอมยุทธ์มีชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ และการป้องกันทางกายภาพของเทพอารักษ์นั้นก็แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ขั้นสามในระดับเดียวกัน และตอนนี้ลั่วอวี้เหิงก็มีสภาพที่ค่อนข้างย่ำแย่
สวี่ชีอันเรียกเจดีย์พุทธะที่อยู่ในระยะไกลมาทันที ก่อนจะส่งเหมียวโหย่วฟาง หลี่หลิงซู่ จิ้งซิน และจิ้งหยวนเข้าไปด้านใน
เจดีย์นี้ไม่คิดจะลงมือกับศิษย์สำนักพุทธ หลังจากดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ เป็นเวลานาน ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมได้สงบลงแล้ว มันจึงไม่ดื้อรั้นอีกต่อไป
เนื่องจากพระอรหันต์ไม่สามารถเข้าไปในเจดีย์พุทธะได้ ลั่วอวี้เหิงจึงโบกแขนเสื้อ ห่อหุ้มสวี่ชีอันและพระอรหันต์ตู้ฉิง หายไปพร้อมกับสายลม
ในเวลาสองถึงสามนาที ผืนแผ่นดินส่งเสียงคำราม แสงสีทองสองดวงพุ่งตรงไปที่พื้นดินอย่างรวดเร็ว
นี่คือภาพนิมิตที่เกิดจากการวิ่งวุ่นอย่างบ้าระห่ำของเทพอารักษ์สองท่าน
แนวหลังแสงสีทองสองดวงนั้น เทพธิดาปิงอี๋แห่งนิกายสวรรค์ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง ก้าวขึ้นไปบนกระบี่บิน มันแผดเสียงก้องราวกับสายฟ้าฟาดและไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ แต่หลังจากเห็นชัยชนะในสนามรบหลักและการจากไปของผู้คน เทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ทั้งสองท่านก็ชะลอความเร็วลงทันที
เมื่อสบตากัน กระบี่บินก็หมุนเก้าสิบองศา พุ่งตรงไปยังท้องฟ้าและหายไปในทะเลเมฆอันกว้างใหญ่
“พระอรหันต์ตู้ฉิงสูญสิ้นแล้ว”
เทพอารักษ์ตู้หนานที่มีร่างกายและพลังอันน่าเกรงขามมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่เหลืออยู่ของบาตรทอง
เทพอารักษ์ท่านนี้ที่รอดพ้นจากการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีกำลังเต็มไปด้วยความโกรธ
เทพอารักษ์เผ่าอสูรขมวดคิ้วด้วยความกระสับกระส่าย และกล่าวช้าๆ ว่า “มันควรจะแค่ถูกปิดผนึกสิ ในระดับเดียวกันไม่มีใครสามารถฆ่าพระอรหันต์ตู้ฉิงได้ สภาพของลั่วอวี้เหิงในตอนนี้อาจจะไม่ดีนัก พวกเราแยกกันไปที่ยงโจว ตรวจสอบสวนชิงซิ่ง แล้วมารวมตัวกันที่นี่ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
เทพอารักษ์ตู้หนานตอบรับ “อืม” และกล่าวต่อไปว่า “ข้าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่”
ในขณะที่เขากล่าว สายตาก็จับจ้องไปที่ศพของภิกษุที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นและนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน “อมิตตาพุทธ!”
เทพอารักษ์เผ่าอสูรพนมมือเข้าด้วยกัน พลางก้มศีรษะลง สวดพระนามของพระพุทธเจ้าและเก็บศพของภิกษุทุกรูปเข้าไปในอาวุธเวทมนตร์อย่างเงียบๆ
…
ถิ่นทุรกันดารแห่งหนึ่งในยงโจว
ไป๋หู่ที่กลายร่างยาวกว่ายี่สิบฟุตและขาหน้าข้างหนึ่งที่หักไปแล้ว แผดเสียงดังก้องมาพร้อมกับสายลม
มันร่อนลงมาตามแรงลม สลัดทุกคนที่อยู่บนหลัง หลังจากนั้นก็คลานไปด้านหน้า เลียขาหน้าข้างขวาที่แตกหักและเปียกโชกไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม
ทุกคนพลัดตกลงมาอย่างจนมุม
จีเสวียนกุมหน้าอกด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ดึงรั้งร่างของนักพรตเฒ่าเจียวเยี่ย พลางตะโกนเสียงแหบแห้ง “เอายามาให้ข้า หยวนซวง รีบเอายามาให้ข้าเร็วเข้า…”
สวี่หยวนซวงนิ่งเงียบ ไม่ใช่ว่านางเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย แต่ถุงหอมที่นางพกติดตัวถูกสวี่ชีอันช่วงชิงไปแล้ว รวมทั้งอาวุธเวทมนตร์และยาอายุวัฒนะที่อยู่ด้านในด้วย
“นายน้อย อย่าสิ้นเปลืองยาอายุวัฒนะเลย”
นักพรตเจียวเยี่ยโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะก้มศีรษะลงไปมองรูใหญ่ที่หน้าอกของตนเอง พลางส่ายศีรษะแค่นหัวเราะ “บาดแผลสาหัสเช่นนี้ ดูเหมือนข้าคงจะถึงคราวตายแล้วจริงๆ”
ทุกคนเงียบลง
ความเจ็บปวดฉายชัดในดวงตาของจีเสวียน เขากล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย”
นักพรตชราส่ายศีรษะ “นายน้อย ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ปล่อยเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ให้ข้าเถอะ”
เขากลืนฟองเลือด ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “การเดินทางท่องยุทธภพครั้งนี้เป็นสนามทดลองของท่าน ผู้คนในเมืองเฉียนหลงกำลังมองท่านอยู่ ท่านเจ้าเมืองไม่ชอบที่ท่านเป็นบุตรนอกสมรส แต่เขาเป็นราชาที่เก่งกาจและน่าเกรงขาม ไม่ใช่เพราะเขาชอบเมินเฉยท่าน ทอดทิ้งท่าน ถ้าท่านสามารถเก็บรวบรวมปราณมังกร หรือเลื่อนสู่ขั้นสาม ท่านก็จะกลายเป็นเจ้าเมืองในอนาคตได้ จำไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องเก็บรวบรวมปราณมังกรทั้งหมด ถึงแม้ความรับผิดชอบที่เจ้าเมืองและราชครูมอบให้ท่านจะเป็นการเก็บรวบรวมปราณมังกร เหอะ…แต่เมืองเฉียนหลงขาดพลังการรบชั้นยอด หากท่านสามารถเลื่อนสู่ขั้นสามได้ ตำแหน่งผู้สืบทอดในอนาคตนั้น พวกเขาจะให้ก็ต้องให้ ไม่ให้ก็ต้องให้ ข้าอยากเห็นท่านปีนขึ้นไปบนจุดสูงสุด น่าเสียดาย ข้าคงรอถึงวันนั้นไม่ได้แล้ว”
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ แต่ยังมีความคิดที่ชัดเจนและสามารถพูดประโยคเหล่านี้จนจบโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย นี่น่าจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าแสงสายัณห์ของตะวันรอน
นักพรตเจียวเยี่ยสูดลมหายใจ และหยุดชะงักเล็กน้อย “การต่อสู้ในวันนี้ พวกเราพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง นายน้อยต้องจำบทเรียนในวันนี้ให้ขึ้นใจ และในวันต่อๆ ไปหลังจากนี้ ต้องหลีกเลี่ยงสวี่ชีอัน เก็บรวบรวมปราณมังกรที่กระจัดกระจายในที่อื่นๆ พระอรหันต์ตู้ฉิงถูกจับไปแล้ว สำนักพุทธคงไม่ยอมวางมือ สำนักพ่อมดยังไม่ลงมือ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพลังที่เป็นประโยชน์ นอกจากนี้ ท่านต้องพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ปราณมังกรเจ็ดอาศัยอยู่กับตัว อย่าให้ราชครูเรียกพวกเขากลับไป หลายวันที่ผ่านมา ข้าครุ่นคิดและคาดเดาเกี่ยวกับแผนการก้าวต่อไปของราชครูมาโดยตลอด”
เขาไม่ได้พูดต่อ แต่หันไปมองจีเสวียนพลางกล่าวว่า “นายน้อย ยังจำตอนที่ท่านกับข้าพบกันครั้งแรกได้หรือไม่?”
จีเสวียนสูดจมูกอย่างหนัก พลางตอบรับ “อืม”
“ข้าเชื่อมาโดยตลอดว่าไฟจะลุกโชนจากเศษหญ้าเล็กๆ และเผาผลาญความเสื่อมโทรมทั้งหมด” นักพรตชราเจียวเยี่ยกุมมือจีเสวียนอย่างหนักแน่น
“จะต้องมีวันนั้น” จีเสวียนกล่าวเสียงทุ้ม
นักพรตเจียวเยี่ยถอนหายใจพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
รอยยิ้มนั้นจะยังคงอยู่ตลอดไป
หลิ่วหงเหมียนเงียบลงครู่หนึ่ง มองนักพรตเจียวเยี่ย และก้มศีรษะทำความเคารพ
ดูเหมือนนักพรตชราท่านนี้จะเป็นผู้ที่มีเรื่องราวมากมาย แต่นางไม่มีความคิดที่จะสืบถึงแก่นแท้ใดๆ คนที่ระเหเร่ร่อนในเมืองเฉียนหลง มีใครบ้างที่ไม่มีเรื่องราวของตนเอง
…
เมืองซิ่วสุ่ย ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองยงโจว
สายสืบขั้นสี่ ‘เฉิน’ สวมเสื้อคลุมมีหมวกฮู้ด รีบลงแซ่ขี่ม้ามาที่เมืองทันที และหยุดลงที่หน้าบ้านพักซึ่งตั้งอยู่ริมน้ำ
เขาเคาะประตูบ้านเป็นจังหวะตามธรรมเนียมปฏิบัติ
เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาดังแว่วมา คนที่เปิดประตูคือสวี่หยวนซวงที่สวมชุดกระโปรงรัดอกสีพลัม ใบหน้างดงาม ท่าทางเย็นชา
สีหน้าของนางไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นสายสืบเฉินก็พยักหน้าเป็นสัญญาณ
สายสืบเฉินตามสวี่หยวนซวงเข้าไปในที่พัก กล่าวเสียงทุ้มว่า “หลังจากได้รับจดหมายของคุณหนู ข้าเลยมา”
เขาเดินผ่านลานบ้านเข้าไปในห้องโถง ช่วงเวลาที่สายสืบเฉินเห็นจีเสวียนและคนอื่นๆ หัวใจก็สั่นสะท้านและสงสัยว่าตนเองเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่
ประการแรกคือจีเสวียนซึ่งเป็นแกนหลักของคณะที่อ่อนโยนและสุขุม ตอนนี้มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบหน้าอก นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด แต่เดิมดวงตาของเขาทั้งสดใสและมีพลัง ตอนนี้กลับดูว่างเปล่าเล็กน้อย
ทางด้านซ้ายของเขาคือฉีฮวนตานเซียงที่มีท่าทางหดหู่และท้อแท้ใจเช่นเดียวกัน ปรมาจารย์ซินกู่ที่มีนิสัยรุนแรงเป็นเหมือนสุนัขพ่ายแพ้ตัวหนึ่ง ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมยาวสีสันแพรวพราว
ด้านข้างปรมาจารย์ซินกู่คือไป๋หู่ บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ แขนข้างขวาของเขาหลุดออกจากข้อศอก ถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนาๆ มีเลือดสีแดงสดซึมออกมาเล็กน้อย
คนเดียวที่ยังมีสภาพค่อนข้างปกติคือหลิ่วหงเหมียน แต่นางก็จมดิ่งอยู่ในบรรยากาศนี้เช่นกัน ไร้ซึ่งเสน่ห์ตามปกติ
“คุณชายหยวนไหวเล่า?” หัวใจของสายสืบเฉินสั่นสะท้าน
“กระดูกที่แขนและเข่าของเขาถูกทุบจนแหลก ตอนนี้กำลังนอนอยู่ในห้อง” สวี่หยวนซวงกล่าวเสียงเบา
สายสืบเฉินถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและถามต่อไปว่า “กลุ่มดาวมังกรเจ็ดดวงล่ะ?”
“กำลังพันแผลอยู่ที่หลังบ้าน” สวี่หยวนซวงกล่าว
จากคำพูดของนาง ทำให้รู้ว่าชังหลงไม่มีรับประโยชน์ใดๆ จากการอยู่ในมือของซุนเสวียนจี
ในไม่ช้า ชังหลงก็ออกมาจากหลังบ้านพร้อมกับบุคคลที่สวมเสื้อคลุมมีหมวกทั้งเจ็ดท่าน เสียงแหบแห้งของเขาเจือปนไปด้วยการซักไซ้เอาความเล็กน้อย “เหตุใดเทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ถึงได้ปรากฏตัวที่นี่?”
สายสืบเฉินส่ายศีรษะ “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะอยู่ที่เมืองยงโจว นิกายสวรรค์ไม่สนใจเรื่องทางโลกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มีลูกศิษย์จำนวนน้อยมากที่จะเดินทางท่องยุทธภพ”
“ในยุคนี้ มีเพียงเทพบุตรและเทพธิดาเท่านั้น” ชังหลงยกตนข่มท่าน
“นี่คือความประมาทในการกรองข่าวของเจ้า เจ้าต้องรับผิดชอบ”
สายสืบเฉินขมวดคิ้ว
“ไม่มีองค์กรข่าวกรองใดที่สามารถจับแนวโน้มของยอดฝีมือเหนือมนุษย์ได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างราบเรียบ พวกเราไม่รู้แม้กระทั่งการทัศนาจรของเทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์”
เทพเจ้าหยางลัทธิเต๋าหายไปอย่างไร้ร่องรอย วันนี้อยู่ที่ยงโจว พรุ่งนี้อาจจะถึงเมืองหลวงแล้ว
ข่าวกรองของใครกันที่รวดเร็วเช่นนี้?
นอกจากนี้ เทพเจ้าหยางทั้งสองแห่งนิกายสวรรค์ก็เคลื่อนไหวอย่างราบเรียบ และมาถึงเมืองยงโจวอย่างเงียบๆ
ถึงแม้จะมีสายลับเคยเห็นพวกเขาที่โรงเตี๊ยม แต่สายลับจะมองออกได้อย่างไรว่านี้คือเทพเจ้าหยางทั้งสองท่าน?
เมื่อเห็นว่าชังหลงไม่พูดต่อ สายลับเฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและคิดคำนวณบางอย่าง พลางมองไปที่จีเสวียนและคนอื่นๆ “ดูเหมือนสวี่ชีอันจะพบผู้ช่วยเหลือไม่น้อยเช่นกัน”
ถึงแม้จะมีเทพเจ้าหยางแห่งนิกายสวรรค์ช่วยเหลือ มียอดฝีมือเหนือมนุษย์ระดับบรรลุธรรมที่ยอดเยี่ยม แต่ทางฝั่งของเขา มียอดฝีมือขั้นสี่แห่งสำนักพุทธทั้งสองอย่างจีเสวียนและไป๋หู่ ต่อให้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ระดับบรรลุธรรมไม่ได้ลงมือ ก็แทบจะอยู่ยงคงกระพันแล้ว
แต่ตอนนี้กลับจนมุมเช่นนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าสวี่ชีอันมีการตระเตรียมมาอย่างดี เขาต้องระดมพลการช่วยเหลือจากยอดฝีมือขั้นสูงจำนวนไม่น้อย
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลิ่วหงเหมียนก็มองมาด้วยสีหน้าสับสน
ฉีฮวนตานเซียงและไป๋หู่ต่างก็เคลื่อนไหวริมฝีปากเล็กน้อย
สวี่หยวนซวงกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่มีผู้ช่วยเหลือ มีเขาเพียงคนเดียว”
มีเขาเพียงคนเดียว…ความตกตะลึงซ่อนอยู่ในม่านตาของสายสืบเฉิน เขารีบถามกลับอย่างรวดเร็ว “เขา เขาฟื้นคืนการบำเพ็ญขั้นสามแล้วรึ?”
ท่าทางของหลิ่วหงเหมียนและคนอื่นๆ กลับมีความซับซ้อนมากกว่า
“ไม่ เขายังคงอยู่ขั้นสี่” สวี่หยวนซวงส่ายศีรษะด้วยความขมขื่น
ในห้องโถงเงียบลงชั่วขณะ ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน
…
ลั่วอวี้เหิงพาสวี่ชีอันไปจากยงโจวด้วยการสาดแสงสีทองบินไปทางด้านทิศเหนือ ผ่านภูเขาอันกว้างใหญ่ ที่ราบลุ่ม แม่น้ำ และกำแพงเมืองที่ปรากฏอยู่ด้านล่าง
ลั่วอวี้เหิงลดระดับแสงสีทองและหยุดลงที่นอกเมือง
“ข้าจำเป็นปรับลมปราณเพื่อพักฟื้น หาโรงเตี๊ยมปักหลักก่อนเถอะ” นางสั่งกำชับเบาๆ
เหตุผลที่ไม่กลับไปเมืองยงโจว เพราะเทพอารักษ์ตู้หนานและตู้ฝานจะต้องตามล่าพวกเขาอย่างเต็มที่แน่นอน
ส่วนพระอรหันต์ตู้ฉิงกำลังหลับตานั่งสมาธิอย่างเงียบงัน ราวกับรูปปั้นที่ไร้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาเข้าสู่เมืองเล็กๆ ไปตามถนนสายหลัก สวี่ชีอันกวาดสายตามองป้ายทั้งสองด้านและเลือกโรงเตี๊ยมอย่างง่ายดาย
ลั่วอวี้เหิงใช้มนต์ด้วยมือเดียวเพื่อฉุดลากพระอรหันต์ตู้ฉิง เดินตามหลังสวี่ชีอัน
“นายท่าน จะหยุดพักรับประทานอาหารหรือค้างคืนดีขอรับ?”
เมื่อก้าวเข้าไปยังห้องรับรองของโรงเตี๊ยม ก็มีบริกรเข้ามาทักทายอย่างสุภาพ ทั้งยังแสร้งมองข้ามลั่วอวี้เหิงและพระอรหันต์ตู้ฉิงที่มีดาบเหล็กปักอยู่ที่ศีรษะ
ดูเหมือนแขกคนอื่นๆ ก็มองไม่เห็นลั่วอวี้เหิง จึงไม่ได้จ้องมองด้วยความประหลาดใจแต่อย่างใด
สวี่ชีอันเหลือบมองนางและกล่าวว่า “ขอห้องพักหนึ่งห้อง”